Monday, 28 April 2025
เอ้สุชัชวีร์

'ดร.เอ้' เชื่อ!! ความรู้ยุคนี้เปิดกว้าง แต่มหาวิทยาลัยก็ยังไม่ถูกทิ้งขว้าง เพราะ 'การอยู่ร่วมกัน-เรียนรู้ชีวิตที่แท้จริง' หาไม่ได้จากสื่อโซเชียล

เมื่อไม่นานมานี้ ติ๊กต็อกช่อง @aesuchatvee ของ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์คลิปวิดีโอช่วงหนึ่งของรายการ Secret Sauce หลังจากได้ให้สัมภาษณ์ในประเด็น ‘มหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่ไหม?’ ในโลกที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากหลากหลายแหล่ง ซึ่ง ดร.เอ้ ก็ได้แชร์มุมมองเอาไว้ว่า...

“มหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่หรือไม่นั้น...เราไม่สามารถตอบได้ อีก 20 ปีอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้ แต่การศึกษาจะยังคงมีอยู่ เพราะฉะนั้นไม่มีใครตอบได้ ดังนั้น แล้วมันยังจําเป็นไหม ขอยืนยันว่าจําเป็น… เพราะมหาวิทยาลัยมันไม่ได้สอนวิชาการเท่านั้น“

จากนั้น ดร.เอ้ ได้ยกภาพยนตร์เรื่อง Good will hunting เพื่ออธิบายต่อว่า “Good will hunting เป็นจุดกําเนิดของ ‘แมตต์ เดม่อน’ กับ ‘เบน แอฟเฟล็ก’ ที่ได้ ‘โรบิน วิลเลียมส์’ มาแสดงเป็นครูมัธยม ซึ่งในหนังพระเอกซึ่งก็คือ แมตต์ เดม่อน รับบทเป็นภารโรงประจำสถาบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตส์ (MIT) แต่เกเร เรียกว่าได้เอาไม่อยู่ จึงต้องให้ครูมัธยมอย่างโรบิน วิลเลียมส์มาสอน ปรากฏว่าเด็กอัจฉริยะคนนี้มันเกเรจริง ๆ จากนั้นโรบิน วิลเลียมส์จึงพาไปนั่งสวนสาธารณะที่บอสตัน ซึ่งฉากนี้เป็นฉากที่ได้รับรางวัลออสการ์ ‘เขียนบทยอดเยี่ยม’ โดยโรบิน วิลเลียมส์ได้พูดกับพระเอกเอาไว้ว่า ‘รู้นะ...ว่าเธออ่านหนังสือทั่วโลกมาแล้ว เธออ่านหนังสือเล่มภายในไม่กี่นาที เธออาจจะรู้นะว่าในโบสถ์ซิสทีนที่วาติกันนั้นไมเคิลแอนเจโลเขียนรูปอะไรไว้บ้าง หรือเขียนรูปพระเจ้าชนนิ้วยังไงบ้าง แต่เธอไม่เคยไป…เพราะฉะนั้นความรู้ที่เธอมีจากที่อ่านมา เธออาจจะตอบคําถามได้ทุกอย่างทั่วโลก แต่เธอไม่เคยไปสัมผัส เธอจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าแท้จริงแล้วนั้น โบสถ์ซิสทีนไมเคิลแองเจโลทำได้ยังไง…เพราะเธอไม่เคยสัมผัสกลิ่น ไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศ ซึ่ง ’มหาวิทยาลัย‘ คือตรงนั้น…’

ดังนั้น มหาวิทยาลัยจะเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าการอยู่ร่วมกัน เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยในไทยเก่งแค่ไหนก็คงไม่เก่งเท่าอาจารย์ฟิสิกส์ที่ได้ Nobel Prize ที่ฮาเวิร์ดหรือที่ทําพอดแคสต์...อาจารย์ลาดกระบังเก่งแค่ไหน ก็คงสู้วิศวะจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ไม่ได้ เขาก็ไปเรียนได้อยู่แล้ว แต่การมาเรียนที่ ม.ลาดกระบัง, ม.จุฬาฯ, ม.เกษตรฯ, ม.ธรรมศาสตร์ หรือ ม.ราชภัฏต่าง ๆ การมาอยู่ร่วมกัน การได้เป็นศิษย์เป็นครูกัน และการเห็นคนที่เสียสละ…วันหนึ่งนั้นเขาก็ต้องเป็นคุณพ่อคุณแม่ เป็นผู้นําองค์กร และมีครูที่ใกล้ตัวเป็นโรโมเดล ได้ทํากิจกรรมชมรม ออกกําลังกายด้วยกัน รู้แพ้รู้ชนะ โดยถ้าหากแพ้ก็ไม่ได้ชกต่อยกัน สอนให้รู้จักความเป็นผู้นํา ให้รู้จักเสียสละ สิ่งพวกนี้แหละที่ทำให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยนั้นยังมีความจําเป็นที่สุด…

9 เคล็ด (ไม่) ลับ สอนลูกให้รัก 'คณิตศาสตร์'

ไม่นานมานี้ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้เผยเคล็ดไม่ลับในการสอนคณิตศาสตร์ ให้เด็กๆ รุ่นใหม่ ได้ตระหนักถึงคุณค่าที่ควรโฟกัส และไม่มองว่าเป็นเรื่องยากจนไม่อยากจะเรียนรู้ ไว้ว่า...

คณิตศาสตร์ คือ รากฐานของทุกสาขา ทั้งวิทย์ สังคม ภาษา ล้วนมาจากหลักทางคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น ชนชาติใดเก่งคณิตศาสตร์ ย่อมได้เปรียบ ย่อมเป็นผู้ชนะ มีความแข็งแกร่ง ทรงพลานุภาพ ทางทหาร เศรษฐกิจ สังคม และอารยธรรม

ดร.เอ้ ได้ยกตัวอย่าง การสอนอิชิบอย ลูกวัย 5 ขวบ ให้รักคณิตศาสตร์ และสามารถถอดสแควรูท คูณเลข ยกกำลัง เข้าใจทศนิยม ได้อย่างมหัศจรรย์ โดยไม่ต้องยัดเยียดหรือบังคับเลยแม้แต่น้อย

แถมลูกยังมีความสุขอย่างมาก ที่ได้คำนวนเลข และยังสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ได้อย่างแนบแน่น

โดย ดร.เอ้ ได้เผย 9 ข้อ จากประสบการณ์ส่วนตัว ที่คุณพ่อคุณแม่ สามารถลองนำไปปรับใช้ได้ตามความเหมาะสม ดังนี้...

1. เริ่มสอนจาก ‘การนับเลข’ นับนิ้ว นับคน นับของ นับต้นไม้ ธรรมชาติรอบตัว สอนนับเลขให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอให้ลูกพูดได้ทุกคำ นับบ่อยๆ นับทุกวัน เจออะไรให้นับ แม้จะง่าย แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด

2. เริ่ม ‘บวก’ และ ‘ลบ’ ใช้นิ้วมือ ง่ายที่สุด ตามด้วยใช้การ ‘ขีด’ หากมีกระดานดำเล็กๆ ราคาถูก คุ้มค่ามาก มีตั้งแต่ไม่ถึงร้อยบาท ไม่ต้องซื้อของแพง

3. สอนให้ลูก ‘มองเห็นภาพ’ คือ จุดเริ่มต้นของการคิดเลขในใจ เด็กทำได้ทุกคน ขอให้สม่ำเสมอ ทุกวันๆ การมองภาพ พ่อแม่จะวาดเอง หรือ มีสื่อการสอนมากมาย ช่วยพัฒนาทั้งความจำ และตรรกะ

4. อย่ารีบให้ลูกใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ให้เริ่มจากดินสอ-กระดาษ ชอล์ก-กระดานดำ ให้ลูกใช้นิ้ว ให้มือ ให้มากที่สุด ไม่ต้องกังวลเรื่องความสวยงาม 

5. Youtube มีประโยชน์ หากใช้ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ ขอยอมรับว่าเนื้อหาสอนคณิตศาสตร์จาก Youtube ดีมาก สนุก ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งภาษา

6. พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วม ตั้งแต่การนับเลข คำนวณ พร้อมกับลูกทุกวัน เพราะครูที่ดีที่สุดในโลก คือ ‘พ่อแม่’ ไม่เสียเวลาอะไรมาก ใช้เวลาคิดเลขด้วยกันไม่กี่นาที แต่มันเปลี่ยนอนาคตลูกได้เลย

7. หมั่นสร้างโจทย์ สร้าง ‘ความท้าทาย’ ให้กับลูก เสมือนเกม ที่ต้องเล่น ต้องผ่านไปให้ได้ เริ่มต้นจากง่าย ให้ลูกภูมิใจ จนถึงยาก ให้ต้องคิด ต้องมุ่งมั่น เพื่อแก้โจทย์ให้สำเร็จ

8. ‘คำชม’ และ ‘กำลังใจ’ คือ พลังวิเศษ สร้างอนาคตลูก เมื่อลูกทำโจทย์ง่ายๆ สำเร็จ ทั้งส่งเสริมให้ลูกกล้าฝัน และตั้งเป้าหมายชีวิตให้สูง เช่น อยากเป็นนักบินอวกาศ อยากไปดาวพฤหัส อยากเป็นโน่นนี่ แต่พ่อแม่ต้องอย่าขัดคอ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่า มันยากมาก แต่ใครจะรู้ มันอาจเป็นจริงก็ได้ และอย่าลืมบอกลูกว่า ‘จะไปถึงเป้าหมายได้ อันดับแรก คือ การตั้งใจเรียนรู้’ จากนั้นลูกจะมุ่งมั่น เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องบังคับเลย

9. ให้ลูกคิดว่า ‘ความผิดพลาด’ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่มีใครทำถูกไปทุกเรื่อง เขาจะกล้าคำนวณ ทำโจทย์ยากขึ้นอย่างมหัศจรรย์ ไม่กลัวจะตอบผิด ถือเป็นการเรียนรู้ชีวิตไปด้วย

ดร.เอ้ ยังบอกอีกว่า จากประสบการณ์ส่วนตัว ในฐานะพ่อที่มีลูกเล็ก ไม่มีถูกผิดในทุกๆ การเรียนรู้ แต่ขอให้คุณพ่อคุณแม่ให้ ‘เวลาที่มีคุณภาพ’ บวกกับ ‘ความอบอุ่นจากการกอด’ ให้มากๆ ตรงนี้จะสร้างลูก สร้างบุคลากรที่มีความมหัศจรรย์ ให้แก่สังคมได้ในอนาคตแน่นอน

‘ดร.เอ้’ ยกกรณีสายสีเหลือง ความปลอดภัยสังคมไทยน่าห่วง ถึงเวลาตั้ง ‘องค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ เสียที

(3 ม.ค.67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมว่ามันมากเกินไป บ้านเมืองไทยปลอดภัยกว่านี้ได้นะ การปล่อยผ่านไปโดยไม่มีการถอดบทเรียนอย่างตรงไปตรงมา ครั้งหน้าความสูญเสียมันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ อย่าล้อเล่น

การสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย เริ่มต้นด้วย ‘เรื่องความปลอดภัย ต้องมาก่อน’ ดีไหมครับ ห่วงใยจริงๆ ครับ

ผมจึงขอรณรงค์ เสนอกฎหมาย จัดตั้ง ‘องค์กรเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ เพื่อเป็นคนกลางจริงๆ ทำงานแทนประชาชน รับเรื่องร้องเรียน แจ้งเตือน ป้องกันภัย ถอดบทเรียน และให้ความรู้แก่ประชาชน เป็นที่พึ่งของสังคมเรื่องความปลอดภัย

ร่วมลงชื่อ ที่ suchatvee.com ให้ครบหนึ่งหมื่นชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายนี้ร่วมนะครับ ขอบคุณครับ

#รถไฟฟ้าสายสีเหลือง #สะพานถล่ม #ความปลอดภัย #องค์กรเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ

'ดร.เอ้' แนะ!! กทม. ควรสั่งปิดโรงเรียนเด็กเล็ก ชี้!! ฝุ่นพิษครองเมือง เร่งกวดขันต้นตอเสียที

(19 ม.ค.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 'ดร.เอ้' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' โดยระบุว่า...

"แดง แดง แดง ทั้งกทม." ฝุ่นพิษครองเมือง กทม. ต้องแจ้งเตือน และ เข้มงวดกับต้นตอ

ดร.เอ้ กล่าวว่า ตนเองไอหนักมากตั้งแต่เช้า โทรหาหมอเพื่อนกัน เขาบอกว่า ฝุ่นพิษ PM2.5 วิกฤตแล้ว คนไข้โรคทางเดินหายใจ คิวเต็มรพ. หมอเครียดมาก ผมห่วงใยเพื่อนๆ และลูกๆ นะครับ เพราะจะใส่หน้ากาก N95 ทั้งวันก็หายใจไม่สะดวก จะซื้อเครื่องฟอกอากาศ ก็ไม่ได้ผลมากนัก เฮ้อ...ไม่รู้จะทำไงดี ครอบครัวคนกทม. เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตที่นี่... กรุงเทพเรา อากาศหายใจ ไม่ได้แล้วหรือ เรามาถึงจุดนี้ได้ไง? ใครก็รู้ว่า ต้นกำเนิดฝุ่นมาจากการขนส่ง หนักที่สุด ซึ่งมันแก้ได้

ดร.เอ้ กล่าวว่า สิ่งที่ กทม. ต้องทำเร่งด่วน เป็นอันดับแรก คือ การแจ้งเตือนผู้ปกครอง เพราะวันนี้โรงเรียนเด็กเล็กควรปิด และต้องมีรายงานฝุ่น ขึ้นป้าย LED ที่มีอยู่เต็ม กทม. แจ้งให้ประชาชนระวังตัวใส่หน้ากาก ป้องกันตนเอง และลูกๆ

อันดับสอง รถขนส่งที่ปล่อยฝุ่นพิษ ส่วนใหญ่ไปส่งของ ที่ไซต์งานก่อสร้าง ดังนั้น กทม. มีอำนาจตรวจจับ และบังคับใช้กฎหมายกับเจ้าของสถานที่ก่อสร้างไร้ความรับผิดชอบได้ทันที ให้เขากวดขันกับรถที่ปล่อยฝุ่น เข้า-ออก เพราะเขากลัวถูกพักการก่อสร้าง ซึ่งเสียหายมาก ใครก็กลัว ทุกเมืองทั่วโลก ทำแบบนี้

ทั้งนี้ ดร.เอ้ ยังเชื่อ เรายังแก้ปัญหามลพิษได้ หากผู้นำมุ่งมั่น จริงจัง ดุดัน มากพอ กับการสู้กับต้นกำเนิดฝุ่น ที่วันนี้ยังปล่อยทำร้ายคนกทม. ทุกวันๆ

‘ดร.เอ้’ ชี้!! ‘คนเก่ง’ ต้องหมั่นเรียนรู้-ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันได้

(23 ม.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ 'ดร.เอ้' อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ช่วงหนึ่งของรายการ ‘ป๋าเต็ดทอล์ก’ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.66 ในหัวข้อ ‘คนเก่ง’ และ ‘คนดี’ คือคนแบบไหน? โดย ดร.เอ้ ได้แชร์มุมมองเอาไว้ว่า…

“หนึ่ง เป็นคนที่ ‘เรียนรู้’ ซึ่งคนที่เก่งแล้วไม่เรียนรู้ ไม่ใช่คนเก่งในวันนี้แล้วล่ะ แต่คุณเป็นคนเก่งของเมื่อวาน และสองต้องเป็นคนที่ ‘ทําได้’ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนเรียนเก่ง ไม่ใช่คนเก่ง เพราะฉะนั้นสองอย่างนี้ต้องเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดและต้องทํางานเป็นชิ้นเป็นอัน อันนี้ถึงจะเรียกว่า ‘คนเก่ง’

ถัดมา ดร.เอ้ ได้อธิบายเพิ่มเติมสำหรับคำว่า ‘คนดี’ เขาวัดกันอย่างไรว่า “อันนี้จะยากกว่าคนเก่ง จริงๆ บางทีมีคนมาให้ตังค์เราก็คิดว่าคนดีแล้ว บางทีเขาอาจไปปล้นมาก็ได้…ถ้าสําหรับผม ‘คนดี’ ต้องคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ต้องเป็นคนที่เสียสละ แล้วก็อยู่ในทํานองคลองธรรม ผมว่าถึงจะเป็นคนดี…”

‘ดร.เอ้’ ย้ำ!! ปัญหาฝุ่นพิษในกรุง ต้องแก้จากรถขนส่งไซต์งานก่อสร้าง เตรียมดันกฎหมายคุ้มครองประชาชน หลังครบ 10,000 รายชื่อ

(5 ก.พ.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม.ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เอ้ สุชัชวีร์ โดยระบุว่า… 

ชีวิตคนกทม.มันสุดทนจริงๆ แม้แต่วันอาทิตย์ยังต้องสูด PM 2.5 จากรถบรรทุกควันดำ (มาก) รถพวกนี้ ไปส่งของไชต์งานก่อสร้างอาคารเป็นส่วนใหญ่ กทม.มีอำนาจจัดการ กับเจ้าของอาคารได้ทันที ด้วยกฎความปลอดภัย และความสะอาด ไม่ต้องรอใคร

ที่จริงไม่ต้องรอ พรบ.อากาศสะอาด วันนี้เจ้าหน้าที่รัฐ #จะทำก็ทำได้ เรื่องลดฝุ่นพิษ เพราะฝุ่นพิษตายแท้จริงนะครับ ทั้งโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคสมอง โรคเหล่านี้ตายทรมาน สงสารคนป่วย และลูกหลาน

“รู้นะว่าเรื่องปากท้องนั้นสำคัญ แต่เวลาป่วย ใครจะรับผิดชอบ ทั้งเจ็บ ทั้งหมดเงินหมดทองหมดตัว ทุกข์สุดๆ เรามาร่วมพลังแก้ปัญหา PM 2.5 กันเถอะครับ”

โดยที่ผ่านมา ศ.ดร.สุชัชวีร์ ได้ติดตามและออกมาเตือนถึงปัญหาและการแก้ไขเรื่องฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยปัญหาฝุ่นพิษในกทม.มาจากรถขนส่งที่ปล่อยฝุ่นพิษ ซึ่งส่วนใหญ่ไปส่งของที่ไซต์งานก่อสร้าง ดังนั้น กทม.มีอำนาจตรวจจับ และบังคับใช้กฎหมายพักการก่อสร้าง กับเจ้าของสถานที่ก่อสร้างที่ไร้ความรับผิดชอบได้ทันที เรายังแก้ปัญหามลพิษได้ หากผู้นำมุ่งมั่น จริงจัง ดุดัน มากพอ กับการสู้กับต้นกำเนิดฝุ่น ที่วันนี้ยังปล่อยทำร้ายคนกทม. ทุกวันๆ

วันนี้ภาคประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ จะติดตามเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างเข้มข้นที่สุด เพราะ PM 2.5 อยู่กับลูกหลานเราทุกวัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีองค์กรที่เป็นตัวแทนพวกเราอย่างแท้จริง องค์กรเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งจะรับเรื่องร้องเรียน ติดตาม แก้ปัญหา ทั้งเรื่องความปลอดภัย และปัญหาฝุ่นพิษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยคาดว่าต้นสัปดาห์หน้าเมื่อครบ 1 หมื่นรายชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายความปลอดภัย

'นักวิชาการ' ฟาดสื่อไทยเลือกปฏิบัติ พอ 'พิธา' โกหกสารพัด ไม่ถูกเล่นงาน

(7 ก.พ.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

ความอยุติธรรมของสื่อมวลชนไทย การเลือกปฏิบัติกรณีพี่เอ้กับทิมพิธาโป๊ะแตก

พี่เอ้ ศ.ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อาจจะขี้โม้สักหน่อย พูดว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของหลานอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ครั้งเดียว แล้วทุกคนจับโป๊ะได้ว่าไม่เป็นความจริง พี่เอ้ โดนสื่อทุกช่องทางเล่นข่าวนี้จนพี่เอ้ไม่ได้ผุดได้เกิดในทางการเมืองเลยจนบัดนี้

ส่วนกรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกจับโป๊ะแตกว่าขี้โม้โกหกสารพัด แต่สื่อส่วนใหญ่เลือกปฏิบัติไม่นำเสนอเล่นงานนายพิธา ไม่เหมือนกับกรณีของพี่เอ้ โป๊ะแตกของนายพิธามีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น

1. กลับจากเมืองนอกมางานศพพ่อไม่ทัน
2. บ้านของคุณยายเป็นจวนของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่พระตะบอง ในกัมพูชา
3. ติดสติ๊กเกอร์ยกเลิก 112 แต่บอกว่าไม่ต้องการยกเลิก 112 แค่ต้องการแก้ไข
4. ถูกส่งไปเรียนที่นิวซีแลนด์ตอนอายุ 11
5. จบปริญญาตรีสองใบจากธรรมศาสตร์ และ University of Texas at Austin
6. เคยขึ้นสแตนด์เชียร์ รร.กรุงเทพคริสเตียน ในงานฟุตบอลจตุรมิตร
7. ไม่เคยสนับสนุนกัญชาทางการแพทย์
8. ภาพวาดลอกเลียนแบบงานของโมเนต์
9. เขียนอีเมลหารุ่นพี่ MIT เจ้าของไฟเซอร์ที่ตายไปแล้วเกือบร้อยปี
ฯลฯ อะไรอีกก็ไม่รู้

ทั้งหมดนี้แค่จะบอกว่าสื่อไทยไม่ยุติธรรม เล่นงานพี่เอ้จนแหลกเละทางการเมือง แต่ไม่เล่นงานพิธา ทั้งๆ ที่โป๊ะแตกกว่าพี่เอ้มากมาย

‘ดร.เอ้’ เตือนรัฐไม่ควรเอาง่าย แจกตังค์อย่างเดียว ชี้!! ไทยยังไม่มี ‘เครื่องจักรทางเศรษฐกิจ’ ตัวใหม่ 

(20 ก.พ.67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า สภาพัฒน์ฯ แจงเศรษฐกิจไทยโตเพียง 1.9% รัฐบาลไม่ควรเอาง่าย แจกตังค์อย่างเดียว ไม่ใช่ทางออก จะเป็นภาระลูกหลาน เพราะเราไม่มี ‘เครื่องจักรทางเศรษฐกิจ’ ตัวใหม่เลย หวังแต่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ใครก็รู้ ได้เงินน้อยลงทุกวัน แถมเปราะบาง เกิดเหตุโน่นเนี่ย เขาก็ไม่มาบ้านเรา

ขณะที่ทุกชาติ ประกาศพัฒนา 4 ด้าน

1. สร้างทักษะขั้นสูง ของคนในชาติ
2. สร้างธรรมาภิบาล การลงทุนโปร่งใส
3. สร้างสิ่งแวดล้อม ปลอดภัย
4. สร้างนวัตกรรม พึ่งตนเอง ส่งออกมูลค่าสูง

ผมฝากท่านนายกด้วยครับ

'ดร.เอ้' ตั้งกระทู้ถาม "เมื่อมันสมองเวียดนามชั้นยอด กำลังกลับบ้าน" 'รัฐบาลไทย' จะพัฒนาเด็กไทยให้ 'สู้-แข่งขัน' ได้อย่างไรต่อไป

(23 ก.พ.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 'ดร.เอ้' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' ตั้งกระทู้ถาม "เมื่อมันสมองเวียดนามชั้นยอด กำลังกลับบ้าน" เวียดนาม น่ากลัวเกินกว่าที่เราคิด รัฐไทยเราจะสู้ แข่งขันได้อย่างไร? โดยระบุว่า...

6 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งผมทำหน้าที่ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย หรือ ทปอ. ได้นำทีมอธิการบดีจากหลายมหาวิทยาลัย เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาดูงานวิจัย และสร้างเสริมความสัมพันธ์กับสถาบันการศึกษาระดับโลก

หนึ่งในองค์กรสำคัญที่เราเข้าเยี่ยม คือ สถาบันการศึกษาต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ Institute of International Education (IEE) ที่เป็นองค์กรหลักภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลอเมริกัน เพื่อดูแลนักศึกษาต่างชาติ และเป็นผู้ดูแลกองทุนฟูลไบร์ทอันโด่งดัง

วันนั้นเจ้าภาพที่มาต้อนรับเรา คือ ดร. อลัน กู๊ดแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ IEE เพื่อนต่างวัยของผม ซึ่งภายหลังกรุณามาช่วยเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล หรือ Carnegie Mellon University (Thailand) มหาวิทยาลัยสุดยอดด้านคอมพิวเตอร์ หนึ่งเดียวในเอเชียแปซิฟิกจากอเมริกา ที่ผมก่อตั้งขึ้น 

ดร.อลัน เดินเข้ามาสะกิดผม ชี้ให้เห็นข้อมูลสำคัญที่สุด คือ...

"จำนวนนักศึกษาเวียดนาม ที่มาเรียนในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 2 หมื่นคน มากขึ้นแบบก้าวกระโดด และมากกว่าจำนวนนักศึกษาไทย 4-5 เท่าแล้ว" 

"ประเทศคุณยังไม่รู้ ไม่ตื่นเต้นเลยหรือ ที่รู้ว่า เวียดนามกำลังจะมีคนชั้นมันสมองจำนวนมากว่าของคุณมากมาย ที่ได้รับการศึกษาจากประเทศชั้นนำ กลับบ้านเพื่อพัฒนาประเทศ เพื่อแข่งขันกับคุณ..."

ผมหยุดนิ่ง งงไปพักหนึ่ง ยอมรับว่าเป็นข้อมูลตรง ของจริง ตรงหน้า จากคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดคนหนึ่งในโลก  

ผมตกใจเพราะข้อมูลนี้ ชี้ให้เห็นชัดว่า...

1. เศรษฐกิจเวียดนาม เติบโตไว จนทำให้คนเวียดนามจำนวนมาก มีรายได้สูงขึ้นจนสามารถส่งลูกหลาน เรียนอเมริกาและประเทศชั้นนำได้

2. เด็กเวียดนาม มีศักยภาพสูงขึ้นมาก ทั้งด้านภาษาอังกฤษ และด้านวิชาการที่ยอดเยี่ยม คะแนนวัดผล PISA สูงกว่าเด็กไทยโดยเฉลี่ยทุกด้าน ทำให้นักศึกษาเวียดนามได้ทุนเรียนฟรีจำนวนมาก จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ไม่ต้องพึ่งพางบประมาณรัฐ

3. รัฐบาลเวียดนาม มีวิสัยทัศน์ มองไกล ไม่ปิดกั้น ส่งเสริมให้เด็กเวียดนามเรียนต่อในต่างประเทศจำนวนมาก รัฐอำนวยความสะดวกทุกอย่าง

4. รัฐบาลอเมริกันและโลกตะวันตก วันนี้มองเวียดนามไม่ใช่ศัตรู แต่มองเป็นพันธมิตรใหม่ในเอเชีย และมั่นใจในอนาคตทางเศรษฐกิจ เพราะเวียดนามมุ่งเป้า 'ยกระดับการศึกษา' จึงรับเด็กเวียดนามให้มาเรียนในมหาวิทยาลัยอเมริกัน ทั้งยังชอบความขยัน อดทน มีวินัยของเด็กเวียดนาม

5. อเมริกาไม่ใช่จุดหมายเดียว ยังมีอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และรัสเซีย คิวบา ที่เป็นมิตรรักของเวียดนามในอดีต ที่มีมหาวิทยาลัยชั้นยอด รับเด็กเวียดนามจำนวนมากต่อปี มากกว่ารับเด็กไทยมากมายนัก

ยิ่งไปกว่านั้น สมัยที่ผมเรียนที่ MIT ผมมีเพื่อนเวียดนามที่เกิดในอเมริกา ที่เรียนเก่งสุดๆ และยังคงผูกพัน สามัคคี มีความรักชาติ บ้านเกิดของบิดามารดา พร้อมกลับไปช่วย หรือพร้อมช่วยเหลือคนเวียดนามด้วยกันเต็มที่

ผมแชร์เรื่อง 'เวียดนามกับไทย' มาหลายครั้ง ตั้งแต่ยังเป็นอธิการบดีพระจอมเกล้าลาดกระบัง จนมาทำงานการเมือง เพื่อกระตุ้นเตือน แต่ไม่เห็นความมุ่งมั่น ไม่เห็นการเอาจริงเอาจัง ของรัฐบาลไทย ในการ 'พัฒนาศักยภาพของเด็กไทย'

ผมจึงขอตั้ง 'กระทู้ถาม' ในฐานะพลเมืองไทย ว่า รัฐบาลจะทำอย่างไร ให้เด็กไทยได้รับการพัฒนา ยกระดับทักษะ เพื่ออยู่รอดได้ ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านทรัพยากรมนุษย์ และจะเป็น 'ปัญหาปากท้อง' คนไทยอาจไม่หลุดพ้นจากวงจรความยากจน เพราะไม่มีทักษะที่โลกอนาคตต้องการ เศรษฐกิจไทยก็ไม่โต

ผมยังมั่นใจ #เด็กไทยไม่แพ้ใครในโลก แต่รัฐต้องมุ่งมั่น ต้องทำงานหนักกว่านี้ ไม่งั้นเรา แพ้เวียดนาม (แน่ ๆ)

ด้วยความห่วงใยครับ

‘ดร.เอ้’ เตือน ‘นายกฯ’ อย่าเร่งแก้ปัญหารถติด ‘ถ.พระราม 2’ ฉาบฉวย หวั่นเกิดอุบัติเหตุซ้ำ แนะ!! ให้ยึดมาตรฐานความปลอดภัยเป็นหลัก

(27 ก.พ.67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม.ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘เอ้ สุชัชวีร์’ แสดงความเป็นห่วงในการเร่งแก้ปัญหาก่อสร้างถนนพระรามสอง หลังนายกรัฐมนตรีระบุจะติดตามและเร่งรัดโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ล่าช้า ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้สัญจรไปมาและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะถนนพระรามสองที่ก่อสร้างล่าช้า กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวหัวหินน้อยลง ซึ่งจะเร่งแก้ปัญหาเพื่อให้สามารถเดินทางได้สะดวกขึ้นก่อนเทศกาลสงกรานต์นี้

โดย ดร.เอ้ ระบุว่า ผมห่วงประชาชนจริงๆ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่าท่านนายกฯ ไปเร่งงานพระรามสอง ตนเองเกรงว่าการที่ตาลีตาเหลือก ลุยจนไม่ระมัดระวัง มีการเร่งงาน อาจมีเหตุการณ์ของหล่น ทับคนตาย คนเจ็บ ซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยครั้ง และเกิดซ้ำซากในสังคมไทย การที่ทำให้เสร็จเร็ว คือ ดี แต่การที่มีคนบ่นที เร่งที คือ ‘ฉาบฉวย’ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดี ‘การวางแผนงาน’ ล่วงหน้า ‘การติดตาม’ ใกล้ชิด และยึดหลัก ‘มีมาตรฐาน’ ความปลอดภัยต่างหากคือการแก้ปัญหา จบเร็ว และดี

“พระรามสอง สร้างไม่เคยเสร็จ รถติดหนัก เศรษฐกิจสะเทือน การที่นายกฯ แสดงความห่วงใยประเด็นผลกระทบเรื่องเศรษฐกิจการท่องเที่ยวถือเป็นเจตนาที่ดี แต่การเร่งงาน เร่งอันตราย ทำลวกๆ จะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าได้ จึงอยากให้ยึดเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และมองหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบอื่นควบคู่กันไปด้วย” ดร.เอ้ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ดร.เอ้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม และเป็นอดีตนายกสภาวิศวกร ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงและเตือนถึงอันตรายและปัญหาในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานครหลายโครงการ โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนถนนพระรามสอง ซึ่งถือเป็นการก่อสร้างที่ยาวนานส่งผลกระทบต่อชุมชน ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้ชีวิตคนกรุงเทพ ยังคงเสี่ยงตาย เสี่ยงบาดเจ็บได้ตลอดเวลา จากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วกรุงเทพที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย

พร้อมย้ำหากมีการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบ สอบสวนอุบัติเหตุขนาดใหญ่ต่างๆ รวมถึงรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน เพื่อที่หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก ประชาชนสามารถร้องเรียนกับองค์กรนี้ได้ หรือเวลาเกิดเหตุการณ์ สามารถนำคนผิดมาลงโทษ และเยียวยาผู้ได้รับความสูญเสียอย่างเป็นธรรมได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับประชาชนอย่างแท้จริง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top