Wednesday, 4 December 2024
Econbiz

‘ประเสริฐ’ เดินหน้าปั้นแพลตฟอร์ม Learn to Earn เรียนรู้มีรายได้ เตรียมจัดประชุมรมต.ดิจิทัลอาเซียน - เร่งจัดทำกรอบความร่วมมือ AI ในภูมิภาค

เมื่อวันที่ (11 พ.ย. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 4 /2567 โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวง ดีอี พร้อมด้วยนายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ตลอดจนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุม ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รองประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ กล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบอนุมัติโครงการสำคัญ อาทิ การพัฒนาแพลตฟอร์มภาครัฐเพื่อรองรับการพัฒนาทักษะดิจิทัลเรียนรู้มีรายได้ เรียนรู้ง่ายตลอดชีวิต ผ่านรูปแบบ Learn to Earn ซึ่งเป็นการออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศ สามารถรองรับได้กว่า 20 ล้านผู้ใช้งาน พร้อมทั้งการจัดเก็บข้อมูลการฝึกอบรมในรูปแบบการสะสมหน่วยการเรียนรู้  หรือธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) และโครงการจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล (ADGMIN) ครั้งที่ 5 ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ โดยการประชุมนี้จะจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนตามแผนแม่บท ASEANDigital Masterplan 2025 (ADM 2025) การประชุมจะเป็นเวทีสำคัญในการกำหนดทิศทางพัฒนาการด้านดิจิทัลในภูมิภาคและมีผู้เข้าร่วมประมาณ300 คน  

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้อนุมัติเงินสำหรับโครงการพัฒนากรอบแนวทางการเปลี่ยนผ่านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของอาเซียนเพื่อพัฒนากรอบทักษะความเข้าใจและใช้ปัญญาประดิษฐ์ในโครงการพัฒนาแห่งอนาคตภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งในอนาคต AI จะมีบทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่ง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในแข่งขันให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ แต่ยังเป็นโอกาสกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีดิจิทัล

และที่ประชุมยังได้อนุมัติเงินสำหรับการจัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประจำหมู่บ้าน จำนวน 24,654 แห่งรวมทั้ง โครงการศึกษา รูปแบบธุรกิจของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมภายใต้หลักการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ที่เหมาะสม และแนวทางการบริหารจัดการโครงข่ายการให้บริการอินเทอร์เน็ต (Free Wi-Fi) อีกด้วย

ขณะที่ นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า ที่ประชุมอนุญาต การขยายผลโครงการที่ได้การสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยการให้ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของโครงการดังกล่าวที่มี  20 บริการเพื่อการบริการภาครัฐ เช่น ระบบการรับรองมาตรฐาน GAP ประมง การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการด้านประมง การจดทะเบียนผู้ส่งออกผักและผลไม้ไปต่างประเทศ การขึ้นทะเบียนโรงงานผลิตสินค้าพืช เป็นต้น รวมถึงระบบ e-Service การบริหารจัดการสัตว์ป่าควบคุม และบริการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไข การใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลต่อไป และ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง การบริหารจัดการสัญญา เพื่อความสะดวกคล่องตัวในการบริหารกองทุนฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ต่างชาติ แห่ลงทุน Data Center ปีนี้กว่า 1.7 แสนล้าน หนุนไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน

(14 พ.ย. 67) ‘รองโฆษกรัฐบาล’ เผย ต่างชาติเชื่อมั่น ลงทุนในกิจการ Data Center ในประเทศไทยต่อเนื่อง ล่าสุด BOI ไฟเขียว 2 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท รวมทั้งปี 47 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 1.73 แสนล้านบาท

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 67 เวลา 9.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเป็นเป้าหมายและยุทธศาสตร์สำคัญด้านการลงทุน Data Center และ Cloud Service อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)  พบว่าในรอบปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนยื่นขอรับการส่งเสริมฯ ในกิจการ Data Center และ Cloud Service รวม 47 โครงการ มูลค่าลงทุนกว่า 173,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนจากบริษัทรายใหญ่ทั้งสัญชาติอเมริกัน ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย 

จากข้อมูลล่าสุด BOI อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการ Data Center 2 โครงการใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วย บริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด ในเครือ Alphabet Inc. (สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google มูลค่าลงทุน 32,760 ล้านบาท เป็นการลงทุนตามแผนธุรกิจที่ Google ได้ประกาศระหว่างการพบนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ว่าจะสร้าง Data Center และ Cloud Region แห่งใหม่ ในประเทศไทย ด้วยมูลค่าเงินลงทุนเฟสแรก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะเป็นศูนย์ Data Center แห่งที่ 5 ในเอเชียของ Google ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2570

และโครงการ Data Center ของบริษัท ดิจิทัลแลนด์ เซอร์วิสเซส ในเครือ GDS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Data Center ชั้นนำระดับโลก ที่ให้บริการทั้งในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมูลค่าลงทุน 28,000 ล้านบาท โดยโครงการใหม่ในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี มีแผนเปิดให้บริการในปี 2569

นางสาวศศิกานต์กล่าวว่า จากนโยบายเชิงรุกของรัฐบาล ที่ส่งเสริมด้าน Cloud First Policy ช่วยกระตุ้นให้ภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ใช้เทคโนโลยี Cloud ส่งผลให้ตลาด Data Center ในไทยขยายตัวมากขึ้น ตอกย้ำการพัฒนาก้าวสู่รัฐบาลดิจิทัล อีกทั้งจากผลประโยชน์จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและเสริมความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศไทย และเป็นการเปิดโอกาสให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มเม็ดเงินในหลายมิติ ทั้งภาคการผลิต การค้า และการท่องเที่ยว อีกทั้งยังช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Digital Innovation Hub ของภูมิภาคอาเซียนด้วย

‘พิชัย’ จ่อเสนอจ่าย ‘เงินหมื่น’ เฟส 2 ‘คนอายุ 60 ปีขึ้นไป’ หลัง ‘ทักษิณ’ เปรยบนเวทีปราศรัยอุดรฯ ยันไม่ทับสิทธิเฟสแรก

‘พิชัย’ จ่อเสนอบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ จ่าย ‘เงินหมื่น’ เฟส 2 ‘คนอายุ 60 ปีขึ้นไป’ หลัง ‘ทักษิณ’ เปรยบนเวทีปราศรัยอุดรฯ ชี้ใช้งบไม่มาก ยืนยันไม่ทับสิทธิกลุ่มเปราะบางเฟสแรก รับมีเฟส 2-3

(14 พ.ย. 67) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นปราศรัย เวทีนายก อบจ.อุดรธานี ที่เปรยว่า ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับเงินหมื่นเร็ว ๆ นี้ว่า เฟสที่ 1 รัฐบาลให้เป็นเงินสด สำหรับกลุ่มเปราะบาง และผู้พิการ ซึ่งหลังจากนี้จะพิจารณาจากกลุ่มที่มีปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งมีจำนวนไม่มาก โดยจะคัดบุคคลที่เร่งด่วนก่อน หากทำได้ก็จะจ่ายให้กับบุคคลเหล่านี้ก่อนที่จะพิจารณาการจ่ายเงินในเฟสต่อไป โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้นำหลักการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

นายพิชัยระบุว่า วิธีทำไม่ยาก ยืนยันว่าสิทธิของกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มเปราะบาง

ส่วนงบประมาณนั้น นายพิชัย ระบุว่า ในกลุ่มนี้มีไม่กี่ล้านคน

ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่าจะมีการ จ่ายเงิน 10,000 บาท ในเฟส 2 และเฟส 3 ใช่หรือไม่ นายพิชัยยอมรับว่า ใช่ เพราะต้องมีการพิจารณาตามความเหมาะสม ความจำเป็น และรูปแบบ 

นายพิชัยกล่าวว่า แน่นอนว่าดิจิทัลกับการจ่ายเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบาง เป็นการช่วยเหลือ 2 ทางคือ 1.เพื่อให้ประชาชนสามารถมีช่องทางการติดต่อกับรัฐบาลได้อย่างถาวร ซึ่งโปรแกรม และแพลตฟอร์ม ดังกล่าวต้องค่อยๆ ทำ พัฒนาไปเรื่อย ๆ และ 2.เมื่อประชาชนคุ้นชินกับการใช้ดิจิทัลแล้ว จะเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนเรื่องที่จะใช้เครื่องมือตัวไหน แอปพลิเคชัน เช่น “เป๋าตังค์” ก็ถือว่า เป็นเพียงเครื่องมือ แต่สิ่งที่จะมีประสิทธิภาพ แล้วจำเป็นมากที่สุดคือ แพลตฟอร์มของรัฐ

ในช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวยังถามถึงคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ในการตั้งบอร์ดแบงก์ชาติได้รายงานผลการคัดเลือกประธานฯ มาหรือยัง นายพิชัย ระบุเพียงว่า “ยังไม่ทราบ ทราบแค่จากนักข่าว”

ปตท. ประกาศผล การประกวด Spark the Local 2024 by PTT ทีม นิสิตจุฬาฯ ‘Samui Sigma’ คว้าแชมป์จากไอศกรีมกะทิพรีเมียม แห่งเกาะสมุย

กว่า 5 เดือนกับการเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ ที่มีใจรักในการพัฒนาสินค้าชุมชน ประเภทอาหารแปรรูป กับการประกวด Spark the Local 2024 by PTT ปั้นให้ปัง...จุดพลังให้สินค้าชุมชน ภายใต้ธีม 'ปรับปรุง แปลงโฉม ปั้นแบรนด์' มีผลงานส่งเข้าร่วมการประกวดกว่า 300 ผลงาน และได้มีการคัดเลือกอย่างเข้มข้นจนเหลือ 5 ทีมสุดท้าย ที่ได้มาจัดแสดงผลิตภัณฑ์และนำเสนอต่อหน้าคณะกรรมการในงานร้านเด็ดแฟร์ 6 ณ สยามสแควร์ เมื่อวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2567  

ในการแข่งขันรอบ Final ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสินค้าชุมชน ได้แก่ คุณวรุตม์สุรางค์ ธรรมอารี ผู้จัดการฝ่ายกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อาจารย์ขาบ - สุทธิพงษ์ สุริยะ Food Stylist ผู้ออกแบบแนวคิด “นำ Local สู่ เลอค่า” คุณตั้ม -  นิพนธ์ พิลา เกษตรกรดีไซเนอร์ ผู้ก่อตั้งวิสาหกิจชุมชนพิลาฟาร์มสตูดิโอ คุณมยุรา ปรารถนาเปลี่ยน ผู้จัดการแผนกออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ สถาบันอาหาร และ คุณซ้อบรีม - ศิริพร มัจฉิม ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดใน TikTok ที่มีผู้ติดตามกว่า 1.2 ล้าน  

ผลการประกวด ปรากฏว่า ทีม Samui Sigma นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัล 100,000 บาท โดยได้เลือกเอาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมกะทิ จากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์มะพร้าวสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาปรับปรุงเป็นไอศกรีมกะทิพรีเมียมแบบถ้วย ภายใต้ชื่อแบรนด์ Creamui ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเกาะสมุย หรือ อัญมณีอ่าวไทย  

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 - ทีม KOS นักศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังรับเงินรางวัล 70,000 บาท โดยได้เลือกพัฒนาผลิตภัณฑ์ คอมบูชาจากใบขลู่ จากวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ควนเนียงสวนลุงจิม จังหวัดสงขลา  

รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 - ทีม NAGOYASH นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น รับเงินรางวัล 50,000 บาท โดยได้เลือกพัฒนาผลิตภัณฑ์ POP RICE ขนมข้าวพองอบกรอบ แบรนด์ นาโกย๊าช จากวิสาหกิจชุมชนกลุ่มข้าวอินทรีย์เป็นสุขนาโก จังหวัดกาฬสินธุ์  

รางวัลชมเชย รับเงินรางวัลทีมละ 10,000 บาท  ได้แก่ ทีม สาธุ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชาหน่อกะลาปรุงสำเร็จ แบรนด์ Koh Chá จากวิสาหกิจชุมชนชาวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และ ทีม หมายจันทร์ นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ กัมมี่มะปี๊ด แบรนด์ CHAMY จาก วิสาหกิจชุมชนสภากาแฟฅนจันทบูร จังหวัดจันทบุรี (แบรนด์ Rabbit Chan)  

ขอแสดงความยินดีกับทุกทีมอีกครั้ง ทั้งหมดนี้คือพลังของคนรุ่นใหม่ ที่จะช่วยขับเคลื่อนและเป็นพลังใหักับชุมชน โดย ปตท. พร้อมที่จะเป็นอีกแรงสนับสนุนเพื่อร่วมสร้างสังคมไทยที่แข็งแรงและยั่งยืนตลอดไป  

นายกฯ อิ๊งค์ หารือ บิ๊ก Google ขอบคุณทุ่ม 3.5 หมื่นล้านลงทุนในไทย

(15 พ.ย. 67)นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมกับนายมาริส เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากบริษัท Google, TikTok และ Microsoft ในสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างไทยกับบริษัทเหล่านี้

ระหว่างการหารือกับนาย Karan Bhatia รองประธานฝ่ายกิจการภาครัฐและนโยบายสาธารณะของ Google นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ Google ประกาศลงทุนมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไทยเพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Region ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานกว่า 14,000 ตำแหน่งในช่วงปี 2568 - 2572 และสร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2572 ไทยพร้อมร่วมมือกับ Google ในการพัฒนาทักษะเทคโนโลยีของแรงงาน ส่งเสริมการทำงานภาครัฐ การขับเคลื่อนนโยบาย Go Cloud First รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์และการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ โดยต่อยอดจากบันทึกความเข้าใจที่ Google ลงนามกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเมื่อปี 2566

การหารือครั้งนี้ยังติดตามผลจากการพบปะของนายกรัฐมนตรีกับนาง Ruth Porat ประธานและซีอีโอฝ่ายการลงทุนของ Alphabet และ Google ซึ่งได้เดินทางมาไทยเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 เพื่อหารือถึงความคืบหน้าโครงการลงทุนของบริษัทในไทยและความร่วมมือเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและดิจิทัลของไทย

นายกรัฐมนตรีได้พบกับนาย Shou Zi Chew ซีอีโอของ TikTok ซึ่งนายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมในความร่วมมือระหว่าง TikTok กับหน่วยงานไทยที่ช่วยเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยทั้งสองฝ่ายหารือถึงแนวทางการเพิ่มความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล รวมถึงการสนับสนุนโครงการ Data Center ของ TikTok ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในไทยกว่า 49 ล้านบัญชี

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนาย Antony Cook รองประธานฝ่ายกฎหมายลูกค้าและพันธมิตรของ Microsoft ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแผนความร่วมมือในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และ AI และโครงการพัฒนาทักษะ AI ให้แก่บุคลากรไทย ซึ่งสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมของแรงงานทักษะสูง รองรับเทคโนโลยีขั้นสูง สอดคล้องกับเป้าหมายของไทยในการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลในภูมิภาค

การหารือกับ Microsoft ครั้งนี้ยังเป็นการต่อยอดจากการเยือนไทยของนาย Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งประกาศแผนการจัดตั้ง Data Center แห่งแรกในไทย การสนับสนุนทักษะด้าน AI และการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยนำ Generative AI ของ Microsoft มาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

‘เอกนัฏ’ สั่งปูพรมลุยตรวจโรงงานต่อเนื่อง ย้ำ! หากพบคนทำผิดให้จัดการตาม กม.อย่างเด็ดขาด

(15 พ.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) บูรณาการร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ทั่วประเทศ เปิด 'ปฏิบัติการตรวจสุดซอย' ต่อเนื่อง ปูพรมตรวจกำกับดูแลโรงงานกลุ่มเสี่ยงสูงในพื้นที่เฝ้าระวัง เช่น จังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี นครราชสีมา เพชรบูรณ์ เป็นต้น รวมจำนวน 218 ราย โดยเฉพาะโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม หรือโรงงานลำดับที่ 101, 105 และ 106 ทั้งที่เป็นของเสียอันตรายและไม่เป็นของเสียอันตราย เช่น การคัดแยก หลุมฝังกลบ ทำเชื้อเพลิงผสม ทำเชื้อเพลิงทดแทนจากน้ำมันและตัวทำละลายใช้แล้ว สกัดแยกโลหะ ถอดแยกบดย่อยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลอมตะกรัน รีไซเคิลกรดด่าง เป็นต้น ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม และจะดำเนินการขยายผลปูพรมตรวจโรงงานทั่วประเทศ โดยให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัดตรวจสอบและวางแผนดำเนินการ คาดใช้เวลาภายในเวลา 2 เดือน หากพบโรงงานที่มีการกระทำผิดจะสั่งลงโทษเด็ดขาด

นายเอกนัฏฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้ให้นโยบายและสั่งการให้ กรอ. และ สอจ. ทั่วประเทศ ปรับกลไกการอนุมัติอนุญาตโรงงานทั้งระบบ โดยใช้แนวคิด 'เพิ่มแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการที่ดี' โดยการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่ดีในทุกช่องทาง ควบคู่ไปกับการขึ้นบัญชี Blacklist ผู้ประกอบการที่มีประวัติไม่ดีหรือมีความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อยกระดับการตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามโรงงานกลุ่มดังกล่าวอย่างเข้มข้น การปรับกลไกการอนุมัติอนุญาตโรงงานดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงป้องกันที่ต้นเหตุ อย่างไรก็ตาม การจะสู้กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบาย 'สู้ เซฟ สร้าง' นั้น การดำเนินการดังกล่าวอาจจะยังไม่เพียงพอ มีความจำเป็นต้องปฏิรูปการกำกับโรงงานทั้งระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ

“ผมได้กำชับเจ้าหน้าที่ กรอ. และ สอจ. ทั่วประเทศ ให้ตรวจสอบทุกโรงงานสุดซอยอย่างเข้มข้น พร้อมย้ำ! หากตรวจพบการประกอบการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้ดำเนินการสั่งการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดให้ถึงที่สุด โดยไม่ต้องเกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ๆ” รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ กล่าว

ด้านนายพรยศ กลั่นกรอง รักษาการอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ปฏิบัติการตรวจสุดซอย” เป็นปฏิบัติเชิงรุกในการตรวจสอบกำกับโรงงานเชิงลึกในทุกมิติ ทั้งด้านการติดตั้งเครื่องจักร กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีมาตรฐาน มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตอย่างครบถ้วน ด้านสิ่งแวดล้อม มีการติดตั้งระบบบำบัดมลพิษที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ด้านการบริหารจัดการสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรมต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ และด้านอาชีวอนามัย การปฏิบัติงานต้องมีความปลอดภัยของทั้งพนักงานและประชาชนโดยรอบโรงงาน อีกทั้ง การประกอบการต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายโรงงาน กฎหมายวัตถุอันตราย กฎหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบอย่างเต็มรูปแบบ เช่น ระบบตรวจกำกับดูแลสถานประกอบการ หรือระบบ i-Auditor ระบบห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ (E-Report) และระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษ (Pollution Online Monitoring System) เป็นต้น

“กรอ. พร้อมทำงานเป็นเนื้อเดียวกับ สอจ. ในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ รวมทั้งพร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อสู้กับผู้ประกอบการที่เย้ยกฎหมาย หากพบโรงงานทำผิดกฎหมาย จะดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด” นายพรยศฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘พีระพันธุ์’ เร่งเดินหน้ากฎหมายคุมราคาพลังงานไทย หมดยุคปรับราคาขึ้น - ลงรายวัน สร้างความเป็นธรรมทุกฝ่าย

วันที่ (14 พ.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันและก๊าซ  ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะสร้างประวัติการณ์ใหม่ในการกำกับดูแลราคาพลังงานเชื้อเพลิงของไทย และจะเป็นกลไกสำคัญในการ "รื้อ" ระบบกำหนดราคาน้ำมันให้มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะนำระบบ Cost Plus ซึ่งเป็นการคำนวณราคาน้ำมันตามต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่แท้จริง มาใช้แทนระบบอ้างอิงราคาน้ำมันต่างประเทศ ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรายวันอีกต่อไป

ภายใต้ระบบใหม่นี้จะมีการกำหนดราคามาตรฐานอ้างอิงเป็นราคากลางในแต่ละเดือนว่า ราคาน้ำมันเฉลี่ยแต่ละเดือนควรจะเป็นเท่าไร ถ้าหากผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงกว่าราคากลางที่กำหนด ก็ต้องมาพิสูจน์ว่ามีต้นทุนที่สูงขึ้นจริงเพราะอะไร จึงจะปรับราคาได้ และให้ปรับได้เดือนละครั้งไม่ใช่ปรับรายวัน โดยคิดเป็นราคาเฉลี่ยในระยะเวลาที่กำหนดแทนการปรับราคารายวัน

‘แพทองธาร’ ร่วมเวที ที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค!! ย้ำ!! สนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน สู่เศรษฐกิจดิจิทัล

(16 พ.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค ในช่วงอาหารกลางวัน (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders) โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ ‘ประชาชน ภาคธุรกิจ และความรุ่งเรือง’ (People. Business. Prosperity.)ว่า ยินดีที่ได้มาร่วมกับสมาชิกสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) ซึ่งหัวข้อของการประชุมของ ABAC ในปีนี้สอดคล้องกับหัวข้อการประชุม APECของเปรูที่ว่า ‘เสริมสร้างพลัง การมีส่วนร่วม และการเติบโตอย่างยั่งยืน’ และตนสนับสนุนความคิดริเริ่มของเปรูในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจในระบบและเศรษฐกิจโลก (the transition to the formal and global economy)

โดยแรงงานมากกว่าครึ่งของเอเปคมาจากเศรษฐกิจนอกระบบ จึงเป็นเรื่องที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญ รวมทั้งบทบาทของการใช้ดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อสร้างการเข้าถึงอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะ ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ และกลุ่มที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ในกลุ่มประเทศสมาชิกอย่างมาก  

ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับตัวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมีความท้าทาย ในเรื่องต้นทุน และทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็น ดังนั้นการสนับสนุนผ่านโครงการเสริมสร้างศักยภาพโอกาส ในการเพิ่มทักษะและพัฒนาทักษะใหม่ๆตลอดจนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างทั่วถึงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง รัฐบาลไทยได้ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่ามีมาตรการทางการเงินที่เหมาะสม

ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยัน สนับสนุนให้เอเปค พิจารณาโครงการชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดนต่อไป เพื่อส่งเสริมระบบการเงินที่เสรี มีความปลอดภัยและแข่งขันได้

นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า นอกจากการค้า การลงทุน และการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ยังมีความสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค นั่นก็คือการเติบโตทางนวัตกรรมทางการเงิน และระบบการชำระเงินดิจิทัลที่จะเป็นเครื่องมือช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ ได้ โดยประเทศไทย ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการวางระบบให้ประชาชนในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน สามารถชำระเงินผ่านรหัส QR code ระหว่างกันได้แล้วซึ่งจะช่วยให้การทำธุรกรรม การเงิน ข้ามพรมแดน ได้อย่างสะดวกรวดเร็วอันเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจ ของแต่ละประเทศ

‘แพทองธาร - สีจิ้นผิง’ หารือ!! นอกรอบ พร้อมดัน!! สร้างทางรถไฟ ‘จีน – ไทย’

(16 พ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘สีจิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน พบปะหารือกับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีไทย นอกรอบการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 ในกรุงลิมาของเปรู กล่าวว่าจีนและไทยควรเร่งรัดการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ไทย และขยับขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น พลังงานใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์

จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดและมีมิตรภาพ แนวคิด ‘จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ ได้ยืนหยัดผ่านกาลเวลาและมีพลังชีวิตชีวาใหม่ โดยสีจิ้นผิงย้อนนึกถึงการเยือนไทยในเดือนพฤศจิกายน 2022 และได้บรรลุฉันทามติสำคัญกับคณะผู้นำของไทยเกี่ยวกับการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน พร้อมแสดงความยินดีที่มีการดำเนินการตามผลลัพธ์ของการเยือนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ความร่วมมือทวิภาคีก้าวหน้าเชิงบวกหลายด้านและนำพาผลประโยชน์อันจับต้องได้มาสู่ประชาชน

สีจิ้นผิงกล่าวว่าเนื่องในปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย รวมถึงปีทองแห่งมิตรภาพความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ จีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อสานต่อมิตรภาพดั้งเดิม เสริมสร้างการจัดวางยุทธศาสตร์การพัฒนา ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์บริหารปกครอง เดินหน้าความร่วมมืออันเป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ สนับสนุนการสร้างความทันสมัยของทั้งสองประเทศ และผลักดันการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน

จีนและไทยควรเพิ่มการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การศึกษา และเยาวชน รวมถึงจัดงานอย่างการบูชาพระเขี้ยวแก้วในไทย ผูกโยงสายใยระหว่างประชาชนของสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และส่งต่อมิตรภาพจีน-ไทยจากรุ่นสู่รุ่น

นอกจากนั้นจีนยินดีจะเสริมสร้างการประสานงานและการสื่อสารกับไทยภายใต้กลไกพหุภาคีต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง อาเซียน กลุ่มประเทศบริกส์ และเอเปค เพื่อคุ้มครองความเป็นหนึ่งเดียวกันและความร่วมมือของอาเซียน นานาประเทศในภูมิภาค และมีส่วนส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ การพัฒนา และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค

ด้านแพทองธารกล่าวว่าปัจจุบันโลกและภูมิภาคกำลังประสบกับความสับสนอลหม่านเพิ่มขึ้น และแผนริเริ่มระดับโลกหลายรายการที่จีนนำเสนอนั้นมีการมองการณ์ไกลเชิงยุทธศาสตร์และเอื้อต่อการเสริมสร้างความสามัคคีและความร่วมมือระหว่างประเทศ

ด้วยจีนเป็นเพื่อนที่ดีและหุ้นส่วนที่ดี ไทยนับถือชื่นชมความสำเร็จอันโดดเด่นของจีนในด้านต่าง ๆ เช่น การบรรเทาความยากจน และมุ่งหวังใช้วาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน และปีทองแห่งมิตรภาพความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นโอกาสส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระดับสูงกับจีน โดยมีเป้าหมายร่วมกำหนดอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้นของความสัมพันธ์ไทย-จีนตลอด 50 ปีข้างหน้า

ไทยคาดหวังจะเรียนรู้ประสบการณ์การพัฒนาที่ประสบผลสำเร็จของจีน เดินหน้าความร่วมมือด้านทางรถไฟไทย-จีน และโครงการความร่วมมือตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) อื่นๆ เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชน และส่งเสริมมิตรภาพดั้งเดิมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยไทยพร้อมเสริมสร้างการทำงานกับจีนภายใต้กรอบพหุภาคีต่างๆ เช่น เอเปค และร่วมคุ้มครองระบบการค้าเสรี

‘อุ๊งอิ๊ง’ หารือ!! ผู้นำเปรู เพื่อเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ - การค้าเสรี - สินค้าเกษตร เล็ง!! ผสมผสาน ‘ขนสัตว์อัลปากา - ผ้าไหมไทย’ ร่วมพัฒนาเป็นซอฟต์พาวเวอร์

(17 พ.ย. 67)  นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนการเดินทางกลับประเทศไทยช่วงเวลา 18 นาฬิกาของวันนี้ (วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน) ตามเวลาเปรู ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 27 ชั่วโมง โดยจะถึงประเทศไทยในวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน ประมาณ 11 นาฬิกา ตามเวลาในประเทศไทย นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สรุปภาพรวมภารกิจ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ดังนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชม เปรูในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ซึ่งเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยไทยได้เป็นเจ้าภาพเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด BCG Economy หรือ Bio-circular -Green ecocomy สำหรับการประชุมครั้งที่ 31 นี้มีหัวข้อหลัก เช่นการเสริมสร้างพลังการมีส่วนร่วม และการเติบโตที่ยั่งยืน (Empower Inclusive Growth) เพื่อให้สมาชิกเติบโตไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนการลงทุน และผลักดันให้เกิดการค้าเสรี หรือ FTA  ขณะเดียวกัน ก็ส่งเสริมเรื่องนวัตกรรม ดิจิทัลและการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งตรงกับนโยบายที่ไทยกำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ สมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคมีแนวทางเดียวกันในการพัฒนาอย่างยั่งยืน 
(Sustainability) ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพลังงานแห่งอนาคตที่ยั่งยืน และวิธีการรับมือกับอุปสรรคและปัญหาจากภัยธรรมชาติ  การนำเทคโนโลยีที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกัน มาสนับสนุนและแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เวทีการหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders ) ถือว่าเป็นส่วนสำคัญ โดยได้คุยกับนักธุรกิจระดับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจ อาทิ พลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า และ AI ซึ่งหลายบริษัทสนใจลงทุนในประเทศไทยมาก และได้เชิญชวนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยโดยเน้นไปที่เทคโลโลยี AI  Semiconductor และ Data center  และ ยังได้พูดคุยกับเอกชนยักษ์ใหญ่  3 บริษัท ประกอบด้วย Tiktok Microsoft และ Google  ที่แจ้งว่าสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม

การลงทุนอย่าง Data center จะทำให้คนไทยเกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพี ของไทยตอนนี้เติบโตไม่เต็มศักยภาพ การหาเม็ดเงินใหม่ๆเข้าประเทศจะให้คนไทยมีรายได้และมีอาชีพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไทยจะต้องพัฒนาทุกด้านไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหมื่น การสร้างรายได้ใหม่ ซอฟต์พาวเวอร์ การลงทุน และการหาเม็ดเงิน เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งทุกกรอบการประชุมต่างๆ ได้ระบุไปว่า ไทยพร้อมแล้วที่จะมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ โดยจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะ หรือ Smart farming อย่างแท้จริง

ส่วนการหารือทวิภาคีกับ นางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอชี่นชมเปรูในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคปี 2024 นี้  ยืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกันโดยเฉพาะการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทย-เปรู ซึ่งเปรูเพิ่งเปิดท่าเรือชางใค ที่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งสินค้าเกษตรของไทยได้เป็นอย่างมาก และสามารถเชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ของไทยในอนาคตได้อีกด้วย 

จะให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นำไปพิจารณาถึงผลิตภัณฑ์ ขนสัตว์อัลปากาของเปรูที่มาทำเป็นเสื้อผ้า มาผสมผสานกับผ้าไหมของไทย เพื่อให้เกิดเนื้อผ้าพิเศษขึ้นมาเพื่อนำเสนอเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ของทั้งสองประเทศ มารวมกันเพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

ส่วนการหารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้พูดคุยถึงความร่วมมือกันในปีหน้า ที่ไทย-จีน จะเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี โดยจีนได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ หรือ พระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานไว้ที่ประเทศไทยในวันที่ 4 ธันวาคมนี้   และจีนยืนยันที่จะมอบหมีแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยอีกครั้ง  

นอกจากนี้ ประเทศไทยพร้อมที่จะเรียนรู้รูปแบบการพัฒนาประเทศของจีน ในการลดความยากจนในประเทศรวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ และได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนที่ไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งประธานาธิบดีจีนกล่าวยินดีและยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ Online scam ระหว่างกัน และจะสนับสนุนไทยเข้าร่วม BRICS ด้วย

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการเข้าร่วมงานกาล่าดินเนอร์ทั้ง 2 คืน ทั้งในงานเลี้ยงอาหารค่ำ APEC CEOs-Leaders Dinner และ งานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคว่า “ได้สร้างความมั่นใจให้กับประเทศไทยและเชิญชวนภาคเอกชนเขตเศรษฐกิบสมาชิกมาลงทุนที่ประเทศไทย ตลอด 3 วัน ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก  เพราะได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อกัน ขณะเดียวกันย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลกด้วยว่า ประเทศไทยพร้อมแล้ว สำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและสมาชิกเอเปค โดยมั่นใจว่าการได้พูดคุยกันจะทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และหาโอกาสให้กับประเทศไทยได้ง่ายขึ้น" นายกรัฐมนตรีได้กล่าว

นายจิรายุ กล่าวถึงบรรยากาศการประชุมในครั้งนี้ ว่าเจ้าภาพเปรูเป็นประธานจัดงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะเวทีการประชุมในแต่ละเวทีตลอด 3 วัน ได้สอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของเปรูไว้ทุกเวที นายกรัฐมนตรี ผู้นำของประเทศไทยได้รับความสนใจอย่างมาก ในทุกครั้งที่ขึ้นกล่าวหรือแสดงวิสัยทัศน์ในการประชุม โดยสื่อมวลชนต่างชาติ ต่างให้ความสนใจนายกรัฐมนตรีสุภาพสตรี 1 ใน 2 คนของไทยในการประชุมครั้งนี้อย่างมาก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top