Wednesday, 15 May 2024
3จังหวัดชายแดนใต้

‘ประชาธิปัตย์’ ชู นโยบายเป็นไปได้ - ทำได้จริง สู่หมุดหมายทวงคืนเก้าอี้ 3 จ.ชายแดนใต้

ประชาธิปัตย์กับสามจังหวัดชายแดนใต้ นโยบายที่เป็นไปได้ ทำได้จริง ไม่วาดฝันแค่ช่วงเลือกตั้ง

‘นิพนธ์ บุญญามณี’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องย้ำหลายครั้งถึงความอุดมสมบูรณ์ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพียงแต่มีปัญหาความไม่สงเรียบร้อย จึงต้องการให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นคลังอาหารของภาคใต้ นอกจากภาคพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์แล้ว มีสองจังหวัดที่ติดทะเล คือปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งทางทะเลก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์เช่นกัน และยังมีเป้าหมายในการ ‘สร้างสันติภาพให้เกิดสันติสุข’

การเลือกตั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่น้อย มีเพียงครั้งที่ผ่านมา ที่สูญเสียที่นั่งส่วนใหญ่ไป ได้มาเพียงคนเดียว คือ ‘อันวาร์ สาและ’ จังหวัดปัตตานี โดยสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมามี ส.ส.ได้ 11 คน พรรคประชาชาติได้ไป 6 คน พรรคพลังประชารัฐ 3 คน ประชาธิปัตย์ 1 คน และภูมิใจไทย 1 คน การเลือกตั้งครั้งหน้ามี ส.ส.เพิ่มมา 1 คน เป็น 12 คน ยะลา 3 ปัตตานี 4 และนราธิวาสเพิ่มมา 1 คน เป็น 5 คน

สำหรับ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ นอกจากจะมีนโยบายใหม่ เช่น ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ โดยภาพรวมแล้ว ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ หัวหน้าพรรค ยังเลือกที่จะใช้นโยบายเดิมที่เป็นนโยบายซึ่งทำได้จริงที่เคยประสบความสำเร็จ และเสริมนโยบายใหม่ ๆ ทันสมัย และทำได้จริงเข้าไปและถึงมือประชาชนจริง เช่น นโยบายการประกันรายได้ผลผลิตการเกษตรของเกษตรกร และจะขยายขอบเขตของการประกันรายได้ไปสู่อาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เกษตรกรด้วย

‘ประชาธิปัตย์’ เป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบายชัดเจนและต่อเนื่อง ไม่ใช่มีนโยบายเฉพาะกิจในช่วงหาเสียงเพื่อการเลือกตั้ง หวือหวาในช่วงหาเสียง แต่ยังไม่รู้ว่าทำได้จริงหรือไม่ เอางบประมาณมาจากไหน แต่เป็นนโยบายที่วางเป็นรากฐานของการแก้ปัญหาและการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี เช่น โครงการนมโรงเรียน โครงการอาหารกลางวัน เงินกู้ กยศ. และอีกหลายโครงการที่แยกย่อยลงมาในกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อครั้งที่คนของพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเป็นรัฐมนตรี

หรือโครงการ อสม. เงินผู้สูงอายุ ยกระดับสถานีอนามัย 10,000 แห่งให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือ รพ.สต. เมื่อครั้งที่ ‘จุรินทร์’ คนของประชาธิปัตย์เป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุข

ประชาธิปัตย์ก้าวย่างเข้าไปในกระทรวงไหน ก็จะเข้าไปเป็นผู้วางรากฐาน ที่เป็นนโยบาย เพื่อให้เกิดความมั่นคงที่คนของพรรคการเมืองอื่น เมื่อเข้าไปเป็นเจ้ากระทรวงจะได้สานต่อทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น เพิ่มค่าตอบแทนให้ อสม. และเพิ่มเงินผู้สูงอายุ และอื่น ๆ ที่ ‘ประชาธิปัตย์’ เป็นผู้ทำเอาไว้ และไม่มีโครงการไหนที่ประชาธิปัตย์ทำไว้แล้วถูกยกเลิก

นโยบายการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ในการเลือกตั้งสมัยที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์มี ส.ส.เพียงคนเดียวใน จ.ปัตตานี กับอีก 3 คนของ จ.สงขลา แต่ประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ละเลยในการแก้ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเรื่องของความยากจนของคนใน จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส พร้อมกับเดินหน้าสรรหาคนเลือดใหม่เข้ามาเสริมทัพให้แข็งแกร่งขึ้น จะต้องมี ส.ส.ทุกจังหวัดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ครม. ไฟเขียว ปรับเกณฑ์ปล่อยกู้ 3 จว.ชายแดนใต้ ช่วยผู้ประกอบการเข้าถึงเงินทุน-เดินหน้าธุรกิจต่อเนื่อง

(14 มี.ค.66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม  2565 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอในการลงทุนและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง 

การปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการในครั้งนี้ มีสาระสำคัญ คือ 
1.คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ ปรับปรุงโดยขยายกลุ่มผู้ขอสินเชื่อให้ครอบคลุมลูกหนี้รายเดิมที่เคยได้รับสินเชื่อโครงการมาแล้วเกิน 5 ปี สามารถเข้าร่วมโครงการได้ จากเดิมที่ผู้ขอสินเชื่อโครงการนี้ จะต้องไม่เคยได้รับสินเชื่อโครงการ หรือได้รับสินเชื่อโครงการมาแล้วไม่เกิน 5 ปี 

2.วงเงินโครงการ 25,000 ล้านบาท ปรับปรุงโดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 
(1) วงเงิน 20,000 ล้านบาท สำหรับผู้กู้รายเดิมที่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการมาแล้วเกิน 5 ปี ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และมีต้องการขอรับสินเชื่อโครงการต่อเนื่อง 
(2) วงเงิน 5,000 ล้านบาท สำหรับผู้กู้รายใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อของโครงการมาก่อน  

ทั้งนี้ สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อ โดยให้ความสำคัญกับผู้กู้รายใหม่ที่ยังไม่เคยได้รับสินเชื่อมาก่อนเป็นลำดับแรก 

'ต่างชาติ' แชร์!! ประสบการณ์สุดประทับใจใน 3 จว.ชายแดนใต้ ดินแดนที่คนถิ่นมุ่งมั่นทำให้น่าเยือน แต่คนไทยกันเองบิดเบือนให้น่ากลัว

(1 พ.ค.66) จากเฟซบุ๊ก 'Jo Montanee' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเสน่ห์แห่ง 3 ชายแดนภาคใต้ ซึ่งวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก ระบุว่า...

- “อย่าไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นะอันตรายมาก”
- “ถ้าคุณไปคุณต้องระวังให้มากๆ อย่าไปเดินซี้ซั้วในเขตเสี่ยง ไม่ควรออกมาตอนค่ำ” 
- “ครั้งสุดท้ายเราเห็นคุณขึ้นรถไฟแล้วอยู่ดีๆก็หายไปหลายวัน เราคนไทยเป็นห่วงจริงๆนะ นึกว่าเกิดเรื่องกับคุณแล้ว”

นั่นคือ สารพัดคำเตือนจากผู้ชมชาวไทยจนเต็มหน้ายูทูบไปหมด เมื่อได้รู้ว่า Ellis หนุ่มวิศวกร กับ Alicia พยาบาลสาวชาวอังกฤษวัยแค่ 20 กว่า จากช่องยูทูบ ELLIS WR กำลังจะนั่งรถไฟชั้น 3 ไป #ปัตตานี

ความที่ทั้งคู่เป็นยูทูเบอร์ผู้ชอบเที่ยวไทยแบบสัมผัสวิถีชนบท นั่งคุยกับคนไทยท้องถิ่น กินอาหารที่ตลาดประจำตำบล ชนเหล้าขาวในบ้านของพี่น้องไทย กล้ากินเผ็ด กินลาบ กินก้อย และกินซอยจุ๊ พวกเขาจึงน้อมรับคำเตือน แต่ก็ยังมาสัมผัสกับปัตตานีด้วยตัวเองอยู่ดีค่ะ

ทว่า ประสบการณ์ที่คู่รักได้เจอจริงๆ กลับน่าประทับใจมาก! 

เพราะทั้งคู่เดินหลงไปเจอกรุ๊ปทัวร์ของเหล่าคุณแม่คุณป้าอาม่าอาซ้อวัยเกษียณนับสิบชีวิต ที่เดินทางจากกรุงเทพมาเที่ยวปัตตานี แล้ววันนี้ต่างยกพลมาเยี่ยมชมบ้านไทยผสมจีนสไตล์วินเทจโบราณที่เจ้าของเปิดให้เข้าชมฟรี

คุณแม่ๆ เอ็นดูฝรั่งน้อยเลยให้มาจอยกรุ๊ปทัวร์ด้วยกัน ซึ่งแม่ๆ ไม่ได้ทัวร์ที่เดียว แต่หนีบเอลลิสและอลิเซียนั่งรถไปทัวร์จุดต่างๆ อยู่ครึ่งวันเลยจ้า! แถมยังชวนคู่รักมาถ่ายรูปเซลฟี่ซะทุกจุดชมวิวกันเลยทีเดียว ทำเอาเอลลิมึน ทั้งขำฮา ทั้งน่ารัก ทั้งดีต่อใจมากมายค่ะ 

https://youtu.be/s_eIBHf7-bU
พี่โจดูจบคลิปแล้ว…บอกตรงๆ ว่ารู้สึกภาคภูมิใจแทนพี่น้องปัตตานีจริงๆ นะคะ เพราะปัตตานี-ดินแดนที่คนไทยจำนวนมากมองภาพเป็นลบว่า “อย่าไป นี่คือสถานที่แสนน่ากลัว” แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นจังหวัดเล็กๆ ที่อบอุ่น ภูมิทัศน์สวยงาม ร่มรื่น บ้านเมืองสะอาดเอี่ยมทุกที่ ถนนหนทางที่เอลลิสถ่ายมาก็ช่างเนี้ยบมาก ไม่เห็นขยะเลยแม้แต่ชิ้นเดียว  

ชาวเมืองที่เอลลิสพบเจอก็ใจดีอ่อนโยน และที่สำคัญคือร่าเริงมาก! ทั้งทีม #การท่องเที่ยวปัตตานี (พี่โจเพิ่งรู้จริงๆว่าปัตตานีมีททท.ประจำจังหวัดด้วย! เบิกเนตรของแท้) ทั้งคุณป้าขายไอศกรีมมะพร้าวของโปรดของทั้งคู่ ป้าเรียกน้องทั้งสองว่าลูกทุกคำ แถมยังเพิ่มไอติมให้น้องฟรีอีก 1 ก้อน แต่น้องไม่รู้เพราะสกิลพูดไทยได้เยอะแต่สกิลการฟังไม่คล่อง เลยตกใจว่าไอติม 20 บาททำไมมันเยอะขนาดนี้ รวมทั้งพ่อค้าแม่ขายตามถนนและท้องตลาด เช่น สาวน้อยมุสลิมขายยาคูลต์ แม่ค้าพุทธที่ขายหมูปิ้งหมาล่า เป็นต้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เปี่ยมพลังชีวิตทั้งสิ้น ไม่ใช่ซึมกระทือหดหู่แบบที่คนคิดกัน

แต่สิ่งที่พี่โจประทับใจที่สุด คือ...

เอลลิสถ่ายให้เห็นการอยู่ร่วมกันของ 3 ศาสนา เพราะมันคือ “สัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” ที่เป็นพยานชั้นดีว่า…ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน เป็นคนเชื้อชาติใดศาสนาใด แต่ถ้าอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ใต้ร่มเงาพระมหากษัตริย์ไทยด้วยกันหมดแล้ว เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและเกื้อกูลค่ะ 

ในวิดิโอ เอลลิสเดินไปเจอมัสยิดโบราณ 500 ปีที่ได้รับการรักษาดูแลอย่างดี สะอาดเอี่ยมอ่องจนเขาออกปากชม

แล้วเมื่อเขากับแฟนสาวเดินเลยไปไม่ไกล ก็เจอวัดจีนที่สีสันสดใสมาก มีผู้คนมากราบไหว้ไม่ขาดสาย มีของกินขายหน้าวัด คนมารอคิวซื้ออย่างมีชีวิตชีวา

ถัดวัดจีนไปก็เจอวัดไทยเลยค่ะ บรรยากาศเงียบสงบ กำแพงสลักภาพนูนต่ำสวยงาม กระจกหลังคาวัดส่องแสงกระทบแดดยามเย็นดูระยิบระยับไปหมด

ปัตตานี จึงเป็นตัวแทนอย่างดีของจิตวิญญาณแบบประเทศไทย ที่ยากจะหาประเทศไหนเสมอเหมือนได้ 

สุดท้าย พี่โจขอฝากอีกหนึ่งคลิปนะคะ ของฝรั่งหนุ่มหัวใจไทยแลนด์สุดๆ คือคุณ Paddy Doyle เขาก็เจอคำเตือนสยองจากคนไทยอย่างนี้เช่นกัน แต่พอเขาถามคนที่เคยไป ทุกคนบอกว่าไปเที่ยวได้นะ 3 จว.ชายแดนใต้สวยมากๆ แพ้ดดี้จึงตะลุยเที่ยวทั้ง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาสอย่างสนุกสนานมาแล้ว

ยอดวิวคลิปนี้ ตอนปัตตานี พุ่งสูงถึงแสนกว่าวิวจนแพ้ดดี้เองยังงงเลยค่ะ!

https://youtu.be/zujngkYh8bo

‘ลอรี่ พงศ์พล’ ชี้ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นของคนไทย 66 ล้านคน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ลอรี่ นักการเมืองหนุ่มรุ่นใหม่ อดีตผู้สมัครส.ส.มุสลิมหนึ่งเดียวในเขตเลือกตั้งที่ 22 เขตสวนหลวง, เขตประเวศ (เฉพาะแขวงหนองบอน) จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับประเด็น รัฐปาตานี โดยได้แสดงความคิดเห็นไว้ มีใจความว่า ...

แยก 'รัฐปาตานี' 
ฉันทามติของใคร หรือ
เป็นอธิปไตยคนไทยทุกคน?
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวการเมืองสารพัด หลายเรื่องควรปล่อยไปตามคำวินิจฉัยขององค์กรที่เกี่ยวข้อง.. แต่เรื่องหนึ่งที่ผม มิอาจปล่อยได้คือ ความพยายามจัดประชามติ - เคลื่อนไหวลองเชิง เพื่อแบ่งแยกตัวเองของ 3จังหวัดภาคใต้ ภายใต้ชื่อ 'รัฐปาตานี' ที่ร่วมขบวนโดยกลุ่มนักศึกษา และตัวแทนพรรคการเมืองกลุ่มหนึ่ง

จากประชามติ "แยกดินแดน - แยกตัวเป็นเอกราช” ที่ทำกันที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ไปจนถึงการประชุมถกร่วม 8พรรค ของว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล ..เรื่องเหล่านี้ทำให้ผมเป็นห่วง เพราะฟังแล้วออกจะผิดแปลก จากกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”

กลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่ง อ้างความคิดแบ่งแยกจากจุลสาร "สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง" ซึ่งเขียนโดย ณัฐกฤษตา เมฆา เพื่อขยายความเรื่องสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งประชาชนเป็นเจ้าของ

ผมขอถามว่า "ใครคือเจ้าของ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้"

- คนที่ถือโฉนดที่ดิน มีกรรมสิทธิ์ ?
- ผู้อยู่อาศัย ที่มีทะเบียนบ้านในพื้นที่ ?
..ปล่าวเลย
เจ้าของ คือ "ประชาชนคนไทย 66ล้านคน" ที่มีอธิปไตยในประเทศตนเอง

การทำประชามติจากกลุ่มนักศึกษา เรื่องเอกราชของ 3จังหวัดชายแดน นอกจากสุ่มเสี่ยงผิดรัฐธรรมนูญ.. อีกทั้งยังละเมิดเจ้าของพื้นดิน 3จังหวัดภาคใต้ตัวจริง ซึ่งคือประชาชนทุกคนใน 76จังหวัด + 1กรุงเทพ

อยากทำประชามติแบบแฟร์ ต้องทำมันทุกจังหวัดครับ ไม่ใช่พื้นที่ไม่กี่อำเภอในพื้นที่ ..เพราะคนไทยทุกคนเป็นเจ้าของพื้นที่ เสียภาษีเพื่อทำนุบำรุง 3จังหวัดชายแดนภาคใต้มายาวนาน ไม่ใช่ปิดประตู ถามแค่คนในแบบนี้

ถามเอง-ลงมติเอง-แยกเอง "คนไทยทุกคน"เสียหาย จะเดินทางเข้ายะลา, ปัตตานี, นราธิวาส ต้องขออนุญาติ ทำเรื่องวีซ่าเข้า ทั้งที่พื้นที่นี้คือแผ่นดินของคนไทยเราร่วมกัน ใช่หรือไม่

ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว ที่จะแบ่งแยกมิได้ นี่ยังไม่ได้ พูดความสามารถในการเลี้ยงดูตัวเองของ 3จังหวัด ที่ยังจัดเก็บภาษีได้น้อย และพึ่งงบประมาณช่วยเหลือต่อปี จากส่วนกลางจำนวนมาก

ปัตตานี จัดเก็บภาษีได้เอง 182ล้านบาท
ยะลา จัดเก็บภาษีได้เอง 215ล้านบาท
นราธิวาส จัดเก็บภาษีได้เอง 128ล้านบาท
(เทียบกับจังหวัดอื่นในปี65 สงขลา 1,074ล้าน, กรุงเทพ 19,748ล้าน, อุบลราชธานี 640ล้าน, เชียงราย 548ล้าน เป็นต้น)

แต่ทั้ง 3 จังหวัดยังต้องพึ่งพา งบจัดสรรทางภาครัฐ + เงินอุดหนุน (Intergovernmental Transfers) รวมทั้งหมดถึง 17,894 ล้านบาท

จำนวนเงินแตกต่างกันมหาศาล จนมีคำถามว่าเมื่อปราศจากเงินภาครัฐส่วนกลาง ทั้ง 3จังหวัดจะมีการบริหารตัวเองอย่างไร?

ความคิดอยากเปลี่ยนแปลง ต้องตั้งอยู่ในสมมุติฐานความเป็นจริง เคารพต่อรัฐธรรมนูญ หลักการประชาธิปไตย ที่ประชาชนไทยทุกคนต้องมีส่วนร่วม, คำนึงถึงความพร้อมด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง, ความมั่นคงของประเทศ 

หาใช่เพียงการไม่ยอมรับความแตกต่าง ต่อต้าน และไวต่อแรงยั่วยุของกลุ่มบุคคลไม่หวังดี

ผมยังเชื่อว่าพี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้ ยังสามารถหาทางออกร่วมกับประเทศ อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ต่างชาติพันธุ์ ต่างศาสนา

เรามาหาแนวทางพิทักษ์สันติราษฎร์ที่โปร่งใสขึ้น ทุกคนยอมรับได้

อย่างสันติวิธีดีกว่าครับ
 

'โบกธง' แสดงพลังศรัทธาชาวไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยุติความรุนแรงในปาเลสไตน์

เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น.หน้าบริเวณ มัสยิดกลางจังหวัดนราธิวาสได้มี ชาวไทยมุสลิมและมุสลีมะห์ ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ นราธิวาส ยะลา และปัตตานี ได้ออกมาแสดงพลังสามัคคี แสดดงจุดยืน ให้ยุติสงครามที่เกิดความรุนแรงขึ้นอยากต่อเนื่องจนบานปลายระหว่างประเทศ อิสลาแอล- ปาเลสไตน์ ด้วยความรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ จึงมี ทั้งประชาชน นักศึกษา สตรี เด็ก กว่า 200 คน  ถือธงปาเลสไตน์ และเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง ขอความสันติให้กับพี่น้องที่ได้รับผลกระทบ และสูญเสียในสงครามครั้งนี้ จากนั้นได้เคลื่อนขบวน โบกธงปาเลสไตน์ ไปตามถนนสายหลักในเมือง จังหวัดนราธิวาส 

เนื่องจากก่อนหน้านี้ ได้รับรายงานจากโพสต์ ของเพจ Thailand Stand with Palestin ( ไทยเคียงข้างปาเลสไตน์ ) ได้ออกมาโพสต์ เชิญชวน ที่มีเนื้อหาว่า วันศุกร์ที่ 27 นี้ มาร่วมละหมาดกันที่ “ มัสยิดประจำจังหวัดรวมตัวกัน “หลังละหมาดวันศุกร์ เราจะไปโบกธงปาเลสไตน์ ให้โลกได้รู้ว่า เราเคียงข้างปาเลสไตน์ และ จะมีการแสดงพลัง เชิงสัญลักษณ์ต่อต้านการใช้ความรุนแรง หยุด โจมตีฉนวนกาซา เรียกร้องให้ยุติสงความ และสนับสนุนสันติภาพ อย่างเป็นธรรม

4 มกราคม พ.ศ. 2547 จุดเริ่มต้น ‘ความไม่สงบ-ขัดแย้ง’ พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 เกิดเหตุการณ์ปล้นปืน จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘ค่ายปิเหล็ง’ ในตำบลปิเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง โดยเหตุการณ์ครั้งนี้นับได้ว่าเป็น ‘จุดปะทุของความรุนแรงในสถานการณ์ไฟใต้’ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้มีทหารเสียชีวิต 4 นาย ทางด้านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า คนร้ายได้อาวุธปืนไปทั้งสิ้น 413 กระบอก ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ยึดคืนมาได้ 94 กระบอก

ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับคดี ป.วิอาญา ร่วมกันบุกปล้นปืน โดยมีจำนวน 11 คน ถูกจับได้ 2 คน คือ นายมะซูกี เซ้ง และนายซาอีซูน อับดุลรอฮะ พร้อมอาวุธปืนของกองพันพัฒนาที่ 4 ถูกนำไปใช้ก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปี พ.ศ. 2555

โดยในระหว่างปี 2547 - 2554 มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่สงบนี้กว่า 4,500 คน และได้รับบาดเจ็บกว่า 9,000 คน นับเป็นความขัดแย้งที่มียอดผู้เสียชีวิตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปี 2554 สถานการณ์กลายเป็นการคุมเชิงระดับต่ำ ส่วนใหญ่ลักษณะการก่อเหตุเป็นการประกบยิง แต่มีเหตุระเบิดแสวงเครื่อง เฉลี่ย 12 ครั้งต่อเดือน มีเหตุการณ์ความรุนแรงกว่า 11,000 ครั้ง และการวางระเบิดกว่า 2,000 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ไม่สงบเหล่านี้ ทางฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเอง ไม่มีข้อเรียกร้องทางการเมืองออกมาชัดเจน จึงไม่สามารถสาเหตุได้ชัดเจนว่า เหตุใดความไม่สงบจึงปะทุกลับมาอีกครั้ง 

ทั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์ วิเคราะห์ว่า การก่อเหตุได้มีการเปลี่ยนจากเป้าหมายด้านเชื้อชาติและชาติพันธุ์และแบ่งแยกดินแดนมาเป็นอิสลามิสต์หัวรุนแรง สถานที่ก่อเหตุย้ายจากป่าเข้ามาในหมู่บ้าน เมืองและนคร ในโครงสร้างแบบเซลล์ โดยใช้กลุ่มผู้ก่อเหตุขนาดเล็กประมาณ 5-10 คน โครงสร้างแบบเซลล์นี้ทำให้ไม่ต้องใช้เงินทุนสนับสนุนมากนัก

ช่วงกลางปี 2549 ตำรวจประเมินว่ามีแนวร่วมก่อเหตุราว 3,000 คน ปฏิบัติการใน 500 เซลล์ จากจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด 1,574 แห่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

รายงานของกลุ่มวิกฤตระหว่างประเทศปี 2548 ระบุว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชน เคร่งศาสนา ติดอาวุธไม่ดีและพร้อมสละชีพเพื่ออุดมการณ์ กลางปี 2548 ยอดผู้เสียชีวิตชาวมุสลิมสูงกว่ายอดผู้เสียชีวิตชาวพุทธ ซึ่งเชื่อว่ามุสลิมที่ตกเป็นเป้านั้นใกล้ชิดกับทางการไทยหรือค้านความคิดอิสลามิสต์

จากข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ พบว่า ความถี่ของการก่อเหตุขึ้น ๆ ลง ๆ แต่สูงสุดในปี 2550 (2,409 เหตุการณ์) และ ปี 2555 (1,851 เหตุการณ์) ซึ่งศูนย์ฯ ตั้งข้อสังเกตว่าความถี่ของเหตุการณ์อาจเพิ่มขึ้นและลดลงเป็นวัฏจักรโดยจะมีความถี่สูงสุดทุก 5 ปี ยอดผู้เสียชีวิตรายปีลดลงทุกปีนับแต่ปี 2556

'พล.ต.ท.สำราญฯ' ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มอบแนวทางการปฏิบัติ เน้นหลักการ 'เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา' ในการแก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ในทุกด้านของ ศปก.ตร.สน. และลดความสูญเสียของบุคลากรในทุกรูปแบบ

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./ผบ ศปก.ตร.สน. ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) เมื่อวันที่ 3 - 5 ม.ค.2567 โดยมี พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. พร้อมด้วย พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี , พล.ต.ต.นิตินัย หลังยาหน่าย , พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./รอง ผบ.ศปก.ตร. , พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.ตชด./รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. และ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ร่วมตรวจเยี่ยม ทั้งนี้ พล.ต.ท.สำราญ ฯ พร้อมคณะ ได้เข้าพบ พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผอ.กอ.รมน.ภาค 4  ณ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า (ค่ายสิรินธร) หารือกับแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่าง กอ.รมน.ภาค 4 กับ ศปก.ตร.สน. เพื่อให้เกิดความสงบสุขในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

จากนั้น พล.ต.ท.สำราญ ฯ และคณะ ได้ตรวจเยี่ยม ศปก.ตร.สน. หารือการปฏิบัติงานส่วนต่าง ๆ ซึ่ง พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน.ได้รายงานสถานการณ์ต่างๆ ดังนี้  การเตรียมการด้านกฎหมาย โดยจะมีการประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 1/67 ในวันจันทร์ที่ 8 ม.ค.67 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ ฯ เป็นผู้แทนในนามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นอกจากนี้ ได้รายงานถึงสถานภาพกำลังพล อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ตลอดจน อาคารที่ทำหารที่พักอาศัย ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาปรับปรุงและแก้ไข จากการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา ในด้าน การปฏิบัติการและสนับสนุนได้รายงานสมรรถนะและขีดความสามารถ การปฏิบัติของหน่วยในการรวบรวม วิเคราะห์ และนำไปใช้ ของข้อมูลบุคคล ยานพาหนะ สถานที่ อุปกรณ์ ในการก่อเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่  พร้อมสาธิตการยิงปืนระดับชำนาญการของชุดปฏิบัติการพิเศษ “แดนไทย 54” ณ ศูนย์ฝึกทางยุทธวิธี กก.สส.ศปก.ตร.สน.(บูเก๊ะคละ) เพื่อเป็นแนวทางในการทบทวนยุทธวิธี ให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในภาพรวมต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.ท.สำราญ ฯ ได้เดินทางไปพื้นที่ ภ.จว.ยะลา , ภ.จว.นราธิวาส และ ภ.จว.ปัตตานี โดยตรวจเยี่ยมฐานปฏิบัติการ มว.ฉก.นปพ.ยะลา 1 (ปรามะ) จ.ยะลา ซึ่ง พล.ต.ต.เสกสันต์ ชูรังสฤษฏ์ ผบก.ภ.จว.ยะลา รายงานบรรยายสรุปผลการปฏิบัติ ปัญหาข้อขัดข้อง และข้อเสนอในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วย , ภ.จว.นราธิวาส ตรวจการปฏิบัติของฐานปฏิบัติการ นปพ.นราธิวาส 13 (บาเจาะ) และตรวจการปฏิบัติของ สภ.ศรีสาคร โดยมี พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.ภ.จว.นราธิวาส รายงานบรรยายสรุป ผลการปฏิบัติ ปัญหาข้อขัดข้อง และข้อเสนอในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วย , ส่วน ภ.จว.ปัตตานี มี พล.ต.ต.สันทัด เชื้อพุฒตาล ผบก.ภ.จว.ปัตตานี รายงานบรรยายสรุป ผลการปฏิบัติ ปัญหาข้อขัดข้อง ข้อเสนอในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วย และตรวจการปฏิบัติของ สภ.นาประดู่

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ ตร./ผบ ตร.ศปก.ตร.สน. เปิดเผยว่า ได้มอบแนวทางการปฏิบัติ พร้อมกำชับให้ใช้ทุกมาตรการเพื่อป้องกันการถูกโจมตีฐานที่ตั้ง ที่พัก ลดความสูญเสียในทุกรูปแบบ สืบสวนก่อนเกิดเหตุ ด้วยการเก็บข้อมูลบุคคล ยานพาหนะ และปราบปรามอย่างต่อเนื่อง ด้วยยุทธวิธีที่เหมาะสม ซึ่งทุกประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะ จะมีการพิจารณาหารือส่วนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอ ผบ ตร. เพื่ออนุมัติแนวทางการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป

‘รมว.ปุ้ย’ เข้าหารือ ‘เจ้าการกระทรวงกลาโหม’ ส่งเสริม ‘อุตฯ ฮาลาล’ ใน 3 จว.ชายแดนภาคใต้

เมื่อวานนี้ (5 ก.พ.67) นางสาว พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยถึงสาระสำคัญในการเยือนกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ ‘อุตสาหกรรมฮาลาล’ กับ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำข้อราชการสำคัญเข้าหารือกับเจ้ากระทรวงกลาโหม ในประเด็นการเร่งผลักดันให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล ในพื้นที่ภาคใต้ 

สืบเนื่องจากคุณลักษณะความเหมาะสมเชิงพื้นที่ มีพี่น้องชาวไทยมุสลิมจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นแหล่งวัตถุดิบ ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านเช่นมาเลเซีย ตลาดใหญ่ของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ที่สำคัญพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย มีสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนจาก BOI สูงสุดได้ถึง 8 ปี ดังนั้นจึงมีความเหมาะสมการส่งเสริมการลงทุนอย่างมาก ทางกระทรวงฯ จึงได้เข้าหารือเพื่อขอรับความร่วมมือจากเจ้ากระทรวงกลาโหมในการสนับสนุนพัฒนาและความมั่นคงในเชิงพื้นที่ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จแก่เศรษฐกิจ 3 จังหวัดชายแดนใต้ต่อไป

ทั้งนี้ รมว.ได้เผยอีกว่า “ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดี เพราะนอกจากจะได้เข้าพบกับท่านสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว ก่อนหน้าไปพบท่านสุทินปุ้ยก็ได้ถือโอกาสเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย ที่คู่มากับกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยการเข้าไปสักการะศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นไปสักการะหอเทพารักษ์ทั้ง 5 ซึ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่าเทพารักษ์ทั้ง 5 เป็นเทพยดาผู้ปกป้องป้องบ้านเมืองของเรา อันมีพระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, เจ้าพ่อเจตคุปต์, พระกาฬไชยศรี, เจ้าหอกลอง โดยได้สักการะตามขั้นตอนประเพณีที่สืบกันมาอย่างครบครัน รวม 5 ขั้นตอน อานิสงส์ทั้งหลายที่ได้กระทำการมงคลนี้ ขอสำเร็จ สัมฤทธิ์ผลแด่พ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาทุกๆ ท่าน”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top