Monday, 21 April 2025
เครื่องบิน

'รมว.ปุ้ย' ยกเคส 'พาวเวอร์แบงก์' คนไทยควรเลือกสินค้ามาตรฐาน 'มอก.' ส่วนภาครัฐเร่งกวาดล้างไม่หยุด ล่าสุดอายัดสินค้าห่วยแล้วกว่า 142 ล้าน

(27 ก.พ.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีเครื่องบินโดยสารสายการบินไทยเเอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD3188 ขณะกำลังบินจากสนามบินดอนเมือง มุ่งหน้านครศรีธรรมราช มีเหตุการณ์พาวเวอร์แบงก์ของผู้โดยสารระเบิดบนเครื่องบิน ตนเองซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้นด้วย เข้าใจเลยว่าต้องมีสติเท่านั้นที่จะควบคุมสถานการณ์ท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของผู้โดยสารทั้ง 186 ชีวิตได้ ก่อนที่ลูกเรือบนเครื่องบินสามารถดับไฟได้สำเร็จ 

ในฐานะที่เป็นเจ้ากระทรวงที่ดูแลสินค้าให้มีความปลอดภัยต่อประชาชน จึงสั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เข้มงวดในการตรวจควบคุมพาวเวอร์แบงก์ทุกขนาดทุกยี่ห้อที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดและทางออนไลน์ต้องได้มาตรฐาน เนื่องจากพาวเวอร์แบงก์เป็นหนึ่งในสินค้าในจำนวน 144 รายการ ที่เป็นสินค้าควบคุมของ สมอ. โดยเฉพาะพาวเวอร์แบงก์ที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านให้เพิ่มความถี่ในการตรวจควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าได้อย่างปลอดภัย และขอฝากถึงประชาชนให้เลือกใช้พาวเวอร์แบงค์ที่มีเครื่องหมาย มอก. และ QR Code ที่ปรากฏอยู่บนสินค้าเท่านั้น โดยสามารถสแกนเพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของผู้ผลิตและผู้จำหน่าย รวมถึงคุณภาพของสินค้าว่าเป็นไปตามที่ระบุหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามที่ระบุสามารถร้องเรียนกลับมาที่ สมอ. ได้ทันที 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ต่อกรณีดังกล่าว สมอ. มิได้นิ่งนอนใจ หลังจากได้รับข้อสั่งการจากท่านรัฐมนตรีพิมพ์ภัทราฯ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ประสานเพื่อตรวจสอบขยายผลอย่างเร่งด่วนถึงแหล่งที่มา รายละเอียดสินค้า และการขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้อง สมอ. จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ประกอบการรายนี้อย่างถึงที่สุด เนื่องจากพาวเวอร์แบงค์เป็นสินค้าควบคุมของ สมอ. การทำและนำเข้าจะต้องได้รับอนุญาตจาก สมอ. ก่อน รวมถึงผู้จำหน่ายจะต้องขายเฉพาะสินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น มิฉะนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย 

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการได้รับใบอนุญาตแล้วจำนวน 97 ใบอนุญาต แบ่งเป็นผู้ผลิตในประเทศจำนวน 8 ใบอนุญาต และผู้นำเข้าจำนวน 89 ใบอนุญาต สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้รับใบอนุญาตได้ที่เว็บไซต์ สมอ. www.tisi.go.th โดยพาวเวอร์แบงก์ที่ได้มาตรฐานจะผ่านการตรวจสอบจากห้องแล็ปอย่างเข้มข้นประมาณ 20 รายการ เช่น สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 70 องศาเซลเซียส หากลืมวางไว้ในรถยนต์ที่จอดตากแดด หรือที่ที่มีอุณหภูมิสูง ก็ยังอยู่ในสภาพปกติ ไม่บวมพอง หรือโก่งงอ ทนต่อการตกกระแทก ไม่แตกหักเสียหายง่าย ทนต่อความดันอากาศต่ำ 

หากอยู่บนเครื่องบินจะไม่เกิดการรั่วซึมหรือเกิดการระเบิด หรือในกรณีที่ลืมชาร์จทิ้งไว้นาน ๆ ก็จะไม่ก่อให้เกิดประกายไฟ และลุกไหม้ และหากเกิดประกายไฟ เปลวไฟจะดับเองได้โดยไม่เกิดการลุกลาม จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าพาวเวอร์แบงก์ที่มี มอก. มีความปลอดภัยสูง และจะไม่เป็นอันตรายขณะใช้งาน สำหรับการเลือกซื้อพาวเวอร์แบงค์ที่ได้มาตรฐานนอกจากจะให้สังเกตเครื่องหมาย มอก. และ QR Code ที่ปรากฏอยู่บนสินค้าทุกครั้งแล้ว 

นอกจากนี้ วิธีการเก็บรักษาและการใช้งานก็มีส่วนสำคัญไม่ให้พาวเวอร์แบงก์หมดอายุการใช้งานก่อนเวลาอันควร เช่น ไม่ควรเก็บพาวเวอร์แบงก์ไว้ใกล้แหล่งความร้อน หรือรับแสงแดดโดยตรง ไม่ควรเก็บไว้ใกล้แก๊สที่ติดไฟได้ ความชื้น น้ำ หรือของเหลว ไม่ควรถอดชิ้นส่วน เปิด เผา หรือสอดแทรกสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในพาวเวอร์แบงก์ ไม่ควรให้พาวเวอร์แบงก์ถูกกระแทก ถูกกดทับ งอ หรือเจาะ ไม่ใช้งานในขณะเปียกน้ำหรือได้รับความเสียหายเพื่อป้องกันการช็อกไฟฟ้า และควรอ่านข้อควรปฏิบัติที่ให้มากับพาวเวอร์แบงค์ด้วยทุกครั้ง เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างถูกวิธีและมีความปลอดภัย 

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ที่ผ่านมา สมอ. ได้ดำเนินการอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องในการกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาด ภายใต้ภารกิจ Quick Win ตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีพิมพ์ภัทราฯ ทั้งที่จำหน่ายในท้องตลาด และทางออนไลน์ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน จนถึงขณะนี้ สมอ. ได้ตรวจจับและยึดอายัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานไปแล้วกว่า 142 ล้านบาท มีทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก วัสดุก่อสร้าง สีย้อมสังเคราะห์ เมลามีน และพลาสติก เป็นต้น จึงขอฝากถึงผู้ประกอบการหากท่านทำหรือนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ท่านจะถูกดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด ซึ่งบทลงโทษสำหรับผู้ทำและนำเข้าสินค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘คุณแม่เกาหลี’ อุ้มลูกวัย 4 เดือน ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต พร้อมแจก ‘ที่อุดหู-ลูกอม-แนบโน๊ตขอโทษ’ หากมีเสียงรบกวน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก ‘สุขภาพดี’ ได้โพสต์เรื่องราวของคุณแม่เกาหลีท่านหนึ่ง ที่ทำการแจกชุด ‘ป้องกันเสียงเด็ก’ แก่ผู้โดยสารบนเครื่องบินในเที่ยวเดียวกัน เพราะกลัวลูกน้อยร้องไห้เสียงดังรบกวน โดยระบุว่า…

“ดูเหมือนว่าคุณแม่ชาวเกาหลีรายนี้ก็รู้ดีถึงเหตุผลข้างต้น แต่เธอมีเหตุจำเป็นให้ต้องเดินทางกว่า 10 ชั่วโมง เพื่อไปที่ซานฟรานซิสโกกับลูกน้อยวัย 4 เดือน

โดยเหตุการณ์นี้ถูกโพสต์ผ่านเฟสบุ๊กของนาย Dave Corona เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2019 กล่าวถึงความประทับใจต่อคุณแม่ชาวเกาหลีรายนี้ ที่เลือกแจกชุด ‘ป้องกันเสียงเด็ก’ กว่า 200 ชุดให้กับผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน

โดยในถุงที่แจกประกอบไปด้วยที่อุดหู ลูกอมหลายชนิด และข้อความเขียนในนามของเด็กชายระบุว่า ‘สวัสดีครับ ผมชื่อ Junwoo (จุนวู) อายุ 4 เดือน วันนี้ผมกำลังเดินทางไปที่สหรัฐฯ กับคุณแม่และคุณยาย เพื่อไปหาคุณป้าของผม’

‘ผมรู้สึกกังวลและกลัวนิดหน่อย เพราะนี่คือไฟลท์แรกในชีวิตของผม นั่นหมายถึงผมอาจจะร้องไห้หรือส่งเสียงดังเกินไป’

‘คุณแม่ของผมจึงเตรียมถุงเล็ก ๆ นี้ไว้สำหรับคุณ จะมีทั้งลูกอมและที่อุดหู ขอความกรุณาใช้มัน เมื่อผมส่งเสียงดัง ขอให้เดินทางอย่างมีความสุขนะครับ ขอบคุณฮะ’

บอกเลยว่าใครเห็นข้อความนี้เป็นอันต้องโกรธไม่ลงแน่นอน แถมยังยิ้มออกอีกด้วย”

เฉลย!! 3 เหตุผลที่ต้องพ่นสีเครื่องบิน ไม่ใช่แค่เพื่อความสวย แต่เพื่อลดความร้อนภายในตัวเครื่อง ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

ทำไมต้องพ่นสีเครื่องบิน ? หรือแค่เพราะว่าทำให้ตัวเครื่องบินสวย

(30 เม.ย. 67) TNN Tech รายงานว่า กลุ่มพันธมิตรการบินสตาร์อัลไลแอนซ์ (Star Alliance) เปิดเผยภาพเบื้องหลังการพ่นสีและตกแต่งลายพิเศษของกลุ่มพันธมิตร กับเครื่องบินแอร์บัส เอ 350-900 (Airbus A350-900) ของการบินไทย พร้อมเฉลยหนึ่งในคำถามพื้นฐานที่หลายคนมักสงสัยว่า ทำไมถึงต้องพ่นสีเครื่องบินและใช้สีขาวเป็นสีหลักของเครื่องบินด้วย

>> 3 เหตุผลในการพ่นสีเครื่องบิน...
- เหตุผลแรกว่าทำไมถึงต้องพ่นสีกับเครื่องบิน คือเรื่องของภาพลักษณ์และแบรนด์ ยกตัวอย่างเครื่องบิน Airbus A350-900 ของการบินไทย ที่ต้องการสร้างภาพจำให้กับ Star Alliance ที่เป็นพันธมิตรการบินแรกของโลกในปี 1997 ซึ่งการบินไทยเองก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพันธมิตรนี้ด้วยเช่นกัน

- เหตุผลที่สอง ที่สำคัญไปกว่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของการพ่นสีเครื่องบินคือ การลดความร้อนภายในตัวเครื่อง เนื่องจากตัวเครื่องบินจะต้องทำการบินที่ระดับความสูง 30,000 ฟุต หรือประมาณ 9 กิโลเมตร เหนือพื้นดิน ในระดับความสูงนี้จะได้รับแสงแดด และรังสี UV (Ultra Violet) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  

ดังนั้น ถ้าไม่มีการพ่นสีที่ได้รับการออกแบบมาพิเศษเพื่อเคลือบป้องกันเครื่องบิน จะทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องบินได้รับความร้อนและส่งผลต่อความสะดวกสบายในการโดยสารด้วย

และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ทำให้เครื่องบินส่วนใหญ่จึงพ่นสีขาวเป็นพื้นฐาน แม้ว่าจะมีการตกแต่งลายตามสัญลักษณ์สายการบิน รวมไปสัญลักษณ์ของกลุ่มพันธมิตรสายการบินที่แพนหางเครื่องบิน แต่ก็ยังคงให้สีขาวเป็นสีหลักบนเครื่องบิน เพราะสีขาวเป็นสีที่มีความสามารถในการสะท้อนแดดและรังสี UV ได้ดีที่สุด

- เหตุผลสุดท้าย คือ การสร้างชั้นเคลือบป้องกันลำตัวเครื่องบิน (Fuselarge) เนื่องจากทั้งฝุ่น ความชื้น และสภาพอากาศ ต่างเป็นปัจจัยที่จะกัดกร่อนตัวเครื่องบินให้เสื่อมสภาพและพังก่อนอายุการใช้การงานอันควร 

ทั้งนี้ โดยปกติเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่จากทั้ง Airbus, Boeing สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 30 ปี และมีราคาที่สูงถึง 100 - 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,700 - 11,000 ล้านบาท ตามขนาดและรุ่น ดังนั้น สายการบินจึงต้องคอยพ่นสีเครื่องบิน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานและคุ้มค่าที่สุด

‘กัปตันเครื่องบิน’ เล่าประสบการณ์ ‘บั้งไฟ’ พุ่งเฉียดเครื่องบินสูง 8,000 ฟุต ยัน!! เข้าใจเรื่องประเพณี แต่ควรขอนุญาต-ไม่ควรผลิตให้พุ่งสูงขนาดนี้

(16 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘บันทึกไม่ลับของคนขับเครื่องบิน’ ได้โพสต์เรื่องราวสุดช็อก เมื่อเจอบั้งไฟยิงผ่านเครื่องบินเกือบ 8,000 ฟุต โดยข้อความระบุว่า… 

"นอกจากทางทางเหนือมีโคมลอยแล้ว ทางภาคอีสานก็ยังมีบั้งไฟอีกที่เป็นอันตรายต่อการบินมาก

อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมนะ เข้าใจว่ามันเป็นประเพณีที่ทำกันมายาวนาน แต่อยากให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับประเพณีนี้ขอให้มีจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยของส่วนรวมด้วย เพราะมันอันตรายกับอากาศยานมาก รวมถึงผู้โดยสารบนเครื่องบินครับ

ถ้าจะปล่อยบั้งไฟขอให้ขออนุญาตหน่วยงานด้านการบินก่อน และทำการปล่อยในจุดที่ขออนุญาต รวมถึงการเล่นการพนันขันต่อว่าบั้งไฟลูกไหนจะสูงกว่ากัน เลิกเถอะครับเพราะอันนี้มันไม่ใช่ประเพณีแล้ว ยิ่งมีคนเดิมพัน คนยิ่งผลิตก็ยิ่งพัฒนาให้บั้งไฟสูงขึ้นไปอีก

อย่างวันนี้ผมเทคออฟจากอุบล จากพิกัด radial 266 จากสนามบิน เจอบั้งไฟห่างจากเครื่องบินผมไม่ถึง 200 เมตร ขนาดผมอยู่ที่ความสูง 6,000 ฟุต บั้งไฟยังขึ้นไปสูงกว่าผมอีก (มองด้วยสายตาน่าจะความสูง 8,000 ฟุต) ซึ่งมันอันตรายมาก หายนะเกิดได้ง่าย ๆ เลยกับการกระทำแบบนี้ เพราะผมแจ้งหอว่าบริเวณนี้มีการปล่อยบั้งไฟ และหอไม่มีการรายงานการขออนุญาตในเขตพื้นที่แถว ๆ นี้ หลังจากนั้นเครื่องบิน ATR ของกองทัพอากาศก็รีพอร์ตบั้งไฟลูกอื่น ๆ ตามมา หอบังคับการบินต้องให้คำแนะนำทิศทาศนักบินบินหลบกันอุตลุด คิดดูมันอันตรายแค่ไหนครับ”

'สิงคโปร์แอร์ไลน์ส' ปรับกฎ ‘งดเสิร์ฟอาหาร’ เมื่อมีไฟเตือนคาดเข็มขัด เพิ่มความปลอดภัยขั้นสุด หลังเหตุ SQ321 'ตกหลุมอากาศ'

สิงคโปร์แอร์ไลน์ส (Singapore Airlines) ประกาศนโยบาย ‘งดเสิร์ฟอาหาร’ ระหว่างที่ไฟสัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสว่างขึ้น เพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยแก่ผู้โดยสาร หลังเกิดกรณีเที่ยวบิน SQ321 ตกหลุมอากาศรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคน

สิงคโปรแอร์ไลน์ส ระบุในคำแถลงวานนี้ (23 พ.ค.) ว่า ลูกเรือทุกคนจะต้องกลับไปยังที่นั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยทันทีที่สัญญาณไฟเตือนปรากฏขึ้น และจากเดิมที่จะงดเสิร์ฟเฉพาะ ‘เครื่องดื่มร้อน’ ในช่วงที่เครื่องบินต้องบินผ่านสภาพอากาศแปรปรวน (turbulence) ก็จะเปลี่ยนเป็นการงดเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด

สำหรับมาตรการความปลอดภัยอื่น ๆ ในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวนยังคงบังคับใช้ตามปกติ เช่น การที่ลูกเรือต้องตรวจสอบสัมภาระที่อาจร่วงหล่นง่าย เตือนผู้โดยสารให้กลับไปยังที่นั่งและคาดเข็มขัดนิรภัย รวมถึงเฝ้าสังเกตผู้โดยสารที่อาจต้องการความช่วยเหลือ เช่น ผู้ที่กำลังเข้าห้องน้ำ เป็นต้น

โฆษกสายการบินระบุว่า “สิงคโปร์แอร์ไลน์สจะยังคงพิจารณาทบทวนแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ต่อไป เนื่องจากความปลอดภัยของผู้โดยสารและลูกเรือคือสิ่งสำคัญที่สุด”

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. เที่ยวบิน SQ321 ซึ่งเดินทางจากกรุงลอนดอนมุ่งหน้าสิงคโปร์เกิดตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงบริเวณเหนือที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดีของพม่า ระหว่างที่พนักงานกำลังเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ เจฟฟรีย์ คิตเชน (Geoffrey Kitchen) ผู้โดยสารชาวอังกฤษวัย 73 ปี ซึ่งมีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจเสียชีวิต และมีผู้โดยสารบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

นักบินตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ และนำเครื่องบินโบอิ้ง 777-300ER ที่มีผู้โดยสาร 211 คน และลูกเรือ 18 คน เปลี่ยนเส้นทางมาลงจอดฉุกเฉินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในเวลาประมาณ 15.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น

เหตุการณ์นี้ถือเป็นอุบัติเหตุทางการบินที่มีผู้เสียชีวิตครั้งแรกของสิงคโปร์แอร์ไลน์ส ตามหลังกรณีเที่ยวบิน SQ006 ที่พยายามเทกออฟจากทางวิ่งซึ่งปิดซ่อมภายในสนามบินนานาชาติเจียงไคเช็ก (ปัจจุบันคือสนามบินเถาหยวน) ของไต้หวันระหว่างที่มีพายุไต้ฝุ่นเข้า และชนเข้ากับอุปกรณ์ก่อสร้างจนมีผู้เสียชีวิตถึง 83 คน เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ปี 2000

สิงคโปร์แอร์ไลน์ส อัปเดตข้อมูลผ่านเพจเฟซบุ๊กวานนี้ (23 พ.ค.) ว่ายังมีผู้โดยสาร 46 คน และลูกเรืออีก 2 คนนอนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร

ด้าน นพ.อดินันท์ กิตติรัตนไพบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ แถลงว่า ขณะนี้ยังมีผู้บาดเจ็บจากเที่ยวบิน SQ321 รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรวมทั้งสิ้น 40 คน ในจำนวนนี้มี 22 คนที่พบอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังและไขสันหลัง และ 6 คนมีอาการบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะและสมอง

สำหรับผู้บาดเจ็บที่ถูกส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ มีอายุระหว่าง 2-83 ปี และเวลานี้มี 20 คนที่ยังอยู่ในห้องไอซียู ทว่าอาการไม่อยู่ในขั้นอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิต

‘ผู้โดยสารแอร์ไชนา’ ขึ้นเครื่องครั้งแรก พลาดเปิดประตูฉุกเฉิน  เข้าใจผิดว่าเป็นประตูห้องน้ำ คาด!! จ่ายค่าเสียหายเหยียบล้าน

ถือเป็นเหตุการณ์น่าระทึกใจอย่างยิ่ง เมื่อผู้โดยสารรายหนึ่งซึ่งขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก พลาดไปเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่ตั้งใจ ขณะตามหาห้องน้ำ ส่งผลให้เครื่องบินโดยสารของสายการบินแอร์ไชนา ต้องวุ่นวายทั้งลำ แต่เคราะห์ดีที่มันเกิดบนภาคพื้น มิเช่นนั้นมันอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ยากจะจินตนาการ

เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่เที่ยวบิน 2745 ของสายการบินแอร์ไชนา กำลังอยู่บนลานจอด ณ สนามบินฉือโจว ในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า ผู้โดยสารหน้าใหม่เดินไปบริเวณท้ายเครื่องบินและเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่มีใครสังเกตเห็น ทำให้ทางลาดฉุกเฉินสำหรับอพยพถูกเปิดใช้งาน

"ตอนที่ทางลาดฉุกเฉินกระเด้งออกมา แม้แต่พวกพนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินก็ยังตกอกตกใจ" ผู้โดยสารรายหนึ่งชื่อว่า เฉิง เล่าถึงเหตุการณ์ ในขณะที่ภาพถ่ายบนสื่อสังคมออนไลน์จีน พบเห็นเครื่องบินจอดอยู่ตรงกลางลานบิน ในสภาพที่ทางลาดฉุกเฉินถูกปล่อยออกมาแล้ว

สุดท้ายแล้วเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องพาผู้โดยสารทั้งหมดลงจากเครื่องบิน และเที่ยวบินก็ถูกยกเลิกไปในท้ายที่สุด 

"ผู้โดยสารหญิงรายนี้ถึงกับร่ำไห้ ตอนที่ได้ทราบว่าเธอจำเป็นต้องจ่ายเงินชดใช้ความเสียหาย" เฉิงบอก 

ขณะที่เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ คาดหมายว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเปิดใช้งานประตูฉุกเฉินของเครื่องบิน อยู่ที่ราว 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 ล้านบาท) โดยผู้หญิงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ถูกตำรวจเข้าสอบปากคำหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ในรายงานข่าวไม่มีการระบุตัวตนสตรีรายนี้แต่อย่างใด

เรื่องนี้ก่อความวิตกบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบางส่วนตั้งคำถามและแสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการออกแบบประตูฉุกเฉิน ที่เปิดโอกาสให้ผู้โดยสารหนึ่ง ๆ สามารถเปิดประตูฉุกเฉินโดยไม่ได้ตั้งใจได้อย่างง่ายดาย

ยูทูบเบอร์ด้านการบิน แฉยับ!! ช่างเครื่องบินเลวๆ หลอกนักบินไปตาย แทบช็อก!! หลังแกะเช็กทั้งลำ พบอุปกรณ์หมดอายุเสียหายเพียบ

(29 ส.ค. 67) จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Warat Laithong' หรือ 'วรัทย์ ไล้ทอง' ยูทูบเบอร์ด้านการบิน จากช่อง 'Flown By Prame' ได้ออกมาโพสต์เรื่องราวของช่างซ่อมเครื่องบิน ที่ซ่อมไม่ได้มาตรฐาน ระบุว่า...

ผมคิดอยู่นานว่าผมจะโพสต์เรื่องนี้ดีมั้ย โพสต์ไปจะสร้างปัญหาให้ใครรึเปล่า โพสต์ไปแล้วจะสร้างศัตรูเพิ่มรึเปล่า หรือ โพสต์ไปแล้วจะทำให้ชาตินี้อดขับเครื่องบินรึเปล่า นี่ยังไม่รวมถึงความเกรงใจต่อคนนั้นคนนี้อีกพอสมควร แต่สุดท้ายหลังจากคิดอยู่หลายรอบก็ได้คำตอบว่า มันทำกับเราขนาดนี้ จะเกรงใจทำไม อีกอย่างก็ควรโพสต์ให้เป็นอุทาหรณ์จะได้ไม่มีใครตายจากเครื่องบินตก เพราะอุปกรณ์มีปัญหาอีก

จริงๆ จุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจออกมาโพสต์ มันอยู่ที่ช่วงวันแม่ ที่ผมบินกลับไปอยู่กับแม่ที่เชียงราย ไปอยู่กับแม่ 3 วันก็ต้องกลับกรุงเทพ Flight เชียงราย-กรุงเทพ ของผมเป็น Flight ดึก ก่อนจะออกจากบ้านแม่เอากับข้าวที่ผมชอบใส่ถุงมาให้แล้วบอกว่า กลับไปถึงก็ดึกแล้ว เอาไปกิน เดี๋ยวหิว

เท่านั้นแหละ ผมเลยคิดได้ว่า แม่กูรักกูขนาดนี้ กูซื้อเครื่องบินมาเพราะอยากบินปลอดภัยให้แม่สบายใจ แล้วพวกมึงเป็นใคร มาหลอกกูให้ขับเครื่องบินไปตาย พอคิดได้แบบนั้น ก็ตัดสินใจได้ว่า ไม่ต้องสนใจหน้าไหนอีกแล้ว แฉให้มันไม่มีที่ยืนในสังคมเลยละกัน 

Important Note: เรื่องราวที่จะเขียนต่อจากนี้ ไม่เกี่ยวกับทีมช่างบางพระ ย้ำว่า ไม่เกี่ยวกับทีมช่างบางพระ ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณทีมช่างบางพระ เพราะถ้าไม่มีช่างบางพระผมอาจจะตายไปแล้วก็ได้ 

ผมซื้อเครื่องบินลำนี้มาเมื่อ 2 ปีก่อน เครื่องบินลำนี้ ชื่อรุ่น Commander 114 ทะเบียน HS-AWS เป็นทะเบียนเดิมที่ติดมากับเครื่อง เครื่องลำนี้ถูกบูรณะอยู่ 2 ปี เพื่อส่งมอบกับผม เท่าที่ผมทราบ ระหว่าง 2 ปีนั้น มีการเปลี่ยนทีมช่างไป 3 ชุด 21 เมษายน 2567 ช่างชุดสุดท้ายที่ทำเครื่อง แจ้งกับเราว่า เครื่องบินพร้อมบินแล้ว ให้ไปเทสและตรวจรับได้ พร้อมกับแจ้งว่า เครื่องบินได้รับ 'ใบสมควรเดินอากาศ' เรียบร้อยแล้ว การมีใบสมควรเดินอากาศ ทำให้เรามั่นใจมากว่าเครื่องบินอยู่ในสภาพที่ดี 

ในระหว่างเทส Flight ซึ่งผมก็ขึ้นไปร่วมเทส ก็เจอปัญหาหลายอย่าง แต่ที่หนักสุดคือ รอบใบพัด Overspeed เครื่องรุ่นนี้ รอบใบพัดมัน Maximum ที่ 2,700 RPM แต่ตอนเทส ในจังหวะที่ Low Pass รอบวิ่งทะลุ 2,700 รอบ ขึ้นไปถึง 3,000 รอบ พอลงมาแจ้งช่างที่ทำ เค้ากลับตอบว่า ไหนบอกอยากได้แรงๆ แล้วก็แก้ให้แบบถูๆ ไถๆ ดีขึ้นแต่ไม่ได้หายขาด ยังพบอาการรอบแกว่งอยู่บ้างเรื่อยๆ 

ผมกับเพื่อนบินเครื่องลำนี้ ไปๆ มาๆ อยู่ประมาณ 15 ชั่วโมง ก็มีโอกาสได้ขับไปบางพระ ซึ่งนั่นทำให้เราเจอว่า Governor ที่ใช้คุมรอบใบพัด ถูกติดตั้งผิดมาตั้งแต่ต้น และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้รอบใบพัดไม่เคยนิ่ง

ประเด็นคือ ช่างบางพระมองแค่แวบเดียวก็พบความผิดปกติทันที และชี้ให้เราดู พร้อมเอาหลักฐานเป็นคู่มือเครื่องบินมายืนยัน ว่ามันติดตั้งผิดจริงๆ 

ทีนี้เราเลยกังวลว่ามันจะมีอะไรหมกเม็ดอีกรึเปล่า เราเลยรบกวนให้ช่างบางพระแกะเช็กทั้งลำ เท่านั้นแหละ ความเลวของไอ้พวกนั้นก็ถูกเปิดเผยออกมาหมด 

ตัวอย่างบางส่วน:

- ฟองน้ำกรองอากาศหมดอายุ เป็นรูขนาดใหญ่ และ ไม่ใช่อะไหล่แท้ 
- ท่อน้ำมันเชื้อเพลิงหมดอายุ กรอบ มีรอยปริ
- ท่ออากาศหมดอายุ ฉีกขาด 
- ยางรองแท่นเครื่องหมดอายุ จนแข็งเหมือนก้อนหิน หดตัว ไม่สามารถรับแรงกระแทกของเครื่องยนต์
- มีรอยสนิมเกิดขึ้นที่ปีก
- สาย Sling ที่ใช้บังคับเครื่องบินแห้งกรัง ไม่ถูกถอดออกมาชโลมน้ำมันหล่อลื่น
- Oil Cooler ไม่ได้รับการ Flush ล้าง 
- พบรังนกใน Airframe รวมกันกว่า 3 กระสอบ 
- และเหี้ยสุด คือ พบไขควงลืมไว้ในห้องเครื่องยนต์ 

ถามว่าช่างเครื่องบินที่ติดตั้ง Governor ไม่ได้อ่านคู่มือเหรอ ถึงติดตั้งผิดได้ขนาดนั้น รวมถึงช่างคนที่ลง Log Book ว่าทำ Annual 100H แล้ว ทำไมถึงปล่อยให้ของหมดอายุพวกนี้อยู่ในเครื่องบินได้ คือมันไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรเลย แค่เปิดก็เห็นทันที การที่มันไม่ถูกเปลี่ยน มีเหตุผลข้อเดียวเลย คือ ตั้งใจไม่เปลี่ยน ซึ่งการทำแบบนี้ เป็นการหลอกให้นักบิน ขับเครื่องที่อันตรายอย่างร้ายแรง มันไม่ต่างจากการหลอกให้คนไปตาย 

ช่างทุกคนที่มีส่วนในความผิดพลาดของการซ่อมเครื่องบินลำนี้ ผมแนะนำให้รีบออกมาสารภาพ ยอมรับความผิด และเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย เพราะเรื่องนี้ ทางพวกเราได้ปรึกษากันแล้วว่าจะไม่มีการไกล่เกลี่ยและไม่ขอรับการชดเชยใดๆทั้งสิ้น

สุดท้ายนี้ ผมทราบดีว่ามีเพื่อนนักบินอีกหลายคนที่ได้เจอเรื่องราวของช่างเลวๆ แบบนี้ ผมขอให้ทุกคนช่วยกันออกมาแชร์ เพื่อให้สังคมนักบินได้ตื่นตัวและรับรู้ถึงความชั่วช้าของคนกลุ่มนี้

ผม เก้า Sorasit Zheng บูม Chikka Boom และจริงๆ ต้องมีครูฝาย Pudit Supawatanakul ด้วย ในฐานะนักบินประจำเครื่อง คือคนที่พบความเสี่ยงระดับสูงมากจากช่างกลุ่มนี้ ขออนุญาตเก้ากับบูมแล้ว ว่าจะนำเรื่องนี้มาเผยแพร่

'รมว.ตปท.เวเนฯ' ประณามสหรัฐฯ ปมยึดแอร์ฟอร์ซวันแห่งเวเนฯ เพิ่มรอยร้าวความสัมพันธ์ 'สหรัฐฯ-เวเนฯ' ให้ลึกยิ่งขี้น

(3 ก.ย.67) นายอีวาน กิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวเนซุเอลา กล่าวว่า เวเนซุเอลา ประณามการยึดเครื่องบินดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ สหรัฐฯ ใช้มาตรการกดดัน บังคับใช้ฝ่ายเดียวและผิดกฎหมายไปทั่วโลก

ข้อโต้แย้งของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ว่าการขายและการส่งออกเครื่องบินดังกล่าวถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ไม่น่าจะมีน้ำหนักมากนักกับประธานาธิบดีมาดูโร ซึ่งกล่าวหาสหรัฐฯ เสมอว่าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ

การตรวจยึดเครื่องบินเกิดขึ้นในสาธารณรัฐโดมินิกันและส่งกลับมาที่สำนักงานของกระทรวงยุติธรรมในรัฐฟลอริดา ยังไม่ชัดเจนว่าเครื่องบินลำดังกล่าวลงจอดที่สาธารณรัฐโดมินิกันได้อย่างไรและเมื่อใด ข้อมูลการติดตามระบุว่าเครื่องบินออกจากสนามบินลาอิซาเบลา ใกล้กับกรุงซานโตโดมิงโก เมื่อวันจันทร์ (2 ก.ย.67) และถึงสนามบินในรัฐฟลอริดา 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่นายมาดูโร ประกาศว่าชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ ฝ่ายค้าน อ้างว่า ชนะการเลือกตั้งเช่นกัน เนื่องจาก มีบันทึกการลงคะแนน ทำให้เกิดเหตุการณ์ประท้วงวุ่นวาย มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายและมีคนถูกจับกุมมากกว่า 2,400 คน

ความเคลื่อนไหวของเวเนซุเอลา หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยึดเครื่องบิน Falcon 900 EX  ของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา อ้างว่าละเมิดมาตรการคว่ำบาตรและกฎหมายควบคุมการส่งออก ซื้อมาอย่างผิดกฎหมายด้วยราคา 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (9.8 ล้านปอนด์) และลักลอบนำออกนอกประเทศ

จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลายิ่งตึงเครียดมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า เครื่องบินลำนี้เทียบเท่ากับเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วันของเวเนซุเอลา และเคยถ่ายภาพเครื่องบินลำนี้ในระหว่างการเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการของนายมาดูโรด้วย

‘Jeju Air’ ออกแถลงการณ์!! แสดงความเสียใจ เหตุเครื่องบินไถลรันเวย์ พร้อมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์

(29 ธ.ค. 67)  คิมอีแบ ประธานผู้บริหาร Jeju Air ออกแถลงการณ์ ออกแถลงการณ์ กรณีเครื่องบินไถลรันเวย์ เกิดเพลิงไหม้ และเกิดระเบิดจนทำให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก โดยแถลงการณ์ มีเนื้อหา ดังนี้

สายการบิน Jeju Air ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขออภัยเป็นอย่างสูงต่อผู้โดยสารทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในสายการบินเจจูแอร์มาโดยตลอด

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 เวลา 09 น.03 น.เที่ยวบินที่ 7C2216 เส้นทางกรุงเทพฯ-มูอัน ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขณะลงจอดที่สนามบินนานาชาติมูอัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง และเราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้เสียชีวิตทุกท่าน รวมถึงญาติพี่น้องผู้สูญเสีย ขณะนี้เรากำลังรอผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไร ในฐานะประธานบริษัท ขอรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และขอสัญญาว่า Jeju Air จะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยและครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ รวมถึงจะร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ให้กระจ่างชัด ขอแสดงความเสียใจอีกครั้งต่อผู้เสียชีวิต และขอส่งกำลังใจให้กับครอบครัวของผู้สูญเสียทุกท่าน

รัฐบาลมาเลเซียจับมือ Ocean Infinity บริษัทสำรวจใต้ทะเล เริ่มค้นหาเครื่องบินที่สาบสูญรอบใหม่ มาเลเซียแอร์ไลน์ ‘MH370’

(20 มี.ค. 68) นายแอนโธนี โลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมาเลเซีย ประกาศว่ารัฐบาลมาเลเซียได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท Ocean Infinity เพื่อเริ่มต้นปฏิบัติการค้นหาซากเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH370 อีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2014 เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์หายไปพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน ระหว่างเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ไปยังปักกิ่ง ถือเป็นหนึ่งในปริศนาการบินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยปฏิบัติการค้นหาก่อนหน้านี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเครื่องบินได้

Ocean Infinity บริษัทสำรวจใต้ทะเลจากสหรัฐฯ เคยได้รับมอบหมายให้ค้นหา MH370 ในปี 2018 โดยใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ใต้น้ำ (Autonomous Underwater Vehicles – AUVs) แม้จะมีความก้าวหน้าในการค้นหา แต่ก็ไม่พบซากเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีและข้อมูลที่พัฒนาเพิ่มเติมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจเพิ่มโอกาสในการค้นพบซากเครื่องบินในครั้งนี้

“เราหวังว่าปฏิบัติการค้นหาใหม่จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม และนำความจริงมาสู่ครอบครัวของผู้โดยสารและลูกเรือที่รอคอยคำตอบมานานกว่าทศวรรษ” นายแอนโธนี โลค กล่าว

แม้รายละเอียดของข้อตกลงระหว่างรัฐบาลมาเลเซียและ Ocean Infinity จะยังไม่ได้รับการเปิดเผยทั้งหมด แต่นายโลคระบุว่า เงื่อนไขของสัญญาจะเป็นแบบ "No Find, No Fee" หมายความว่า Ocean Infinity จะได้รับค่าตอบแทนก็ต่อเมื่อสามารถค้นพบซากของ MH370 เท่านั้น

รูปแบบข้อตกลงนี้เคยถูกนำมาใช้แล้วในภารกิจค้นหาเมื่อปี 2018 ซึ่ง Ocean Infinity ได้ทำการสำรวจพื้นที่มหาสมุทรอินเดียตอนใต้กว่า 112,000 ตารางกิโลเมตร แต่ยังไม่สามารถระบุตำแหน่งของเครื่องบินได้

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่า การค้นหา MH370 ครั้งใหม่นี้อาจได้รับประโยชน์จาก ข้อมูลดาวเทียมและการวิเคราะห์กระแสน้ำในมหาสมุทรที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งอาจช่วยระบุพื้นที่ค้นหาที่แม่นยำยิ่งขึ้น

“เรายังเชื่อว่า MH370 อยู่ในบริเวณมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ และเราหวังว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยให้การค้นหาประสบความสำเร็จ” โอลิเวอร์ พลังก์ (Oliver Plunkett) ซีอีโอของ Ocean Infinity กล่าว

ทั้งนี้ ครอบครัวของผู้สูญหายจาก MH370 ยังคงเฝ้ารอคำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการค้นหาใหม่ในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในการไขปริศนาที่ดำเนินมากว่าสิบปี รัฐบาลมาเลเซียและ Ocean Infinity คาดว่าจะเริ่มปฏิบัติการค้นหาในช่วงปลายปี 2024 นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top