Sunday, 20 April 2025
ใดๆdigest

เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบแน่ เมื่อ ‘ทรัมป์’ คัมแบค ชี้!! หนัก - เบา อยู่ที่การสร้างสมดุล ‘ไทย - จีน – สหรัฐ’

สรุปสั้น ๆ จากนโยบายต่างประเทศและวิธีการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียของ ทรัมป์ในอดีต  เมื่อทรัมป์ได้กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 จะมีผลกระทบที่สำคัญกับประเทศไทยยังไงบ้างในด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ทางภูมิรัฐศาสตร์ พอสรุปได้กว้าง ๆ ในมิติสำคัญ ๆ ได้ประมาณนี้ครับ 

1. ความสัมพันธ์ด้านการค้าและผลกระทบกับไทยด้านเศรษฐกิจการส่งออก: 
ด้วยความที่ทรัมป์ชูนโยบาย 'America First' มาโดยตลอด ทำให้ดีลข้อตกลงการค้าขายกับประเทศต่างๆที่ผ่านมารวมถึงไทยด้วยนั้นคงจะโดนตรวจสอบใหม่ทั้งหมดโดยดีลไหนที่เห็นว่าทางอเมริกาเสียเปรียบหรือไม่ได้ประโยชน์ที่เหมาะสมในปัจจุบันก็คงต้องเจรจากันใหม่ ซึ่งภาคธุรกิจส่งออกไทยที่ส่งสินค้าเข้าไปขายในอเมริกาก็คงจะโดนผลกระทบเข้าไปเต็ม ๆ ซึ่งที่ผ่านมาการส่งออกไทยไปอเมริกาก็เติบโตเกินดุล (ไทยส่งออกไปอเมริกามากกว่านำเข้า) มาโดยตลอด ซึ่งก็อาจจะไปเตะตาและดึงความสนใจจากคณะทำงานของทรัมป์ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่านอกเหนือจากจีนที่ ทรัมป์มองว่าเป็นภัยคุกคามเบอร์หนึ่งแล้วทรัมป์จะมองว่าประเทศไหนที่มีความสำคัญที่จะต้องจัดการในอันดับรอง ๆ ลงมาอีก 

2. ความร่วมมือทางด้านการทหารและความมั่นคง: 
ที่ผ่านมาไทยกับอเมริกามีความร่วมมือทางการทหารมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้น ที่ทุกคนคุ้น ๆ กันคือการฝึก Cobra Gold ซึ่ง ณ ตอนนี้คงต้องรอดูท่าทีว่าทรัมป์จะเอายังไงต่อ จะเพิ่ม, จะลด หรือคงความร่วมมืออยู่ในระดับเดิมก็คิดว่าทรัมป์น่าจะรอดูท่าทีในระดับภูมิภาคโดยมีตัวแปรสำคัญคือท่าทีของเราว่าจะเอายังไงกับจีน อาจมีการพยายามดึงให้ไทยมาอยู่ฝั่งอเมริกาในกรณีที่ความสัมพันธ์ อเมริกา-จีนมีความตึงเครียด (ซึ่งมีแน่ ๆ เมื่อทรัมป์กลับมาสมัยที่ 2) สรุปก็คือในด้านการทหารและความมั่นคง อเมริกาจะเอายังไงกับไทย ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอายังไงกับจีนนั่นเอง (งูกินหางเลยทีเดียวเชียว ไม่งงเนอะ 😅)

3. การกดดันเรื่องความสัมพันธ์กับจีน: 
ต่อเนื่องจากข้อ 2 ด้วยความทรัมป์ ลุงแกก็อาจมีการกดดันไทยให้ลดความสัมพันธ์และจำกัดความร่วมมือต่างๆจากจีน ไม่ว่าจะด้านเทคโนโลยี, โครงสร้างพื้นฐานต่างๆและ ความร่วมมือทางทหาร ซึ่งอันนี้ทางเราก็ต้องหาทางบาล้านซ์และหลบหลีกหลีกหนีให้ดีว่าระหว่างอเมริกากับจีนเราจะเลือกใคร (แต่ถ้าให้เดา ทางเราคงอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ฝีมือของรัฐบาลเราครับ) 

4. ผลกระทบกับไทยในฐานะสมาชิก ASEAN: 
อันนี้ก็เหมือนกับข้อ 2,3 แต่ขยายขึ้นเป็นระดับทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนโยบายต่างประเทศของทรัมป์ (ที่เน้นเรื่องการต่อต้านจีน) อาจจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในชาติสมาชิกของ ASEAN ซึ่งอาจนำมาซึ่งการต้อง “เลือกข้าง” ว่าจะไปทางจีนหรืออเมริกาของแต่ละประเทศ รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์แบบ “เฉพาะตัว” ของแต่ละประเทศกับอเมริกา ซึ่ง again อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลของประเทศเล็กๆ น้อยๆ ตะมุตะมิ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงแต่ละประเทศแถวนี้ๆ ว่าสุดท้ายจะเอายังไงกันดี 

5. ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน และ การปกครอง: 
โดยทั่วไปทรัมป์ถือคติว่าจะ 'ไม่ยุ่ง' การเมืองภายในประเทศอื่นๆ แต่ก็ต้องขีดเส้นใต้หนัก ๆ ด้วยว่า “ที่ไม่ส่งผลเกี่ยวข้องกับอเมริกา” ซึ่งก็คงทำให้ไทยถูกจับตาน้อยลงในประเด็นเรื่อง ความเป็นประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน และการคุกคามเสรีภาพของประชาชน ซึ่งต่างจากรัฐบาลของไบเดนที่ผ่านมา ซึ่งไทยก็โดนตรวจสอบ โดนเตือน โดนแซะจากทำเนียบขาวเป็นระยะๆ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คงต้องรอดูผลกระทบในระยะยาวต่อไปครับ 

6. ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว: 
เมื่อทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวได้สำเร็จ จะมีการปรับนโยบายการเดินทางเข้า-ออกประเทศ, การขอ Visa และเพิ่มข้อจำกัดต่างๆ (เพื่อจัดการกับคนเข้า-ออกอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย) ซึ่งเรื่องเหล่านี้อาจส่งผลกระทบทางอ้อมกับธุรกิจท่องเที่ยวของไทยที่มีนักท่องเที่ยวอเมริกันเป็นหนึ่งในลูกค้าสำคัญด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นนโยบายเศรษฐกิจของ ทรัมป์ ก็อาจส่งผลถึงเม็ดเงินที่ลดลงจากนักท่องเที่ยวอเมริกันที่เดินทางมาเที่ยวในเมืองไทยด้วยในที่สุด

สรุปในสรุปอีกที ไทยจะได้รับผลกระทบยังไงถ้าทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง โดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับท่าทีและปฏิสัมพันธ์ของเรากับจีนในเรื่องต่างๆและฝีมือของรัฐบาลในการบริหารจัดการแรงกดดันจากลุงทรัมป์กับลุงสี จิ้น ผิงโดยที่ต้องหาสมดุลของความสัมพันธ์ไทย-จีน และ ไทย-อเมริกาให้ได้เป็นที่น่าพอใจของทั้งสองลุงนั่นเองครับ

ทำความรู้จัก ‘เดนนิส ลอว์’ ราชันย์สตั๊ดเหินหาวแห่ง ‘โอลด์แทรฟฟอร์ด’ หนึ่งในตำนาน ‘United Trinity’ คนสุดท้ายที่เพิ่งลาลับตลอดกาล

(19 ม.ค. 68) หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักในเกมฟุตบอล ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าขานถึงความเก่งกาจของชายผู้เป็นตำนานสุดยอดดาวยิงคนหนึ่งเท่าที่โลกใบนี้เคยมีมา ผู้เป็นเจ้าของลีลาถล่มประตูที่ดุดัน ถึงลูกถึงคน ทำประตูได้ทุกรูปแบบโดยเฉพาะท่าไม้ตายการกระโดดวอลเลย์ลูกกลางอากาศอย่างสวยงาม รวมไปถึงท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยการยกแขนขวาเหยียดตรงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า อันเป็นภาพคุ้นตาของแฟนบอลในยุค 60’s ต่อ 70’s และเป็นหนึ่งในสามประสาน ‘United Trinity’ ร่วมกับ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ จอร์จ เบส อดีตขุนพลเอกแห่งสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างถล่มทลาย สถิติมากมายได้ถูกสร้างขึ้นและคงอยู่อย่างยาวนาน บางสถิติก็ยังไม่ถูกทำลายลงไปได้จนถึงปัจจุบัน 

เนื่องในโอกาสการจากไปของเดนนิส ลอว์ ใดใด Digest ขอน้อมคารวะชายผู้เป็นตำนานท่านนี้ด้วยการบันทึกเรื่องราวของเขาไว้ ณ ที่นี้ครับ 

เดนนิส ลอว์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1940 ณ เมืองอเบอร์ดีน ประเทศสก็อตแลนด์ ในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ฐานะไม่สู้ดีนัก โดยเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน และในความยากจนนี่เองที่เด็กน้อยเดนนิสได้ค้นพบความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลของตัวเองจากการเตะลูกฟุตบอลทำเองจากเศษผ้าเล่นกับบรรดาพี่น้องและเพื่อนฝูง และด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นของเดนนิส ทำให้เขาฉายแสงออกมาจากเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างชัดเจนและในไม่นานก็ถูกค้นพบโดยแมวมองจากสโมสรฟุตบอลอาชีพ ซึ่งทำให้เดนนิสได้มีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้าและเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพด้วยอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น โดยสโมสรที่ค้นพบเดนนิสและเซ็นสัญญาอาชีพด้วยเป็นทีมแรกคือสโมสรฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ (อ่านมาถึงตรงนี้ ใครรู้สึกคุ้นๆชื่อสโมสรนี้ ใช่ครับ! นี่คือสโมสรที่หนึ่งในตำนานนักฟุตบอลชาวไทยอย่างพี่ซิโก้ เกียติศักดิ์ เสนาเมืองของเราเคยบินมาค้าแข้งด้วยเป็นเวลาสั้นๆนั่นเอง) ในเวลานั้นกุนซือของฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ได้แก่ บิลล์ แชงค์ลี่ ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาจะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือระดับอภิมหาตำนานของสโมสรลิเวอร์พูลนั่นเอง ตลอด 4ปีที่ฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์นี่เองที่เดนนิสได้เริ่มเปล่งประกายความเป็นสุดยอดดาวยิงฟ้าประทานออกมา และทำให้ตัวเขากลายเป็นที่ต้องการของหลายๆสโมสรในอังกฤษ จนกระทั่งเขาได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้เป็นเวลาสั้นๆแค่ 1 ปีด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในเกาะอังกฤษ ณ เวลานั้นที่ 55,000 ปอนด์ ก่อนที่จะถูกสโมสรโตริโน่จากอิตาลีซื้อตัวไปด้วยค่าตัวสูงที่สุดเป็นสถิติโลกในเวลานั้นที่ 110,000 ปอนด์ และทำให้เดนนิสเป็นนักเตะจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ย้ายมาเล่นในภาคพื้นยุโรป แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปรับตัวหลายๆอย่างในสมัยนั้น ทำให้เดนนิสย้ายกลับมายังเกาะอังกฤษ และสโมสรที่ซื้อเขากลับมาด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกอีกเช่นกันที่ 115,000 ปอนด์ ก็คือสโมสรที่ส่งให้เขากลายเป็นตำนานไปตลอดกาลในเวลาต่อมาซึ่งก็คือสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั่นเอง

เดนนิสค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรวมแล้วทั้งหมด 11 ปี ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 1973 ซึ่งตลอดระยะเวลานี้ เขาได้สร้างความสำเร็จและสถิติต่างๆฝากไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น

1. สถิติยิงประตูให้สโมสรสูงที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 โดยลงเล่นทั้งหมดให้กับยูไนเต็ด 404 นัด ทำไปได้ทั้งหมด 237 ประตู 

2. ได้รับการขนานนามจากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดว่าเป็น ‘ราชันย์แห่งเสตร็ทฟอร์ดเอ็นด์’ ซึ่งมีที่มาจากการฉลองการทำประตูของเดนนิสร่วมกับแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ทีมเหย้าของสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดซึ่งเป็นภาพชินตาของแฟนบอลในยุคนั้น 

3. เดนนิสเป็นสมาชิกคนสำคัญที่นำถ้วยรางวัลมาสู่สโมสรมากมายได้แก่ แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 2 สมัย, แชมป์สโมสรยุโรป 1 สมัย (แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ถือเป็นผู้มีความสำคัญในการพาทีมเข้าสู่นัดชิงได้สำเร็จ), แชมป์ FA Cup 1 สมัย

4. ในด้านรางวัลส่วนตัว เดนนิส ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตนักฟุตบอลระหว่างเล่นให้ยูไนเต็ดด้วยการได้รับรางวัล Ballon D’Or หรือนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1964 และเป็นนักเตะชาวสก็อตคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคงจะเป็นหนึ่งเดียวจากสก็อตแลนด์ไปอีกนานหรืออาจจะตลอดไป 

ในช่วงปลายอาชีพเดนนิสได้ย้ายกลับไปเล่นกับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้อีกครั้งเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 1 ปี แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ เดนนิสเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นให้แมนเชสเตอร์ซิตี้เอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ในนัดท้ายๆของฤดูกาล 1974 ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตกชั้นในปีนั้นในที่สุด ซึ่งเดนนิสก็ได้แสดงความเคารพอย่างสูงต่ออดีตสโมสรของเขาด้วยการไม่แสดงการดีใจและมีสีหน้าเสียใจหลังยิงประตูนั้นได้ซึ่งก็นับเป็นเหตุการณ์สุดคลาสสิคเหตุการณ์หนึ่งของโลกฟุตบอลมาจนถึงปัจจุบัน

ในด้านเกียรติประวัติกับทีมชาติสก็อตแลนด์นั้น เดนนิสลงสนามรับใช้ชาติไปทั้งหมด 55นัด โดยยิงไปได้ 30 ประตู รวมถึงการพาสก็อตแลนด์เข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทั้งหมด 2 สมัย

ภายหลังจากแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1974 เดนนิสก็ยังคงมีส่วนร่วมกับวงการฟุตบอลที่เขารักอย่างต่อเนื่องด้วยการรับตำแหน่งเป็นทูตฟุตบอลให้กับสโมสรที่เขาผูกพันที่สุดอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และออกงานการกุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งและอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ 

เดนนิส ลอว์ จากไปอย่างสงบในคืนวันที่ 17 มกราคม 2025 ที่ผ่านมาด้วยวัย 84 ปีจากอาการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมอง โดยฝากผลงานและตำนานอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลกฟุตบอลและโดยเฉพาะแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฐานะ ‘United Trinity’ คนสุดท้าย โดยรูปปั้นของเดนนิสในท่าเหยียดแขนขวาขึ้นสุดพร้อมชี้นิ้วขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเป็นท่าฉลองประตูประจำตัวอันคุ้นชินขนาบข้างด้วยสองสหายรักและเพื่อนร่วมทีมอย่างเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ตัน และ จอร์จ เบส หันหน้าเข้าสู่สนามเหย้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โรงละครแห่งความฝัน’ จะคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน รวมถึงความสามารถอันเป็นตำนานและคุณูปการต่างๆที่เดนนิส ลอว์สร้างขึ้นและฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็จะถูกจดจำและกล่าวขานไปอีกนานแสนนานเช่นกัน 

ด้วยจิตคารวะ

จากชายขอบสู่เบอร์ 2 ทำเนียบขาว เตรียมก้าวสู่ผู้นำการเมืองอเมริกาคนต่อไป

(21 ม.ค. 68) ทำความรู้จัก JD Vance ชายผู้ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการและถูกคาดหมายว่าจะมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองอเมริกาต่อจากทรัมป์

James David Vance หรือ J.D. Vance เกิดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2527 ที่เมืองมิดเดิลทาวน์ รัฐโอไฮโอ แม้ว่าปัจจุบันจะอายุแค่ 40ปี แต่พี่แว๊นซ์ก็ถือว่าผ่านงานมาอย่างหลากหลายและโชกโชนพอสมควร อาทิเช่น
- ปี 2003 ถึง 2007 ได้เข้าร่วมกับนาวิกโยธินในตำแหน่งนักข่าวสายทหารรวมถึงผ่านการถูกส่งไปทำงานภาคสนามในสงครามอิรักมาแล้วถึง 6 เดือน 
- เคยทำงานเป็นทนายความด้านกฏหมายองค์กรอยู่ระยะสั้นๆก่อนผันตัวมาเป็นนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ท-อัพในเวลาต่อมา 
- เป็นผู้เขียนหนังสือขายดีติดอันดับเบสเซลเล่อร์ของนิวยอร์กไทมส์เรื่อง บันทึกความทรงจำ Hilbilly Elergy ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับภาพสะท้อนของคนอเมริกันผิวขาวชายขอบที่เติบโต ใช้ชีวิตและสร้างวัฒนธรรมของตนเองขึ้นในพื้นที่ห่างไกลความเจริญบริเวณเทือกเขาอัพพาลาเชียในอเมริกาเหนือซึ่งเป็นพื้นเพรากเหง้าที่พี่แว๊นซ์เติบโตขึ้นมาในวัยเด็กนั่นเอง หนังสือเล่มนี้ดังจนสุดยอดผู้กำกับหนังแห่งยุคคนหนึ่งอย่าง รอน ฮาวเวิร์ด (ดาวินชีโค้ด, อพอลโล 13) เอาไปสร้างเป็นหนังทาง Netflix มาแล้วในปี 2020
- ได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐโอไฮโอ
- ได้รับการแต่งตั้งจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ให้เป็นผู้ร่วมรณรงค์หาเสียงในฐานะว่าที่รองประธานาธิบดีจนชนะการเลือกตั้งร่วมกับทรัมป์และได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน

ในด้านการศึกษานั้นพี่แว๊นซ์ก็ถือว่าไม่ธรรมดาครับ จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอเสตทและมาจบปริญญาโทจากหนึ่งในโรงเรียนกฏหมายที่ถือว่าดีที่สุดในโลกอย่างมหาวิทยาลัยเยล 

ทางด้านครอบครัวนั้น พี่แว๊นซ์แต่งงานแล้วกับ อุชา ชิลูคูรี สาวอินเดีย-อเมริกันที่มีพ่อแม่เป็นชาวอินเดียอพยพและชาวฮินดู อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เยล ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน และเมื่อพี่แว๊นซ์ของเราขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเรียบร้อยแล้ว อุชาก็ได้กลายเป็นสตรีชาวฮินดูคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะคู่สมรสของรองประธานาธิบดีและแน่นอนว่าหากจับพลัดจับผลูเกิดอะไรขึ้นกับลุงทรัมป์ทำให้อยู่ไม่ครบเทอมและพี่แว๊นซ์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี อุชาก็จะขึ้นเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งชาวฮินดูคนแรกของชาวอเมริกันทันที 

พี่แว๊นซ์ถือว่ามีความเจนจัดทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน, การระดมทุนและการลงทุนในธุรกิจสมัยใหม่อย่างสตาร์ท-อัพ และ ไอที รวมไปถึงนโยบายประชานิยมต่างๆที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนยากจน ซึ่งตัวของเขาเองนั้นก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนเรื่องการอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือชนชั้นแรงงาน, เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนชายขอบกับวัฒนธรรมอเมริกันกระแสหลักในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็มาจากรากเหง้าอดีตแบบคนชายขอบหรือที่เรียกว่า Hilbilly แห่งเทือกเขาอัพพาลาเชียที่พี่แว๊นซ์ได้ต่อสู้ฟันฝ่า ถีบตัวเองขึ้นมาจนประสบความสำเร็จได้นั่นเอง 

ทั้งนี้ทั้งนั้นนักวิเคราะห์การเมืองอเมริกันหลายสำนักได้แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า เมื่อพี่แว๊นซ์ได้เข้าไปมีบทบาทในทำเนียบขาวแล้วลุงทรัมป์ “จัดให้” มีซีนที่ฉายแสงหรือให้มีจังหวะได้เฉิดฉายบ้างเป็นระยะๆ เขาก็น่าจะทำได้ดี ด้วยความที่เป็นคนออกสื่อแล้วไม่ตายไมค์ พูดจาฉะฉานชัดเจน แถมยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย โอกาสที่จะมีอนาคตทางการเมืองสดใสยาวๆไป รวมถึงโอกาสที่จะมีโอกาสเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงตำแหน่ง “เบอร์หนึ่ง” เมื่อลุงทรัมป์หมดวาระลงในอีก 4 ปีข้างหน้าก็มีโอกาสไม่น้อยครับ

‘ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ’ หญิงแกร่งแห่งคองเกรส สตรีเชื้อสายไทยผู้พิชิตทุกขีดจำกัดหัวใจแกร่ง

ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกตัวตึง หญิงแกร่งสายเลือดไทยหนึ่งเดียวแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ หากติดตามการเมืองอเมริกาในช่วง 10 ปีหลัง นับตั้งแต่สมัยปลายยุคโอบามา เข้าสู่ทรัมป์ 1.0 เปลี่ยนมาเป็น โจ ไบเดน ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยเปลี่ยนถ่ายอำนาจเข้าสู่ทรัมป์ 2.0 หนึ่งในนักการเมืองดาวรุ่งที่มีผลงานโดดเด่นต่อเนื่องมาโดยตลอดคงหนีไม่พ้น วุฒิสมาชิกจากรัฐอิลลินอยส์ สังกัดพรรคเดโมแครต ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ หรือ พี่แทมมี่ของน้อง ๆ คนไทยในอเมริกาท่านนี้นั่นเอง

ใดๆ digest ขอพาผู้อ่านย้อนดูประวัติของคุณแทมมี่สักเล็กน้อย โดยเธอเกิดที่กรุงเทพนี่เองครับ ในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2511 เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นทหารผ่านศึกชาวอเมริกันสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเวียตนามชื่อ ร้อยเอกแฟรงก์ แอล. ดักเวิร์ธ กับ คุณแม่ชาวไทยเชื้อสายจีนจากเชียงใหม่ชื่อ คุณละไม สมพรไพลิน ในวัยเด็กคุณแทมมี่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนื่องจากต้องติดตามคุณพ่อซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ 

ซึ่งจากการที่คุณแทมมี่เคยอาศัยอยู่ในหลายประเทศนี่เอง ทำให้นอกจากใช้อังกฤษเป็นภาษาหลักแล้ว เธอยังใช้ภาษาไทยได้ในระดับดีมาก และภาษาบาฮาซาในระดับสื่อสารได้เข้าใจอีกด้วย ทางด้านการศึกษา คุณแทมมี่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยและอินโดนีเซียและจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา, สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยฮาวายวิทยาเขตมานัว, ปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน และปริญญาเอกสาขาบริการประชาชนจากมหาวิทยาลัยคาเปลลา คุณแทมมี่เดินตามรอยเท้าคุณพ่อด้วยการเข้ารับราชการทหารในกองทัพสหรัฐ 

ในปี พ.ศ. 2535 และเลือกที่จะเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ และได้เข้าร่วมรบในสงครามอิรักโดยมีหน้าที่ขับเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงยุทโธปกรณ์และนำทหารที่บาดเจ็บจากแนวหน้ามารับการรักษาในแนวหลัง แต่โชคร้ายที่เครื่องเฮลิคอปเตอร์ ที่เธอเป็นนักบินผู้ช่วย ถูกยิงลูกระเบิดเข้ามาในเครื่อง และเกิดระเบิดตรงที่เธอนั่ง ทำให้คุณแทมมี่สูญเสียขาทั้งสองข้างและแขนข้างขวาบาดเจ็บสาหัสทันที อย่างไรก็ตามแพทย์ก็ได้ทำการต่อแขนข้างขวาให้แก่เธอ แต่ก็ทำให้คุณแทมมี่ต้องต้องใช้ขาเทียมทั้งสองข้าง รวมทั้งมีแขนซ้ายที่ใช้การได้ดีเพียงข้างเดียว 

ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน จากเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปนี่เองทำให้คุณแทมมี่ เกษียณตัวเองจากตำแหน่งนักบิน แต่ยังคงรับราชการเป็นนายทหารในสังกัดกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิแห่งรัฐอิลลินอยส์ โดยเน้นการทำงานเพื่อทหารผ่านศึกและผันตัวสู่เส้นทางการเมือง ด้วยการลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐอิลลินอยส์ เป็นครั้งแรกในปี 2549 จากนั้นในปี 2552 ได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการทหารผ่านศึกประจำรัฐ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐ ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 คุณแทมมี่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสนามใหญ่ และสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอย่างเต็มภาคภูมิ 

ผลงานอันโดดเด่นและการสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะ 'คนแรก' ของคุณแทมมี่นั้นมีอยู่มากมายอาทิเช่น 
- เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตขึ้นกล่าววิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้านการทหารและสงครามต่าง ๆ ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และ ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์หลายครั้ง

- เป็นหนึ่งในสองตัวเลือกสุดท้ายคู่กับกมลา แฮริสในตำแหน่งรองประธานาธิบดีสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน 
- ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการบริหารพรรคเดโมแครต โดยจะอยู่ในตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารพรรคเดโมแครต
- เป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกสหรัฐตั้งคำถามและซักฟอกผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะบริหารของประธานาธิบดีหลายครั้ง โดยล่าสุดก็ได้ทำการซักถามว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พีท เฮ็กเซ็ทที่ได้รับการเสนอชื่อโดยทรัมป์อย่างถึงพริกถึงขิงเรื่องการขาดความรู้เกี่ยวกับกลุ่มประเทศอาเซียนนั่นเอง 
- นอกจากการได้รับเหรียญตราเชิดชูเกียรติมากมายจากทั้งกองทัพและรัฐบาลสหรัฐในฐานะทหารผ่านศึกที่กล้าหาญและการอุทิศตัวทำงานเพื่อส่วนรวมแล้ว คุณแทมมี่ยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ชั้นที่ 1 จากรัฐบาลไทยอีกด้วย
- เป็นสุภาพสตรีเชื้อสายไทยคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาคองเกรสทั้งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก รวมทั้งเป็นคนแรกที่เกิดในแผ่นดินไทยที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาอันมีเกียรติประวัติยาวนานของสหรัฐอเมริกาแห่งนี้ด้วย
- เป็นบุคคลทุพพลภาพคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาคองเกรส และยังนับเป็นผู้พิการอวัยวะมากกว่าหนึ่งอย่างคนแรกอีกด้วย
- เป็นวุฒิสมาชิกคนแรกที่ให้กำเนิดบุตรในขณะที่ดำรงตำแหน่ง

ทางด้านชีวิตครอบครัว คุณแทมมี่ได้สมรสกับอดีตเพื่อนทหารผ่านศึกในสงครามอิรักพันตรีไบรอัน ดับเบิลยู โบล์สบีย์ เจ้าหน้าที่กองพลสื่อสาร และมีลูกสาวที่น่ารักด้วยกัน 2 คน 

เรื่องราวชีวิตและผลงานของคุณแทมมี่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายทั่วโลกโดยเฉพาะผู้พิการและผู้มีสายเลือดไทยทุกคน เธอได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและผลลัพธ์แห่งความพยายามทุ่มเททำงานหนักตามแนวทางอุดมคติแบบ American Dream ว่าเป็นไปได้จริง และที่สำคัญคือในวันนี้คุณแทมมี่ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังและไฟในการทำงานที่ไม่เคยมอดดับลงไป 

ใดๆ digest ขอร่วมส่งกำลังใจให้เธอพร้อมทั้งเฝ้าติดตามความเป็นไปได้มากมายที่คุณแทมมี่จะสร้างให้เกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยครับ

Flowers of Manchester ครบรอบ 67 ปี โศกนาฏกรรมที่เปลี่ยนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและฟุตบอลไปตลอดกาล

หากคุณได้มีโอกาสไปเยือนสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด รังเหย้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่มีฉายาว่าโรงละครแห่งความฝัน (Theater of Dreams) และได้ไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงอัฒจันทร์ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้คุณจะพบกับแผ่นป้ายจารึกรายชื่อขนาบข้างด้วยดอกไม้แสดงความเคารพและการไว้อาลัย รูปภาพของนักฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคอดีต อยู่เคียงข้างกับนาฬิกาเก่าเรือนหนึ่งที่เข็มนาฬิกาหยุดนิ่งอยู่ที่เวลา 15.03 และเหมือนกับว่ามันไม่เคยเดินอีกเลยนับจากนั้น 

6 กุมภาพันธ์ของทุกปี คือวันแห่งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ไม่เพียงแต่สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเท่านั้นหากแต่เป็นการสูญเสียที่โลกฟุตบอลทั้งใบต้องจดจำ 

เนื่องในโอกาสครบรอบ 67 ปีแห่ง 'โศกนาฏกรรมมิวนิค 1958' ใด ๆ digest ขอพาทุกท่านย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์แห่งความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์นี้ วันที่ทุกพื้นที่ 'สีแดง' สีประจำสโมสรของ 'ปีศาจแดง' แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะถูกฉาบให้เป็น 'สีดำ'

บัสบี้ เบ็บส์

ในช่วงทศวรรษที่ 1950 เป็นช่วงเวลาที่อังกฤษเพิ่งผ่านความบอบช้ำจากสงครามโลกมาหมาด ๆ และเป็นช่วงเวลาที่ทีมต่างๆกำลังช่วงชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งกันอย่างเข้มข้น และมีหลายทีมที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างน่ากลัว หนึ่งในนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งผู้ที่กุมบังเหียนทีมในตอนนั้นคือ อเล็กซานเดอร์ แม็ทธิว บัสบี้ หรือในชื่อแฟนบอลคุ้นเคยว่า แม็ตต์ บัสบี้ ก่อนที่จะได้บรรดาศักดิ์ท่านเซอร์ในเวลาต่อมานั่นเอง โดยแทบจะทันทีที่แม็ตต์ บัสบี้เข้ามาคุมทีม เขาก็ได้เพิ่มศักยภาพให้ยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่มีลุ้นในการเป็นแชมป์แห่งอังกฤษ ในช่วง 5 ปีแรกของการคุมทีมนั้น บัสบี้พาทีมเป็นรองแชมป์ได้ถึง 4 ครั้ง ก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1948 ตามมาด้วยแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1951-52 

แต่ปีถัดมาบัสบี้กลับเลือกทำในสิ่งที่แฟนบอลในสมัยนั้นต้องเกาหัวด้วยความงง เมื่อเขาเลือกจะทำการถ่ายเลือดผู้เล่นครั้งใหญ่ ด้วยการโละนักเตะเก่า ๆ ทิ้ง และดันเด็กเยาวชนขึ้นมาเป็นตัวหลักแทนเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาสามารถที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยนักเตะอายุน้อย ๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ 'บัสบี้ เบ็บส์' และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการปั้นเยาวชนของสโมสรที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในวันที่ยังไม่ได้ยศอัศวินจะนำมาใช้ต่อในอีกสามทศวรรษให้หลัง นักเตะหลายคนถูกผลักดันมาจาก 'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จูเนียร์ แอธเลติก คลับ' ศูนย์ฝึกเยาวชนในสมัยนั้น และยูไนเต็ด เดินหน้าคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 2 ปีซ้อน ในฤดูกาล 1955-1956 และ 1956-57 ด้วยอายุเฉลี่ยนักเตะเพียง 22 ปี และยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่เป็นที่ครั่นคร้ามของคู่แข่งไปทั่วทั้งเกาะอังกฤษและทั่วแผ่นดินยุโรป

โศกนาฏกรรมมิวนิค

6 กุมภาพันธ์ 1958 ยูไนเต็ด บุกไปยันเสมอกับ เรดสตาร์ เบลเกรด ทีมจากยูโกสลาเวีย 3-3 ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกยูโรเปี้ยนคัพ ไปรอดวลกับ 'ปีศาจแดงดำ' เอซี มิลาน

ขากลับจากยูโกสลาเวียทีมงานสตาฟฟ์และผู้เล่นของยูไนเต็ดเดินทางด้วยเครื่องบิน ไฟลท์ BE609 ของสายการบิน British European Airways และต้องแวะเติมน้ำมันที่สนามบินมิวนิค เยอรมัน แต่พอเติมน้ำมันเสร็จแล้ว นักบินกลับไม่สามารถนำเครื่องขึ้นได้ตามปกติเนื่องจากทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ ทำให้กัปตันพยายามนำเครื่องขึ้นบินถึงสองครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ และในความพยายามครั้งที่สามนี่เองเครื่องยนต์ที่เร่งมาด้วยความเร็วกว่า 194 กม/ชม. เกิดลื่นไถลตรงปลายสุดของรันเวย์และชนเข้ากับรั้วของสนามบิน ก่อนตัวเครื่องจะหลุดข้ามถนนออกไป โชคร้ายที่อีกฟากหนึ่งนั้นมีบ้านหลังหนึ่งอยู่พอดี ปีกซ้ายของเครื่องบินหมุนฟาดเข้ากับตัวบ้านอย่างแรงจนพังยับ ส่วนหางของเครื่องถูกฉีกออกไปก่อนที่ด้านซ้ายของเครื่องบินจะฟาดเข้ากับต้นไม้ ด้านขวาของเครื่องเข้าไปกระแทกอย่างแรงกับห้องเก็บของซึ่งมียางรถยนต์และน้ำมันอยู่เต็มจนเกิดการลุกไหม้ เกิดไฟลุกท่วมบ้านที่มีสมาชิกหกราย โชคยังดีที่ผู้เป็นแม่กับลูก ๆ อีกสามรายหนีตายจากแรงระเบิดออกมาได้ทัน ส่วนพ่อและลูกสาวคนโตออกไปข้างนอกพอดีเลยรอดตาย

แต่อีก 23 ชีวิตบนเครื่องไม่โชคดีขนาดนั้น ซึ่งรวมถึง 8 นักเตะของยูไนเต็ด และทีมสตาฟฟ์อีก 3 คนไม่ได้กลับบ้านอีกเลยตลอดกาล 21 ชีวิตจบชีวิตลงทันที อีกสามรายอาการยังโคม่า น่าเศร้าที่ เคนเน็ธ เรย์เมนท์ นักบินที่สองทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจลงในอีกสามสัปดาห์ต่อมา ส่วนดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ปีกดาวรุ่งตัวความหวังของยูไนเต็ดและทีมชาติอังกฤษยังฟื้นได้สติ แต่ห้าวันต่อมาอาการของเอ็ดเวิร์ดส์ทรุดหนักลง คณะแพทย์พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยื้อชีวิตของเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ เวลาตีสองสิบห้านาทีของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1958 ร่างกายของ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ก็ทนรับสภาพไม่ไหวหลังจากยื้อมานานกว่า 15 วัน เขาสิ้นใจลงในโรงพยาบาลท่ามกลางความโศกเศร้าของแฟนบอลทั่วโลก

ภายหลังจากโศกนาฏกรรม
แม็ตต์ บัสบี้ เป็นหนึ่งในผู้ที่รอดชีวิต แต่ก็ต้องนอนโรงพยาบาลนานถึงสองเดือน เขาเคยคิดจะเลิกคุมทีมจากสภาพร่างกายและจิตใจที่ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก แต่ก็ได้รับกำลังใจจากภรรยา ครอบครัว และแฟนบอลนี่เองที่ฉุดบัสบี้ออกมาจากโลกแห่งความเศร้า เขากลับไปยังแมนเชสเตอร์และปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนเป็นครั้งแรกในนัดชิงชนะเลิศของเอฟเอ คัพ ปี 1958 ที่ยูไนเต็ดได้เข้าชิงกับโบลตัน ด้วยการขาดกำลังหลักไปพร้อมกันทีเดียว ผลงานในลีกจึงตกต่ำลงทันที หลังจากเหตุการณ์ที่มิวนิค ทีมเก็บชัยชนะได้อีกเพียงครั้งเดียวในฤดูกาลที่เหลือเหนือซันเดอร์แลนด์ในเดือนเมษายน อันดับร่วงไปจบที่ 9 ส่วนในเอฟเอ คัพ ผลงานดีกว่า เกมที่พบกับเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ นัดแรกหลังจากโศกนาฏกรรม ลงเอยด้วยชัยชนะ 3-0 และในถ้วยใบนี้พวกเขาทำผลงานได้ดีจนได้เข้าชิงชนะเลิศ

สุดท้าย แม็ตต์ บัสบี้ กลับมาคุมทัพและพาทีมกลับมาเป็นแชมป์ลีกได้อีกครั้ง ด้วยขุนพลรุ่นใหม่อย่าง จอร์จ เบสต์, น็อบบี้ สไตล์ส, ไบรอัน คิดด์ บวกกับ ชาร์ลตัน และโฟลค์ ที่เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของทีมชุดก่อน

เป็นเวลา 10 ปีพอดีนับจากโศกนาฏกรรมที่มิวนิค แม็ตต์ บัสบี้ และนักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชุดที่เกรียงไกรที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ นำโดยหนึ่งในผู้ประสบเหตุที่มิวนิคแต่รอดชีวิตมาได้อย่าง บ็อบบี้ ชาน์ลตัน พวกเขาผงาดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ปี 1968 และเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ทำได้

จากวันนั้นถึงวันนี้ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี จะมีพิธีร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าว โดยทุกคนจะใช้คำเรียกขานถึงผู้ที่จากไปและเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นว่า 'Flower Of Manchester' ซึ่งมีที่มาก็จากวงดนตรีพื้นเพจากเมืองแมนเชสเตอร์ชื่อ The Spinner ที่แต่งเพลง Flower Of Manchester เพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงนักเตะยูไนเต็ดในยุคนั้น 

จากวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 67 ปีเต็มพอดี แต่เรื่องราวของเหล่าบัสบี้ เบ็บส์ยังได้ถูกส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่เคยสิ้นสุด พวกเขาไม่เป็นเพียงแค่ความภาคภูมิใจของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้น แต่คือเกียรติยศของฟุตบอลอังกฤษในการส่งมอบมิตรภาพและความยอดเยี่ยมของฟุตบอลอังกฤษให้ชาวยุโรปได้รู้จักถึงความเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้และแพสชันในฟุตบอลที่ไม่เคยเลือนหาย

เวลาของนาฬิกาเรือนอื่น ๆ จะหมุนเดินต่อไป แต่สำหรับ 15.03 ของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 นาฬิกาเรือนเก่าที่ตั้งอยู่ข้างรูปภาพของเหล่าบัสบี้ เบ็บส์บนกำแพงที่สนามโอล์ดแทรฟฟอร์ดนี้จะหยุดนิ่งอยู่ตลอดไปเช่นเดียวกับลมหายใจของทั้ง 23 ชีวิตที่จากไป แต่จิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้หายไปไหน พวกเขายังคงเล่นฟุตบอลด้วยความสนุกสนานและจะยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของทุกชีวิตที่รักในฟุตบอลตลอดไป

ด้วยจิตคารวะจาก ใดๆdigest ต่อดวงจิตทุกดวงในนาม Flowers of Manchester

เผยความหมายลึกซึ้งของดอกไม้แต่ละชนิด ที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์

รวมความหมายน่าประทับใจของดอกไม้แต่ละชนิดที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์ สำหรับคนที่กำลังมีความรัก วันวาเลนไทน์ก็คงเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่จะได้แสดงความรักให้กับคนรักได้รับรู้ และหนึ่งในสิ่งของแทนใจที่คู่รัก (โดยเฉพาะฝ่ายชาย) นิยมมอบให้กันก็คือดอกไม้แสนสวยสีสันสดใสต่าง ๆ ซึ่งดอกไม้แต่ละชนิดนั้นก็ล้วนแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเหมาะกับการสื่อสารความในใจโดยที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด โดยมนุษย์เรานั้นได้เริ่มมีการให้ความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดและใช้การมอบดอกไม้ให้แก่กันเพื่อสื่อสารความหมายโดยไม่ต้องเอ่ยปากกันมานมนานแล้ว 

การตีความหมายของดอกไม้ หรือภาษาดอกไม้ เกิดขึ้นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1600 ณ เมืองคอนสแตนติโนเปิล กรุงโรม ประเทศอิตาลี จากนั้นในปี ค.ศ. 1716 เลดี้แมรี เวิร์ทลีย์ มอนตากู (Lady Mary Worthley Montagu) เป็นบุคคลแรกที่นำมาเผยแพร่สู่ประเทศอังกฤษ ต่อมาก็ได้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ผ่านหนังสือชื่อ เลอ ลองแกจ เดส์ เฟลอร์ (Le Langage des Fleurs) หมายความว่า ภาษาแห่งดอกไม้ ที่แปลความหมายของดอกไม้ไว้กว่า 8,000 ชนิด โดยมีการแปลกลับไปเป็นภาษาอังกฤษในสมัยของราชินีวิกตอเรีย

เนื่องในวันแห่งความรักนี้ ใดๆ digest ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดว่าจะมีความหมายใดซ่อนอยู่ เผื่อเป็นแนวทางในการเลือกหาดอกไม้ที่มีความหมายตรงใจที่อยากจะสื่อสารให้คนรักของคุณได้รับทราบกันนะครับ 

โดยขอเริ่มจากดอกไม้อมตะนิรันดร์กาลประจำเทศกาลวาเลนไทน์ได้แก่ราชินีแห่งดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ ดอกไม้ที่มีกลีบเรียงซ้อนกันจนเป็นดอกทรงกลมที่เบ่งบานในด้านบน และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จนมีการนำกลิ่นเฉพาะของกุหลาบมาทำเป็นน้ำหอมอย่างแพร่หลาย แต่ดอกกุหลาบ ไม่ได้มีความลึกซึ้งเพียงแค่กลิ่นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง ความหมายที่หมายถึงความรักที่ลึกซึ้ง ไม่เพียงเท่านี้กุหลาบแต่ละสีก็ยังซ่อนความหมายที่แสนโรแมนติกไว้ต่างกันอีกด้วย 

กุหลาบแดง:  ฉันรักเธอที่สุด และต้องการเพียงแค่เธอเท่านั้น
กุหลาบขาว: ความรักที่บริสุทธิ์
กุหลาบชมพู: ความรักอันหวานชื่น หรือสื่อถึงความรักที่กำลังสดใส
กุหลาบเหลือง: ความรักอันเป็นมิตรภาพที่ดีตลอดไป 
กุหลาบสีพีช (สีโอรส): ความรักที่อ่อนโยนรักและทะนุถนอมจากใจจริง
กุหลาบสีส้ม: ความรักที่อบอุ่นหัวใจ และยังสื่อถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้าได้อีกด้วย 
กุหลาบสีม่วง: รักแรกพบ
กุหลาบสีดำ: การเกิดใหม่ การเริ่มต้นใหม่ และความรักที่จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ 

ดอกลิลลี่ มีรูปทรงที่สวยงาม กลีบดอกใหญ่แผ่ออกกว้าง สื่อถึงความประทับใจ และความรักที่นุ่มนวล อ่อนหวาน สดใส หรืออีกนัยที่สำคัญคือ ความประทับใจครั้งแรก เป็นดอกไม้ที่สื่อถึงการแอบรัก แอบมอง แอบส่งความปราถนาดีไปให้โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว

ลิลลี่สีชมพู: เธอคือคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต
ลิลลี่สีส้ม: มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน
ลิลลี่สีขาว: ดีใจที่มีเธออยู่ในชีวิต
ลิลลี่สีเหลือง: ความเป็นห่วงขอให้เธอปลอดภัย
ลิลลี่สีแดง: เธอคือรักแรกของฉัน
ลิลลี่ออฟเดอะแวลเล่ย์: ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความสุขที่หวนคืนมา เพราะด้วยดอกสีขาวสะอาดตา รูปทรงเหมือนระฆังเล็ก ๆ เรียงบนกิ่งก้านบอบบาง มีกลิ่นหอมหวนหวานสนิท และยังแสดงความหมายอันลึกซึ้งได้อีกว่า ความอ่อนหวานของเธอนั้นช่วยเติมชีวิตฉันให้สมบูรณ์

ดอกไฮเดรนเยีย ดอกไม้ทรงพุ่มมีหลายดอกอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มดูน่ารัก สื่อถึง “ความขอบคุณที่เข้าใจกันและยอมรับกันเสมอมา” ดอกไฮเดรนเยียนั้น มีความหมายทั้งทางลบและบวก โดยความหมายที่แท้จริงของดอกไฮเดรนเยียสื่อถึง ‘หัวใจที่ด้านชา’ และเพราะแบบนั้นในอีกนัยหนึ่งคือการมอบดอกไฮเดรนเยียให้กันใช้แทนคำขอบคุณจากผู้ที่มีหัวใจด้านชา สื่อถึงความสำคัญที่หนักแน่นว่า “ขอบคุณที่เข้าใจกัน”

ไฮเดรนเยียสีฟ้า: ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมจะให้อภัยเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ไฮเดรนเยียสีม่วง: เธอช่างล้ำค่าและสูงส่งสำหรับฉัน
ไฮเดรนเยียสีชมพู: เธอคือความอ่อนโยน 
ไฮเดรนเยียสีเขียว: เธอช่างเป็นตัวของตัวเองและเพราะเหตุนั้น เธอจึงงดงาม
ไฮเดรนเยียสีขาว: เธอคือรักที่บริสุทธิ์

ดอกทิวลิป ดอกไม้ที่มีลักษณะกลีบดอกซ้อนกัน 2-3 ชั้น แม้จะไม่ได้มีกลิ่นหอมเท่าดอกอื่นๆ แต่ดอกทิวลิปมีความหมายที่ลึกซึ้ง, อบอุ่นและอ่อนโยนถือเป็นดอกไม้ที่แทนสัญลักษณ์ของรักครั้งแรก มีความหมายถึง การตกหลุมรักอย่างหมดหัวใจ ความหลงใหล และการปกป้อง ซึ่งดอกทิวลิปก็มีหลากสีที่สื่อความหมายหลากหลายเช่นเดียวกัน

ดอกทิวลิปขาว: การพร้อมจะเสียสละทุกอย่างเพื่อคนอันเป็นที่รัก
ดอกทิวลิปแดง: การแอบชอบ, แอบรัก
ดอกทิวลิปเหลือง:  พร้อมดูแลประคับประคองความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น หรือ ความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ
ดอกทิวลิปม่วง:  ความซื่อสัตย์กับคนรักเสมอ

นอกจากความหมายของดอกไม้หลากสีทั้งสี่ชนิดที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์แล้วก็ยังดอกไม้อื่น ๆ ที่ความหมายดี ๆ อีกมากอาทิเช่น 

ดอกโบตั๋น ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชาแห่งดอกไม้’ ด้วยรูปลักษณ์ที่อ่อนหวาน งดงาม มีกลิ่นหอมอันเป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายถึงความโรแมนติกและความรักที่สมบูรณ์เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และด้วยความหมายอันเป็นมงคลนี่เอง การมอบดอกโบตั๋นให้ใคร จะสื่อถือการอวยพรให้มั่งคั่ง โชคดี มีเกียรติยศ

ดอกทานตะวัน สื่อถึงความรักบริสุทธิ์และมั่นคง การมอบดอกทานตะวันให้ใครจึงหมายถึงความรักที่มีให้จะมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนที่ดอกทานตะวันเฝ้ามองดวงอาทิตย์เสมอไป และดอกทานตะวันยังสื่อความหมายถึงความร่าเริงสดใสและความสุขได้อีกด้วย

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเป็นผู้ให้ความรัก และเป็นผู้ได้รับความรักที่เหมาะสมและจริงใจเนื่องในวันแห่งความรักนี้นะครับ ใดๆ digestขอเป็นกำลังใจและร่วมยินดีกับความรักของทุกท่านครับ

‘ห้องสมุดมนุษย์’ อ่านเพื่อนมนุษย์จากมุมคิดและตัวตนที่แท้จริง แนวคิดสุดเจ๋ง! ช่วยลดอคติต่อกัน – ทำให้เข้าใจผู้คนที่หลากหลาย

(5 มี.ค. 68) ห้องสมุดมนุษย์ เมื่อผู้คนอาสาสมัครมาเป็น “หนังสือ” ให้เพื่อนมนุษย์อ่าน เพื่อแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆ นำไปสู่ความเข้าใจและโอบกอดจิตวิญญาณซึ่งกันและกัน 

เมื่อพูดถึงห้องสมุด สิ่งที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยหนังสือต่างๆ แบ่งเป็นหมวดหมู่อย่างเรียบร้อย ให้เราสามารถเข้าไปนั่งอ่าน ปลดปล่อยจิตใจและสมองไปกับเนื้อหาของหนังสือเล่มต่างๆที่อยู่ตรงหน้า ทั้งอ่านเพื่อเอาความรู้และอ่านเพื่อความบันเทิง หลายๆคนก็มีห้องสมุดเป็นทั้งที่หลบภัยจากความวุ่นวาย ความกังวล และเรื่องราวต่างๆที่บีบคั้นในชีวิต รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่เราจะได้ปล่อยวางภาระและความตึงเครียดต่างๆลงได้ชั่วคราวเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับความสงบสุขในชีวิตได้ในราคาย่อมเยาหรือไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

นี่คือ concept ของห้องสมุดทั่ว ๆ ไปที่เราคุ้นเคยกันดี แต่จะดีแค่ไหนหากมีห้องสมุดซักแห่งหนึ่งที่มี “เพื่อนมนุษย์” ที่มีประสบการณ์หลากหลายมานั่งเป็น “หนังสือ” ให้เราอ่านประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขาเหล่านั้น รวมทั้งแบ่งปันเรื่องราวส่วนตัวที่น่าสนใจ ให้กับผู้คนผ่าน “การอ่าน” ในลักษณะของการพูดคุยตัวต่อตัวหรือกลุ่มเล็กๆ นอกจากนี้ “หนังสือมนุษย์” เหล่านี้ก็พร้อมที่จะรับฟังโดยไม่ตัดสินและเปิดใจคุยกับ “ผู้อ่าน” ทุกคนแม้ว่าจะเป็นผู้ที่เคยถูกบุลลี่ ถูกเลือกปฏิบัติ หรือถูกดูหมิ่นเหยียดหยามไม่ว่าจากสาเหตุใดๆมาก่อนก็ตาม 

ห้องสมุดมนุษย์ที่เหมือนจะมีอยู่แค่ในโลกแห่งอุดมคตินี้แท้จริงแล้วมีอยู่จริงๆในโลกของเราครับ 

โดยแนวคิดของห้องสมุดมนุษย์นี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2000 ที่ประเทศเดนมาร์ก โดยผู้ริเริ่มและก่อตั้งได้แค่คุณ รอนนี่ อเบอเกลและทีมงาน โดยมีความคิดตั้งต้นและความตั้งใจที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรม, การเลือกปฏิบัติ และส่งเสริมความเข้าใจกันของเพื่อนมนุษย์ทุกคนผ่านการเล่าเรื่องและแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆให้กัน โดยผ่านแนวคิดการยืมหนังสือในห้องสมุดที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่แทนที่ผู้มาเยือน หรือ “ผู้อ่าน” จะยืมหนังสือเป็นเล่มๆตามปรกติ แต่ที่ห้องสมุดมนุษย์นี้จะให้บริการยืม “คนจริงๆ” มานั่งคุยกันแทน 

หลักการทำงานของห้องสมุดมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร? 

จริงๆแล้วหลักการทำงานของห้องสมุดมนุษย์นั้นเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเลยครับ โดยเริ่มจากการรับสมัครผู้คนที่มีภูมิหลังและประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายมาเป็น “หนังสือมนุษย์” โดยอาสาสมัครเหล่านี้มีความหลากหลายมาก มีทั้ง คนไร้บ้าน, คนพิการ, ผู้อพยพ, LGBTQ+, อดีตผู้ป่วยทางจิต, คนติดยา, ผู้เคร่งศาสนา, คนไม่มีศาสนา หรือผู้ที่มีปัญหาอื่นๆทางสังคม 

เมื่อได้อาสาสมัครจำนวนหนึ่งแล้ว ทีมงานของคุณรอนนี่ก็จะจัดอีเว้นท์ “ห้องสมุดมนุษย์” ขึ้นตามสถานที่ต่างๆเช่น อาคารสำนักงาน, ห้องสมุดของจริง, โรงเรียนและสถานศึกษา รวมไปถึงพื้นที่ในงานเทศกาลต่างๆ จากนั้นก็จะแจกโบรชัวร์ให้คนที่มาร่วมงาน ในโบรชัวร์นั้นก็จะมีข้อมูลโดยย่อของหนังสือมนุษย์แต่ละคน เพื่อให้คนที่สนใจหรือ “ผู้อ่าน” สามารถเลือกยืมหนังสือมนุษย์ที่ตัวเองสนใจไปนั่งคุยกันประมาณ 20-30 นาที หลังจากคุยกันเสร็จก็นำหนังสือมนุษย์นั้นไปส่งคืนทีมงาน หรือ “คืนหนังสือ” นั่นเอง 

ครับ ง่ายๆแบบนี้เลย 
เป้าหมายของห้องสมุดมนุษย์นี้ก็แสนจะเรียบง่ายครับ ก็คือการส่งเสริมให้มนุษย์ทุกคนลดอคติต่อกันและสร้างความเข้าใจต่อผู้คนที่มีความแตกต่างและหลากหลายผ่านการสนทนาที่เปิดกว้าง เพื่อสลายอัตตาและสร้างความเห็นอกเห็นใจกัน 

นับตั้งแต่ห้องสมุดมนุษย์ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เดนมาร์กเมื่อ 25 ปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน กิจกรรมนี้ก็ได้รับการขยายออกไปเป็นวงกว้างทั่วโลกถึงกว่า 80 ประเทศแล้วครับ โดยสถานศึกษาต่างๆ, หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน, ชุมชน รวมไปถึงกลุ่มองค์กรต่างๆ ก็ได้จัดกิจกรรมห้องสมุดมนุษย์นี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมความเข้าใจกันของผู้คนที่มีพื้นเพและเส้นทางที่หลากหลายแตกต่างกัน ผ่านการสร้างให้เกิดบทสนทนาที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ 

หลายเรื่องราวได้ถูกเล่าขาน บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ผู้เล่าตั้งใจถ่ายทอดให้กับคนรุ่นหลัง บางเรื่องก็เป็นรอยแผลเป็นตกสะเก็ดในใจของผู้เล่าเอง แต่ที่สำคัญคือเรื่องราวทั้งหมดเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ถูกเล่าขานออกมาเพื่อหวังให้คนฟังเกิดความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งอย่างเท่าเทียมกันทั้งสิ้น

เรื่องราวอันน่าประทับใจที่เกิดขึ้นในห้องสมุดมนุษย์ทั่วโลกมีมากมาย อาทิเช่น 

- การไถ่บาปและการให้อภัยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง, โคเปนเฮเกน, ชายคนหนึ่งได้อาสาสมัครมาเป็นหนังสือมนุษย์เพื่อแบ่งปันเรื่องราวในอดีตของเขาในฐานะสมาชิกแก๊งอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและการทำผิดกฎหมายซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อย ๆ จนเมื่อเขาได้ใช้เวลาหลายปีในเรือนจำจึงได้คิดและต้องการมาบอกเล่าเรื่องราวความผิดพลาดของตัวเองในอดีตให้กับผู้คนเพื่อเป็นการไถ่บาปของตัวเอง และวันหนึ่งในห้องสมุดมนุษย์ เขาก็ได้นั่งลงและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อหน้าผู้อ่านที่สูญเสียคนในครอบครัวไปจากความรุนแรงระหว่างแก๊ง ส่งผลให้ผู้อ่านคนนั้นร้องไห้อย่างรุนแรงด้วยหัวใจที่แตกสลาย แต่ภายหลังจากบทสนทนาจบลง ทั้งคู่ก็ได้โอบกอดกันด้วยความเข้าใจ และการเยียวยาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งด้วยความรู้สึกผิดที่ต้องการไถ่บาป และอีกคนด้วยความตระหนักว่าการให้อภัยและการยอมรับว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้นั่นเอง 

- การเผชิญหน้าของผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่กับสมาชิกนีโอนาซี ,เยอรมนี, ในกิจกรรมห้องสมุดมนุษย์ครั้งหนึ่ง มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่นิยมชมชอบและสนับสนุนแนวคิดนาซีแบบสุดโต่งได้เข้าร่วมกิจกรรมและเลือกที่จะนั่งสนทนากับอาสาสมัครหนังสือมนุษย์ที่เคยรอดชีวิตจากการสังหารหมู่ในค่ายกักกันของนาซีในสมัยสงครามโลก ในเบื้องต้นเด็กหนุ่มเพียงแค่สนใจว่าในสมัยนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของคนในค่ายกักกันเป็นอย่างไร แต่เมื่อหนังสือมนุษย์เริ่มเล่าถึงความทุกข์ทรมานต่างๆ ทั้งการถูกทรมานร่างกาย การเห็นคนซึ่งเป็นที่รักถูกสังหารต่อหน้าต่อตา รวมไปถึงความสูญเสีย ทุกข์ทรมานต่างๆอีกมากมายหลังจากนั้น ทำให้ความคิดของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป และในตอนสุดท้ายของการสนทนา เด็กหนุ่มได้ยอมรับกับหนังสือมนุษย์ว่า ตัวเขานั้นได้หลงผิดไปกับแนวคิดอันสุดโต่งของนีโอนาซีและสาบานว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันอย่างเข้าใจ ที่จะนำไปสู่การลดความเกลียดชังต่อกัน นั่นเอง 

- หญิงข้ามเพศและผู้นำทางศาสนา ,อินเดีย, ผู้นำทางศาสนาผู้หนึ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาทั้งชีวิตว่าการเป็น LGBTQ+ คือเรื่องผิดบาป ได้เข้าร่วมกิจกรรมห้องสมุดมนุษย์ และได้ยืมหนังสือมนุษย์ที่มีหน้าปกว่า “หญิงข้ามเพศ:เส้นทางสู่การค้นพบตัวเอง” มาสนทนาด้วย และหนังสือมนุษย์เล่มนี้ ก็ได้เล่าให้เขาฟังถึงประสบการณ์การเป็นหญิงข้ามเพศในอินเดียของเธอที่ผ่านการดูถูกเหยียดหยาม การไม่ยอมรับ และการถูกขับไล่ออกจากครอบครัวของตัวเอง มาจนถึงวันที่สามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และมีความภูมิใจในตัวเองได้ด้วยความอดทนและความมุ่งมันที่จะพิสูจน์คุณค่าของตัวเองเพียงไร ในตอนท้ายผู้นำทางศาสนาคนนี้ก็ได้ยอมรับกับหนังสือมนุษย์ว่า ตัวของเขาเองไม่เคยมีความเข้าใจมาก่อนเลยว่าการเป็นคนข้ามเพศนั้นมีความลำบากอย่างไร รวมทั้งได้ยอมรับว่ามุมมองของเขาต่อคนข้ามเพศนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่ได้บันทึกไว้จากกิจกรรมห้องสมุดมนุษย์ทั่วโลก หากจะให้สรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการจัดให้มีห้องสมุดมนุษย์ขึ้นนั้น เราก็พอจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ห้องสมุดมนุษย์นั้นแท้จริงแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงการบอกเล่าหรือแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันเท่านั้น หากแต่ผลลัพธ์ที่ได้คือการเปลี่ยนมุมมองและหัวใจที่เพื่อนมนุษย์มอบให้แก่กัน การให้ผู้คนได้พูดคุยกันอย่างเปิดใจและซื่อตรงนับเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่จะลดความแตกต่าง สร้างความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน สุดท้ายก็จะนำไปสู่ความเข้าใจกันอย่างแท้จริงของผู้คนที่มีภูมิหลังอันหลายหลายแต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขด้วยการยอมรับความแตกต่างและเปิดใจยอมรับความแตกต่างนั้น พร้อมโอบกอดกันไว้ด้วยความเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top