Saturday, 19 April 2025
เศรษฐา_ทวีสิน

'เศรษฐา' ร่ายยาว!! ของบ 3.75 ลลบ.เติมเศรษฐกิจโตเต็มศักยภาพ พร้อมคำมั่น!! ปลายปี 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ถึงมือประชาชน

(19 มิ.ย.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท โดยในปีนี้ไม่มีการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลัง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเหตุผลการของบประมาณว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณฯ 2567 มีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ ผ่านการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา และวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง 8 อุตสาหกรรม บนการพัฒนา 6 พื้นฐานสำคัญ มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณ ในการพัฒนาและจัดสรรทรัพยากรของประเทศให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งคำนึงถึงความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และแผนการปฏิบัติราชการของกระทรวง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.5-3.5 มีการปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่ประมาณการไว้ในแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2568-2571 โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้าตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก การขยายตัวของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ จากความยืดเยื้อของความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และสร้างความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2568  คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2568 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7–1.7 และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ1.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 

“ในช่วงปลายปี 2567 นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะถึงมือคนไทย 50 ล้านคน เกิดเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงตั้งแต่ระดับฐานราก กระจายไปยังพื้นที่ทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย การสั่งผลิตสินค้า การจ้างงาน และหมุนกลับมาเป็นเงินภาษีให้กับภาครัฐ เพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับประเทศต่อไป” นายกฯ กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ Ignite Thailand เป็นเป้าหมายของการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของ 8 ด้านได้แก่ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว ศูนย์กลางการแพทย์
และสุขภาพ ศูนย์กลางเกษตรและอาหาร ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล และศูนย์กลางการเงิน บนการพัฒนา 6 พื้นฐานที่สำคัญได้แก่ การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเพื่อความโปร่งใส ความเสมอภาคเท่าเทียม ความสะอาดและปลอดภัย ระบบขนส่งที่เข้าถึงและสะดวก การศึกษาและเรียนรู้สำหรับทุกคน พลังงานสะอาดและมั่นคง

กลยุทธ์ของการมุ่งไปสู่ 8 ศูนย์กลาง คือการต่อยอดจุดแข็งของประเทศด้านต่างๆ เช่น สถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ทักษะของคนไทย โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนต่อยอดให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของภูมิภาคและของโลกได้ เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ, อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร, อุตสาหกรรมการขนส่งและการบิน เป็นต้น

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ครึ่งปีแรกของปี2567 แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยว
เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศทั้งปีมากกว่า 36.7 ล้านคน กลับไปสู่ระดับสูงใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด และรัฐบาลมีแผนที่จะทำให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น และกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวผ่านการเฟ้นหาจุดเด่น จัดเทศกาล กิจกรรม คอนเสิร์ต หรือการแสดงต่างๆ เพื่อเพิ่มระยะเวลาการพำนัก และค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศมากยิ่งขึ้น ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางการบิน โดยรัฐบาลจะเดินหน้าขยายโครงข่ายสนามบินทั่วประเทศเพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และขยายกำลังความสามารถในการขนส่งทางอากาศ การขนส่งควบคุมอุณหภูมิ และเชื่อมต่อไปยังการขนส่งทางรถ ราง และเรืออย่างครบวงจร ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งจากไทยไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และเชื่อมต่อ
ไปยัง Land Bridge เพื่อไปทั่วโลกได้ 

ส่วนเกษตรกรรมและอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถยกระดับสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง โดยรัฐบาลมีมาตรการที่จะดูแลภาคส่วนนี้ตั้งแต่ต้นน้ำโดยการบริหารจัดการน้ำ ดิน พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ การแปรรูป และดูแลบริหารอย่างครบวงจร ทำให้ภาคเกษตรและอาหารแข็งแรงยิ่งขึ้น

นายกฯ กล่าวอีกว่า ปัญหาหนี้สินยังเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนที่มีภาระหนี้สินสูงกว่าร้อยละ 91.3 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และยังมีภาระหนี้นอกระบบ โดยรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ย และจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบที่ทำผิดกฎหมาย เพื่อคืนอิสรภาพให้กับพี่น้องประชาชนที่เคยตกอยู่ในวังวนหนี้สินไม่รู้จบ ส่วนในภาคธุรกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประเมินว่าใน SMEs จำนวนกว่า 3.2 ล้านราย มีเพียงไม่ถึงครึ่งที่เข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ทำให้ต้องอาศัยแหล่งสินเชื่อที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ด้านการใช้จ่ายจำเป็นในการหมุนเวียนประจำวัน และการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ ส่งผลให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง การเจริญเติบโตในภาค SMEs อยู่ในระดับต่ำ สินเชื่อในกลุ่ม SMEs มีการขยายตัวติดลบร้อยละ 5.1 ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาส 1 ของปี 2567

นายเศรษฐา กล่าวว่า ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร (สุทธิ) การขายสิ่งของและบริการ รายได้จากรัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมสุทธิทั้งสิ้น จำนวน 3,022,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 135,700 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรร
เป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2,887,000 ล้านบาท ประกอบกับเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 865,700 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3,752,700 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล จึงมีความสำคัญและจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเม็ดเงินจำนวนมากจะไหลจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน ก่อให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า การบริการ และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

นายกฯ กล่าวอีกว่า ฐานะการคลังนั้น หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีจำนวน 11,474,154.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.37 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมาย
ว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีจำนวน 430,076.3 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม บริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด 

ทั้งนี้ ฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบัน อยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีจำนวน 224,483.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก                         

นายเศรษฐา กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,752,700 ล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 2,704,574.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 72.1 รายจ่ายลงทุน จำนวน 908,224 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.2 ซึ่งเป็นสัดส่วนการลงทุนที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปี และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 150,100 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.0 ทั้งนี้รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,198.7 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ในส่วนของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ได้กำหนดไว้ผ่าน 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้...

ยุทธศาสตร์ ที่ 1 ด้านความมั่นคง รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 405,412.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.8 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาความมั่นคง เช่นการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้  เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 398,185.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน ผลักดันการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นศูนย์กลางการขนส่ง และขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน 
 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 583,023.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.5 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน ปฏิรูประบบการศึกษาและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่ ส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนามรดกทางศิลปวัฒนธรรมสู่อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ พัฒนาศักยภาพการกีฬาสู่ความเป็นเลิศและได้มาตรฐานสากล ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งพัฒนาและยกระดับทักษะฝีมือแรงงานไทยให้ได้มาตรฐานรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและการแข่งขันในตลาดโลก  

ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 923,851.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.6 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้คนไทยได้รับสวัสดิการพื้นฐาน บริการสาธารณะอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ สนับสนุนการเตรียมความพร้อมสังคมไทยในการรองรับสังคมสูงวัย เพิ่มศักยภาพและยกระดับผู้ประกอบการธุรกิจ ส่งเสริมสภาพแวดล้อมและกลไกการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดินทำกิน พัฒนาระบบสาธารณสุข ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้งสร้างหลักประกันสวัสดิการ สำหรับแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ

ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย  จำนวน 137,291.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.7 ของวงเงินงบประมาณ เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน และสร้างการเติบโตบนสังคมเศรษฐกิจสีเขียว 

และ ยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 645,880.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.2 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อให้ระบบการบริหารราชการมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวม

นายกฯ กล่าวอีกว่า ส่วนการดำเนินการภาครัฐนั้นรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้ จำนวน 659,053.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.6 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ  แบ่งเป็นแผนงานบริหารเพื่อรองรับกรณีฉุกเฉินหรือจะเป็นจำนวน 248,800.0 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะร้ายแรง ภารกิจที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐ และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง รวมถึงการกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงวินัยทางการคลัง และแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 410,253.7 ล้านบาท เพื่อให้การบริหารจัดการหนี้และการชำระหนี้ภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ

“งบประมาณฯ 2568 จำนวน 3,752,700 ล้านบาท มีที่มาจากรายได้ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ จำนวน 2,887,000 ล้านบาท และเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 865,700 ล้านบาท แม้ว่างบประมาณปีนี้จะมีการขาดดุลเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนไว้ จำนวน 908,224 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.2 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 27.9 และเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปีที่ผ่านมา การบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ จะเป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด กระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชนและภาคธุรกิจ สร้างการเจริญเติบโตให้กับประเทศ พัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามกฎหมาย” นายเศรษฐากล่าว

‘นายกฯ’ สั่ง!! เร่งแก้ปัญหา ‘เด็ก-เยาวชน’ หลุดระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ ผ่านมาตรการ ‘ค้นหา-ช่วยเหลือ-ส่งต่อ-ดูแล’ ทุกจังหวัดเริ่มดำเนินการ ก.ค.นี้

เมื่อวานนี้ (2 ก.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่นายสมพงษ์ จิตระดับ กรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่า สถานการณ์เด็กออกกลางคัน หรือเด็กหลุดระบบการศึกษาในปัจจุบันหนักหน่วง โดยมีตัวเลขเด็กออกกลางคันเมื่อปี 2566 ประมาณ 1 ล้านคน จากเดิมปีละ 5 แสนคน เนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งจากปัญหาสังคม การเมือง และเศรษฐกิจนั้น ด้วยความห่วงใยของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต่ออนาคตของเยาวชน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการการทำงาน แก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ค้นหาช่วยเหลือเยาวชน อายุ 3-18 ปี ที่ไม่พบข้อมูลในระบบการศึกษา และดูแลช่วยเหลือเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษาให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ตามมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ โดยเริ่มปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลือเยาวชนนอกระบบการศึกษาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ในทุกจังหวัด เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ของไทย และเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

นายชัยกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบมาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ ได้แสดงถึงความห่วงกังวลที่รัฐบาลมีต่อเด็กและเยาวชนนอกระบบ จัดให้เป็นวาระแห่งชาติ ประกอบด้วย 4 มาตรการสำคัญคือ 

1.มาตรการค้นหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาผ่านการบูรณาการ และเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การค้นพบเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา

2.มาตรการติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา โดยบูรณาการ การทำงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนแต่ละรายอย่างเหมาะสม ทั้งด้านการศึกษา สุขภาวะ สภาพความเป็นอยู่ และสภาพสังคม 

3.มาตรการจัดการศึกษาและเรียนรู้แบบยืดหยุ่น มีคุณภาพ และเหมาะสม กับศักยภาพของเด็กและเยาวชนแต่ละราย มีเป้าหมายให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษา และการพัฒนาเต็มศักยภาพของตนเอง 

4.มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมจัดการศึกษา หรือเรียนรู้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา หรือการเรียนรู้ในลักษณะ Learn to Earn โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ให้ทุกจังหวัดคิกออฟกระบวนการค้นหา และช่วยเหลือเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาทั้งประเทศ ใช้ Application Thai Zero Dropout สนับสนุนภารกิจ สำรวจค้นหา วางแผน ช่วยเหลือ และเชื่อมโยง ส่งต่อการช่วยเหลือทั้งระดับพื้นที่และระดับประเทศ รวมถึงติดตามความก้าวหน้า

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ศธ.ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเด็กออกกลางคันอย่างมาก โดยเร่งแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในการทำนโยบาย ไทยแลนด์ซีโร่ดร็อปเอาต์ การขยายโมเดล 1 โรงเรียน 3 ระบบ ที่เอื้อให้เกิดการจัดการศึกษา 3 รูปแบบ ได้แก่ 

1.การศึกษาในระบบ 

2.การศึกษานอกระบบที่ยืดหยุ่นด้วยเนื้อหา หลักสูตรที่สอดคล้องกับปัญหา และความต้องการของผู้เรียน

3.การศึกษาตามอัธยาศัย เรียนรู้ตามศักยภาพและความสนใจ 

เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง ยังมีเรื่องของชุดนักเรียน ซึ่ง พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้ประกาศเรื่องการยกเว้น หรือผ่อนผัน

‘น้ำเงินรวมส้ม’ ส่ง ‘อนุทิน’ ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกฯ หลากห้องไลน์ประสานเสียงสวนฉับ “เพ้อ!!”

“ดีลพลิกฝ่ายอนุรักษ์ตื่น ขืนรบดะทั้งส้ม-แดง มีแต่เจ๊งลูกเดียว จับตาอนุทินขึ้นแป้นนายกฯ !!!

สภาพดีลใหญ่พลิก และมีทีท่าว่าฝ่ายอนุรักษ์ไม่สามารถประสาน หรือเดินคู่ไปกับพรรคเพื่อไทยได้อีกแล้ว

ให้จับตาดูเศรษฐาถูกสอยวันที่ 10 กรกฎาคม จากนั้นดันอนุทินขึ้นเป็นนายกฯ จับมือก้าวไกล ฟื้นประชาธิปไตย ฟื้นเศรษฐกิจและความสุจริตในการปกครองประเทศ ก้าวข้ามความขัดแย้งนิรโทษกรรมทุกฝ่ายเดินหน้าประเทศไทย..”

คัดลอกให้อ่านเต็ม ๆ ทั้งดุ้นจากเฟซบุ๊กของ ‘PaIsal Puechmongkol’ หรือ ‘ไพศาล พืชมงคล’ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ระดับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘กูรู’ โพสต์อย่างนี้มีหรือจะรอดจากสายตาสื่อมวลชนยุคดิจิทัล ฉกไปลงข่าวพาดหัวกันแบบง่ายดายแทบทุกสำนัก...ยอดวิวกระฉอกกระฉูดไปตาม ๆ กัน..แค่เห็นหัวข่าว ‘คดีพลิก’ / ‘พลิกดีล’ / ‘น้ำเงินจับมือส้ม’ ฯลฯ ก็ทำเอาตาวาวแล้ว…

ไพศาลนั้นเป็นนักกฎหมาย เจ้าของสำนักธรรมนิติ เป็นคอลัมนิสต์ 2-3 นามปากกาดัง ไม่เสียมารยาทมากก็เปิดนามปากกา ‘สิริอัญญา’ สักชื่อหนึ่งเพราะเป็นที่รู้ ๆ กันทั่วไป และยังเป็นอุปนายกของสภาวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยจีน เป็นคนที่รอบรู้เรื่องจีนแบบทะลุกำแพงเมืองจีน

ในทางการเมืองหลังสุดเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกฯ ที่ชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก่อนหน้านั้นเคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปี 2549-2551 ในช่วงก.ย. 2549 ตอน ‘บิ๊กบัง’ ทำรัฐประหาร 19 ก.ย. เคยถูกเรียกไปช่วยเขียนแถลงการณ์อยู่หลายฉบับ…

การวิเคราะห์กึ่งฟันธงของไพศาลเรื่องอนุทินจะได้ขึ้นนายกฯ เศรษฐาจะถูกสอยร่วง ฝ่ายอนุรักษ์จะเลิกใช้บริการพรรคเพื่อไทยแล้ว...อนาคตภูมิใจไทยจะจับมือกับก้าวไกล หนุนอนุทินเป็นนายกฯ นั้น ‘เล็ก เลียบด่วน’ เห็นว่าไพศาลจับประเด็นได้โดนใจ แต่ในส่วนของความเป็นไปได้ ต้องขอฟันธงกลับว่า...ยากส์ส์ส์ส์...จะไม่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ในสมัยหน้าและอาจตลอดไป ตราบใดที่พรรคส้มยังไม่สลัดหลุดจากภาพลักษณ์ล้มเจ้า...

แค่นี้ทำไมกูรูไพศาลถึงไม่ตงิดในเรื่องนี้?

ในฐานะเป็นคนวิเคราะห์ข่าวเล็ก ๆ คนหนึ่ง รู้ดีว่าการคาดหมายในสิ่งที่จะเป็นจริง ๆ กับที่เราอยากจะให้เป็นนั้น บางครั้งมันแยกกันยากมาก...พักหลังกูรูไพศาลยึดในสิ่งที่อยากจะให้เป็นมากไปหน่อยเลยผิดพลาดบ่อยครั้ง…

กรณีนี้ครั้งนี้ในห้องไลน์กลุ่มสำคัญหลายห้องเขาพาดพิงกูรูไพศาลว่า “เพ้อ” ไม่มีใครช่วยแก้ให้เลย..!!

สรุป ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็เคยวิเคราะห์ว่าฝ่ายอนุรักษ์ที่ผูกติดดีลกับเพื่อไทยนั้นเหนื่อยรากเลือด...แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไปผูกพรรคส้มที่มีภาพลักษณ์ล้มเจ้า…ดุลอำนาจพรรคสีน้ำเงินตอนนี้สูงมาก แต่อนุทินมีโอกาสในอนาคต โดยไม่ต้องใช้บริการพรรคส้ม…

ขอแถมท้าย…ส่วนเรื่อง สว.สีน้ำเงินนั้น ข่าวล่าสุดระบุว่าจะประกาศรับรองผลสัปดาห์หน้า ให้ไปรายงานตัววันที่ 7 ก.ค. ว่าที่ประธานวุฒิสภา หรือประมุขสภาสูงคนใหม่ ขอขานชื่อแปะไว้ตรงนี้ เต็งหนึ่ง ชื่อมงคล สุระสัจจะ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง/อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เคยเป็นนกต่อสู้ หลบภัยไปอยู่กับ พคท. ช่วงสั้น ๆ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

ส่วน เต็งสอง ชื่อพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีตผช.ผบ.ทบ.

'นายกฯ' ต้อนรับ 'DP World' หารือโอกาสลงทุนไทย พร้อมชูจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ เชื่อมทะเล 2 ฝั่งมหาสมุทร

(3 ก.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัทและผู้บริหารธุรกิจโลจิสติกส์และ Supply Chain ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ‘Dubai Port World (DP World)’ เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในประเทศไทย และการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งของภูมิภาค

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “เราได้พูดคุยเกี่ยวกับภาพรวมของเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนในโครงการต่างๆ ของประเทศไทยเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งของภูมิภาคโดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่เชื่อมทะเลทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะเป็นประตูให้กับการคมนาคมขนส่งและการค้าในระดับภูมิภาคและระดับโลก”

นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ต้องการให้นักลงทุนจากทั่วโลกมีส่วนร่วมในการลงทุนในประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ครบวงจร พร้อมแสดงให้เห็นถึงทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประเทศไทยและการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รู้สึกดีใจที่ได้พบกับผู้บริหารและฝ่ายบริหารของ DP World อีกครั้งที่ประเทศไทย จากก่อนหน้านี้ที่พบกันในงาน World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา 

นอกเหนือจากภารกิจในการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคอาเซียนที่กรุงเทพฯ แล้ว DP World ยังประกอบกิจการท่าเทียบเรือขนถ่ายตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบังในจังหวัดชลบุรี ซึ่งถือเป็นท่าเรือนานาชาติที่คับคั่งที่สุดในประเทศไทย

สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DP World กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง และยินดีที่จะรับฟังข้อมูลโครงการต่างๆ ของประเทศไทย

“DP World ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อย่างไรก็ตาม แรงเสียดทานทางเศรษฐกิจและอุปสรรคจาก Supply Chain ทำให้เกิดความท้าทายด้วยความเชี่ยวชาญในการบริหารท่าเรือและท่าเทียบเรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ไปจนถึงการขนส่ง โลจิสติกส์ และเทคโนโลยีด้านการขนส่ง เรามั่นใจว่าจะทำให้การค้าราบรื่น” บิน สุลาเย็ม กล่าว

DP World ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในดูไบ มีพนักงาน 111,000 คนในกว่า 75 ประเทศ ทำหน้าที่สนับสนุนเจ้าของสินค้าตั้งแต่ท่าเรือและท่าเทียบเรือไปจนถึงบริการทางทะเลและโลจิสติกส์ มีขีดความสามารถในการบริหารตู้สินค้าได้ถึง 10% ของตู้สินค้าทั่วโลก ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DP World มีพนักงานกว่า 7,000 คน และมีท่าเรือและท่าเทียบเรือ 19 แห่ง

‘นายกฯ เศรษฐา’ หารือ ‘ผู้บริหาร BYD’ กำชับส่งเสริมผู้ผลิตไทยและกำหนดราคาให้เหมาะสม

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค. 67) ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ นายหวัง ชวนฟู (Mr. Wang Chuanfu) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีวายดี จำกัด (BYD) โดยภายหลังการหารือ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้ 

นายกรัฐมนตรีขอบคุณที่บริษัทฯ เห็นศักยภาพ เลือกลงทุนในประเทศไทยซึ่งจะเป็นการเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ และได้กล่าวถึง 3 ประเด็นหลักในการหารือครั้งนี้

1. ขอให้บริษัทคำนึงถึงผู้ผลิต ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพ ใช้ Supply Chain ในประเทศไทยมากที่สุด

2. ขอให้บริษัทผลิตเต็มจำนวน Capacity ตามที่ได้ตกลงกันไว้ 

3.การบริหารความคาดหวังของผู้บริโภคในด้านราคาเป็นประเด็นสำคัญ ขอให้พิจารณาการคุ้มครองผู้บริโภคไทย อย่างเหมาะสม

นายหวัง ชวนฟู กล่าวว่า ขอบคุณคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ของนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่ง โดยบริษัท BYD ให้ความสำคัญกับตลาดไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยทางบริษัทฯ ได้ใช้ Supply Chain จากประเทศไทยมากกว่าข้อบังคับ และมีการผลิตชิ้นส่วนหลายตัวในประเทศไทย และนำการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีใหม่มาผลิตในประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ ความสามารถในการผลิตของโรงงาน BYD ในประเทศไทยคือ 1.5 แสนคันต่อปี

โดยจะใช้เวลา 2 ปี เพื่อผลิตอย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ นอกจากขายในประเทศไทย บริษัทฯ มีนโยบายที่จะส่งออกขายในภูมิภาคอาเซียน อินโดนีเซีย และเวียดนามด้วย 

ในส่วนของการกำหนดราคารถยนต์นั้น บริษัทฯ รับปากนายกรัฐมนตรีว่าจะพิจารณาตามที่นายกรัฐมนตรีแนะนำ คือปรับราคาในอนาคตให้มีรูปแบบและความถี่ที่เหมาะสม ให้ตลาดปรับตัวได้ทัน รวมทั้ง สัญญาที่จะหามาตรการในการเยียวยาลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ

โดยในโอกาสนี้ บริษัทฯ ยืนยันกับนายกรัฐมนตรีว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และเป็นตลาดที่พร้อมเติบโต จึงพร้อมขยายการลงทุน รับพนักงานเพิ่ม และพร้อมอบรมพนักงานด้วยเทคโนโลยีทันสมัย โดยขอเชิญนายกรัฐมนตรีเดินทางไปที่บริษัทฯ ในช่วงเวลาที่นายกรัฐมนตรีเห็นเหมาะสม

‘เศรษฐา’ ชี้!! ปมพื้นที่ ‘ทับลาน’ เป็นมติจากรัฐบาลก่อนใต้ปีก 'บิ๊กป้อม' แต่ยืนยัน!! นายทุนจะถือสิทธิ์ไม่ได้ ทุกอย่างต้องเดินตามกฎหมาย

(9 ก.ค.67) ณ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีปัญหาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในอุทยานแห่งชาติทับลาน ในเรื่องพื้นที่อนุรักษ์กับพื้นที่ทำกินของประชาชน ว่า เรื่องนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้ชี้แจงไปแล้ว ตนคงไม่มีอะไรนอกจากจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นมติจากรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เคยกำกับดูแล เป็นเรื่องของสำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ที่ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

“สิ่งสำคัญต้องรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องประชาชนก่อนจะมีการเพิกถอน ซึ่งมีหลายกระบวนการที่จะต้องดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย และนำเสนอ ครม.ต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่าสังคมอ่อนไหวกับข่าวที่มีนายทุนเข้าไปครอบครองพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย หากจะมาทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ตนเข้าใจว่าพื้นที่ทับลานมีประชาชนที่เข้าไปอยู่กันอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องยกเลิกมติครม.ปี 2566 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มี อยู่ระหว่างการศึกษา ต้องดูให้ครบขั้นตอนก่อน และเรื่องของ One Map ก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาตรงนี้ด้วย

‘นายกฯ’ รับมอบรางวัล ‘The President’s Award of Service’ ปฏิญาณตน “จะตั้งใจทำงานในหน้าที่นายกฯ ให้ดีที่สุด”

เมื่อวานนี้ (9 ก.ค. 67) ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้พบคณะผู้บริหารและผู้แทนจากมหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาแคลร์มอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา (Claremont Graduate University) และรับมอบรางวัล The President’s Award of Service ในฐานะศิษย์เก่าที่ทำคุณประโยชน์แก่สาธารณะ ส่งเสริมการพัฒนาของมนุษยชาติ และสนับสนุนสิทธิมนุษยชน

โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นศิษย์เก่าคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ซึ่งในวันนี้มีคณะผู้แทนจากมหาวิทยาลัย เข้าร่วมหารือรวม 14ท่าน และมีศิษย์เก่าชาวไทยที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากมายหลากหลายวงการเข้าร่วม

นายกฯ เปิดเผยความรู้สึกหลังจากได้รับรางวัลว่า รู้สึกแปลกใจ และแน่นอนว่ารู้สึกดีใจด้วย เนื่องจากไม่เคยได้รับรางวัลเหล่านี้มาก่อน ซึ่งการที่มาเป็นนายกฯ และได้รางวัลนี้ถือว่าเป็นรางวัลที่มีคุณค่ามากอย่างหนึ่ง แต่ส่วนตัวมองว่าการที่จะได้รับการยอมรับ เราจะต้องได้ทำอะไรมาบ้างพอสมควรแล้ว ซึ่งผมเองก็ต้องมีความซื่อตรงต่อตัวเองว่าภารกิจเรายังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เนื่องจากเราเพิ่งเป็นรัฐบาลได้เพียงแค่ปีเดียว ก็หวังว่า หลังจากช่วงที่จบเทอมแล้ว ในเรื่องของความรู้สึกที่ได้รับรางวัลนี้คงจะมีความภูมิใจ มากกว่านี้

นายเศรษฐา เล่าย้อนความหลังสมัยที่ศึกษาที่ Claremont Graduate University ว่าช่วงนั้นหากใครที่จบปริญญาตรีแล้ว หลาย ๆ ท่านจะพยายามที่จะออกไปหาประสบการณ์ไปทำงานก่อน เพื่อจะได้มาสมัครเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี ๆ ต่อ เนื่องจากอยู่ในข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยว่าต้องมีประสบการณ์การทำงาน แต่ตัวผมเองในตอนนั้นผมอยู่ที่ต่างประเทศมานานมากแล้ว แล้วผมก็ไม่อยากที่จะทำงาน แล้วค่อยกลับไปเรียนต่อ ผมอยากกลับบ้าน กลับประเทศไทยทีเดียว

ผมเลยเลือกที่จะศึกษาต่อให้จบ ผมก็สมัครมาที่ Claremont Graduate University ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่ดี และในข้อกำหนดของทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องทำงานมาก่อน ก็ถือว่าเป็นโชคที่ดีในตอนนั้นที่เขารับและให้เข้าศึกษาได้

สำหรับบรรยากาศตอนนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่ดี อยู่นอกเมืองอยู่ห่างไกลจากย่านความเจริญแถบลอสแอนเจลิสถึงประมาณ 45 นาที ทำให้เราซึมซับบรรยากาศการใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ ได้ใช้ชีวิตนักเรียนที่เหมาะสม ไม่ต้องอยู่กับแสงสีเสียง 

ที่สำคัญในย่านดังกล่าวเป็นจุดที่มีสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง 5 แห่งอยู่ในย่านใกล้ ๆ กัน ซึ่งแต่ละแห่งมีนักเรียนประมาณ 2-3 พันคน ซึ่งเป็นจำนวนที่กำลังเหมาะสม และถือว่าเป็น Ivy League of the west หรือกลุ่มของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา ในย่านดังกล่าวอีกด้วย

ผมจำได้ว่าการตั้งชื่อถนนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อถนนอาทิ Cornell, Harvard, Yale เป็นต้น โดยถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่น่ารักและอบอุ่น ซึ่งในช่วงนั้นที่ผมได้เข้าไปศึกษาถือว่ายังเป็นเด็กอยู่ อายุประมาณ 22 ปี รู้สึกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่ดีอบอุ่น รู้สึกถึงความเป็นครอบครัว ที่เราสามารถเข้าถึงศาสตราจารย์ คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ได้เต็มที่ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี และความอบอุ่นนี้ทำให้เราปรับตัวได้ในตอนเรียนอย่างดีมาก ๆ

จากการหารือกับคณาจารย์ที่มาพบในวันนี้ก็เล็งเห็นว่า อยากให้มีการส่งเสริมนักเรียน-นักศึกษาไทยไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมากขึ้น ผมเชื่อว่า ชื่อเสียงของ Claremont Graduateโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน MBA ที่มีสำนักของ Peter F Drucker ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านการจัดการบริหารองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ ที่มีชื่อเสียงมาก ผมเชื่อว่าที่สถาบันแห่งนี้จะผลักดันนักเรียนได้อย่างดียิ่ง

ด้าน นาง Michelle Bligh ตำแหน่ง Executive Vice President Claremont Graduate University ระบุว่าเรามีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงมากมายทั่วโลก ประมาณ 24,000 คน แต่เห็นได้ชัดว่าการทำงานของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) เป็นการทำงานที่ยอดเยี่ยม เขากำลังแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่เราต้องการให้บัณฑิตของเราทุกคนมีในจุดนี้ คือในเรื่องของการตอบแทนสังคม และนั่นคือความสำคัญของรางวัล the president’s award of service

ซึ่งพวกเรารู้สึกภาคภูมิใจในนายกฯ เศรษฐา ที่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลงสังคม และถือเป็นผู้นำระดับโลก ในการพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราภาคภูมิใจมาก และเราภูมิใจกับนักเรียนไทยที่ได้ศึกษาที่ Claremont Graduate University ทุกท่าน

จากนั้น นายเศรษฐา เปิดเผยอีกครั้งว่า ดีใจและเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ได้รับรางวัล President’s Award of Service จาก Claremont Graduate University และตนจะตั้งใจทำงานในหน้าที่นายกฯ ให้ดีที่สุด ให้ควรค่าแก่รางวัลที่ได้รับจากมหาวิทยาลัย และคู่ควรกับโอกาสที่ได้มาทำงานเพื่อพี่น้องคนไทยทุกคน

‘นายกฯ’ ปลุก 12 จังหวัดอีสานตอนบน ตัดวงจรพ่อค้ายาฯ ลั่น!! 'ต้องไม่มีพื้นที่ให้ยาเสพติด' พร้อมหนุน จนท.เต็มสูบ

(10 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงท่าอากาศยานทหารกองบิน 23 ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี ก่อนที่เวลา 13.45 น. นายกฯ เดินทางด้วยรถยนต์โตโยต้าอัลพาร์ดสีดำ ทะเบียน กล 5559 อุดรธานี ถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ต.สามพร้าว อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี  โดยมีนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ข้าราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรอต้อนรับ

โดยเมื่อเดินทางถึงนายกฯ รับฟังบรรยายสรุปแผนสกัดกั้นแนวชายแดนอีสานตอนบน 5 จังหวัด และรับฟังบรรยายายสรุปปฏิบัติการไล่ล่า (เด็ดปีก) นักค้าอีสานเหนือ 252 จากตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งรายงานว่า ได้มีการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือพิเศษ ปิดล้อม และตรวจค้นจำนวน 6 ครั้ง โดยสามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดจำนวน 3,446 ราย และยึดทรัพย์ของกลางยาบ้า 10,345,615 เม็ด ยึดอาวุธปืน 217 กระบอก เครื่องกระสุน 32 นัด และสามารถตรวจยึดทรัพย์ 1,553 รายการ  มูลค่าทั้งสิ้น 254,961,366 บาท

ด้านนายกฯ ได้สอบถามเลขาป.ป.ส. ถึงเรื่องค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการทั้งทหารตำรวจและพลเรือน ที่ได้รับเงินจากกองทุน ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรณีได้รับบาดเจ็บ โดยเลขาป.ป.ส.รายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้รับเงินเยียวยาจำนวน 10,000 บาท  ด้านนายกฯ กล่าวกำชับว่า ขอให้เพิ่มเงินเยียวยาดังกล่าวเป็น 50,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ในการปฎิบัติหน้าที่ที่เข้มข้นขึ้น ก่อนที่นายกฯ จะเยี่ยมชมรถ ซึ่งเป็นระบบเทคโนโลยีตรวจจับผู้ต้องสงสัย 

ต่อมานายกฯ เยี่ยมชม และรับฟังบรรยายายโครงการชุมชนยั่งยืนของตำรวจภูธรภาค 4  พร้อมกันนายกฯ ได้พูดคุยกับผู้กล้าที่เลิกยาเสพติด โดยนายกฯ สอบถามว่า ได้เลิกยามากี่ปีแล้ว และมีการฝึกอาชีพให้หรือไม่ 

จากนั้นนายกฯ รับฟังบรรยายสรุปการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของฝ่ายปกครอง  โดยมีการค้นหาผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ด้วยการเอ็กซเรย์และมีการจัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูทางสังคม รวมถึงมีการจัดตั้งจุดสกัดตรวจสถานบริการ  และตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ก่อนรับฟังบรรยายสรุปจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ในส่วนของผลงานด้านบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด 12 จังหวัดภาคอีสานระยะเร่งรัด 3 เดือน 

ทั้งนี้นายกฯ กล่าวกำชับว่า ขอให้ตั้งเป้าการนำผู้เสพเข้าสู่การบำบัดให้สูงขึ้น เพื่อกวาดล้างให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ตนจะหารือกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในเรื่องดังกล่าว โดยจังหวัดหนองคายถือเป็นจังหวัดที่นำผู้เสพที่มีอาการทางจิตเข้าสู่กระบวนการบำบัดน้อยที่สุด ก็ขอให้เป็นจังหวัดนำร่อง ทั้งนี้ ขอให้ตั้งเป้าให้เยอะ เพราะฝ่ายความมั่นคงกวาดล้างได้จำนวนมาก 

นอกจากนี้ เด็กนักเรียนและครูชมรม To BE Number one จากโรงเรียนพันดอนวิทยา องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดร 4  ร้องเพลงบูมเชียร์ให้กับนายกฯ ก่อนที่นายกฯ จะเดินทักทาย

จากนั้นนายกฯ รับชมวีดิทัศน์ขับเคลื่อนการปลุกพลังชุมชน ก่อนรับชมการแสดงเพลงมุ่งสู่ขวัญ NPD.P4 จากนักเรียนและครูโรงเรียนชุมชนสามพร้าวและครูแดร์ หรือ D.A.R.E. โดยระหว่างชมการแสดงนายกฯได้อมยิ้มพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปด้วย

ต่อมานายกฯ เป็นประธานเปิดงานกิจกรรม ‘งานรวมพลังชุมชน อีสานเหนือสู้ภัยยาเสพติด’ โดยผู้ร่วมงาน และนายกฯร่วมกันแสดงพลังสู้ภัยยาเสพติดใส่ถุงมือแสดงสัญลักษณ์ ที่มีข้อความว่า ‘No Place For drug’

นายกฯ กล่าวเปิดกิจกรรมตอนหนึ่งว่า ตนมีความยินดีที่ได้มาร่วมกิจกรรมงานรวมพลังชุมชน อีสานเหนือสู้ภัยยาเสพติด ซึ่งยาเสพติดเป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะลงพื้นที่มากี่ครั้ง กี่หมู่บ้าน ก็ล้วนแต่ได้ยินมาว่าเป็นปัญหา เป็นเรื่องที่หนักหนาจริง ๆ ลูกหลานของพวกเราจำนวนมากต้องตกเป็นทาสยาเสพติด  ตนเห็นหลายครอบครัวที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัว อยู่ด้วยกันในชุมชนก็รู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งสังคมไทยไม่ควรเป็นแบบนี้

นายกฯ กล่าวต่อว่า ตนยอมไม่ได้ที่สังคมไทย ลูกหลานของเรา อยู่ในสังคมที่มียาเสพติดแพร่ระบาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งนี้ การป้องกันปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งในระดับพื้นที่ และภาคประชาชน เพื่อแก้ปัญหาในชุมชน และมุ่งปราบปรามการค้ายาเสพติดนำไปสู่การสร้างพลังชุมชนที่เข้มแข็ง และยั่งยืนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเราปฏิบัติการเด็ดปีกนักค้าอีสานเหนือครอบคลุม 12 จังหวัด ทำให้เห็นพลังของมวลชนต่อการประกาศจุดยืนในการต่อสู้กับปัญหายาเสพติดในชุมชนของตนเอง  

นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากการแก้ไขปัญหายาเสพติดจะสำเร็จได้ ทุกคนทุกภาคส่วน ตำรวจ จังหวัด ทหาร สาธารณสุข ป.ป.ส. และหน่วยงานอื่น ๆ จะต้องทำงานร่วมกัน และต้องได้รับการสนับสนุนจากชุมชน ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหายาเสพติดร่วมกัน และเป็นหูเป็นตา ช่วยกันดูแลสอดส่อง แจ้งเบาะแส เฝ้าระวัง และป้องกันลูกหลานไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด

อย่างไรก็ตาม วันนี้พวกเราทุกคนได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน ขอให้พวกเราบอกกล่าวในชุมชนให้ขยายผลการปฎิบัติออกไปในวงกว้าง เพื่อฝึกพลังชุมชนทุกพื้นที่ให้รวมพลังอย่างเข้มแข็ง ซึ่งตนขอบคุณในความตั้งใจ และพลังของทุกคน ทุกภาคส่วนที่ร่วมกันต่อสู้ เพื่อเอาปัญหายาเสพติดให้หมดออกไปจากสังคม เราจะร่วมกันรักษา ฟื้นฟู ดูแล และปกป้องลูกหลานของเราให้ห่างไกลยาเสพติด

“ขอให้ทุกคนน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงห่วงใยปัญหายาเสพติด ไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม ตามพระราชประสงค์อย่างยั่งยืนต่อไป” นายกฯ กล่าว

จากนั้นนายกฯ นำกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อนำพลังชุมชนอีสานเหนือสู่ภัยยาเสพติด ก่อนร่วมกันยืนแสดงความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีจอมราชา และร่วมกันโบกธงเพื่อแสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนจะถ่ายรูปร่วมกับเด็กนักเรียนอย่างเป็นกันเอง และเดินทางกลับกรุงเทพฯ

‘นายกฯ เศรษฐา’ นำยึด 'โทลูอีน' ล็อตใหญ่ 90 ตัน สารตั้งต้นผลิตไอซ์-โคเคน ก่อนถึงปลายทางเมียนมา

(12 ก.ค. 67) ที่สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนนั่งรถโตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 8 กผ 1127 เพื่อเป็นประธานการแถลงผลการสืบสวน และตรวจยึดสารโทลูอีน (Toluene) เคมีภัณฑ์ที่เป็นวัตถุอันตรายประเภท 3 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 จำนวน 90 ตัน 

โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการแถลง

โดย นายกฯ ได้รับฟังรายงานการสืบสวนจับกุม พร้อมดูวิธีการทดสอบเบื้องต้นการตรวจสารเคมีว่าเป็นสารโทลูอีน ที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดจาก 6 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนัก 90 ตัน ซึ่งสารโทลูอีนปริมาณ 90 ตัน หากใช้เป็นสารเคมีจำเป็นในขั้นตอนการผลิตยาเสพติดจะผลิตยาไอซ์ได้ 4,500 กิโลกรัม ยาบ้า 270 ล้านเม็ด และโคเคน 4,500 กิโลกรัม

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนเรื่องของการป้องกันปราบปรามยาเสพติดขั้นเด็ดขาด เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสนใจมาก และครั้งนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติการอีกครั้งหนึ่งที่ต้องชื่นชมกรมศุลกากร กรมอุตสาหกรรมโรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ป.ป.ส. ที่ร่วมมือร่วมใจกันตรวจค้นจนได้สารตั้งต้นของการผลิตยาบ้า ยาไอซ์ และโคเคน โดยที่ผู้นำเข้ามาไม่เคยนำเข้าสารชนิดนี้มาก่อน ซึ่งต้นทางมาจากเกาหลี ปลายทางที่เมียนมา

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการขยายผลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ได้มีการออกหมายเรียกตัวบริษัทที่นำเข้ามา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถือว่าเป็นสารตั้งต้นของการผลิตยาเสพติดอีกหลายชนิด ซึ่งจำนวนที่จับกุมได้ครั้งนี้ 90 ตัน ถึงแม้มูลค่าไม่กี่ล้านบาท แต่ถ้าสารนี้หลุดไปถึงแหล่งผลิตโคเคนได้ก็จะเป็นน้ำหนักหลาย 1,000 กิโลกรัม มูลค่าเป็นหมื่น ๆ ล้านบาท ก็จะกลับมาเป็นวังวนอุบาทว์ให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย และทั่วโลก ดังนั้น การปฏิบัติการครั้งนี้จึงขอชื่นชมว่าเป็นเรื่องที่ดี และสิ่งที่สำคัญมากคือเรื่องของการขยายผล

นายกฯ กล่าวว่า ขณะที่เดินทางมาได้มีการพูดคุยกับ พล.ต ท.สำราญ ที่ดูแลด้านยาเสพติดก็มีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้น ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ มีการเข้าไปตรวจค้นผู้ค้ายาซึ่งมีลักษณะอยู่บนเขา จึงมองเห็นเจ้าหน้าที่ก่อนจึงเกิดการปะทะมีเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต และบาดเจ็บ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่มีการพูดคุยกับตนว่าจะต้องมีการจัดการขั้นเด็ดขาด จึงกำชับให้ดูแลสวัสดิการ สวัสดิภาพ เจ้าหน้าที่ของเราให้เต็มที่ และต้องมีความพร้อมในการใช้กำลังตอบโต้ พร้อมกำชับให้ดูแลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของฝ่ายปราบปรามซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก วันนี้เรามีการยกระดับการปราบปรามยาเสพติดอย่างไม่มีความย่อท้อ เรายังมีภารกิจอีกมากก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกรายที่เกี่ยวข้อง และขอให้ดูแลสวัสดิภาพของตัวเองให้ดี

สำหรับการแถลงผลการจับกุมครั้งนี้ เนื่องจากมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแส ว่าจะมีการนำเข้าสารโทลูอีน จำนวน 90 ตัน โดยไม่ได้รับอนุญาต และจะนำส่งต่อไปยังปลายทางนครย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ซึ่งอาจจะนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกกฎหมาย โดยมีต้นทางมาจากเมืองปูซาน เกาหลีใต้ ขึ้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง นำผ่านประเทศไทย และออกที่ศุลกากรแม่สอด จ.ตาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเดินทางกลับจากท่าเรือแหลมฉบัง นายกฯ ได้สั่งการให้นักบิน บินวนดูเพื่อดูความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โดยนายเศรษฐา ระบุว่า มองลงไปคนน้อยมาก อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่แถลงข่าวจับกุมสารตั้งต้นยาเสพติดครั้งนี้ นายกฯ ใช้เวลาเพียง 30 นาที ก่อนที่จะบินกลับ เนื่องจากมีภารกิจหารือข้อราชการเตรียมการจัดงานฉลองพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม พ.ศ…. ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่ช่วงเย็นวันนี้ นายกฯ และคณะ จะเดินทางไปลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงราย และ จ.สระแก้ว แล้วจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ค. 67

‘นายกฯ’ เคาะ!! 'ดิจิทัลวอลเล็ต' เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค.นี้ ยัน!! กรอบเวลาโอนเงินให้ประชาชน 45 ล้านคน สิ้นปี 67

(15 ก.ค.67) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 4/2567 พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์, นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง, นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ภายหลังการประชุม นายเศรษฐา แถลงว่า “ผลการประชุมวันนี้ยาว มีเรื่องของรายละเอียดที่เรามาชี้แจงทำให้กระจ่างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเภทของสินค้าหรือหลายๆ อย่าง ซึ่งนายจุลพันธ์ จะเป็นผู้แถลง”

เมื่อถามว่าจากการประชุมวันเดียวกันนี้นายกฯ ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า “ไม่มี เป็นการตอกย้ำเรื่องความชัดเจนและเรื่องการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งสื่อก็เห็นว่า พล.ต.ท. สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. มาด้วย”

เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้เริ่มมีการออกมาแอบอ้างเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตโดยอ้างว่าเป็นลิงก์ของรัฐบาล ตรงนี้ได้สั่งให้มีการดำเนินการอย่างไร? นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องนี้ยังไม่มี เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ ซึ่งทางภาครัฐคงต้องมีการแจ้งว่าเป็นเรื่องของการแอบอ้าง คอยฟังประกาศจากรัฐบาลอย่างเดียวดีกว่า” 

เมื่อถามว่าแหล่งเงินของดิจิทัลวอลเล็ตได้ซักกระทรวงการคลังหรือไม่ว่าทำไมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเกี่ยวกับแหล่งเงิน ทำไมถึงไม่เอาเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้วกลับไปใช้งบฯปี 67-68? นายกฯ กล่าวว่า “เดี๋ยวจะมีการชี้แจง ซึ่งตนได้เรียนไปแล้ว”

เมื่อถามอีกว่าอยากให้นายกฯ พูดในฐานะที่เป็นผู้นำ? นายกฯ นิ่งสักครู่พร้อมหันหน้าไปอีกทาง ก่อนกล่าวว่า “เรียนไปแล้ว แจ้งไปเรียบร้อยแล้วครับ” 

เมื่อถามความคืบหน้าซุปเปอร์แอป เป็นอย่างไรบ้าง? นายกฯ กล่าวว่า “เดี๋ยว รมช.คลังจะเป็นคนชี้แจง 

เมื่อถามอีกว่าสามารถที่จะเปิดใช้ทันไตรมาส 4 หรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า “ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ” และทำท่าเดินออกจากวงให้สัมภาษณ์ 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า สรุปแล้วแหล่งที่มาของเงินได้ข้อสรุปเรียบร้อยใช่หรือไม่? นายกฯ ไม่ตอบ พร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”

ล่าสุดนายเศรษฐา ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ดิจิทัลวอลเล็ตพร้อม เปิดลงทะเบียน 1 ส.ค. นี้ครับ การประชุมวันนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดลงทะเบียน และการดำเนินการในภาพรวมที่จะรองรับการใช้งานของประชาชนและร้านค้า โดยมีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการ รวมไปถึงการลงรายละเอียดเงื่อนไขของการรับสิทธิ์ และมาตรการป้องกันการทุจริต การเรียกเงินคืนให้ชัดเจนขึ้นครับ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต คือ โครงการใหญ่ของภาครัฐที่จะเติมเงินกระเป๋าพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม เพื่อความละเอียดรอบคอบทั้งทางกฎหมาย และทางเทคนิค โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งาน ทำให้ใช้เวลาดำเนินการมากหน่อย แต่พี่น้องไม่ต้องคอยเก้อแน่นอนครับ” 

ขณะที่ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงรายละเอียดของผลการประชุมบอร์ดดิจิทัลวอลเล็ตว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ในโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ครั้งใหม่ โดยจะตัดแหล่งเงินจากมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และใช้เงินจากงบประมาณปี 2567 และงบประมาณปี 2568 รวม 4.5 แสนล้านบาท เพื่อแจกให้กับ 45 ล้านคน

สำหรับสาเหตุของการปรับที่มาของแหล่งวงเงินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ครั้งนี้ นายจุลพันธ์ ยอมรับว่า รัฐบาลได้ดำเนินการตามข้อห่วงใยของหน่วยงานต่างๆ ที่ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งในอดีตการดำเนินโครงการของรัฐไม่มีโครงการใดที่มีคนลงทะเบียนร่วมโครงการเกิน 90% กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ จึงได้หารือร่วมกันและเห็นชอบกับการตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกัน โดยปรับลดลงมาจากเดิม 5 แสนล้าน เหลือ 4.5 แสนล้าน

“โครงสร้างกรอบแหล่งเงินโครงการครั้งใหม่ จะไม่มีเงินจากมาตรา 28 แต่จะใช้งบประมาณปี 2567 และงบประมาณปี 2568 ซึ่งเพียงพอและสามารถดำเนินการได้ภายในกรอบของงบประมาณ และถ้าคนลงทะเบียนน้อยกว่าหรือมากกว่า รัฐบาลจะใช้กลไกในการบริหารงบประมาณ เพื่อให้มีเงินทุกบาททุกสตางค์เพียงพอกับการใช้ในโครงการนี้ และรายละเอียดทั้งหมดจะเสนอที่ประชุมครม.เห็นชอบในสัปดาห์หน้า” นายจุลพันธ์ ยืนยัน

ทั้งนี้ ในแหล่งเงินของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 รอบใหม่ วงเงิน 450,000 แสนล้านบาทนั้น มีที่มาจาก 2 แหล่ง คือ งบประมาณปี 2567 ทั้งการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม วงเงิน 122,000 แสนล้านบาท และการบริหารจัดการงบประมาณอีก 43,000 ล้านบาท โดยไม่ใช่แค่งบกลางอย่างเดียว ส่วนงบประมาณปี 2568 วงเงิน 152,700 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณางบประมาณ และการบริหารจัดการงบประมาณอีก 132,300 ล้านบาท

ส่วนไทม์ไลน์โครงการนั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ ไปพิจารณากรอบรายละเอียดวันเวลาของการเริ่มต้นโครงการ และวันเปิดลงทะเบียน ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้แถลงในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นี้ อีกครั้ง เบื้องต้นกรอบของโครงการยังไม่เปลี่ยน คือ ลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 และ โอนเงินให้ประชาชนในไตรมาสที่ 4 ปี 2567


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top