Sunday, 6 October 2024
Econbiz

สำนักข่าวชื่อดังของโลกจากสหรัฐเมริกาอย่าง ‘CNN’ ตามติดนโยบายโครงการเส้นทางคนโสด "Single Journey" คนเดียวก็เที่ยวได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศและเชิญชวนให้เดินทางท่องเที่ยวตามสไตล์คนโสด 9 เส้นทางทั่วประเทศ

โดย CNN เผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมกับบริษัท ไดรฟ์ดิจิทัล จำกัด และ "แอพพลิเคชัน Tinder" จัดทำโครงการ เส้นทางคนโสด ‘Single Journey’ #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด คนเดียวก็เที่ยวได้ ด้วยความหลากหลายสไตล์การท่องเที่ยว โดยนำร่อง 9 เส้นทางภาคเหนือ โดยได้เริ่มต้น 3 เส้นทางก่อน ได้แก่

1.)เส้นทางคนโสดสายมู เป็นการล่องเรือ ไหว้พระ หารัก

2.)โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก

และ 3.) โสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย ซึ่งเริ่มเปิดจองมาตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้

ทั้งนี้ช่องทางเปิดจองให้แก่ผู้ที่สนใจนั้นจะต้องลงทะเบียนผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่

1.)https://sneaksdeal.com/singlejourney

2.)www.tourismthailand.org

และ 3.)Line Official @singlejourney

ความน่าสนใจของโครงการดังกล่าว ทำให้หลายทริปปิดดีลได้อย่างว่องไว โดยในส่วนของดีลคนโสดที่เปิดขายผ่านเว็บไซต์ https://sneaksdeal.com/singlejourney นั้น หลายทัวร์ได้ขายหมดเรียบร้อยแล้ว เช่น ทริป Secret Island ทัวร์เกาะไข่ จ.ภูเก็ต ราคา 222 บาท ขายแล้วครบ 50 คน , รถไฟขบวนสุดท้าย 1 Day trip รถไฟลอยน้ำ 23 มกราคม ราคา 555 บาท ขายครบแล้ว 50 คน และ Secret Island เกาะลับไม่ห่างรัก 9 มกราคม พ.ศ.2564 ราคา 799 บาท โดยยังเหลือทริป Romantic พัทยา ล่องเรือยอชท์ จอดเรือรัก ราคา 2,888 บาท ซึ่งคงมีขายอยู่

ก็เรียกว่าโครงการนี้ดูจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนสำนักข่าว CNN ยังมีการการตั้งถามต่อท้ายว่า "หากคู่รักนัดพบรักกันระหว่างการเดินทางครั้งใดครั้งหนึ่ง ทางการท่องเที่ยวจะสนับสนุนฮันนีมูนในอนาคตของพวกเขาด้วยหรือไม่?"

แหม่!! อันนี้คงตอบยาก แต่เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนอยากให้มีภาคต่อ ซึ่งก็คงต้องตามดูกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของเป้าหมายนั้น คาดว่าโครงการเส้นทางคนโสด "Single Journey" จะทำให้เกิดการเดินทาง 7 ล้านคนต่อครั้ง ในช่วง 3 เดือนและเกิดเงินหมุนเวียนราว 100 ล้านบาทกันเลยทีเดียว


อ้างอิง: CNN

https://edition.cnn.com/travel/article/thailand-tinder-single-journey-intl-hnk/index.html

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือกับ Shopee จัดแคมเปญ "พาณิชย์ลดกระหน่ำ New Year Grand Sale 2021" จำหน่ายสินค้าของดีชุมชนบนแพลตฟอร์ม Shopee ในราคาพิเศษ

เพียงใช้ Code ‘MOC20’ เริ่ม 24 ธันวาคม 2563 - 1 มกราคม 2564 หวัง ! งานนี้ช่วยเงินหมุนเวียนในท้องถิ่นพร้อมลดรายจ่ายผู้บริโภค

วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้จับมือกับ Shopee ตลาดกลางออนไลน์ขนาดใหญ่ระดับโลก เปิดตัวแคมเปญ "พาณิชย์ลดกระหน่ำ New Year Grand Sale 2021" ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2563- 1 มกราคม 2564 สามารถเข้าเลือกซื้อสินค้าได้ที่ www.shopee.co.th/dbdonline หรือเลือกที่หัวข้อ All Campaigns ผ่านทางแอปพลิเคชั่น Shopee และยังสามารถกรอกรหัส "MOC20" เพื่อใช้เป็น Code ส่วนลดได้ถึง 20%"

วีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า "ตลอดปี 2563 ได้ดำเนินกิจกรรมในลักษณะนี้มาอย่างต่อเนื่องนับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยที่ผ่านมาได้ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการชุมชนที่ผ่านการคัดสรรและสินค้าชุมชนคุณภาพดีจากทั่วประเทศ ให้สามารถขยายช่องทางการขายสินค้าได้ จากเดิมที่ขายผ่านหน้าร้านหรือการออกบูทกิจกรรมต่างๆ ก็สามารถขยายเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ ซึ่งจะกลายเป็นประตูบานใหม่ของผู้ประกอบการชุมชนให้มีโอกาสจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น

ไม่ใช่เฉพาะแค่ในประเทศแต่อาจจะก้าวไปสู่ต่างประเทศได้ด้วย กิจกรรมพาณิชย์ลดกระหน่ำ New Year Grand Sale 2021 ได้รวบรวมสินค้าชุมชนมากกว่า 1,000 รายการ จาก 176 ร้านค้า ประกอบด้วยสินค้าหลากหลายประเภท อาทิ ขนมขบเคี้ยว เครื่องใช้ภายในบ้าน ความงาม ของใช้ส่วนตัว เครื่องประดับ และสินค้าแฟชั่น โดยการจัดกิจกรรมที่ผ่านมาพบว่า สินค้าชุมชนที่เป็นสินค้ายอดนิยมจากผู้บริโภคจะเป็นผลไม้แปรรูป เช่น กล้วยทอด ทุเรียนทอด เป็นต้น ซึ่งการจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ได้ช่วยสร้างยอดขายให้กับผู้ประกอบการชุมชน ได้อย่างเป็นรูปธรรม”

“ความร่วมมือระหว่างกรมฯ กับ Shopee ในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์ในหลายมิติทั้งด้านการสร้างโอกาสและผลักดันให้ผู้ประกอบการชุมชนสามารถขยายตลาดเข้าสู่ช่องทางการออนไลน์ได้ นำไปสู่พื้นฐานที่เข้มแข็ง ต่อยอดธุรกิจในอนาคต สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ถือเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้หมุนเวียน ในประเทศจะได้จับจ่ายสินค้าชุมชนในราคาที่ถูกลงโดยไม่ต้องเดินทางออกไปยังแหล่งผลิตทั่วประเทศ และยังเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ทุกคนกำลังมองหาของขวัญเพื่อนำไปมอบให้กับคนใกล้ชิดอยู่แล้ว

จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้บริโภค จะได้ซื้อสินค้าชุมชนออนไลน์ที่มีคุณภาพดีแบบพรีเมี่ยมจากผู้ประกอบการโดยตรงและง่ายขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์ของไทยไปสู่กลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงสร้างรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น และส่งผลดีไปยังหลายครอบครัวทำให้มีความอยู่ดีกินดีขึ้นตามมา"

"กระทรวงพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะสร้างผู้ประกอบการสินค้าชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาสินค้าและการตลาด พร้อมกับมองหาช่องทางการตลาดใหม่ ๆ เพื่อผลักดันผู้ประกอบการเติบโตขึ้นมากไปกว่านั้นจะเร่งขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนในส่วนต่าง ๆ มากขึ้น สร้างพลังในการขับเคลื่อนระหว่างผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่และเล็กให้เดินหน้าด้วยเทคโนโลยีไปพร้อมกัน

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะพัฒนาธุรกิจเข้าสู่ตลาดออนไลน์ สามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนนวัตกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สายด่วน 1570 โทรศัพท์หมายเลข 02-547-5961 และ www.dbd.go.th"

รายงานทางเศรษฐกิจของบลูมเบิร์ก ยกไทยขึ้นที่ 1 ตลาดเกิดใหม่น่าจับตามองด้านเศรษฐกิจ ที่อาจทำได้ดีเกินคาดในปี 2564

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์เศรษฐกิจของ 17 ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ปี 2564 โดยใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ข้อ ซึ่งในนั้นมีการจัดอันดับให้ ‘ประเทศไทย’ อยู่อันดับที่ 1

เนื่องจากไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง (8.2 ล้านล้านบาท) และมีโอกาสอย่างมากที่จะเกิดการไหลเข้าของเงินทุนที่มีศักยภาพสูง (Portfolio inflows) ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบหุ้น ตราสารหนี้ และตราสารทางการเงินอื่นๆ

แม้จะมีข้อมูลตารางชี้ชัดของไทยถึงอันดับที่ไม่ดีนักในเรื่องของการล็อกดาวน์ ที่อาจส่งผลต่อความคล่องตัวต่างๆ รวมถึงการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่แย่ที่สุด (3.9%) รวมถึงสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ค่อนข้างสูง (41%) เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่นำมาจัดอันดับ แต่ก็เป็นส่วนที่ต้องคอยจับตาดูเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงเท่านั้น

ขณะที่รัสเซีย ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่แม้จะมีสัดส่วนหนี้ต่ำมาก แต่อัตราการเติบโตของ GDP นั้นแย่กว่าไทยเล็กน้อย ส่วนอันดับ 3 ร่วมคือเกาหลีใต้และไต้หวัน

ส่วนอันดับรองสุดท้ายบราซิล ที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงที่สุด (89%) และอันดับสุดท้ายคือจีน โดยให้เหตุผลว่า ได้รับการคาดหวังที่สูงมากอยู่แล้ว

ส่วนความกังวลอีกเรื่องคือการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ที่หลายประเทศอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังในด้านการกระจายวัคซีน และหลายประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หรือที่ก่อนหน้านี้เรียกว่าตลาดกำลังพัฒนา ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงโควิด-19 ระบาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะไทยที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมาก

รายงานของบลูมเบิร์กฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยนำตัวชี้วัดต่างๆ ของ 17 ประเทศมาวิเคราะห์ถึงการเติบโตในปีหน้า โดยตัวชี้วัดเหล่านั้นได้มาจากทั้งการคำนวณของบลูมเบิร์กเอง รวมถึงองค์กรระดับนานาชาติอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และบริษัทเอกชนอย่าง Goldman Sachs และ Barclays ซึ่งท้ายรายงานระบุว่า เป็นความเห็นจากนักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กที่พิจารณาจากปัจจัยที่นำมาคำนวณเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่จำนวนมากมีแนวโน้มที่จะชดเชยความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย ที่สามารถป้องกันแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกได้ดี ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ

ดังนั้น มูลค่าตลาดและผลตอบแทนที่แท้จริงของตลาดเกิดใหม่ จึงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และจะเป็นตัวช่วยในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี


ที่มา : https://www.bloomberg.com/graphics/2020-emerging-markets-recovery-ranking

วายแอลจี ชี้ราคาทองคำยังไปต่อ หลังเฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0-0.25% พร้อมส่งสัญญาณตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำยาวต่อเนื่องถึงปี 2566 หนุนราคาทองคำพุ่ง

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.00 – 0.25% ในการประชุมประจำเดือน ธ.ค.

พร้อมทั้งยืนยันการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มหากมีความจำเป็น เพราะถึงแม้ว่าวัคซีนต้านโควิด-19 จะเป็นปัจจัยบวกแต่ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะยอดผู้ติดเชื้อยังพุ่งขึ้น ทำให้ยังไม่สามารถคาดการณ์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ในขณะนี้ ซึ่งผลของการประกาศนโยบายดังกล่าวส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ เฟดยัง ส่งสัญญาณว่าจะยังคงใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ไปจนถึงปี 2566 เนื่องจากเฟดยังคงต้องใช้เครื่องมือสนับสนุนเศรษฐกิจให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งตราบใดที่ทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำก็จะยังคงทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทองคำ อีกทั้งการที่เฟดมีนโยบายยังคงซื้อสินทรัพย์ (QE) อย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนจนกว่าจะมีความคืบหน้าอย่างมากไปสู่การบรรลุเป้าหมายการจ้างงานเต็มประสิทธิภาพและเสถียรภาพด้านราคา ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลให้มีเงินไหลเข้าตลาดทองคำเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมารับข่าวการประชุมของเฟดนั้น มองว่าในระยะสั้นราคามีทิศทางค่อยๆปรับตัวขึ้น แต่ยังต้องระวังแรงขายที่อาจสลับออกมาเป็นระยะ แต่ภาพในระยะยาวมองว่ายังคงเป็นขาขึ้นอยู่ตราบใดที่ราคายังคงสามารถทรงตัวเหนือระดับแนวรับสำคัญบริเวณ 1,750-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ส่วนนักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำหาจังหวะซื้อหากราคาไม่หลุดบริเวณ 1,839 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อหวังขายทำกำไรบางส่วนเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,887-1,899 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ทั้งนี้ ในส่วนของราคาทองคำในรูปเงินบาทนั้น ปัจจุบันถือว่าได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นน้อยกว่าราคาทองคำในตลาดโลก ดังนั้น นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนทองคำในตลาด TFEX ผ่านการลงทุนโกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์ส(Gold Online Futures) ที่เป็นการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐ กับ บ.วายแอลจี ฟิวเจอร์ส เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าเงินบาทได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนการลงทุน

ถ้าจะพัฒนาอุตสาหกรรมใน EEC ได้แบบเต็มกำลัง การเสริมพลังด้วยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเครือข่าย 5G แบบเต็มรูปแบบ คงเป็นเรื่องที่ต้องบิวท์ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ กพอ.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานผลักดันการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงข่าย 5G ให้เกิดการลงทุนพัฒนาระบบ 5จี ในพื้นที่ EEC ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน

และหน่วยงานภาครัฐใช้เทคโนโลยี 5G ในโรงงานทั้งหมดในพื้นที่เขตส่งเสริม EEC ประมาณ 10,000 แห่ง โรงแรมทั้งหมดใน EEC ประมาณ 300 แห่ง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย กลุ่มเอสเอ็มอี

โดยทำโครงการนำร่องพัฒนาระบบ 5G เริ่มตั้งแต่ บริเวณฐานทัพเรือสัตหีบเสริมความมั่นคง สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน เสริมโครงสร้างพื้นฐาน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเสริมประสิทธิภาพอุตสาหกรรม และอำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อให้ชุมชนได้เริ่มทดลองใช้ระบบ 5G

พร้อมเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูล ผลักดันให้ภาคเอกชนและภาครัฐ จัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ในพื้นที่ EEC โดยให้ EECd เป็นจุดติดตั้งศูนย์ข้อมูล (ดาต้า เซ็นเตอร์) พร้อมออกแนวทางและปรับข้อกฎหมายเพื่อนำข้อมูลคลาวด์ภาครัฐ และคลาวด์ภาคเอกชน

เฉพาะข้อมูลที่เปิดเผยได้มาจัดทำข้อมูลกลางเพื่อธุรกิจในอนาคต หรือ คอมมอน ดาต้า เลค เพื่อให้ภาคธุรกิจ และกลุ่มสตาร์ทอัพ นำข้อมูลนี้ไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจ เช่น สร้างอี-คอมเมิร์ซ การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการแพทย์ และพัฒนาบุคลากรดิจิทัล โดยเน้นผลิตบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการของเอกชน 100,000 คน

อีกทั้งยังรับทราบการขอรับส่งเสริมการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในช่วง 11 เดือน (ม.ค.- พ.ย. 2563) มีทั้งสิ้น 387 โครงการ มูลค่าลงทุนสูงถึง 1.28 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ 76,000 ล้านบาท

ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี ส่วนในปี 64 คาดว่า ภาพรวมจะมีเงินลงทุนเข้ามาใน EEC ประมาณ 4 แสนล้านบาท ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1 แสนล้านบาท และการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายอีก 3 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเริ่มลงทุนมากในปีหน้า หลังชะลอการลงทุนในปีนี้เพราะเกิดโควิด-19 ระบาด

ถึงแม้ตอนนี้ธุรกิจไทยจะแสดงออกถึงความตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมในระดับหนึ่ง แต่จากผลสำรวจของ ‘ไมโครซอฟท์’ กลับพบว่าธุรกิจไทยต้องเร่งเครื่องให้มากกว่าเดิม เพราะรายได้ด้านดิจิทัลของธุรกิจไทยยังตามหลังประเทศผู้นำในภูมิภาคนี้อยู่พอควร

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยจากผลสำรวจ เรื่อง ‘วัฒนธรรมนวัตกรรม-รากฐานสู่การปรับตัวและฟื้นฟูของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก’ พบว่า ขณะนี้ภาคธุรกิจไทยได้แสดงออกถึงความตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เหตุผลเพราะมีผลสำรวจที่ระบุว่าธุรกิจไทยจะมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลอยู่ที่ 48% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเทียบเท่ากับสัดส่วนรายได้ในปัจจุบันขององค์กรชั้นนำในเอเชียแปซิฟิกนั้น เท่ากับว่าองค์กรไทยในภาพรวมยังตามหลังผู้นำของภูมิภาคนี้อยู่ 3 ปีเต็มนั่นเอง

ธนวัฒน์ เผยอีกว่า “ปัจจุบันนวัตกรรมไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกของธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกองค์กรขาดไม่ได้ โดยสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ทั่วโลกได้กลายเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจต้องหันมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จากเดิมอาจต้องใช้เวลาหลายปี ให้เสร็จสิ้นและพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ภาคธุรกิจไทยเองได้แสดงออกถึงความตื่นตัวในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

“สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้ภาคธุรกิจไทยเร่งยกระดับการสร้างสรรค์นวัตกรรมภายในองค์กรขึ้น 12% พร้อมวางแผนชัดเจนสำหรับการลงทุนพัฒนาศักยภาพในปีหน้า โดยกว่า 72% ขององค์กรไทยที่เข้าร่วมการสำรวจ มองว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการฟื้นฟูธุรกิจให้เปลี่ยนแปลง ปรับตัว และกลับมาเติบโตอีกครั้ง ท่ามกลางผลกระทบและแรงกดดันจากการระบาดของโควิด-19 โดยทัศนคติเกี่ยวกับนวัตกรรมในภาคธุรกิจไทยยังคงตามหลังมุมมองขององค์กรระดับแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่กว่า 98% เชื่อว่านวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญในการฝ่าสถานการณ์วิกฤต”

รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกาศดีเดย์ 7 มกราคม 64 จดทะเบียนควบรวม TOT-CAT เป็น บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติหรือ NT ชี้ควบรวมช่วยลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในการดำเนินการควบรวมกิจการระหว่างบมจ. ทีโอที (TOT) และ บมจ. กสท โทรคมนาคม (CAT) เป็น บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecom Public Company Limited :NT)

โดยมีกำหนดวันจดทะเบียนในวันที่ 7 มกราคม 2564 ซึ่งภายหลังการควบรวมสำเร็จ จะส่งผลให้ NT มีโครงสร้างพื้นฐานครบวงจรมากที่สุด

การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะส่งผลทำให้ NT มีโครงข่ายครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดมีคลื่นความถี่โทรศัพท์ ครบทุกระยะ และคุณภาพการใช้งานที่ดีที่สุด ทำให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการให้บริการ ทั้งลูกค้าภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกพื้นที่สำหรับลูกค้าภาครัฐจะได้รับบริการโครงข่ายที่มีความแข็งแกร่งเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่ Thailand 4.0

และยังสามารถช่วยส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ลูกค้าเอกชนทั้งรายใหญ่และ SME ส่วนประชาชนทั่วไปจะได้รับบริการโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศเพื่อเข้าถึงโลกดิจิทัล ซึ่งหลังการควบรวม NTจะ มีทรัพยากรโครงข่ายที่เพียบพร้อมสำหรับนำไปต่อยอดมีเสาโทรคมนาคม เคเบิลใต้น้ำ คลื่นความถี่ ท่อร้อยสายใต้ดิน, Fiber Optic, Data center และระบบโทรศัพท์ที่มากขึ้น

“NT จะกลายเป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่มีศักยภาพในการให้บริการโดยเฉพาะเรื่อง 5G และดาวเทียม ทั้งการนำเอาดิจิทัลมาให้บริการภาคการสาธารณสุข การเกษตร และคมนาคม โดย NT จะเป็นผู้รวบรวมบิ๊กดาต้าผ่าน 5G ที่ประมูลได้ ซึ่งจะเริ่มนำมาให้บริการภาคสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ”

ด้าน พันเอกสรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ CAT เปิดเผยว่า การร่วมมือกันของ 2 หน่วยงานนั้น เพื่อพัฒนาบริการที่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการควบรวมกิจการฯ ไปสู่การเป็น NT ด้วยจุดแข็งของ CAT ในเรื่องโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำและภาคพื้นดิน จะสนับสนุนการให้บริการด้านโทรคมนาคมและดิจิทัลร่วมกันของทั้งสองหน่วยงานมีเสถียรภาพมากขึ้น

ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาดิจิทัลโซลูชันที่หลากหลายมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีบนโลกออนไลน์ทั้งในภาคธุรกิจและภาคประชาชน

ขณะที่ นายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท TOT มั่นใจว่า เมื่อควบรวมทั้ง 2 องค์กรแล้ว NT จะเป็นกลไกของรัฐที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศและประชาชนสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเข็มแข็ง

ซึ่งทีโอที พร้อมที่จะนำทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นระบบสื่อสัญญาณโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมและดิจิทัล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการที่มีความชำนาญในการให้บริการซึ่งมีอยู่ครอบคลุมทั่วประเทศ ตอบสนองความต้องการใช้บริการสื่อสารโทรคมนาคมในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้คนไทยได้ใช้โทรคมนาคมด้านดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

ทีมคนละครึ่งอัพเดทตัวเลขโครงการล่าสุด ยอดร้านค้าพุ่งแตะล้าน สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 45,000 ล้านบาท เป็นการการันตีได้ถึงนโยบายภาครัฐชิ้นเอกที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก

จากเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Chao Jiranuntarat’ หรือ สมคิด จิรานันตรัตน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในทีมดูแลระบบการลงทะเบียนให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการ เช่น เราไม่ทิ้งกัน, วอลเล็ต สบม. รวมทั้งโครงการคนละครึ่ง ได้มีการอัพเดทตัวเลขของโครงการนี้ ไว้ว่า…

คนละครึ่งจนถึง 17/12/20มียอดการลงทะเบียนร้านค้าเกินกว่า 1 ล้านร้านค้า และมีการใช้จ่ายไปแล้วกว่า 45,000 ล้านบาท เป็นจำนวนกว่า 260 ล้านรายการ

ทั้งนี้กลุ่มที่ใช้คนละครึ่งแบ่งออกได้ตามอายุ ดังนี้

- 18-21 ปี = 8%

- 22-30 ปี = 22%

- 31-45 ปี = 40% (ใช้จ่ายมากที่สุด)

- 46-60 ปี = 23%

- 61-80 ปี = 7%

โดยจังหวัดที่มีการใช้งานสูงสุด 10 อันดับแรกได้แก่

1.กรุงเทพมหานคร

2.สงขลา

3.นนทบุรี

4.สมุทรปราการ

5.ชลบุรี

6.เชียงใหม่

7.ปทุมธานี

8.สุราษฎร์ธานี

9.นครศรีธรรมราช

10.ภูเก็ต

เป็นโครงการที่มีการกระจายรายได้สู่ร้านค้าเล็กๆ ทั่วประเทศ และก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

ออโรร่า วิสดอม ดึงนักลงทุนต่างชาติ ร่วมลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตถุงมือยางเพื่อส่งออก เผยอีก 3 ปี เตรียมลงทุนเพิ่มกว่า 15,000 ล้านบาท

ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ออโรร่า วิสดอม จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ร่วมกับนักลงทุนต่างชาติจากจีน และมาเลเซีย ด้วยสัดส่วนนักลงทุนในประเทศไทย 51% และต่างชาติ 49% ในการเปิดตัวโรงงานผลิตถุงมือยางเพื่อการส่งออกด้วยผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง 2 ประเภท 2 แบรนด์ ที่แตกต่างกันตามการใช้งานและประเภทของวัตถุดิบหลัก

ได้แก่ แบรนด์ออโรร่า (AURORA) เป็นผลิตภัณฑ์ถุงมือยางที่ใช้ทั่วไป (Non-medical gloves) และแบรนด์ด็อกเตอร์วีไอพี (DOCTOR VIP) เป็นผลิตภัณฑ์ ถุงมือทางการแพทย์ ซึ่งเป็นถุงมือไนไตร (Nitrile gloves) ด้วยมาตรฐานที่ใช้ในโรงพยาบาลและสถานบริการด้านสุขภาพ

ในระยะเริ่มต้น บริษัทฯจะลงทุนที่ 8 สายการผลิต งบประมาณรวมทั้งค่าที่ดิน และค่าก่อสร้างที่ 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่รวม 111 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่โรงงานผลิตถุงมือยางในไตร และพื้นที่สนับสนุน 70% เป็นพื้นที่โรงไฟฟ้าชีวมวล 20% และเป็นพื้นที่จัดเก็บน้ำขนาด 16 ไร่คิดเป็น 10% ของพื้นที่ทั้งหมด และจะทยอยขยายสายการผลิตจนครบ 80 สายการผลิต ใช้เงินลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท

ซึ่งในระยะแรกบริษัทฯ มีกำลังการผลิตในประเทศไทย และกำลังการผลิตจากโรงงานในประเทศจีนที่รองรับความต้องการได้ที่ 3 ล้านกล่องต่อเดือน และจะทยอยเติบโตไปสูงสุดที่ 80 ล้านกล่องต่อเดือน ภายในระยะเวลา 3 ปี

“ปัจจุบัน บริษัทฯมีสาขาอยู่ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน คือ บริษัท ออโรร่าวิสดอม ไชน่า และมีสาขาในทวีปยุโรป ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก คือ บริษัท ออโรร่า วิสดอม เดนมาร์ก และกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาจัดตั้งตัวแทนใน ฮ่องกง กัมพูชา และลาวตาม ลำดับ พร้อมทั้งยังพิจารณาที่จะนำสินค้าไปจำหน่ายผ่าน Marketing Platform อื่นๆ ต่อไปอีกด้วย”

สำหรับ โรงงานของบริษัท ออโรร่า วิสดอม ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นโรงงานแห่งแรกที่เปิดสายการผลิตถุงมือ ร่วมกับโรงไฟฟ้าแบบชีวมวลขนาด 8 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ทั้งหมด 111 ไร่ ควบคู่กันไป เพื่อเดินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีการใช้ทรัพยากรแบบหมุนเวียน และมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ตามแบบโรงงานสีเขียว

มีการหมุนเวียนทรัพยากรน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตและการนำวัตถุดิบที่เหลือจากเกษตรกรในท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งผลผลิตทั้งจากโรงงานถุงมือและโรงไฟฟ้าชีวมวล จะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนขยายการผลิตถุงมือทางการแพทย์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ เช่น ถุงมือทางการแพทย์สำหรับแพทย์เฉพาะทาง เช่น ศัลยแพทย์กระดูก สูติแพทย์ ถุงมือสำหรับการผ่าตัดส่องกล้อง และการจัดตั้งสายการผลิตถุงมือทางการแพทย์แบบปลอดเชื้อ (sterile gloves) เป็นต้น

ซูกซ์ (Zoox) บริษัทใต้ร่วมเงาของ อะเมซอน (Amazon) ยักษ์ค้าปลีกออนไลน์แห่งสหรัฐอเมริกาของ เจฟฟ์ เบโซส์ ได้เปิดตัวรถแท็กซี่ขับเคลื่อนตัวเองอัตโนมัติหรือที่เรียกกันว่าโรโบแท็กซี่ (Robotaxi) รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นของตัวเอง

ความพิเศษของ โรโบแท็กซี่ จาก Zoox นั้น อยู่ที่พลังขับเคลื่อนไฟฟ้า 4 ล้อ ที่สามารถขับขี่ได้ด้วยตัวเองแบบ ‘อัตโนมัติแบบไร้คนขับ’ ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทกำลังทดสอบรถดังกล่าวที่เป็นต้นแบบในแคลิฟอร์เนีย และเนวาดา

Zoox นั้นเป็นบริษัทพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองที่ Amazon เพิ่งซื้อกิจการมาในเดือนมิถุนายน 2020 รถไฟฟ้าของ Zoox สามารถวิ่งได้ทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว เบื้องต้นบริษัทตั้งชื่อรถอัจฉริยะนี้ว่า Zoox ตามชื่อของบริษัทที่มีอายุเกิน 6 ปีแล้วในวันนี้

รถ Zoox ใช้รูปแบบ Carriage ทรงรถม้า ตัวรถสามารถขับเคลื่อนตัวเองได้แบบอิสระ รองรับผู้โดยสารได้ 4 คน สีเบื้องต้นของรถคือสีเขียวมินต์ ตัวรถกะทัดรัดด้วยความยาว 3.63 เมตร สามารถเคลื่อนไหวแบบ bidirectional สองทิศทาง มาพร้อมกับชุดแบตเตอรี่ 2 ก้อนที่ให้พลังงานเพียงพอสำหรับรถวิ่งเป็นเวลา 16 ชั่วโมงก่อนการชาร์จครั้งต่อไป

ภายในรถ Zoox มีม้านั่งสองแถว ตัวรถไม่มีพวงมาลัย สามารถแล่นด้วยความเร็วสูงสุด 75 ไมล์ต่อชั่วโมง ระหว่างเดินทางผู้โดยสารสามารถชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายได้ รวมถึงฟังเพลงผ่านแผงควบคุมส่วนตัวที่สามารถตั้งค่าเพลงและเครื่องปรับอากาศในรถ

ตามข้อมูลจากบริษัท รถ Zoox ยังมีหน้าจอสัมผัสติดไว้ประจำแต่ละที่นั่ง เพื่อให้ผู้โดยสารตรวจสอบเวลาที่มาถึง สถานที่ปลายทาง และเส้นทางที่เดินทางได้แบบปลอดภัย จุดนี้ Zoox ย้ำว่ารถอัจฉริยะสามารถจัดการกับความท้าทายบนท้องถนนที่หลากหลาย เช่น การหลบเบี่ยงรถที่จอดริมทาง การชะลอเพื่อผ่านทางแคบ รวมถึงการยูเทิร์นที่ไม่ปกติ

ปัจจุบัน Zoox ระบุว่า กำลังทดสอบรถต้นแบบในซานฟรานซิสโกและฟอสเตอร์ซิตีในรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงในลาสเวกัส รัฐเนวาดาด้วย เป็นการทดสอบแบบไร้คนขับที่รถขับเคลื่อนตัวเองเต็มรูปแบบ เบื้องต้น ยังไม่มีการเปิดเผยกำหนดการทำตลาดเชิงพาณิชย์ในขณะนี้

แต่ทว่าการเปิดตัวดังกล่าว ก็ยังถือว่าล่าช้ากว่าในเมืองจีนที่เริ่มมีการทดลองให้บริการโรโบแท็กซี่ไปแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 โดยบริษัท AutoXเป็นรายแรกที่นำเอารถแท็กซี่ไร้คนขับแบบสมบูรณ์ลงสู่ท้องถนนของประเทศในเมืองเซินเจิ้น

รับชมเพิ่มเติม: https://www.youtube.com/watch?v=3r7PEl0tMSk&feature=emb_logo


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top