Tuesday, 8 October 2024
Econbiz

TrueMoney เปิดชำระเงินในจีนผ่าน Alipay+ เปย์ง่าย สแกนจ่าย ไม่ต้องแลกเงินหยวน

TrueMoney เพิ่มความสะดวกนักท่องเที่ยวไทยไปจีน สามารถใช้ทรู มันนี่ สแกนชำระเงินผ่าน Alipay+ สำหรับร้านค้า และบริการในจีนกว่า 10 ล้านจุดได้ทันที หวังช่วยนักท่องเที่ยวกว่า 7 แสนรายในแต่ละปีเข้าถึงการชำระเงินรูปแบบใหม่นี้

มนสินี นาคปนันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทรู มันนี่ช่วยคนไทยในการใช้จ่ายตั้งแต่ออนไลน์ จนถึงออฟไลน์ ผ่านจุดชำระกว่า 7 ล้านแห่งทั่วประเทศผ่านเครื่องของทรู มันนี่ และพร้อมเพย์ พร้อมกับบริการใหม่ที่สามารถใช้แอป TrueMoney+ ชำระค่าสินค้า และบริการทั่วประเทศจีน ที่มีจุดรับชำระของ Alipay มากกว่า 10 ล้านจุด

“จากบริการใหม่นี้คาดว่าจะตอบโจทย์นักท่องเที่ยวไทยกว่า 7 แสนรายในแต่ละปี โดยผู้ใช้สามารถเลือกใช้เงินที่อยู่ในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของทรู มันนี่ ได้ทันที โดยไม่ต้องแลกเงินหยวน”

ทั้งนี้ บริการดังกล่าวได้เข้ามาแก้ปัญหากรณีที่นักท่องเที่ยวไทยที่ไปจีนไม่สามารถใช้จ่ายแบบไร้เงินสดได้ และไม่ใช่ทุกร้านจะรับเงินสด หรือรับบัตรเครดิตที่เข้าร่วม แต่ส่วนใหญ่แล้วจะรองรับการชำระผ่าน Alipay

นอกเหนือจากทรูมันนี่ เมื่อเร็วๆ นี้ แอนท์ กรุ๊ป ได้ร่วมมือกับอีก 6 อีวอลเล็ตและแอปชำระเงินชั้นนำในเอเชีย ภายใต้ โครงการ “Alipay+-in-China (A+China program)” เพื่อยกระดับบริการด้านการชำระเงินผ่านแอปในจีนให้มีความเป็นสากลขึ้น โดยการขยายบริการในครั้งนี้ ทำให้มีอีวอลเล็ตและแอปชำระเงินรวม 10 แอปจากต่างประเทศที่สามารถใช้จ่ายที่จีนได้

ดักลาส ฟีกิน รองประธานอาวุโส แอนท์ กรุ๊ป และหัวหน้างานบริการโมบายเพย์เมนต์ระหว่างประเทศ อาลีเพย์พลัส กล่าวว่า ด้วยเครือข่ายของ Alipay+ ผู้ใช้ทรูมันนี่สามารถใช้จ่ายที่ร้านค้าออนไลน์ทั่วโลก

รวมถึงร้านค้าปลีกในประเทศซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไปจนถึงสหราชอาณาจักร อิตาลี และฝรั่งเศส และการขยายบริการใช้จ่ายผ่านแอปสู่ประเทศจีนในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งปัจจุบัน มีผู้คนทั่วโลกกว่า 1.4 พันล้านคน ที่สามารถเข้าใช้บริการของ Alipay+ ในการชำระเงินมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก

‘กรมทรัพย์สินฯ’ ประสานเกาหลีใต้ แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องลิขสิทธิ์เพลง หวังยกระดับอุตฯ เพลงไทยรอบด้าน ดันเป็นหนึ่งใน Soft Power ไทย

(22 ก.ย. 66) นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า “กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมเพลงไทยควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบลิขสิทธิ์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทั้งผู้สร้างสรรค์ เจ้าของลิขสิทธิ์ และผู้ใช้งานเพลง ให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากงานเพลง ซึ่งเป็นงานลิขสิทธิ์ที่ประเทศไทยมีศักยภาพ และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตของระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ช่วยให้วัฒนธรรมไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในสังคมโลก”

นายวุฒิไกร ให้ข้อมูลว่า “จากการศึกษาของสมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศพบว่า ในปี 2565 อุตสาหกรรมสิ่งบันทึกเสียงของไทยมีมูลค่า 3,689 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอันดับที่ 24 ของโลก และมีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 20.01 จึงถือได้ว่าอุตสาหกรรมเพลงของไทยเป็นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ มีความสามารถในการแข่งขัน และเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดประเภทหนึ่ง”

นายวุฒิไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเพลงไทยให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น สามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการพัฒนากรอบกฎหมาย กฎกติกา เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดจนการเสริมสร้างความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเพลงอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองและการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ลิขสิทธิ์เพลงในเชิงพาณิชย์ การใช้งานลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ในทางการค้า”

“ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาเห็นว่า เกาหลี เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบลิขสิทธิ์ที่เป็นประโยชน์ และตอบโจทย์ความต้องการของภาคเอกชนในประเด็นดังกล่าวอย่างแท้จริง จึงได้ร่วมกันจัดการสัมมนาลิขสิทธิ์ไทย - เกาหลี ประจำปี 2566 ในหัวข้อ ‘เจาะลึกบทบาทลิขสิทธิ์กับธุรกิจเพลง’ เพื่อให้ผู้สร้างสรรค์ เจ้าของลิขสิทธิ์ และผู้ใช้ผลงานเพลง ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายการใช้ลิขสิทธิ์ส่งเสริมอุตสาหกรรมเพลงในประเทศไทยและสาธารณรัฐเกาหลี บทบาทขององค์กรจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ ตลอดจนแนวทางการบริหารการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์และค่าสิทธิของนักแสดง เพื่อนำมาปรับใช้กับการดำเนินงานในบริบทของประเทศไทยต่อไป”

“กรมทรัพย์สินทางปัญญาเชื่อมั่นว่า การสัมมนาในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเพลงไทย ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ และเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมั่นคงต่อไป” นายวุฒิไกร กล่าวทิ้งท้าย

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ คว้ารางวัล ‘องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน’ ปี 66 ตอกย้ำ!! ความมุ่งมั่นผลักดันการเคารพสิทธิมนุษยชนในองค์กร

(22 ก.ย. 66) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป คว้ารางวัล ‘องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566’ ประเภทองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ระดับดี ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากกรมคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม โดยชูการพัฒนานโยบายด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านและครอบคลุม เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปราศจากการเลือกปฏิบัติ (Non-discrimination) และต่อต้านการล่วงละเมิด (Anti-harassment)

โดยนางสาวสลิล ติระวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบริหารองค์กร เอ็กโก กรุ๊ป เป็นผู้แทนเข้ารับประกาศนียบัตรจากพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในงานประกาศรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566 ซึ่งจัดโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

นางสาวสลิล ติระวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบริหารองค์กร เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจบนหลักการกำกับกิจการที่ดี โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยตระหนักและให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับอย่างเสมอภาค

ในรอบปีที่ผ่านมา เอ็กโก กรุ๊ป ได้ประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนในทุกขั้นตอนการดำเนินธุรกิจ พร้อมนำผลการประเมินมาทบทวนและปรับปรุงนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน โดยมุ่งเน้นหลักการไม่เลือกปฏิบัติและการต่อต้านการล่วงละเมิด พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรทุกระดับ เพื่อให้ทุกคนปฏิบัติต่อกันอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ตลอดจนพัฒนากระบวนการแจ้งเบาะแสและการสอบสวนในกรณีที่มีเรื่องร้องเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน คณะกรรมการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทไม่ได้รับข้อร้องเรียน รวมถึงไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์อันจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด

“การได้รับรางวัล ‘องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน’ ระดับดี ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอ็กโก กรุ๊ป ในการส่งเสริมและผลักดันการเคารพสิทธิมนุษยชนให้อยู่ในกระบวนการดำเนินธุรกิจทุกมิติและปลูกฝังให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเป็นธรรม ทั่วถึง และเท่าเทียม รวมถึงส่งเสริมเสรีภาพอันชอบธรรมของแต่ละบุคคล เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกภายในองค์กรและสังคมภายนอกอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับหนึ่งในพันธกิจสำคัญของเรา ในการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมและใส่ใจต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม” นางสาวสลิล กล่าว

สำหรับการพิจารณามอบรางวัล ‘องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน’ ดำเนินการโดย คณะกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดเลือกองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจ วิสาหกิจเพื่อสังคม และภาคประชาชนสังคม ที่ดำเนินงานตามภารกิจโดยเคารพในหลักการสิทธิมนุษยชน รวมถึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับองค์กรอื่น ๆ ในการส่งเสริมสังคมแห่งการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างยั่งยืน โดยมีองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัลฯ ประจำปี 2566 รวมทั้งสิ้น 109 รางวัล

‘ธุรกิจท่องเที่ยว’ แห่ตั้งบริษัทใหม่ รวมมูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้าน ผุดบริการแลกเปลี่ยนเงินตราพุ่ง 1.89 เท่า รองรับตลาดฟื้นตัว

(22 ก.ย. 66) นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ยอดการจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนสิงหาคม 2566 ทั่วประเทศรวม 7,424 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 24,905.75 ล้านบาท โดย 3 ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 584 ราย รองลงมา คือ อสังหาริมทรัพย์ 482 ราย และภัตตาคาร/ร้านอาหาร 360 ราย โดยช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท สัดส่วนมากสุด 64.51% มีจำนวน 4,789 ราย คิดเป็น 64.51%

ขณะที่ธุรกิจเลิกกิจการเดือนสิงหาคม 2566 รวม 2,007 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 7,038.02 ล้านบาท และ 3 ประเภทธุรกิจเลิกกิจการสูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป 172 ราย รองลงมา คือ อสังหาริมทรัพย์ 85 ราย และ ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 49 ราย ซึ่งสัดส่วน 70.55% เป็นธุรกิจมีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ 31 สิงหาคม 2566 มีธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ 888,090 ราย มูลค่าทุน 21.51 ล้านล้านบาท มากสุดเป็นช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือจำนวน 518,247 ราย คิดเป็น 58.36%

“ธุรกิจตั้งใหม่เดือนสิงหาคมปีนี้ เทียบสิงหาคมปีก่อน เพิ่ม 0.08% และเทียบเดือนกรกฎาคม 2566 เพิ่ม 8.41% ขณะที่เลิกธุรกิจสิงหาคมปีนี้ เพิ่มขึ้น 3.40% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7.50% จากเดือนกรกฎาคมปีนี้ ทำให้ 8 เดือนแรก 2566 จัดตั้งธุรกิจใหม่รวม 61,558 ราย เพิ่มขึ้น 14.90% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งยอดตั้งธุรกิจใหม่สิงหาคม 2566 เป็นจำนวนสูงสุดรอบ 10 ปีเทียบเฉพาะเดือนสิงหาคมด้วยกัน และสูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ส่งผลให้ 8 เดือนแรก2566 มีจำนวนจัดตั้งสูงสุดรอบ 10 ปีด้วย หรือตั้งแต่ปี 2557 – 2566” นายทศพล กล่าว

นายทศพล กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนการจดทะเบียนธุรกิจให้เติบโตสูงขึ้นยังคงมาจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว 8 เดือนแรก 2566 มีจำนวนตั้งเพิ่มถึง 60.66% โดยเฉพาะธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเติบโต 1.89 เท่า ตัวแทนธุรกิจการเดินทางเติบโต 1.41 เท่า ธุรกิจจัดนำเที่ยวเติบโต 1.03 เท่า ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารเติบโต 45.46% และ ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุดเติบโต 42.86%) มีสัดส่วนคิดเป็น 7.94% ของจำนวนธุรกิจที่จัดตั้งทั้งหมดใน 8 เดือนแรก2566

นายทศพล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจน่าจับตามองที่เติบโตกว่า 1 เท่า เทียบ 8 เดือนแรกปีก่อน ได้แก่ ธุรกิจขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืชเติบโต 2.07 เท่า เพิ่มขึ้น 118 ราย จากนโยบายส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก

ธุรกิจบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้างเติบโต 1.70 เท่า เพิ่มขึ้น 311 ราย จากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัว ทำให้มีธุรกิจที่รับบริหารจัดการเกี่ยวกับที่พักอาศัย โรงแรม รีสอร์ท บ้านพักตากอากาศเพิ่มมากขึ้น

ธุรกิจให้เช่าและให้เช่าแบบลิสซิ่งยานยนต์เติบโต 1.40 เท่า เพิ่มขึ้น 155 ราย จากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตและภาคธุรกิจที่นิยมการเช่ารถยนต์มากขึ้น และธุรกิจการปลูกพืชประเภทเครื่องเทศเครื่องหอมยารักษาโรค และพืชทางเภสัชภัณฑ์เติบโต 1.12 เท่า เพิ่มขึ้น 201 ราย

“จากทิศทางที่ดีขึ้น กรมคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ช่วงครึ่งปีหลัง 2566 อยู่ที่ 32,000 – 39,000 ราย ซึ่งทำให้ทั้งปี 2566 อยู่ที่ 79,000-86,000 ราย” นายทศพล กล่าว

นายทศพล กล่าวว่า การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าวเดือนสิงหาคม 2566 มีการอนุญาต 58 ราย มีเม็ดเงินลงทุน 6,840 ล้านบาท เปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 จำนวนเพิ่มขึ้น 14% เงินลงทุนลดลง 32% นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น 15 ราย รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง ทำให้ 8 เดือนแรก 2566 คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในไทย 435 ราย มีเงินลงทุน 65,790 ล้านบาท

‘กองทุนดีอี’ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ 5G ต้นแบบ หลัง ม.เชียงใหม่ได้รับทุนนำร่องขยายบริการเข้าถึงประชาชน

สดช. ลงพื้นที่เชียงใหม่ ตรวจเยี่ยมโครงการนำร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบ สำหรับให้บริการประชาชน (5G District)

เมื่อวันที่ 21-22 ก.ย. 66 นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พร้อมด้วยนายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร’ นายสมเกียรติ ศิริวัฒนโชค ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารจัดการเชิงนโยบาย พร้อมด้วย  นางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, และผู้บริหารจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการนำร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบ สำหรับให้บริการประชาชน (5G District) ส่วน 5G Smart Health เพื่อพัฒนาแนวทางและประยุกต์ใช้ระบบเทคโนโลยี 5G ในการส่งเสริมการให้บริการการแพทย์ 5G Smart Ambulance สำหรับบริหารจัดการรถพยาบาลแบบรวมศูนย์ และ Telemedicine สำหรับโรงพยาบาลประจำอำเภอในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนบน

โดยโครงการดังกล่าว เป็นโครงการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้ได้รับทุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีแหล่งข้อมูล (Big Data) เพื่อนําไปวิเคราะห์และประมวลผลต่อในด้านการพัฒนาพื้นที่ให้เหมาะสมต่อประชากรในท้องถิ่นระบบเชื่อมโยงและข้อมูลระหว่างกลุ่มข้อมูลแบบเรียลไทม์ ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโรงพยาบาลสันทราย จ.เชียงใหม่

'เศรษฐา' ใช้เวทีสมัชชาสหประชาชาติ ประกาศก้อง 'ไทยเปิดแล้ว' ลั่น!! พร้อมลงทุนข้ามชาติ ไม่รอการลงทุนมาไทยฝ่ายเดียว

(23 ก.ย.66) เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 22 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สรุปภารกิจในการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติเป็นครั้งแรก ว่า มีภารกิจที่หลากหลาย ไม่ใช่เฉพาะตนเองอย่างเดียว แต่ทั้ง นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ และนายจักพงษ์ แสงมณี รมช.การต่างประเทศ ซึ่งต่างมีภารกิจมาก ซึ่งตนเองมีโอกาสได้พูดในหลายเวที เรื่องของโลกร้อน เรื่องสันติภาพ อากาศบริสุทธิ์ ความมั่นคงทางอาหาร ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และอารยะเกษตร รวมถึงมีโอกาสได้พบปะกับผู้นำประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านสำคัญๆ เช่น ประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้พูดคุยเรื่องความมั่นคงทางชายแดน และส่งเสริมการค้าระหว่างกันให้สูงขึ้น

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนวันนี้ถือเป็นไฮไลต์ของงานที่ได้กล่าวถ้อยแถลง ประมาณ 10 กว่านาที ได้มีการพูดถึงปัญหาของโลกที่เกิดจากอากาศร้อน ที่ไม่ใช่แค่โลกร้อน แต่เป็นโลกเดือด หลายประเทศก็ยังมองไปข้างหลังเรื่องของตัวเลขดัชนีชี้วัดต่างๆ เราก็ต้องรวมพลัง และทำให้มันเกิดขึ้นได้ ตนเคยบอกไปหลายเวทีแล้วว่าการประชุมของสหประชาชาติครั้งนี้มีเรื่องของปัญหาที่ต่างกันหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เห็นตรงกัน เรื่องความมั่นคงทางอาหารก็เป็นเรื่องสำคัญ โลกร้อน โลกเดือดก็ทำให้ไม่แน่นอนทางด้านภูมิอากาศที่เหมาะกับการทำเกษตรกรรม ประเทศเราเองเหมาะกับเกษตรกรรม มีความมั่นคงทางอาหารสูง แต่ลดลงเพราะเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง ที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศผันผวนอย่างมาก ทำให้เราต้องกลับมาดูเรื่องนี้ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง ทั้งเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเรื่องอารยเกษตร ซึ่งต้องใช้พื้นที่ให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่การเพาะปลูก รวมถึงการใช้หนองน้ำเป็นที่เลี้ยงปลา หลายอย่างตนเชื่อว่า สามารถปรับมาใช้ได้

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องปัญหาสุขภาพที่มีโรคเพิ่มมากขึ้น เป็นเหมือน wakeup call หลังมีโรคระบาดทำให้เรารู้ว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษยชนถูกจำกัด หรือได้รับการดูแลเยียวยาอย่างไม่ทั่วถึง แต่ประเทศไทยโชคดีที่มีระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง แต่ว่ามีสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง แต่มีการเคลื่อนไหวของประชากรเยอะ ดูแลดีอย่างไรก็ตามยังไม่เพียงพอ ถ้าประเทศอื่นไม่ดูแลเพียงพอ ฉะนั้นสหประชาชาติเองก็ควรเข้ามาเป็นเจ้าภาพ เพื่อเป็นแน่ใจว่าทุกๆประเทศ มีระบบ health care ที่ดีเหมือนประเทศไทย ขณะที่ไทยเองยังไม่หยุดยั้ง ยังยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อทำให้คนไทยสบายมากขึ้นในการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่จะเข้าที่ตัวเองอยากจะเข้า

เมื่อถามว่าหลายประเทศต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน ในความหมายของนายกรัฐมนตรีที่นำเสนอเป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า สันติภาพที่ยั่งยืนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ประเทศไทยเรามีความเชื่อเรื่องความสงบ มีความเชื่อเรื่องการเจริญที่ยั่งยืน โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของแต่ละประเทศ

"แต่เป็นที่ทราบดีว่า เรื่องความระหองระแหง ระหว่างประเทศมีหลายคู่ ส่วนประเทศเราแม้จะเป็นประเทศเล็ก ไม่ได้ใหญ่มาก แต่เราภูมิใจในเอกราชที่เรามีมาตลอด เราเองมีความภูมิใจ และมีความสบายใจในการที่เราอยู่ในภูมิศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับของทุกประเทศ จึงเป็นหน้าที่ของผู้นำประเทศและรัฐบาลนี้ที่จะต้องดำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกราชและไม่เข้าข้างใคร เรามีความเชื่อในเรื่องสันติสุขและความเจริญที่ยั่งยืน" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ถามว่า เรื่องสิทธิมนุษยชน ในปีนี้ที่เราสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ด้วย นายกฯ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ใช่แค่ดูแลสิทธิมนุษยชนเพียงในประเทศอย่างเดียว เรามีประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ไม่ว่ามาเลเซีย ลาว กัมพูชา และที่ละเอียดอ่อนที่สุดคือ เมียนมา ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องดูแลหากมีผู้อพยพเข้ามา หรือมีผู้ที่เดือดร้อนบริเวณชายแดน เพราะเรามีชายแดนกับเมียนมากว่า 1,000 กิโล จะต้องดูแล

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองความสำเร็จในการร่วมเวทีโลกครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ครั้งแรกก็ต้องขอบคุณ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ช่วยดูแลและเป็นเจ้าภาพในการนำนักธุรกิจเก่งๆ และสนใจมาร่วมทุนในประเทศไทยมาพบปะตนและทีมงาน ถือเป็นนิมิตหมายอันดีและจุดเริ่มต้นที่ดี 4 วันที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่ ถือเป็นก้าวแรกในการประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าประเทศไทยเปิดแล้ว เราพร้อมที่จะมีการลงทุนข้ามชาติ ทั้ง 2 ทาง ไม่ใช่แค่ให้เขามาลงทุนเราอย่างเดียว เอกชนไทย ที่แข็งแกร่งหลายราย พร้อมลงทุนในต่างประเทศด้วย

เมื่อถามว่า การได้พบผู้นำหลายชาติ ตอบรับกับรัฐบาลใหม่และนายกรัฐมนตรีใหม่อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ดีครับ ทุกคนก็ยินดีด้วย และเข้าใจว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมีผู้นำและออกมาค้าขายกันอีก 

‘พาณิชย์’ เตรียมหาวิธีสร้างตลาดรัศมี 4 กม. รับมาตรการเงินดิจิทัล 10,000 บ. หวังงัด ‘ร้านธงฟ้า-รถพุ่มพวง’ อุดช่องว่าง สร้างจุดกระจายสินค้าให้ปชช.เข้าถึง

(23 ก.ย.66) การเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital wallet เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนกระตุกเศรษฐกิจของประเทศให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง กลายเป็นนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลตอนนี้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าที่จะ ‘ใส่เงิน’ เข้าไปในระบบเศรษฐกิจทั่วประเทศให้ถึงรากหญ้าในรัศมี 4 กม. ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐบาลทุกหน่วยงานจะต้องสนับสนุนและร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายนี้ให้เกิดขึ้นจริงภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567

>> เร่งด่วน Digital Wallet

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับประชาชาติธุรกิจ ว่า ได้ให้นโยบาย ‘เติมเงิน 10,000 บาท’ กับข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายใหญ่ของรัฐบาลที่จะใช้กระตุ้น และเป็นเครื่องมือช่วยกระตุกเศรษฐกิจของประเทศ ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ช่วยเรื่องของกำลังซื้อให้มีความแข็งแรงขึ้น เมื่อมีกำลังซื้อที่แข็งแรงก็จะนำไปสู่เรื่องของการผลิต และให้ผู้ประกอบการได้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ในเรื่องของการนำวัตถุดิบเข้ามาเสริม เพื่อรองรับความต้องการของตลาด

“เมื่อนโยบายนี้เกิดขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนได้หลายรอบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของการตัดสินใจ โดยใช้งบประมาณก้อนใหญ่ถึง 570,000 ล้านบาท ให้เกิดการหมุนเวียนภายในระยะเวลา 6 เดือน ถ้าเกิดการกระตุ้นจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพอสมควร หากเงินที่ให้ไปใช้ไม่หมดก็นำกลับคืน หากใช้หมดก็หมดไป

เพราะเท่ากับว่าเป็นการจับจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมาก เพราะหากงบประมาณนี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะเกิดการหมุนเวียนและก่อให้เกิดรายได้หลายทาง และรายได้นี้ก็จะนำไปสู่การดูแลในนโยบายอื่น เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ เพราะเศรษฐกิจหมุนเวียน ธุรกิจก็จะเกิดการขยายตัว เพราะภายใน 4 ปีสามารถดำเนินการได้ก็จะก่อให้เกิดรายได้แก่ประชาชน” นายภูมิธรรมกล่าว

>> ฟื้นธงฟ้า-รถพุ่มพวง

เรื่องนี้กรมการค้าภายในจะต้องเตรียมการ ซึ่งได้มอบนโยบายไปว่า รัฐบาลจะมีงบประมาณออกมา และเกิดการกระจายรายได้ โดยมีข้อผูกพันว่า ต้องใช้ภายในพื้นที่ 4 กิโลเมตร แต่หากผู้ได้รับอยู่ในพื้นที่นอกเขต หรือชาวเขา รัฐบาลก็สามารถยืดหยุ่นขยายพื้นที่ออกไปได้ “ไม่เป็นไร เราไม่ได้กำหนดว่า 4 กิโลเมตรแล้วทำให้ประชาชนไม่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้”

โดยได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในไปเตรียมข้อมูลมาว่า หากประชาชนไม่สามารถเข้าถึง “สินค้า” กรมการค้าภายในจะมีเครือข่ายอะไร เช่น ‘ร้านธงฟ้า’ สามารถที่จะกระจายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้หรือไม่ ปัจจุบันมีข้อมูลพื้นฐานร้านธงฟ้ามีจำนวนเท่าไหร่ ในกี่จังหวัด จะสามารถรองรับนโยบาย Digital wallet ได้อย่างไร ซึ่งร้านจะขายสินค้าแบบเดิมก็สามารถดำเนินการได้ Digital wallet กำลังจะเกิดขึ้น

คุณต้องคิดว่าตลาดใหม่กำลังมา คุณจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการและสินค้าได้อย่างไร ซึ่งโครงการนี้สามารถเข้าไปดำเนินการส่งเสริมธุรกิจร้านธงฟ้าได้ด้วย ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แสวงผลกำไร แต่ทำอย่างไรให้เกิดการเติบโตและกระตุ้นการจับจ่าย ผมก็ได้มอบนโยบายให้กรมการค้าภายในไปพิจารณาเรื่องนี้แล้ว” นายภูมิธรรมกล่าว

นอกจาก ‘ร้านธงฟ้า’ แล้ว digital wallet อาจจะขยายไปในส่วนของ ‘รถพุ่มพวง’ นำสินค้าไปขาย จะสามารถที่จะสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่รับสินค้าต่าง ๆ และไปกระจายสินค้าได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการสร้างจุดกระจายสินค้าให้ประชาชนสามารถเข้าถึง โดยกรมการค้าภายในอาจจะต้องคิดอะไรใหม่ ๆ ไม่ใช่เพียงว่าปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้นล้นตลาดและก็เทกระจาด แล้วคุณเข้าไปรับซื้อ

แต่มันยังมีวิธีการหรือช่องทางอื่น ๆ เพิ่มการกระจายสินค้า การเจรจากับสถานีบริการน้ำมันนำสินค้าไปกระจาย หน่วยงานที่ดูแลก็มีการดำเนินการอยู่แล้ว หากสามารถเจรจาและกระจายสินค้าได้มันก็ก่อให้เกิด ‘ตลาดใหม่’ ขึ้นได้

“ผมอยากให้คิดนอกกรอบ ผมรู้ว่าการคิดนอกกรอบมันเสี่ยงที่จะผิดขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เราก็จะต้องมีการพิจารณาและคิดให้รอบคอบ แต่ก็มองว่าเป็นการลงทุนในเรื่องของการทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่ก็ต้องดูให้รอบคอบ หากเราจะดำเนินการทำได้ ก็อยากให้คิดพิจารณา”

>> สร้างตลาดในรัศมี 4 กม.

สำหรับพื้นที่ 4 กิโลเมตรนั้น ความหมายก็คือ ต้องการให้เศรษฐกิจพื้นฐานรากเกิดการเติบโตได้ทั้งหมด ถ้าหากไม่มีก็จะต้องคิดว่ามีเงินจำนวนมากขนาดนี้แล้วจะจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ ดังนั้น ‘การสร้างตลาด’ จึงเป็นจุดสำคัญที่จะเกิดการกระจายและกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน ‘โครงการร้านค้าประชารัฐ’ ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา “ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลง”

แต่ผมขอดูในรายละเอียด มองว่าหากประชาชนสบายใจที่จะเข้ามาซื้อสินค้าในร้านก็จบ ก็เดินหน้าโครงการต่อไป ผมไม่ได้คิดที่จะสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเพื่อกลบ หากสิ่งที่ดีมีอยู่แล้วก็เดินหน้าต่อไปไม่มีปัญหา

อย่างไรก็ตาม Digital wallet 10,000 บาท ร้านค้าทุกแห่งสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ‘ไม่น่าจะมีปัญหา’ สามารถที่จะเข้าสู่ระบบได้ ปัญหาอยู่ที่การสร้าง ‘บล็อกเชน’ หากประเทศไทยสามารถสร้างบล็อกเชนขึ้นมาก็สามารถกำหนดเงื่อนไขว่า จะดำเนินการอย่างไร จ่ายที่ไหน จ่ายเมื่อไหร่ มันทำได้หมด

โดยเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องดูในรายละเอียด ซึ่งอาจจะมีปัญหาและได้ประโยชน์ แต่หากจะก่อให้เกิดผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องดี และเท่ากับเกิดการสร้างงาน สามารถกระจายรายได้ไปด้วย แต่ก็ต้องดูว่าทุกอย่างจะต้องโตอย่างสมดุล

“ทุกร้านเข้าได้หมด ทุกระดับ ร้านหมูปิ้ง ร้านขายของ แต่ว่าเอาให้ชัด ตอนนี้อยู่ระหว่างของการสร้างบล็อกเชน เพื่อกำหนดกฎกติกาให้สามารถเข้ามาได้ ถ้าเราสามารถนำร้านธงฟ้าเข้ามาอุดช่องว่าง ซึ่งอาจจะไม่มีความจำเป็นในการขยายพื้นที่จาก 4 กม. เป็น 6 กม. แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเป็นจริง ว่าจะสามารถดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหน

แต่ได้ชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นโอกาสของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถเข้าไปสร้างกลไกของตลาดเพื่อรองรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เป้าหมายไม่ใช่ในเรื่องของกำไร แต่คือเรื่องของการกระจายธุรกิจ การพยุงราคา ให้ประชาชนได้รับบริการและเข้าถึงได้มากที่สุด” นายภูมิธรรม กล่าว

>> ลดทันที ข้าว-หมู-ไข่-มาม่า

นายภูมิธรรมกล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะดำเนินการให้ได้อย่างนั้น แต่ก็ต้องรับฟังฝ่ายปฏิบัติด้วย แต่หัวใจหลักของเรื่องนี้คือ “ต้นทุนราคาสินค้า” โดยสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้ประกอบการเข้ามาพูดคุยและหารือ ต้องรับฟังถึงปัญหาของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก (SMEs) ก่อนที่จะนำไปหารือและพิจารณาตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร ที่ผ่านมาก็ได้มีการรับฟังหารือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ไปบ้างแล้ว เปิดรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย และยืนยันว่าจุดยืนในเรื่องของราคาสินค้าก็คือการสร้างจุดสมดุลของทุกส่วน

สินค้าเป้าหมายที่จะลดราคาที่มองเห็นและจะลดได้ทันทีก็คงเป็นกลุ่มสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันทั้งหมด เช่น ข้าวถุง, ไข่ไก่, หมู, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งสินค้าเหล่านี้จำเป็นจะต้องมาดูในรายละเอียด ส่วนสินค้าอื่น ๆ ก็อาจจะต้องมีการติดตามต่อไป โดยการดำเนินการเฉพาะหน้า เราต้องการจัดการให้สามารถลดราคาสินค้าได้

“แต่จะลดมากหรือลดน้อย ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่มีการลดราคา” เพราะรัฐบาลเองได้ดำเนินการให้มีการลดราคาพลังงานลงไปแล้ว ซึ่งเรารู้ว่าราคาพลังงานมีผลกระทบต่อการขนส่ง กระทบต่อความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยขบวนการต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องมาดูในรายละเอียดเพิ่มเติม

ส่วนจะกระทบต่อ “เงินเฟ้อ” หรือไม่นั้น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีความระมัดระวัง ทางกระทรวงการคลังเองและหน่วยงานหลายส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการพิจารณาและประสานดำเนินการอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ โดยรัฐบาลชุดนี้ทำงานแบบบูรณาการและวางแผนร่วมกัน และชี้ให้เห็นว่าปัญหาจะเกิดขึ้นตรงไหน ใครที่เกี่ยวข้อง และจะวางแผนให้สอดรับกันอย่างไร

>> สินค้าขึ้นได้แต่ต้องพยุงราคาก่อน

นโยบายของผมก็คือ ‘อะไรที่จำเป็นที่ต้องขึ้นก็ต้องยอมรับความเป็นจริง’ แต่ว่าอาจจะต้องมีช่วงเวลาที่จะ ‘พยุงราคา’ เพื่อให้มีการปรับตัวได้ทันเพราะถือว่าเป็นปัจจัยและต้องสมเหตุสมผล หรือบางอย่างถ้าต้นทุนสินค้าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาก หรือการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นก็ถือว่าเข้าใจได้

แต่หากต้นทุนบางอย่างที่ลดลงเยอะ แล้วสินค้าไม่ลดเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลาผู้ประกอบการมีการปรับขึ้นราคาก็มีการปรับขึ้นทันที แต่หากมีการปรับลดราคาลง ท่านไม่สามารถดำเนินการได้ หากเราสามารถช่วยลดต้นทุนในส่วนของต้นทุนการผลิต ท่านก็อาจจะสามารถดำเนินปรับลดราคาลงได้

“แต่ก็ยังมีปัจจัยในเรื่องของต้นทุนการผลิต หรือเครื่องมืออื่น ๆ เช่น อาจจะต้องรับฟังผู้ประกอบการ แต่ก็พร้อมที่จะรับฟังจากทุกฝ่ายและจะทำให้เต็มที่ แต่วันนี้หากเราเข้าใจถึงนโยบายคนตัวใหญ่จับมือคนกลาง เพื่อจะพยุงคนตัวเล็ก มีความหมายว่า อาจจะได้รับกำไรลดลง แต่ปริมาณการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบที่ท่านจะได้รับ”

ส่วนในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นไตรมาสนี้ เชื่อว่าน่าจะดี โดยเฉพาะในตัวเลขหลาย ๆ ตัว แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ดี แต่ว่าเราก็ปลดล็อกหลายอย่าง เพื่อก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง แม้ digital wallet ยังไม่เกิด แต่การเปิดฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน-คาซัคสถานเข้ามาประเทศไทย เชื่อว่าเป็นการก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ กำลังซื้อภายในประเทศได้ดีและมีการเติบโต

'มือเศรษฐกิจจุลภาค' ชี้!! Delivery รายเล็กน่าห่วง หาก Food Panda ขายกิจการในไทยให้ Grab

(23 ก.ย.66) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Ta Plus Sirikulpisut' เกี่ยวกับกรณี Food Panda เตรียมขายกิจการในไทยและอาเซียนให้ Grab โดยระบุว่า...

"Grab ซื้อกิจการ Food Panda ในไทย ฝาก ท่านคณะกรรมการ กขค พิจารณาด้วยครับ"

ทั้งนี้ เมื่อมีคำถามว่าซื้อไม่ได้หรืออย่างไร? เพราะอะไร? นายพลัฏฐ์ กล่าวว่า "ก็ต้องดูสัดส่วน ส่วนแบ่งตลาด ว่ามีอำนาจเหนือตลาดหรือไม่" พร้อมทั้งชี้ให้เห็นด้วยว่า "หากขายให้รายอื่น เช่น Robinhood, Line Man จะไม่น่ากังวล เช่นนี้ แต่ถ้าหากขายให้คนตัวใหญ่สุด จะกลายเป็น Grab มีอำนาจเหนือตลาดไปในทันที"

'กรมทางหลวง' อัปเดต!! เอกชนประมูลชิงที่พักริมทางบนมอเตอร์เวย์สาย 7 เตรียมยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนฯ ปลายเดือน พ.ย.นี้ รู้ผลต้นปี 67

สรุปผลการจำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการที่พักริมทาง (Rest Area) บนมอเตอร์เวย์ สาย 7 ของกรมทางหลวง เอกชนเตรียมยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนฯ ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้

กรมทางหลวงปิดการจำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการที่พักริมทาง (Rest Area) บนมอเตอร์เวย์ สาย 7 เป็นที่เรียบร้อย โดยมีภาคธุรกิจเอกชนจำนวนมากให้ความสนใจเข้าร่วมซื้อเอกสารฯ ดังกล่าว กำหนดยื่นข้อเสนอ 22 พฤศจิกายน 2566 และคาดว่าจะสรุปผลการคัดเลือกเอกชนต้นปี 67

​นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ตามที่กรมทางหลวงได้ออกประกาศเชิญชวนโครงการร่วมลงทุนสำหรับการให้เอกชนร่วมลงทุนในการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทาง (Rest Area) บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วยโครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา และโครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง และได้จำหน่ายเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (Request for Proposal: RFP) ของทั้ง 2 โครงการพร้อมกัน ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม ถึง 22 กันยายน 2566 ที่ผ่านมานั้น ผลปรากฏว่ามีเอกชนจำนวนมากให้ความสนใจซื้อเอกสารฯ ดังกล่าว เพื่อนำไปศึกษารายละเอียดสำหรับการเตรียมจัดทำข้อเสนอ การร่วมลงทุน สรุปได้ดังนี้ 

​โครงการศูนย์บริการทางหลวงศรีราชา มีผู้สนใจซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน จำนวน 8 ราย ประกอบด้วย  

1. บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด  
2. บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มหาชน  
3. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  
4. บริษัท กัลฟ์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด  
5. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  
6. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์วิศวกรรม จำกัด  
7. บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
8. บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)​

โครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง มีผู้สนใจซื้อเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย

1. บริษัท ปตท. บริหารธุรกิจค้าปลีก จำกัด  
2. บริษัท กัลฟ์ อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด  
3. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  
4. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์วิศวกรรม จำกัด
5. บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)  

ขั้นตอนต่อไป กรมทางหลวงได้กำหนดให้มีการจัดประชุมชี้แจงโครงการ (Pre-Bidding Meeting) ในวันที่ 27 กันยายน 2566 เพื่อชี้แจงรายละเอียดโครงการฯ ที่เอกชนควรทราบ พร้อมจัดกิจกรรมเยี่ยมชมโครงการ (Site Visit) ในวันที่ 4 ตุลาคม 2566 และกำหนดให้เอกชนยื่นข้อเสนอในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 โดยคาดว่าจะดำเนินการคัดเลือกเอกชนแล้วเสร็จในต้นปี 2567 พร้อมลงนามสัญญาและเริ่มต้นก่อสร้างช่วงกลางปี 2567 เพื่อเปิดให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการบางส่วนในปี 2568 และเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2569 ต่อไป

สำหรับการดำเนินงานโครงการฯ จะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยกรมทางหลวงจะส่งมอบพื้นที่โครงการฯ ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างที่พักริมทางและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงมีหน้าที่บริหารจัดการและดูแลบำรุงรักษาโครงการฯ ตลอดจนเป็นผู้มีสิทธิ์ในการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ของโครงการฯ โดยต้องชำระค่าตอบแทนให้กรมทางหลวงตามเงื่อนไขที่กำหนด ภายในระยะเวลาดำเนินโครงการ 32 ปี แบ่งเป็นงาน 2 ระยะ ดังนี้ 

ระยะที่ 1 การออกแบบและก่อสร้าง เอกชนมีหน้าที่จัดหาแหล่งเงินทุน ออกแบบและก่อสร้างองค์ประกอบและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมถึงจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
ระยะที่ 2 การดำเนินงานและบำรุงรักษา เอกชนมีหน้าที่ดูแลและบำรุงรักษา รวมถึงการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่
👍Website : www.doh.go.th
👍Facebook : @departmentofhighway
👍Twitter : @prdoh1
👍TiKTOK  : https://www.tiktok.com/@doh.thailand 

‘รมว.กต.ไทย-ซาอุฯ’ เร่งสานต่อพลวัตรความร่วมมือทวิภาคี ส่งเสริมด้านการศึกษา-ท่องเที่ยว หนุนความสัมพันธ์ภาค ปชช.

เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 66 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พบหารือกับเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อาล ซะอูด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย ในระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78)

ทั้งสองฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นที่จะสานต่อพลวัตความร่วมมือทวิภาคีไทย-ซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการฟื้นฟูความสัมพันธ์เมื่อปี 2565 โดยยินดีที่จะได้มีโอกาสพบหารือกันอีกในห้วงการประชุม ASEAN – GCC Summit ครั้งที่ 1 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ที่กรุงริยาด และการประชุมสภาความร่วมมือซาอุดีฯ – ไทย (STCC) ครั้งที่ 1 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศไทย

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือแนวทางการ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชน อาทิ การใช้ระบบ e-Visa ของซาอุดีอาระเบีย การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทย และการพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างซาอุดีอาระเบียกับภูเก็ต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top