Saturday, 4 May 2024
AmnestyInternational

แอมเนสตี้ฯ จี้ ‘เฟซบุ๊ก’ จ่ายชดเชยชาวโรฮิงญา ฐานไม่ควบคุมเนื้อหา ‘ปลุกปั่นความเกลียดชัง’

องค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ออกมาเรียกร้องให้ ‘เฟซบุ๊ก’ จ่ายค่าชดเชยให้แก่ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนที่ต้องพลัดถิ่นฐานจากเมียนมา กรณีปล่อยให้มีการเผยแพร่เนื้อหาปลุกปั่นความเกลียดชัง (hate speech) จนมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนกลุ่มนี้

ชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นมุสลิมกลุ่มน้อยตกเป็นเหยื่อปฏิบัติการกวาดล้างของรัฐบาลทหารพม่าเมื่อช่วงปี 2017 ซึ่งทำให้พวกเขาต้องละทิ้งบ้านเรือนหนีตายไปยังบังกลาเทศ และยังคงต้องอาศัยอยู่ตามแคมป์ผู้ลี้ภัยมาจนถึงทุกวันนี้

สมาคมเหยื่อชาวโรฮิงญาและนักสิทธิมนุษยชน ชี้ว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาส่วนหนึ่งมาจาก ‘ระบบอัลกอริทึม’ ของเฟซบุ๊กที่แสดงเนื้อหาความรุนแรง ข้อมูลบิดเบือน และถ้อยคำที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อคนกลุ่มน้อยเหล่านี้

“ชาวโรฮิงญาหลายคนพยายามแจ้งรายงานเนื้อหาที่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังผ่านช่องทาง report ของเฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่เป็นผล เฟซบุ๊กยังคงปล่อยให้ถ้อยคำรุนแรงเหล่านี้แพร่กระจายออกไปจนถึงกลุ่มผู้ฟังในพม่าที่ไม่เคยรับรู้มันมาก่อน” แอมเนสตี้ฯ ระบุในรายงานที่เผยแพร่วันนี้ (29 ก.ย.)

องค์กรสิทธิมนุษยชนดังกล่าวยังอ้างถึงชุดเอกสาร ‘Facebook Papers’ ซึ่งมีผู้นำมาเปิดโปงเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2021 โดยเอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า ผู้บริหารของเฟซบุ๊ก ‘ทราบดี’ ว่าแพลตฟอร์มกำลังถูกใช้เป็นช่องทางเผยแพร่เนื้อหาโจมตีชาติพันธุ์กลุ่มน้อยและกลุ่มคนชายขอบอื่น ๆ

‘แอมเนสตี้ฯ’ อัด ‘อิสราเอล’ ใช้อาวุธ ‘ฟอสฟอรัสขาว' ในกาซา ควรถูกสืบสวนตามข้อกล่าวหา ‘ก่ออาชญากรรมสงคราม’

(3 พ.ย. 66) ‘โดนาเทลลา โรเวรา’ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการรับมือภาวะวิกฤตของ ‘แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล’ (Amnesty International หรือ Amnesty หรือ AI) เปิดเผยว่า ผลการสืบสวน 4 เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 และ 16-17 ตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งในฉนวนกาซาและเลบานอน พบว่าอิสราเอลใช้ ‘ฟอสฟอรัสขาว’ เป็นอาวุธในพื้นที่ชุมชน

“เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ก่อความกังวลอย่างยิ่ง สืบเนื่องจากฟอสฟอรัสขาวเคยถูกใช้โดยกองกำลังอิสราเอลในอดีต ซึ่งก่อผลกระทบเลวร้ายแก่ประชากรที่เป็นพลเรือน” โรเวราระบุ “มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ในพื้นที่ที่มีพลเรือน มันไม่ใช่อาวุธต้องห้าม มันสามารถใช้ในสมรภูมิและกับกองกำลังต่างๆ สามารถใช้มันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่มันไม่ควรถูกใช้ในที่ที่มีพลเรือน” เธอบอกกับอัลจาซีราห์ “เราพบเห็นมีการใช้มันในกาซาและเลบานอน และมันไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำอีก”

ก่อนหน้านี้ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ ‘องค์การนิรโทษกรรมสากล’ เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (31 ต.ค.) ที่ผ่านมา ว่ามีพลเรือนในทางภาคใต้ของเลบานอน ได้รับบาดเจ็บในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา หลังกองทัพอิสราเอลใช้กระสุนปืนใหญ่ที่บรรจุฟอสฟอรัส กระสุนอันเป็นที่ถกเถียง ยิงเข้าใส่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตามแนวชายแดน

องค์กรแห่งนี้เปิดเผยว่าด้วยว่า มีการสืบสวนตรวจสอบกรณีตัวอย่างอื่นๆ ของความเป็นไปได้ที่กองทัพอิสราเอลทิ้งระเบิดฟอสฟอรัสขาวใส่พื้นที่ต่างๆ ตามแนวชายแดนเลบานอนในเดือนที่แล้ว แต่นิรโทษกรรมสากลบอกว่า ในกรณีเหล่านั้นไม่พบว่ามันก่ออันตรายแก่พลเรือน

ฟากทนายความด้านสิทธิมนุษยชน บอกว่า การใช้ฟอสฟอรัสขาวเป็นเรื่องผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ หากว่ามีการใช้สารเคมีร้อนสีขาวชนิดนี้ยิงเข้าสู่พื้นที่ชุมนุม มันสามารถทำให้อาคารต่างๆ ไฟลุกไหม้และเผาไหม้ผิวหนังมนุษย์เหลือแต่กระดูก นอกจากนี้ พวกผู้รอดชีวิตก็อาจเสี่ยงติดเชื้อ อวัยวะหรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว แม้ว่าถูกเผาไหม้เพียงแค่จุดเล็กๆ ก็ตาม

ทั้งนี้ หลังจากอิสราเอลโจมตีหมู่บ้านดูไฮรา เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ทำบ้านเรือนและรถเกิดไฟลุกไหม้ มีพลเรือน 9 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ในอาการหายใจติดขัด องค์กรนิรโทษกรรมสากลระบุว่า พวกเขามีภาพถ่ายที่ผ่านการยืนยันความถูกต้องแล้ว เป็นภาพที่กระสุนฟอสฟอรัสถูกวางเรียงอยู่ใกล้กับปืนใหญ่ของอิสราเอล ใกล้แนวชายแดนเลบานอน-อิสราเอล

องค์การนิรโทษกรรมสากลประณามเหตุการณ์นี้ว่าเป็นการ “โจมตีแบบไม่เลือกหน้า” ที่ทำร้ายพลเรือน และควรถูกสืบสวนตามข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงคราม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top