Monday, 24 June 2024
เมืองผู้ดี

‘คนเมืองผู้ดี’ เผชิญภาวะอดอยากแร้นแค้น 3.8 ล้านคน ผลจากเงินเยียวยาช่วงโควิด-19 ระบาด ไม่พอใช้จ่าย

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (24 ต.ค.66) ที่ผ่านมา มูลนิธิโจเซฟ ราวน์ทรี (Joseph Rowntree Foundation) เผยว่าประชาชนในสหราชอาณาจักรราว 3.8 ล้านคน ซึ่งรวมถึงเด็ก 1 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่กับความอดอยากยากแค้นเมื่อปีก่อน

มูลนิธิข้างต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรการกุศลที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหราชอาณาจักร เผยในรายงานว่าจำนวนดังกล่าวคิดเป็นเกือบ 2.5 เท่าของจำนวนคนอดอยากในปี 2017 และเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในกลุ่มประชากรเด็ก ทำให้การจัดการกับความอดอยากในสหราชอาณาจักรกลายเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน

“ระดับความอดอยากในสหราชอาณาจักรเพิ่มสูงขึ้น โดยผู้คนจำนวนมากขึ้นต้องดิ้นรนหาเงินมาตอบสนองต่อความต้องการทางกายภาพขั้นพื้นฐานที่สุด ทั้งการทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่เปียกฝน สะอาดสะอ้าน และอิ่มท้อง” รายงานระบุ

รายงานเสริมว่าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และโอกาสของประชาชนอย่างลึกซึ้ง และยังสร้างความตึงเครียดให้บริการต่าง ๆ ที่แบกรับภาระมากเกินไปอยู่แล้ว โดยเกือบสามในสี่ของประชาชนที่ประสบกับความอดอยากอยู่ระหว่างการรับเงินประกันสังคม ซึ่งสะท้อนถึงสิทธิประโยชน์ที่ไม่เพียงพอ

ส่วนการสนับสนุนเฉพาะกิจจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรซึ่งมีขึ้นครั้งแรกเมื่อช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และกำลังช่วยเรื่องค่าครองชีพอยู่ในขณะนี้ ยังไม่สามารถหยุดยั้งระดับความอดอยากที่เพิ่มขึ้นได้

รายงานแนะนำให้มีการปฏิรูประบบประกันสังคมของสหราชอาณาจักรอย่างกว้างขวางขึ้น และรับรองการจัดสรรความช่วยเหลือด้านการเงินฉุกเฉินสำหรับจัดการกับหนี้ก้อนโต สวัสดิการ และปัญหาที่อยู่อาศัยที่ทำให้ประชาชนอดอยาก

‘คุณแม่ชาวอังกฤษ’ โวย!! ไม่มีใครสละที่นั่งบนรถไฟให้ลูกของเธอ คนที่นั่งมีแต่ผู้ชาย แต่กลับมองเด็ก 5 ขวบนั่งบนพื้นหน้าตาเฉย

(8 ก.พ. 67) เพจ ‘Around the World’ ได้แชร์เรื่องราวของคุณแม่รายหนึ่งที่ได้ออกมาระบายความรู้สึกผ่านติ๊กต็อก ถึงกรณีไม่มีใครลุกให้ลูกชายของเธอนั่งเลยแม้แต่คนเดียว โดยระบุว่า…

ผู้หญิงรายหนึ่งทนไม่ไหว ใช้ TikTok ระบายความคับข้องใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครลุกให้ลูกชายวัยเด็กเล็กของเธอนั่ง บนขบวนรถไฟขบวนหนึ่งในอังกฤษ แม้แต่รายเดียว ทั้งที่เก้าอี้ในบริเวณใกล้เคียง มีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้น

ในวิดีโอ ซึ่งมีผู้เข้าชมแล้วมากกว่า 2.1 ล้านวิว ผู้ใช้นามว่า @kellyk2016 ต้องการแฉให้เห็นว่าลูกชายของเธอ ต้องนั่งบนพื้นของขบวนรถไฟ เนื่องจากไม่มีเก้าอี้ว่างเหลืออยู่ เธอระบุด้วยว่า "คนเหล่านี้ทุกคนเอาแต่มองดูลูกชายของฉันนั่งอยู่บนพื้น ไม่รับรู้อะไรกันเลย"

ตามรายงานของเดลิเมล ระบุว่า รถไฟที่เคลลีโดยสารนั้น ได้แก่ รถไฟสาย Southern Rail Train และจากข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซต์ ดูเหมือนผู้โดยสารจำเป็นต้องซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถไฟ แต่เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ สามารถใช้บริการฟรี ทว่าในกรณีนี้ผู้โดยสารจะสามารถนั่งบนที่นั่งได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ๆ จับจอง

ทางด้านเว็บไซต์ของ Southern Rail Train ชี้แจงว่า "คุณสามารถนำเด็กอายุ 5 ขวบมาใช้บริการได้ โดยไม่เสียค่าโดยสาร หากว่าคุณมีตั๋ว อย่างไรก็ตามคุณสามารถใช้เก้าอี้ได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีความจำเป็นแล้ว สำหรับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่มีตั๋ว"

ผู้ชมบางส่วนแสดงความไม่พอใจกับคลิปบน TikTok ดังกล่าว แสดงความคิดเห็นตำหนิ เคลลี แม้ว่าเธอจะพยายามชี้ให้เห็นว่าลูกของเธอควรได้รับเก้าอี้นั่งเป็นลำดับแรก ๆ 

"เด็กไม่ควรได้เก้าอี้นั่งในลำดับแรก ๆ คนพิการ ผู้หญิงตั้งครรภ์ คนชรา และเด็กทารก ต่างหาก ที่ควรได้นั่งบนเก้าอี้ในลำดับแรกๆ" ผู้ใช้รายหนึ่งเขียน

ส่วนอีกคนเขียนว่า "บทเรียนของชีวิต กรุณาจองตั๋วที่นั่งล่วงหน้า ทำไมคุณถึงคิดว่าลูกของคุณควรมีความสำคัญลำดับต้น ๆ เป็นเพราะคุณบอกงั้นหรือ?" 

ขณะที่อีกคนเขียนติดตลกว่า "เด็ก ๆ นั่งบนพื้น ผู้ใหญ่นั่งบนเก้าอี้ นี่คือที่เขาเรียกว่าการให้ความเคารพ"

อย่างไรก็ตาม เคลลี ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า เธอจะมอบเก้าอี้ให้ลูกของเธอ ถ้าเธอมีที่นั่ง แต่ในกรณีนี้เธอเองก็ไม่มีที่นั่ง ทั้งที่ก็ซื้อตั๋วเช่นกัน

ขณะเดียวกันผู้ติดตามบน TikTok ของเธอบางส่วน แสดงความเห็นเข้าข้าง เคลลี และลูกชายของเธอ โดยชี้ให้เห็นถึงทัศนคติที่ย่ำแย่ของพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมลุกให้เด็กนั่ง "มันเป็นพฤติกรรมแย่ ๆ ของพวกผู้โดยสารและความเห็นแย่ๆของผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ เป็นฉัน ฉันจะมอบเก้าอี้ให้เด็กนั่งภายในเวลาไม่กี่วินาที"

‘เกาะอังกฤษ’ เสน่ห์หาย มหาเศรษฐีแห่หอบเงินหนี ผลจากภาวะเศรษฐกิจ - แนวโน้มเปลี่ยนขั้วรัฐบาล

‘สหราชอาณาจักร’ กลายเป็นประเทศในโซนยุโรป ที่มีมหาเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ (2024) ที่มีการย้ายออกสุทธิมากถึง 9,500 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า และมีแนวโน้มที่จะย้ายออกเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง หลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในปีนี้ 

จากรายงานการสำรวจการโยกย้ายถิ่นฐานของ The Henley Private Wealth Migration ประจำปี 2024 พบว่าอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มหาเศรษฐีอยากจะย้ายออกมาเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีนในปีนี้ แถมมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นวิกฤติการย้ายถิ่นแบบ Exodus หรือการทิ้งถิ่นฐานของมหาเศรษฐีจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ซึ่งในปีนี้ มีเศรษฐีในอังกฤษ ย้ายออกไปประเทศอื่นแล้วถึง 9,500 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มีเศรษฐีย้ายออก 4,200 ราย นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว

ถึงแม้ว่าจีนจะยังคงเป็นประเทศที่มีคนระดับเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดในโลก ซึ่งมีตัวเลขการย้ายออกสุทธิอยู่ที่ 15,200 รายในปีนี้ แต่หากเทียบกับตัวเลขในอดีตที่อังกฤษเคยติดอันดับกลุ่มประเทศที่มีมหาเศรษฐีอยากย้ายเข้ามากที่สุด เป็นจุดหมายปลายทางระดับพรีเมียมที่ใครต่อใครสนใจที่จะย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ นับว่าเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับอังกฤษ

‘Henley’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานระบุว่า ช่วงระหว่างปี 1950 - 2000 ถือเป็นยุคทองของสหราชอาณาจักร ที่ครอบครัวชนชั้นสูง ตระกูลเศรษฐีทั่วทั้งยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย และ ตะวันออกกลาง นิยมย้ายถิ่นมาลงหลักปักฐานในอังกฤษเป็นจำนวนมาก 

แต่ในวันนี้กลับไม่ใช่แล้ว กลุ่มคนที่มีทรัพย์สินมั่งคั่งในอังกฤษเริ่มมองหาประเทศทางเลือกอื่น ๆ ในการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ เห็นได้ชัดเจนจากตัวเลขประชากรระดับเศรษฐีของอังกฤษลดลงถึง 8% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับจำนวนประชากรเศรษฐีในประเทศเศรษฐกิจหลักของกลุ่มชาติตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน อาทิ เยอรมัน ที่มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นถึง 15% ในขณะที่สหรัฐอเมริกา มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มมากถึง 62% 

แต่อะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เสน่ห์ของประเทศอังกฤษหายไป ไม่ชวนดึงดูดกลุ่มเศรษฐี นักลงทุนให้มาอยู่ได้อย่างที่แล้วมา?

แรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ผลพวงจากผลประชามติ Brexit ซึ่งในช่วงปี 2017 - 2023 หลังจากที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพยุโรปแล้ว มีตัวเลขประชากรเศรษฐีในอังกฤษย้ายถิ่นไปแล้วถึง 16,500 ราย และตัวเลขการย้ายถิ่นของคนกลุ่มนี้ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทุกปี 

แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำเศรษฐีอังกฤษหอบเงินหนี ‘ฮานนาห์ ไวท์’ CEO ของสถาบันวิเคราะห์ยุทธศาสตร์รัฐบาล เผยว่าการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ของเศรษฐีจะยิ่งเร่งสปีดเร็วขึ้นกว่าเดิมหลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

จากผลโพลหลายสำนักในอังกฤษชี้ตรงกันว่าพรรคแรงงาน ฝ่ายซ้าย ที่เป็นฝ่ายค้านในปัจจุบันมีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์ฝ่ายรัฐบาล ถึง 46% ต่อ 21% มีโอกาสคว้าชัยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่สูงมาก 

โดยพรรคแรงงานมีนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เข้มงวด โดยเน้นการเก็บภาษีเพิ่มในกลุ่มคนต่างด้าว ลดช่องทางการหลีกเลี่ยงภาษี ยกเลิกการลดหย่อนภาษีสำหรับโรงเรียนเอกชน และเพิ่มภาษีสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยบุคคลที่ไม่ได้ถือวีซ่าผู้อาศัยในอังกฤษ อีกทั้งขึ้นภาษีที่ดินเป็น 40% สำหรับที่ดินที่มีราคาสูงกว่า 325,000 ปอนด์ เพื่อนำภาษีเหล่านั้นมาลงให้กับกองทุนสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ของชาวอังกฤษ 

ด้วยปัจจัยด้านนโยบายในการจัดเก็บภาษีคนรวย บวกกับสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะเงินเฟ้อในประเทศ และ การถูกยกเลิกสิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก EU ทำให้เศรษฐีในอังกฤษตัดสินใจย้ายออกอย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นับเป็นความท้าทายที่สาหัสทีเดียวสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ของอังกฤษ ในการฟื้นฟูประเทศ เรียกบรรยากาศที่เคยดึงดูดกลุ่มเศรษฐีมีเงินทั่วโลก ที่เคยหอบทรัพย์สินหลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานใน ‘ดินแดนแห่งผู้ดี’ เช่นในอดีต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top