Monday, 21 April 2025
แม่สอด

กลุ่มต่อต้านรบ. เมียนมา ก่อเหตุคาร์บอมบ์ ย่านเศรษฐกิจในเมียวดี ใกล้ 'สะพานไทย-เมียนมา' 

24 เม.ย. 65 ที่ชายแดนไทย-เมียนมา จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สหภาพเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ทางการเมียวดี สหภาพเมียนมา ได้เสริมกำลังทหาร เข้ามาประจำการในพื้นที่ย่านเศรษฐกิจในเมืองเมียวดี รวมทั้งเร่งให้หน่วยสืบสวนและหน่วยข่าวกรอง เร่งสืบสวน หาข่าวและติดตาม หากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ ที่ได้ก่อเหตุรุนแรงเมื่อช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา

รายงานข่าวแจ้งว่า ได้เกิดเหตุมีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ได้ก่อเหตุคาร์บอมบ์ ระเบิดแสวงเครื่อง บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเมียวดี เชิงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 1 ซึ่งนับเป็นการโจมตีที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งเสียงระเบิดคาร์บอม ได้ดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินชัดเจนถึงฝั่งไทยที่ อ.แม่สอด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากบริเวณจุดเกิดเหตุ เป็นย่าน ธุรกิจ การค้า พาณิชย์ มีตึกแถว อาคารพาณิชย์ บ้านเรือนประชาชน รถยนต์ สิ่งของ เครื่องใช้ บริเวณดังกล่าว ฯลฯ ได้รับความเสียหายอย่างมาก เบื้องต้นทราบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

ปธ.บริษัทในเครือ ฮงล้ง กรุ๊ป มอบข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อนำไปใช้ในงานประเพณีทิ้งกระจาดแจกทาน ประจำปี 2565 ของทางแม่สอดมูลนิธิสามัคคีการกุศล

ณ บริเวณห้องโถงศาลเจ้าจีนปุงเฒ่ากงม่า อ.แม่สอด จ.ตาก ดร.สุขาติ จึงกิจรุ่งโรจน์ ประธานบริษัทในเครือ ฮงล้ง กรุ๊ปพร้อมด้วยคณะครอบครัว ได้นำข้าวสารอาหารแห้ง ประกอบไปด้วย ข้าวสาร 50 กระสอบ อาหารแห้ง (มาม่า) น้ำดื่ม นมเปรี้ยว จำนวน 30 ลัง มามอบให้กับแม่สอดมูลนิธิสามัคคีการกุศล โดยมี นายสมศักดิ์  คะวีรัตน์ ประธานแม่สอดมูลนิธิสามัคคีการกุศลพร้อมด้วยคณะกรรมการเถ้านั้ง ชุดที่ 53 ประจำปี 2565 เป็นผู้ร่วมรับมอบและให้การต้อนรับ 

การมอบข้าวสารอาหารแห้งในครั้งนี้ เพื่อให้ทางแม่สอดมูลนิธิสามัคคีการกุศลได้นำไปใช้ภายในงานประเพณีทิ้งกระจาดแจกทาน ศาลเจ้าปุงเฒ่ากงอำเภอแม่สอด ชุดที่ 53 ประจำปี 2565 ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานานของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลส่วนกุศล แก่บรรพบุรุษ และดวงวิญญาณอื่นๆ มีกิจกรรมแจกทานแก่ผู้ยากไร้ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต


ภาพและข่าว วรภา  พันลุตัน จ.ตาก

กสทช. ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนแม่สอด

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 66 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ, พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานด้านป้องกันและปราบปราม, พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช. สอท., นายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกิจการภูมิภาค, นายจาตุรนต์ โชคสวัสดิ์ ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม, นายภาณุพงษ์ ชัยศรีทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงาน กสทช. เขต 31, พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ สำนักงาน กสทช. และ สอท. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมและเสาสัญญาณผิดกฎหมายตามแนวชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีการลักลอบส่งสัญญาณโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาอาชญากรรมด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในปัจจุบัน

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมมือกับ สำนักงาน กสทช. ในการเดินหน้าปราบปรามสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมาย และจัดระเบียบเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งแต่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด, อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อสกัดไม่ให้มีการเผยแพร่สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มีการกวาดล้างจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการย้ายฐานปฎิบัติการเข้าสู่พื้นที่ใหม่ๆ ที่ยังสามารถอาศัยสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทยได้ และปลอดภัยจากการกวาดล้างจับกุม โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จว.ตาก ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและบางส่วนอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชุดปฏิบัติการร่วมตำรวจและ กสทช. ได้มีการลงพื้นที่หาข่าวจนนำมาสู่การปฎิบัติการในครั้งนี้ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

​กรณีที่ 1 เข้าจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และหันทิศทางสายอากาศไปยังประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จำนวน ๒ สถานี และในพื้นที่ อ.แม่สาย และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย จำนวน 4 สถานี เป็นความผิดฐาน “มีและใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมและตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต” ตามมาตรา 6 และ 11 แห่ง พรบ.วิทยุคมนาคมฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งปรับทั้งจำ และความผิดฐาน “ประกอบกิจการโทรคมนาคมซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตแบบที่หนึ่งโดยไม่ได้อนุญาต” ตามมาตรา 67 (1) แห่งพรบ.ว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท พร้อมทั้งจับกุมผู้กระทำผิด จำนวน 3 ราย ในการนี้ ได้ทำการรื้อถอนสถานีวิทยุคมนาคมผิดกฏหมายดังกล่าวทั้งหมด และทำการยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  

​กรณีที่ 2 พบการตั้งสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ และหันทิศทางสายอากาศไปยังประเทศ เพื่อนบ้าน ฝั่ง อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งทำให้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเหตุให้พื้นที่การให้บริการผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเกินกว่าอาณาเขตพื้นที่ประเทศไทย และล่วงล้ำไปยังอาณาเขตประเทศข้างเคียง โดยตรวจสอบพบสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เข้าลักษณะดังกล่าวจำนวนหลายสถานี ในกรณีนี้ สำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินการแจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งหมด เร่งแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยให้ถอนการติดตั้งสายอากาศบางจุด หรือ ปรับทิศทางสายอากาศ หรือ ดำเนินการด้วยวิธีอื่นใด มิให้แพร่สัญญาณคลื่นความถี่ออกนอกเขตพื้นที่ประเทศไทย เพื่อให้พื้นที่การให้บริการ อยู่ภายในอาณาเขตพื้นที่ประเทศไทย ​นอกจากนี้ ตั้งแต่ พ.ค.66 - ปัจจุบัน ได้ตรวจพบการจำหน่ายซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงทะเบียนการใช้งานโดยใช้ชื่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ใช้งานที่แท้จริงเพื่อจำหน่ายให้กับบุคคลอื่น จำนวน 7,668 ซิมการ์ด จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 20 คน แบ่งเป็นคนไทย 12 คน และต่างชาติ 8 คน ดำเนินคดีตาม  พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

​สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กสทช. ได้มีการบูรณาการความร่วมมือในการเดินหน้าปราบปรามสถานีโทรคมนาคมผิดกฏหมาย ควบคู่ไปกับการจัดระเบียบเสาสัญณาณไม่ให้แพร่สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน กวดขันจับกุมผู้ขายและผู้เป็นธุระจัดหา ซิมผี บัญชีม้า เพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์และพนันออนไลน์ไม่ให้ทำงานได้สะดวกเหมือนเคย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการผู้รับใบอนุญาตเป็นอย่างดี พร้อมทั้งมีการหารือในการปรับปรุงระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อตีกรอบการใช้เทคโนโลยีให้เป็นไปตามที่ภาครัฐกำหนด สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน

​ทั้งนี้ได้ฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชน ให้มีความระมัดระวังการใช้การใช้งานเทคโนโลยี เพราะปัจจุบันแก๊งมิจฉาชีพมีการพัฒนารูปแบบการหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา มีการออกอุบายใหม่ๆ ที่เน้นสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้เหยื่อตกใจตื่นตระหนก ตกหลุมพรางของแก๊งมิจฉาชีพ ขอให้ประชาชนตั้งสติ อย่าตกใจ ไม่เชื่อ ไม่โอน ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ยังพบว่า แก๊งมิจฉาชีพได้มีการจ่ายเงินซื้อโฆษณา เพื่อให้ลิงค์หรือเว็บไซด์ปลอมมาแสดงอยู่ในลำดับต้นๆ หรือสามารถเข้าถึงผู้ใช้แพลตฟอร์มเป็นจำนวนมาก มีการปลอมยอดติดตามหรือยอดไลท์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้เมื่อประชาชนที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ต้องการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ กดเข้าไปในลิงค์หรือเว็บไซต์ปลอม ถูกหลอกซ้ำซ้อนสร้างความเสียหายมากขึ้นไปอีก ดังนั้น หากเกิดข้อสงสัยหรือต้องการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน ขอให้สืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

‘กลาโหม’ แจง เครื่องบินพาณิชย์ ‘เมียนมา’ ลงจอด แม่สอด จ.ตาก กองทัพดูแล ตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง

(8 เม.ย.67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว ถึงกรณีเครื่องบินพาณิชย์เมียนมาลงจอดที่ประเทศไทย ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก  ว่า 

ประเด็นแรก ผู้ลี้ภัยจากสงครามเมียนมา ที่หลบหนีเข้ามาทางฝั่งไทย ทางด้านกองทัพภาคที่ 3 มีการเตรียมการ มาตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์สู้รบฝั่งตรงข้ามอำเภอแม่สอด และอำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก มีการสู้รบในฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา มาโดยตลอด ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยเข้ามายังค่ายผู้อพยพ ที่อำเภอแม่สอด และอำเภอแม่สะเรียง และทางกองทัพ  ก็ได้ดูแลช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรม ตามหลักสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (7เม.ย.67) รัฐบาลของเมียนมาที่จังหวัดเมียวดี สูญเสียฐานที่มั่น กองทัพไทย จึงให้ทางรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ ได้เจรจากัน ในเรื่องของความช่วยเหลือ ทั้งการนำเครื่องบินพาณิชย์ มารับข้าราชการ และครอบครัว ที่อยู่ในจังหวัดเมียววดี ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องไปพูดคุยกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน

ฝ่ายต่อต้าน รุกหนักถล่ม ฐานพัน.ร.275 ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด ส่งผลให้ ปชช.ชาวเมียนมา หนีตายเข้ามาฝั่งไทยแล้วกว่า 200 คน

(20 เม.ย.67) สถานการณ์บริเวณชายแดน ไทย-เมียนมา ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ทางกองกำลังชนกลุ่มน้อยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสหภาพเมียนมา ได้ใช้ปืนเล็ก ปืนกล และ เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. และใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) โจมตี พัน.ร.275 ภาคทหารบกตะวันออกเฉียงใต้ (ภทบ.ตอ./ต.) และ พล.ร.เบา 44 ซึ่งกระจายกำลังอยู่บริเวณพื้นที่ สะพานมิตรภาพ ไทย - เมียนมา แห่งที่ 2 (ฝั่งเมียนมา) บ.เยปู่ (MU 449471) อ.เมียวดี จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยงสหภาพเมียนมา ด้านตรงข้าม บ.วังตะเคียนใต้ ม.7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 1.5 กม. อย่างหนัก 

โดยขณะนี้ยังคงอยู่ระหว่างการปะทะ กินเวลากว่า 3 ชั่วโมง ยังไม่ทราบผลการสูญเสีย โดยฝั่งไทย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 งดการผ่านเข้า-ออก

ทางหน่วยเฉพาะกิจราชมนู ได้วางกำลัง ตามแผนเผชิญเหตุ และได้นำอาวุธยิงสนุนเข้าที่ตั้ง เพื่อปกป้องอธิปไตยและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนตลอดตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา 

โดยล่าสุดเวลา 08.30 น. มีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา ที่บริเวณ พื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว บ.วังตะเคียนใต้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ได้หลบหนีข้ามมายังฝั่งไทย จำนวน 217 คน

กระสุนปืน ‘ฝั่งเมียนมา’ ถูกยิงข้ามมายัง ‘ฝั่งไทย’ หน้าต่างบ้านเสียหาย โชคดียังไม่มีใครบาดเจ็บ

(20 เม.ย.67) การปะทะกันระหว่าง กองกำลังชนกลุ่มน้อยฝ่ายต่อต้านรัฐบาล กับทหารรัฐบาลเมียนมา ฝั่งตรงข้ามบ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ 7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ในวันนี้ ประชาชนไทย เริ่มได้รับผลกระทบจากการสู้รบของทั้งสองฝ่าย เมื่อมีกระสุนอาวุธปืนถูกยิงทะลุเข้ามายังฝั่งไทย และมีกระสุนหนึ่งนัดทะลุหน้าต่างมุ้งลวดของบ้านราษฎรชาวไทย โดยกระสุนปืนทะลุบ้านของ นางคำ ชาวบ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ 7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก หน้าต่างได้รับความเสียหาย แต่ยังโชคดีที่กระสุนปืน ไม่ถูกคนในบ้าน

‘รัฐบาลเมียนมา’ ใช้ ฮ.ติดปืนกล พร้อมส่งมิก-29 ถล่มฝ่ายต่อต้านอย่างหนัก ทำให้ปชช.เมียนมา หนีตายข้ามมาหลบภัยที่ฝั่งไทย อย่างต่อเนื่อง กว่า 1,200 คน

(20 เม.ย.67) เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. บริเวณชายแดน ไทย-เมียนมา ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ที่มีการสู้รบฝั่งเมียนมา จังหวัดเมียวดี ระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกับทหารรัฐบาลเมียนมา มีประชาชนฝั่งประเทศเมียนมา ข้ามมายังฝั่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา มีประชาชนชาวเมียนมาข้ามมาแล้วกว่า 1,200 คน ทั้งนี้ทางเจ้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจราชมนู (ฉก.ราชมนู) ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ได้จัดพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว ไว้ 2 จุด อยู่บ.วังตะเคียนใต้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก 

การสู้รบบริเวณชายแดนเมียนมาฝั่งจังหวัดเมียวดี ยังมีการสู้รบกันอย่างต่อเนื่องโดยรัฐบาลทหารพม่าได้นำเฮลิคอปเตอร์ติดปืนกลพร้อมจรวด ข้อต่อสู้กับทางฝ่ายต่อต้าน ทั้งนี้ัมีรายงานว่า ทางรัฐบาลทหารพม่าได้นำเครื่องบินรบ MiG-29 ทิ้งระเบิดใส่ฝ่ายต่อต้านอย่างหนัก

'ซิงซิง' ดาราดังจีนหายตัวที่ไทย พบพิกัดสุดท้ายอยู่ 'แม่สอด'

(6 ม.ค. 68) สื่อและโซเชียลจีนร่วมแชร์ข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของ 'ซิงซิง' ดาราหนุ่มชื่อดังชาวจีน หลังเดินทางมาถ่ายงานที่ประเทศไทย โดยพิกัดสุดท้ายถูกระบุอยู่ที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ญาติและแฟนสาวของซิงซิงได้ประสานงานกับสถานทูตจีนในไทยและหน่วยงานความมั่นคงเพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะที่โซเชียลจีนหวั่นว่าเหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับการล่อลวงคล้ายเนื้อหาในภาพยนตร์ดัง "No More Bets"

เพจ DomJeen ซึ่งรายงานเรื่องราวนี้เปิดเผยว่า แฟนสาวของซิงซิง ซึ่งใช้ชื่อว่า เจี่ยเจี่ย (Jiajia) ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือในโซเชียลมีเดีย เธอเล่าว่า ซิงซิงได้รับการติดต่อจากทีมงานผ่าน WeChat ให้เดินทางมาร่วมแคสติ้งและถ่ายทำในประเทศไทย ซิงซิงออกเดินทางจากสนามบินเซี่ยงไฮ้ ผู่ตง เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 และถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเช้าวันเดียวกัน ก่อนขึ้นรถที่ทีมงานจัดเตรียมไว้

เหตุการณ์ก่อนการหายตัว
วันที่ 3 มกราคม 2568 เวลา 03.00 น. ซิงซิงเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิและเดินทางต่อโดยรถยนต์ที่ทีมงานจัดไว้ โดยแจ้งว่าจะไปยังสถานที่ถ่ายทำในจังหวัดตาก ระหว่างการเดินทาง ระบบติดตามตำแหน่งแสดงว่ารถที่ซิงซิงโดยสารได้เดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บริเวณอำเภอแม่สอด ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ซิงซิงขาดการติดต่อกับแฟนสาวและทีมงาน ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้ตั้งแต่นั้น การดำเนินการของครอบครัวและแฟนสาว แฟนสาวของซิงซิงได้ติดต่อทั้งสำนักงานความมั่นคงเซี่ยงไฮ้ สถานทูตจีนในกรุงเทพฯ และสถานทูตจีนในเชียงใหม่ เพื่อขอความช่วยเหลือ พร้อมประกาศเดินทางมายังประเทศไทยในวันนี้ (6 มกราคม 2568) เพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ไทย

เธอยังเปิดเผยว่าเคยมีนักแสดงชาวจีนหลายรายที่ประสบเหตุการณ์คล้ายกัน โดยถูกล่อลวงให้มาทำงานในต่างประเทศและต้องเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยง

หลังเรื่องราวถูกเผยแพร่ใน เว่ยป๋อ (Weibo) แพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมในจีน ชาวเน็ตและนักแสดงร่วมวงการต่างแสดงความห่วงใยและร่วมกันแชร์ข้อมูลเพื่อช่วยตามหา ซิงซิง ขณะที่บางส่วนแสดงความกังวลว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นการหลอกลวงเพื่อนำไปสู่การทำงานผิดกฎหมาย หรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรรมในพื้นที่

ชาวเน็ตจีนจำนวนมากภาวนาให้ซิงซิงปลอดภัยและกลับมาโดยเร็วที่สุด พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือในกรณีนี้

ไฟไหม้ลานเก็บรถของกลาง เผาวอด 300 คัน ตำรวจเร่งแกะรอยหาสาเหตุเพลิงปริศนา คาดเสียหายหลัก 100 ล้าน

(19 มี.ค. 68) จากกรณีเมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 18 มี.ค. 68 เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่ลานเก็บรักษารถยนต์ของกลางของด่านศุลกากรแม่สอด จังหวัดตาก บริเวณด้านหลังด่านศุลกากรแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด โดยเพลิงไหม้ดังกล่าวลุกลามอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รถยนต์ที่จอดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้กว่า 300 คัน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเทศบาลนครแม่สอด และหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ ได้ระดมรถดับเพลิงกว่า 10 คันเข้าควบคุมเพลิงอย่างเร่งด่วน แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นลานโล่งกลางแจ้ง ประกอบกับมีเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันในรถยนต์ที่ถูกเก็บรักษาอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง กว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุของเพลิงไหม้ โดยมีการตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า อาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร หรือมีการลอบวางเพลิง เนื่องจากรถยนต์ของกลางที่ถูกเก็บรักษาในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นรถที่ถูกยึดจากขบวนการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นของกลางที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี

ด้านนายอำเภอแม่สอด และเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรแม่สอด ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนหาสาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ รวมถึงประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงหลายร้อยล้านบาท

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกันพื้นที่โดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในบริเวณที่เกิดเหตุ รวมถึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการสอบสวน

ด้านประชาชนในพื้นที่ต่างแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ และเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐ โดยหลายฝ่ายต่างเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด และหากพบว่าเป็นการลอบวางเพลิง ควรมีการดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างถึงที่สุด

ทั้งนี้ เหตุการณ์ไฟไหม้ลานเก็บรถของกลางด่านศุลกากรแม่สอดครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้ที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก และต้องรอผลการสอบสวนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top