Monday, 19 May 2025
แจ็ครัสเซล

ต้องเป็นคนไทยแบบไหน ถึงกล้าแอบรับเงินต่างชาติ มาเผาระบบ ทำลายความมั่นคงภายในประเทศของตัวเอง

(18 ก.พ. 68) ความแตกแยกของคนในชาติ คืองานหลักของ “ทุนตะวันตก” ที่อยากเห็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์พร้อมในด้านทรัพยากรแบบไทยเรา กลายเป็นประเทศที่สามารถครอบครอง บังคับ หรือจับซ้ายหันขวาหันได้ตามอำเภอใจ แต่การจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ก็ต้อง “ซื้อคนไทยกระหายเงิน” ให้ได้ก่อน แล้วใช้ “คนไทยขี้ข้าฝรั่ง” เหล่านี้ เดินเกมล้มชาติตัวเองให้สำเร็จด้วยกลวิธีสกปรกที่เตรียมไว้  

การเคลื่อนไหวผ่าน “คนไทยหัวใจคด” ที่แสดงออกถึงการไม่เอาสถาบันในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการตั้งม็อบ การแต่งกายเลียนแบบกษัตริย์ในเชิงเสียดสี ประชดประชัน หรืองานแสดงศิลปะที่เปลือยให้เห็นตรง ๆ ถึงการทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของไทย แม้จะมีมาในสังคมไทยนานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ที่เห็น “หางโผล่” แบบชัด ๆ ก็ในวันที่ประเทศไทยมี “พรรคส้มสามกีบ” เกิดขึ้นมา

แบ่งงาน แยกกันตี กระจายกำลังกันไปเพื่อจะสั่นสะเทือนถึงระบบ ความเป็นอยู่ ความเชื่อดั้งเดิม และความภักดีของคนไทยส่วนใหญ่ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ไทย ช่วยกันทำทุกวิถีทางเพื่อให้ “คนไทยสมองน้อย” คล้อยตามว่าสถาบันกษัตริย์คือสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นอันตรายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก ปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาเพื่อต้องการให้ “ศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาติ” สั่นคลอน 

อีกหนึ่งเหตุผลของ “คนไทยชังชาติตัวเอง” ก็จะชูคำพูดสวยหรูว่าที่พวกเขาทำอยู่นั้นก็เพื่อให้ประเทศไทยได้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เราจึงเห็น “กลุ่มคนล้มเจ้าด้วยทุนฝรั่ง” เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับ 112 ที่ผ่านมาทั้งหมด เห็นชัดว่าแนวคิดเช่นนี้เป็นอันตรายต่อสังคมไทย และบ้านเมืองเราจะไร้ความสงบสุขแบบยั่งยืน 

ทุนต่างชาติที่หวัง “ฮุบประเทศไทย” ถ้าจะทำสำเร็จได้ก็ต้อง “ล้มสถาบันกษัตริย์” ให้ได้ก่อน หรือทำให้อ่อนแอลง ก็จะง่ายที่จะทำเรื่องเลว ๆ ตามแผนในลำดับถัดไป จึงจำเป็นต้องอาศัยพรรคการเมืองที่แอบกัดเซาะสถาบันอยู่ในสภาด้วย แผนล้มเจ้าด้วยทุนฝรั่งถึงจะเรียกว่าคืบหน้า ออกอาวุธทุกที่เมื่อมีโอกาส แอ็คชั่นให้ “คนออกทุน” เห็นผลงานแบบเนื้อ ๆ ไม่เช่นนั้นท่อน้ำเลี้ยงจะหยุดไหล แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ร่ำรวยอู้ฟู่ในเวลาอันรวดเร็ว 

เมื่อได้ชื่อว่าเป็น “คนไทยขี้ข้าตะวันตก” ก็ต้องเดินหน้า “ชูสามนิ้วล้มสถาบัน” ให้สุดซอย ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระวังแหล่งทุนจะรู้ทันว่าก็แค่ “รับจ้างล้มเจ้า” ไปวัน ๆ นายทุนหมดเงินเมื่อไหร่ ก็พร้อมกลับหลังหันได้ตลอดเวลา ตามประสานักการเมืองไทย 

ฝันไปเถอะคำว่า “อุดมการณ์”

‘พรรคการเมือง’ เก่งแต่หาเสียงผ่านคำพูด ‘ลดเหลื่อมล้ำสร้างความเท่าเทียม’ สุดท้าย! เป็นเพียงวาทะเสนาะหู ถึงเวลากลับไม่กล้าแตะเทวดาชั้น 14

“เราจะสู้เพื่อความเหลื่อมล้ำเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม” หนึ่งในคำโฆษณาหลอกต้มผู้คนของพรรคล้มล้างการปกครอง 

วัยรุ่น วัยคะนอง ที่ไม่หัดลงลึกกับเรื่องการเมืองไทย มักทำทุกอย่างตามกระแสสังคม รวมถึงผู้ใหญ่ 'ขี้แพ้' แถม 'คิดไม่เป็น' จำนวนหนึ่ง ที่ฝังหัวตัวเองมาช้านานว่าประเทศไทยมีแต่ความไม่เสมอภาค ไร้อิสระ ถูกกดขี่ และคนจะไม่สามารถจะมีสิทธิ์มีเสียงเท่าคนรวย ผู้คนเหล่านี้มักจะสนับสนุน 'พรรคส้มเน่า' ที่ชูการหาเสียงไว้อย่างแข็งขันว่า เราจะสู้ให้ความเหลื่อมล้ำ และความไม่เท่าเทียม หมดหายไปจากแผ่นดินไทย ประชาชนทุกคนจะต้องมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน 

โดยที่การหาเสียงเพื่อเอาใจ 'เหล่าคนบ้องตื้น' เหล่านี้ ส่วนลึกก็หวังพาดผ่านไปกระทบสถาบันเบื้องสูง ดังที่เราจะเห็น 'นักการเมืองสามกีบ' คอยเซาะกร่อน บ่อนทำลาย เพื่อลด 'ความน่าเชื่อถือ' ของสถาบันที่คนไทยเคารพรักมาโดยตลอด คนพวกนี้พยายามทุกวิถีทางผ่านวิธีสกปรก แม้แต่การ 'หลอกใช้เด็กหิวแสง' ให้ไปติดคุก หรือลี้ภัย เพียงเพื่อให้ 'สถาบันอ่อนแอ' ลง ลดต่ำลงมาเทียมประชาชนคนธรรมดา เพื่อโยงเหตุผลการต่อสู้เพื่อความไม่เท่าเทียมให้ดูสมจริง แต่ความเลวร้ายสุดโต่งที่ซ่อนไว้ก็คือการปกครองแบบเดิมจะต้องถูกทำลายลง 

เมื่อแผนชั่วช้าไปไม่ถึงดวงดาว เด็กวัยรุ่น วัยคะนอง ที่เคยอ่อนด้อยในเรื่องการเมือง เริ่มอ่านหนังสือ เริ่มศึกษาความเป็นมาเป็นไป และไม่น้อยก็ลงลึกกับการสอดส่องติดตามดูพฤติกรรมของ 'พรรคการเมืองสีส้มล้มเจ้า' ก็พบว่า เรื่องที่บอกจะสู้เพื่อความเหลื่อมล้ำ ให้สังคมเกิดความเท่าเทียม เป็นเพียง 'เรื่องโกหก' ที่สร้างขึ้นมาไว้ 'หลอกต้มคนโง่แบบตัวเอง' เท่านั้น เพราะกรณีของ 'นักโทษเทวดา' ที่เป็นหัวหน้าตัวจริงของ 'พรรคเผาเมือง' กลับมารับโทษก็จริงแต่ไม่ต้องติดคุกเลยสักวันเดียว แถมยังเหาะเหินไปนอนบนสวรรค์ชั้น 14 ชนิดที่ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ แพทย์ ตำรวจ ข้าราชการ ต่างยอมศิโรราบด้วยแพ้อำนาจเงิน และอิทธิพลเทวดา ช่วยกันเข็น 'ผิดให้เป็นถูก' โดยไม่แยแสกระแสสังคม ถือเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนเกินจะรับได้

กรณีชั้น 14 จึงสะท้อนความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียมที่ชัดเจนที่สุด ข่าวฉาวนี้ดังไปครึ่งค่อนโลก แต่พรรคการเมืองที่ประกาศก้องว่าข้านี่แหละจะสู้ให้ความเหลื่อมล้ำหมดหายไปจากแผ่นดินไทย กลับไม่มีสักตัวกล้าโผล่มาประจันหน้ากับเทวดา ไม่มีสักตัวที่จะปริปากทักท้วง หรือทัดทานการกระทำที่ตบหน้าคนไทย และเหยียบกระบวนการยุติธรรมไทยจนจมธรณี 

เสียหายต่อหน้าต่อตาหนักขนาดนี้ แต่ 'พรรคส้มสามกีบ' ก็ยังเฉย สยบยอมเป็น 'พรรคขี้ข้านักโทษ' ในคราบ 'คนรุ่นใหม่จอมปลอม' หากินกับเงินเดือนภาษีประชาชนไปวัน ๆ เท่านั้นเอง 

หนึ่งในความเลวทรามสกปรกของนักการเมืองรุ่นใหม่ คือการสร้าง “ข่าวปลอม” (Fake News) ออกสู่สังคม

(18 มี.ค. 68) หากย้อนกลับไป 30 - 40 ปีก่อน สมัยที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย นักการเมืองถ้าจะสร้าง “ข่าวปลอม” หรือ “Fake News” เพื่อมาดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ก็จะอาศัยช่องทางสื่อต่าง ๆ ที่พรรคการเมืองของตนเองสนิทสนม หรือแอบมีส่วนในการ “เป็นเจ้าของ” ทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ จะใช้ช่องทางที่ตนเองควบคุมบังคับได้เหล่านี้นำเสนอข่าวเท็จ ประเด็น และเรื่องราวที่ไม่จริงของฝ่ายตรงข้ามมาตีแผ่ออกสู่สังคม เพื่อให้ผู้คนเข้าใจผิด เกลียดชัง จนลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามลง 

เหยื่อที่เจ็บปวด เสียหาย ถ้าไม่แข็งแรงมากพอก็จะเดินก้มหน้าออกจาก “สนามการเมือง” ไปทันที แต่ที่เป็นขาใหญ่จริง ๆ ก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาเหยียบหัวสิงห์ได้ง่าย ๆ ถ้าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องถูกใส่ร้ายป้ายความผิด ก็มักจะเล่นกลับแรง ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างที่ “คนยุคนี้” นิยมเลือกมาจัดการคู่กรณี 

แต่คือการใช้ “ลูกปืน” ย่นเวลาทุกอย่างให้จบง่ายขึ้น 

นักการเมืองยุคเก่า แม้จะไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดี ๆ ชั่ว ๆ ความรักในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังมีในจำนวนที่มากกว่านักการเมืองยุคสมัยนี้ และคำว่า “คนใจนักเลง” ยังใช้ได้กับนักการเมืองรุ่นเก่าจำนวนมาก เรียกว่าขอกันได้ แค่แสดงความนอบน้อม นับถือ รักษาสัจจะ ไม่ข้ามหัว ไม่ตีกิน หรือแอบแทงกันลับ ๆ ด้วยการ “สร้างข่าวปลอม” มาทำให้อีกฝ่ายต้องพังพินาศ ถือเป็นเรื่องที่ “คนรุ่นเก่า” ไม่นิยมทำกัน เพราะเป็นเรื่องของ “สวะ” ทั้งเหม็น และน่ารังเกียจ

“ข่าวปลอม” ยุคสมัยก่อน นาน ๆ จะโผล่มาสักเรื่องหนึ่ง ถ้าสังคมจับได้ไล่ทันก็จะไม่คุ้ม เพราะคนปล่อยข่าว รวมถึงตัวการก็จะไร้ที่ยืน ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่ใช่วิถีลูกผู้ชาย ไม่แน่ก็อาจจะไร้ลมหายใจ จึงมักสู้กันแบบลูกผู้ชาย ซึ่งนักการเมืองรุ่นใหม่ที่นิยม “หนีการเกณฑ์ทหาร” ยากที่จะสะกดคำว่า “คนใจนักเลง” เป็น เราจึงมักเห็น “นักการเมืองรุ่นใหม่ขี้หมา” จงใจสร้างข่าวปลอม พอถูกจับได้ก็หายศีรษะไปเงียบ ๆ หนีหน้าไม่มีออกมาขอโทษสังคม หรือสำนึกผิด แล้วก็รอปั้นแต่ง “ข่าวปลอมเรื่องใหม่” มาทำร้ายผู้คนดังเดิม 

ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักการเมืองไทย” การที่ไร้ความสามารถ ไร้วิสัยทัศน์ และไร้การเป็นแบบอย่างในทางที่ดีให้สังคมเดินตามก็ดูแย่มากแล้ว แต่การที่วัน ๆ สาละวนอยู่กับการ “คิดข่าวปลอม” เพื่อให้สังคมไทยวนอยู่ในวงจรน้ำเน่า คำว่า “เลวทรามต่ำช้า” ก็ถือว่ายังน้อยเกินไป 

‘ประเทศไทย’ อุดมไปด้วย ‘นักการเมืองห่วย’ สะท้อน ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังเบาปัญญา

(25 มี.ค. 68) เราได้นักการเมืองแบบไหน นั่นเพราะเรามีประชาชนที่มีคุณภาพในแบบนั้น

ประโยคเด็ดที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความจริงของสังคมก็คือ ประเทศใดมีนักการเมืองแบบไหนเข้ามาบริหารประเทศ นั่นก็เพราะเรามีประชาชนที่ส่วนใหญ่ ๆ เป็นคนแบบนั้นเลือกเข้ามา ถ้าเรามีรัฐบาลที่ทั้งโง่ เซ่อ และทุจริตคอรัปชั่นเป็นอาชีพ ก็เพราะเรามีประชาชนที่ตาถั่ว อ่านนักการเมืองไม่ออก มัวแต่หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เป็นคนเปิดทางให้เข้ามา ที่ประเทศชาติต้องอับอายขายขี้หน้าชาวโลก และสุ่มเสี่ยงต่อภัยอันตรายทุกด้าน ก็มาจากน้ำมือของ “คนเลือกนักการเมือง” ทั้งสิ้น 

ถ้าประชาชนมีสติปัญญาที่ฉลาดเฉลียวจริง พรรคการเมืองที่กระทำแต่เรื่องแย่ ๆ กับประเทศไทยคงไม่ได้ผลคะแนนที่สูง เราก็คงไม่ได้ “นายกหุ่นเชิด” ที่อดีตมีข่าวเรื่อง “โกงข้อสอบ” แถมยังมาจาก “ตระกูลหนีคดี” และเราคงไม่ได้รัฐบาลที่ทำงานไม่เป็น ปัญหาของประเทศไทยที่มี “นักการเมืองเลว ๆ” มากกว่า “นักการเมืองน้ำดี” จึงอยู่ที่ “คนเลือก” ไม่ใช่อยู่ที่ “ตัวนักการเมือง” 

ทุกประเทศ ถ้า “คนเลือก” เป็นคนที่ขาดความรู้ ไม่หัดลงลึก ไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ต่อให้เรามีนักการเมืองที่ดีกับประเทศจริง ๆ “เหล่าประชาชนคนโง่เขลา” ก็จะดูไม่ออกอยู่ดี 

เพราะ “ประชาชนผู้เบาปัญญา” ชื่อก็บอกอยู่แล้ว จะกาเลือกตามกระแส เลือกตามสื่อ เลือกตามเพื่อน เลือกตามแฟน เลือกตามน้ำคำที่ปลิ้นปล้อนของนักการเมืองที่ตนเองแอบนิยมชมชอบ เราจึงได้แต่นักการเมืองห่วย ๆ ไร้ประสิทธิภาพ ผลัดเปลี่ยนกันมากระทืบประเทศไทย

คนไทยจำพวก “เลือกส่งเดช” เหล่านี้ ไม่เคยรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองเลือกเข้ามา เช่นคนจำนวนไม่น้อยเลือกนักการเมืองจากพรรคที่ตั้งหน้าตั้งตา “ล้มล้างสถาบัน” แถมยังมีกรณีหนีการเกณฑ์ทหาร, ใช้บุหรี่ไฟฟ้า, เมาสุรา, แอบเคลมของบริจาค, มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ, เอาเวลาที่ต้องเข้าสภาไปทำงานส่วนตัว, คุกคามประชาชน, ใช้ข้อมูลมั่วในการอภิปราย, แสดงความโง่ในการนับเลข และผลาญเงินภาษีพากันบินไปดูงานต่างประเทศ ถามว่า “นักการเมืองชั้นเลวเหล่านี้” มีประโยชน์ตรงไหนกับชาติบ้านเมือง และประชาชนคนไทย? 

คำตอบคือ..ไม่มี 

แล้วคนที่พากันเลือกสิ่งที่เลว ๆ จำพวกนี้เข้ามา จะมีประโยชน์กับสังคมไทยได้อย่างไร?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top