Sunday, 25 May 2025
อินโดนีเซีย

'หนุ่มปัตตานี' พลัดถิ่นไป 'อินโดนีเซีย' นานเกือบ 30 ปี ตามหาครอบครัว หลังหลงขึ้นเรือสินค้า จนต้องจากบ้านเกิดมาตั้งแต่อายุ 11 ปี

(22 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘BANG DUL’ ได้โพสต์คลิปเพื่อตามหาครอบครัวให้กับชายชาวไทยที่ชื่อว่า ‘อนันต์’ ซึ่งชายคนนี้ได้พลัดหลงไปกับเรือสินค้า จนต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยในคลิปนั้น มีใจความว่า

ประกาศตามหาครอบครัวชาวไทยคนหนึ่ง ซึ่งพลัดถิ่นมาอยู่อินโดนีเซีย เกือบ 30 ปีแล้วที่ไม่ได้กลับบ้านที่ประเทศไทย เรื่องของเรื่องก็คือมีชาวไทยคนนึงได้เดินทางมาทำธุระ ที่หมู่เกาะรีเยา ประเทศอินโดนีเซีย จากนั้นเมื่อชาวบ้านรู้ว่ามีคนไทยมาเยือนที่นี่เขาก็ได้พาคุณอนันต์ มาเจอกับชาวไทยดังกล่าว ซึ่งคุณอนันต์ก็ได้เล่าว่าตัวเองนั้นเป็นคนไทย ซึ่งมาจากจังหวัดปัตตานี 

ซึ่งเมื่อ 11 ปีก่อน ก็ได้หลงขึ้นมาอยู่บนเรือสินค้า แล้วเรือลำนั้นก็ออกจากจังหวัดปัตตานี ซึ่งในขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าเรือจะไปที่ไหน เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มสงสัยว่าทำไมเรือถึงไม่ไปจอดที่ท่าเรือจังหวัดปัตตานีเสียที จึงได้ตัดสินใจกระโดดลงน้ำ แล้วก็ว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งที่ หมู่เกาะรีเยา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในขณะนั้นมีอายุเพียง 11 ขวบเท่านั้น เมื่อชาวบ้านเห็นเขาก็ได้ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการให้ที่พักอาศัยให้อาหาร แล้วก็พยายามจะส่งเขากลับมาที่ประเทศไทย แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคนั้นก็คือ นายอนันต์นั้นไม่มีเอกสารประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชนพาสปอร์ตหรือเอกสารประจำตัวใดๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างกับบุคคลที่ไม่มีสัญชาติ จะเป็นคนไทยก็ไม่มีเอกสารจะเป็นคนอินโดนีเซียก็ไม่ใช่

เขาได้อยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียมาเกือบ 30 ปีแล้ว ประมาณ 28 ปีแล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน เขาบอกว่าเขายังจำครอบครัวได้ดี เขามีแม่แล้วเขาก็มีน้องชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งแม่ของเขานั้นมีชื่อว่าจันทรา แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเขาไม่สามารถจะจดจำนามสกุลของตัวเองได้

แต่ว่าถ้าใครรู้จักครอบครัวของคุณอนันต์ ก็สามารถส่งข้อมูลมายังอีเมล [email protected] ได้ ช่วยกันเพื่อเป็นโอกาสให้เขา สามารถติดต่อกับครอบครัวของตัวเองได้

ถ้าใครเห็นข่าวนี้ก็รบกวนขอช่วยกันแชร์ เพื่อเป็นโอกาสให้นายอนันต์ ได้กลับไปยังบ้านเกิด ให้เขาได้กลับไปพบกับครอบครัวของตัวเองอีกครั้ง

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประจำประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการ

เมื่อวันที่ (14 ส.ค.67) เวลา 14.15 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรองนายระห์หมัต บูดีมัน (H.E. Mr. Rachmat Budiman) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา และหารือข้อราชการ โดยมีพลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง และนางสาวนภาภรณ์ ใจสัจจะ เลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภา กล่าวให้การต้อนรับในโอกาสเข้าพบปะในวันนี้ และเป็นเอกอัครราชทูตคนแรกที่ได้ให้การรับรอง สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินโดนีเซียมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา กระทั่งมีการสถาปนาทางการทูต ทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและราบรื่นจวบจนปัจจุบัน รวมถึงการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันในทุกระดับทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และประชาชนของทั้งสองประเทศ และได้พัฒนายกระดับความร่วมมือระหว่างกันเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” สำหรับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติมีความใกล้ชิดกันในทุกระดับ ทั้งในระดับผู้นำนิติบัญญัติ กลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาของทั้งสองประเทศ และสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับวุฒิสภาไทยนับว่ามีความแนบแน่นเนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ สำหรับความร่วมมือพหุภาคี สมาชิกรัฐสภาของทั้งสองประเทศได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในกรอบการประชุมองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าฝ่ายนิติบัญญัติของทั้งสองประเทศจะพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีไปสู่ความร่วมมือด้านนิติบัญญัติอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น และมีความยินดีที่จะมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลสำคัญของฝ่ายของอินโดนีเซียในโอกาสต่อไป

ด้านเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา และแสดงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในทุกมิติให้แน่นแฟ้นสืบต่อไป ทั้งด้านการทูต เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างรัฐสภาอินโดนีเซียกับวุฒิสภาไทย อีกทั้งยังตั้งใจที่จะเยือนทั้ง 77 จังหวัดของไทยภายในปีนี้เพื่อสร้างและเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจประเทศไทยอันนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้นำเรียนว่าคณะรองประธานสภาผู้แทนระดับภูมิภาคอินโดนีเซียจะเดินทางมาเยือนไทย และจะขอเข้าเยี่ยมคารวะประธานวุฒิสภาในสัปดาห์หน้าด้วย นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทยจะมีการจัดงานแสดงวัฒนธรรมอินโดนีเซีย ในวันที่ 15 กันยายน 2567 และได้เรียนเชิญประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาเข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย

‘Kang Mak’ หนังผีอินโดฯ ฉาย 4 วัน โกยรายได้ทะลุ 110 ล้านบาท หลังรีเมกจาก ‘พี่มากพระโขนง’ ของไทยอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์

(20 ส.ค.67) หลังจากที่ เพจเฟซบุ๊ก GDH โพสต์แสดงความยินดีกับภาพยนตร์ ‘Kang Mak’ ระบุว่า ภาพยนตร์ของประเทศอินโดนีเซียที่รีเมกอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์ไทย ‘พี่มาก…พระโขนง’ ที่เข้าฉายที่อินโดฯ เพียง 4 วัน ก็สามารถโกยรายได้ไปแล้วถึง 110 ล้านบาทไทย โดยมีตัวเลขผู้ชมถึง 1,236,673 คนนั้น ก็ได้สร้างความฮือฮากับชาวโซเชียลไทยจำนวนมาก 

โดยสำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า ‘Kang Mak’ ภาพยนตร์สัญชาติอินโดนีเซีย ซึ่งกำกับโดย Herwin Novianto และเขียนบทโดย Alim Sudio Falcon Pictures ซึ่งดัดแปลงมาจากพี่มาก…พระโขนง ของประเทศไทย ที่แสดงนำโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ กวาดรายได้ทั่วประเทศ 1,000 ล้านบาท

หลังจาก ‘Kang Mak’ ปล่อยมาได้เพียง 4 วัน มีคนรับชมไปแล้ว 1.2 ล้านคน ในอินโดนีเซีย บริษัทสร้างภาพยนตร์ประกาศข่าวดีผ่านโซเชียลมีเดียว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จมาก เพราะมียอดผู้ชมมากกว่า 356,000 คน ด้วยจำนวนตัวเลขดังกล่าวนี้ ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง ‘Kang Mak’ ขึ้นแท่นภาพยนตร์อินโดนีเซียที่ขายดีที่สุดอันดับ 9 ในปี 2024 ทันที และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ต่อมาทางเพจ GDH ได้โพสต์ข้อความว่า "ขอแสดงความยินดีกับ ‘Kang Mak’ ภาพยนตร์อินโดนีเซียที่รีเมกอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์ไทย ‘พี่มาก...พระโขนง’ ที่เข้าฉายที่อินโดฯ เพียง 4 วัน ก็สามารถโกยรายได้ไปแล้วถึง 110 ล้านบาทไทย โดยมีตัวเลขผู้ชมถึง 1,236,673 คน ผู้ชมชาวอินโดนีเซียโพสต์รีวิวว่า ‘Kang Mak’ สามารถปรับเอกลักษณ์ของต้นฉบับเข้ากับบริบทความเป็นอินโดนีเซียได้เป็นอย่างดี สามารถสร้างเสียงหัวเราะได้ทั้งเรื่อง และเป็นหนังตลกสยองขวัญที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มาร่วมลุ้นไปด้วยกันว่า ‘Kang Mak’ จะทำรายได้สูงสุดที่เท่าไร!"

‘ชาวอินโดฯ’ ประท้วง!! หลังรัฐบาลพลิกคำตัดสินศาล รธน. ส่อเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อพรรครัฐบาลผสมของ ‘โจโกวี’

เมื่อวานนี้ (21 ส.ค.67) ชาวอินโดนีเซียจำนวนมากออกมารวมตัวกันประท้วงรัฐบาลที่พยายามพลิกคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีคำวินิจฉัยเปิดโอกาสให้คู่แข่งจากพรรคการเมืองเล็ก ๆ เข้ามาร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญของอินโดนีเซียวินิจฉัยว่า พรรคการเมืองไม่จำเป็นต้องมีผู้แทนอย่างน้อย 20% ในสภานิติบัญญัติระดับภูมิภาคของตนจึงจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในสนามที่ใหญ่ขึ้นได้

คำวินิจฉัยดังกล่าวหมายความว่า พรรคเล็กที่มีฐานเสียงไม่มากจะมีโอกาสในการแข่งขันทางการเมืองกับพรรคใหญ่ที่มีอิทธิพลได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังคำวินิจฉัยดังกล่าว รัฐสภากลับยื่นร่างกฎหมายผ่านญัตติฉุกเฉินเพื่อพลิกคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดการประณามอย่างกว้างขวาง เพราะเกรงว่าจะเป็นวิกฤตการณ์ทางรัฐธรรมนูญ

ผู้ประท้วงรวมตัวกันนอกรัฐสภาในกรุงจาการ์ตา รวมถึงเมืองใหญ่ ๆ อื่น ๆ เช่น ปาดัง บันดุง และยอกยาการ์ตา คาดว่ากฎหมายฉบับเร่งด่วนที่จะพลิกคำตัดสินบางส่วนของศาลจะผ่านสภาในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ส.ค.

กฎหมายดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองในรัฐบาลผสมของประธานาธิบดี โจโก วิโดโด หรือ ‘โจโกวี’ ที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง รวมถึง ปราโบโว สุเบียนโต ว่าที่ประธานาธิบดีที่กำลังจะขึ้นตำแหน่งในเดือน ต.ค. นี้

ถ้าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกพลิก จะทำให้ อานีส บาสวีดัน อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และเป็นผู้ที่มักวิจารณ์รัฐบาล จะไม่สามารถลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงจาการ์ตาได้

รัฐบาลอินโดนีเซียยังพยายามหาทางยกเลิกการตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะคงอายุขั้นต่ำผู้สมัครรับเลือกตั้งไว้ที่ 30 ปี เพราะจะทำให้ กาเอซาง ปังงาเรพ ลูกชายวัย 29 ปีของวิโดโดลงเลือกตั้งระดับภูมิภาคในชวาตอนกลางไม่ได้

ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า การงัดอำนาจกันระหว่างศาลรัฐธรรมนูญของประเทศ กับรัฐสภาอินโดนีเซีย ซึ่งเต็มไปด้วยอิทธิพลของผู้สนับสนุนวิโดโด อาจก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม วิโดโดได้พยายามลดความสำคัญของข้อพิพาทนี้ลง โดยกล่าวว่า การแก้ไขคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่รัฐบาล ‘การตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ’

ผู้ประท้วงคนหนึ่งที่ชื่อ โจโก อันวาร์ กล่าวว่า ผู้นำของประเทศดูเหมือนจะตั้งใจที่จะรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้ ‘ในที่สุด เราจะกลายเป็นเพียงกลุ่มวัตถุที่ไร้อำนาจ แม้ว่าเราจะเป็นผู้มอบอำนาจให้กับพวกเขาก็ตาม ... เราต้องออกมาเดินขบวนบนท้องถนน เราไม่มีทางเลือกอื่น’

ตีตี อังไกรนี นักวิเคราะห์การเลือกตั้งจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย กล่าวว่า การที่รัฐสภาตัดสินใจเพิกถอนคำตัดสินของศาลถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ‘นี่คือการขโมยรัฐธรรมนูญ’

รัฐบาลอินโดนีเซียสวมใจสิงห์!! สั่งแบน Temu หวั่น!! สร้างความเสียหายจากการ 'ทุ่มตลาด'

(9 ต.ค. 67) หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า รัฐบาลอินโดนีเซียได้สั่ง “แบน” แอปพลิเคชัน "เทมู" (Temu) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน เพื่อปกป้องธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศจากการถูกทำลาย และเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าราคาถูกท่วมตลาด

Temu ถือเป็นบริษัทในเครือของ PDD Holdings เชื่อมต่อโรงงานในจีนกับผู้บริโภคในกว่า 50 ประเทศ เช่น มาเลเซีย ไทย และสหรัฐโดยตรง
สำหรับเหตุผลของการแบน ทางการอินโดนีเซียระบุว่าโมเดลธุรกิจของแพลตฟอร์ม Temu ทำให้ผู้มีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานในประเทศอย่าง “ผู้ค้าส่ง” และ “ผู้ขนส่ง” ถูกตัดออกไป จนทำให้บริษัทต่างชาติสามารถรักษาราคาสินค้าให้ต่ำได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ค้ารายย่อยในอินโดนีเซีย

“ถ้า Temu เข้ามาสร้างความเสียหาย จะมีประโยชน์อะไร? เราจะแบน โดยธุรกิจขนาดย่อมและกลางของเราจะพังทลายได้ หากปล่อยให้ Temu ดำเนินไปโดยไม่มีการควบคุม” บุดดิ อารี เซเทียดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของอินโดฯ กล่าว

ด้านนานดี เฮอร์เดียมาน ประธานสมาคมผู้ประกอบการท้องถิ่น IPKB มองว่า “Temu จะทำลายอุตสาหกรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างมากในอินโดนีเซีย จากการนำเข้าขนาดใหญ่และการทุ่มตลาด”

นานดีกล่าวต่อว่า “อุตสาหกรรมสิ่งทอได้บูรณาการจากธุรกิจต้นน้ำถึงปลายน้ำ และระบบนิเวศนั้นมีความเสี่ยงที่จะถูกทำลายโดยการเข้ามาของสินค้าราคาถูกอย่างไม่ควบคุมในตลาด ความเสี่ยงของการนำเข้าที่ผิดกฎหมาย และสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ”

“อุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซียมีงานให้หลายล้านคน หากแพลตฟอร์ม Temu ครองอุตสาหกรรมสำเร็จ อุตสาหกรรมนี้จะมีความเสี่ยงที่จะประสบกับการลดลงของผลิตภาพและการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน” นานดีอธิบาย

นานดียังแนะนำให้รัฐบาลจับตาดูธุรกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่นำเข้าเป็นไปตามกฎระเบียบท้องถิ่น อีกทั้งรัฐบาลควรช่วยอุตสาหกรรมท้องถิ่น เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจโดยการให้แรงจูงใจ ลงทุนในเทคโนโลยี และผลักดันการใช้ผลิตภัณฑ์ในประเทศ

ทั้งนี้ บริษัทวิจัย Momentum Works ระบุว่า อินโดนีเซียมีมูลค่าธุรกรรมอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 52,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา

ช่างแต่งหน้าที่อินโดนีเซีย เนรมิตเพื่อนสาว ให้กลายเป็น ‘หมูเด้ง’ ถอดแบบมาเป๊ะเวอร์ ‘จมูก-ปาก-ใบหู’ น่ารักน่าเอ็นดู เรียกเสียงฮือฮา

(19 ต.ค. 67) ‘ฮาเบล’ (Habel) อาร์ตติส-ช่างแต่งหน้าฝีมือยอดเยี่ยมจากประเทศอินโดนีเซีย เนรมิตเพื่อนสาวสุดน่ารักให้กลายเป็น ‘หมูเด้ง’

งานนี้ทำเอาโซเชียลฮือฮา เพราะฝีมือการแต่งหน้าของเธอขั้นเทพจริง ๆ ถอดแบบ ‘หมูเด้ง’ มาเป๊ะเวอร์ ไม่ว่าจะช่วงจมูก ปาก และใบหูที่เธอเนรมิตขึ้นใหม่ รวมทั้งลงสีผิว ออกมาน่ารัก น่าเอ็นดูสุด ๆ เรียกเสียงชมอย่างล้นหลาม

ฮาเบล เล่าถึงลุกส์นี้ว่า “ฉันเลือก หมูเด้ง เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งหน้าครั้งนี้ เพราะฉันเห็นหน้าเจ้าหมูเด้งเยอะมาก ๆ ในโซเชียลมีเดีย และนางแบบที่ฉันเลือกมาแต่งหน้าในครั้งนี้ ก็มีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบซึ่งเหมาะกับการออกแบบลุกส์แต่งหน้าของฉัน”

พร้อมเสริมว่า “การแต่งหน้าทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนที่ยากที่สุดในการแต่งลุกส์นี้ก็คือ การติดกาวและเกลี่ยวัสดุโฟมลาเท็กซ์บนใบหน้าของนางแบบ”

ทั้งนี้เธอทิ้งท้ายถึงแฟน ๆ ชาวไทยว่า “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ ฮาเบล ฉันเป็นช่างแต่งหน้าจากอินโดนีเซีย ฉันชอบออกแบบลุกส์แต่งหน้าที่ดูตลกและน่ารัก บางครั้งฉันก็แต่งหน้าแบบจริงจัง-สมจริงด้วย ฮ่า ๆ และขอบคุณที่ชอบการแต่งหน้าของฉันนะคะ”

‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ลั่น!! แก้คอร์รัปชัน ย้ำ!! ประชาธิปไตยต้องสุภาพ

(20 ต.ค. 67) อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซียแล้วในวัน นี้ โดยให้คำมั่นว่าจะต่อสู้กับปัญหาภายในต่างๆ เช่น การทุจริตคอร์รัปชันที่กัดกินประเทศ และจะทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น

ปราโบโววัย 73 ปีผู้นี้เคยผ่านการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากอดีตผู้บัญชาการทหารที่เผชิญข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ กลายมาเป็นผู้กวาดชัยชนะในการเลือกตั้งประเทศที่มีประชากร 280 ล้านคน เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา

ในพิธีสาบานตนวันนี้ ปราโบโวสวมหมวกสีดำแบบดั้งเดิมและสูทสีน้ำเงินกรมท่า พร้อมโสร่งผ้าทอสีทองและแดงเลือดหมู มาในรถยนต์สีขาวคันโตที่เปิดช่วงหลังคาซันรูฟยืนขึ้นโบกมือทักทายประชาชนสองข้างทาง ก่อนจะเข้ารัฐสภาอินโดนีเซียและกล่าวสุนทรพจน์ที่เร่าร้อนต่อสมาชิกรัฐสภาว่า เขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อชาวอินโดนีเซียทุกคน และกระตุ้นให้คนในชาติช่วยเขาจัดการกับปัญหาของประเทศ

“เราต้องตระหนักเสมอว่าประเทศที่เสรี คือประเทศที่ประชาชนมีอิสระ พวกเขาต้องปราศจากความกลัว ความยากจน ความหิวโหย ความไม่รู้ การกดขี่ และความทุกข์ทรมาน” ปราโบโวกล่าว

ในสุนทรพจน์ที่ครอบคลุมหลายประเด็นและกินเวลานานประมาณหนึ่งชั่วโมง ปราโบโวกล่าวว่าการพึ่งตนเองด้านอาหารจะเป็นไปได้ภายใน 5 ปี ขณะเดียวกันก็ให้คำมั่นว่าจะกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาตนเอง

ประธานาธิบดีคนใหม่ให้คำมั่นว่าจะขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน และย้ำด้วยว่า แม้ว่าว่าตนจะต้องการดำรงอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเป็นไปอย่าง ‘สุภาพ’

ด้านสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีนรายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีปราโบโว และระบุว่า จีนจะรักษา ‘การสื่อสารเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด’ กับประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย 

"จีนและอินโดนีเซียเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรกันมาโดยตลอด และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมของทั้งสองประเทศยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้เข้าสู่ขั้นตอนใหม่ของการสร้างอนาคตร่วมกัน" ผู้นำจีนระบุ

ยินดีต้อนรับ! ประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนใหม่ ‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ ประกาศชัด สัญญาจะทำให้ประเทศพึ่งพาตนเอง ทำสงครามกับความยากจน

(21 ต.ค. 67) ซูเบียนโต ปราโบโว ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย วัย 73 ปี สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย โดยเขาสวมหมวกสีดำแบบดั้งเดิมและสูทสีกรมท่า พร้อมผ้าซารองสีน้ำตาลแดงทอและทอง เข้ารับตำแหน่งในรัฐสภาเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อสืบทอดตำแหน่งต่อจากโจโก วิโดโด ผู้นำฝ่ายประชานิยม

ปราโบโว ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชนเมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชนะการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ และเป็นผู้นำประเทศที่มีประชากร 280 ล้านคน ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นลำดับ 4 ของโลก

ในสุนทรพจน์เปิดตัว ประธานาธิบดีคนที่ 8 ของประเทศ สัญญาว่าจะทำให้อินโดนีเซียพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เขากล่าวว่า แม้ว่าเขาต้องการใช้ชีวิตในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้อง “สุภาพ”

“ความเห็นที่แตกต่างต้องเกิดขึ้นโดยไม่มีความเป็นศัตรู … การต่อสู้โดยไม่เกลียดชัง” เขากล่าว ปราโบโว ซึ่งเคยหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วถึง 3 ครั้ง ยังรับรองด้วยว่าเขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีให้กับชาวอินโดนีเซียทุกคน และท้าทายประเทศให้ช่วยเขาจัดการกับปัญหาของประเทศ

“เราต้องตระหนักเสมอว่าประเทศเสรีคือประเทศที่ประชาชนมีอิสระ” ปราโบโวกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นเป็นบางครั้ง

“พวกเขาต้องปราศจากความกลัว ความยากจน ความหิวโหย ความไม่รู้ การกดขี่ และความทุกข์ทรมาน” เขากล่าว

เขาเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีกิบราน รากาบูมิง รากา วัย 37 ปี ลูกชายคนโตของวิโดโด เพื่อนร่วมทีมของเขาเข้าร่วมด้วย

ตำรวจและทหารได้วางมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยส่งเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 100,000 นายทั่วจาการ์ตา รวมถึงมือปืนและหน่วยปราบจลาจล เพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง

ปราโบโวชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ และใช้เวลาเก้าเดือนที่ผ่านมาในการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในรัฐสภา หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของเขา ปราโบโวก็สวมหมวกเบสบอลและโบกมือจากซันรูฟของรถขณะมุ่งหน้าไปยังทำเนียบประธานาธิบดี โดยผ่านกลุ่มผู้สนับสนุนที่โบกธงนับพันคนที่เดินอยู่บนท้องถนนในจาการ์ตาในบรรยากาศที่คล้ายกับงานเทศกาลป้ายดอกไม้ด้านนอกทำเนียบแสดงความยินดีกับปราโบโวและยิบรานหรือไม่ก็ขอบคุณวิโดโดสำหรับการรับใช้ประเทศตลอด 10 ปีของเขา

ผู้สนับสนุนของวิโดโดก็เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองเพื่ออำลาผู้นำอินโดนีเซียที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งเช่นกัน
อันเนตา ยูเนียร์ ผู้ยืนดูซึ่งโบกมือให้ขบวนรถของวิโดโดขณะที่ขบวนรถเคลื่อนผ่านผู้สนับสนุนอย่างช้าๆ ก่อนพิธีการ กล่าวว่าเธอจะคิดถึงเขา แต่ปราโบโวเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

“ปราโบโวจะสานต่อการพัฒนาที่โจโกวีเริ่มต้นไว้ มีความต่อเนื่อง นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ” เธอกล่าว แต่โทเบียส บาซูกิ กรรมการผู้จัดการของ Aristoteles Consults บริษัทประเมินความเสี่ยงที่มีฐานอยู่ในจาการ์ตา กล่าวกับอัลจาซีราว่า แม้ว่าจะมีคำมั่นสัญญาเสมอเกี่ยวกับความต่อเนื่องเนื่องจากความเป็นพันธมิตรของเขากับวิโดโด แต่เขาคาดหวังว่าการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในรูปแบบอื่นภายใต้การนำของปราโบโว

เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าจะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการมุ่งเน้นการสร้างทุนมนุษย์” เมื่อเทียบกับการมุ่งเน้นของวิโดโดในโครงสร้างพื้นฐาน

ในนโยบายต่างประเทศ บาซูกิคาดการณ์ว่าปราโบโวจะ “มีท่าทีโอ่อ่าและยิ่งใหญ่กว่า” เมื่อเทียบกับนโยบาย “มองเข้าข้างใน” ของอดีตประธานาธิบดีคนก่อนแต่เขายังกล่าวอีกว่าประธานาธิบดีคนใหม่น่าจะพยายามรักษาสมดุลของความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียกับจีนและสหรัฐอเมริกา

ด้านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนส่งข้อความแสดงความยินดีถึงปราโบโวเมื่อวันอาทิตย์ โดยระบุว่าเขาจะรักษา “การสื่อสารเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด” กับคู่หูคนใหม่ของอินโดนีเซีย สถานีวิทยุกระจายเสียงของรัฐ CCTV รายงาน

‘แบงก์ชาติอินโดนีเซีย’ โดดอุ้ม ‘ค่าเงินรูเปียห์’ จากปัจจัย ‘ทรัมป์’ มีโอกาสเข้าวิน ปธน.สหรัฐ

(22 ต.ค. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย เข้า “แทรกแซง” ตลาดเงินตราต่างประเทศเพื่อพยุง ค่าเงินรูเปียห์ ท่ามกลางการคาดการณ์ของเหล่านักลงทุนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสหรัฐมากขึ้น และ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย

การเข้าแทรกแซงครั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียดำเนินการทั้งในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบสปอตและตลาดอนุพันธ์ เพื่อบรรเทาความผันผวนของค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในวันอังคารนี้ (22 ต.ค.) ตามที่เอดี ซูเซียนโต ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการเงินของธนาคารกลางได้เปิดเผย

เงินรูเปียห์ อ่อนค่าลงมากถึง 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 15,568 ต่อดอลลาร์ในการซื้อขายช่วงเช้าของวันนี้ (22 ต.ค.) ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม โดยธนาคารกลางอินโดนีเซียต้องเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อพยุง ค่าเงินรูเปียห์

ซูเซียนโตระบุว่า การอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟดที่แสดงท่าทีไม่เอื้ออำนวยต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และความไม่แน่นอนที่เกิดจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการบริหารท่านนี้ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ค่าเงินรูเปียห์ ยังคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากคาดว่าผู้ประกอบการส่งออกจะยังคงมีการนำเงินดอลลาร์เข้ามาในตลาด ซึ่งจะช่วยพยุงค่าเงินรูเปียห์ได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลงในช่วงเปิดตลาดวันอังคารนี้ท่ามกลางการแข็งค่าของดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนต่างจับตาผลการเลือกตั้งสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่บ่งชี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น

ความผันผวนของค่าเงินรูเปียห์ อาจทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมโดยธนาคารกลางต้องล่าช้าออกไปในปีนี้ โดยเพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการธนาคารกลางกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า

“ยังมีพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายเพิ่มเติม แต่ในขณะนี้ ธนาคารกลางให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์มากกว่า” ซึ่งธนาคารอินโดนีเซียคงอัตราดอกเบี้ยสำคัญไว้ที่ 6% ในเดือนนี้

ธนาคารกลางอินโดนีเซียมีความพร้อมในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ เนื่องจากมีปริมาณสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ประธานาธิบดีป้ายแดงแห่งอินโดนีเซียไฟสุดแรง ขีดเส้น 4 ปี อาคารสำคัญเมืองหลวงใหม่ต้องเสร็จ

(28 ต.ค. 67) ผู้นำคนใหม่ของอินโดนีเซีย ปราโบโว สุเบียนโต ต้องการสร้างอาคารรัฐบาลและรัฐสภาที่สำคัญในเมืองหลวงแห่งใหม่มูลค่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐของประเทศให้เสร็จภายใน 4 ปีข้างหน้า ตามคำกล่าวของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี

โครงการดังกล่าวเป็นความคิดริเริ่มของอดีตประธานาธิบดีโจโก วิโดโด โดยมุ่งหวังที่จะย้ายศูนย์กลางอำนาจของอินโดนีเซียที่อยู่ห่างจากจาการ์ตาที่กำลังจมดิ่งและแออัดไปประมาณ 1,200 กม. ไปยังนูซันตารา ซึ่งตั้งอยู่ในดงดิบของเกาะบอร์เนียว

“เขา (ปราโบโว) หวังด้วยซ้ำว่าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนต่อไปของอินโดนีเซียในปี 2029 จะเกิดขึ้นที่นูซันตารา” ราชา จูลี อันโตนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป่าไม้ กล่าวในบัญชี Instagram ของเขาเมื่อวันเสาร์ (26 ต.ค.) 

คำพูดเกี่ยวกับเจตนาของปราโบโวเกิดขึ้นท่ามกลางความสงสัยว่าเขาจะดำเนินโครงการนี้ด้วยความเร็วเท่ากับวิโดโดหรือไม่ ซึ่งสนับสนุนเขาโดยปริยายในการเลือกตั้ง และงบประมาณของรัฐจะขยายไปสนับสนุนนูซันตาราควบคู่ไปกับโครงการอาหารฟรีหลายพันล้านดอลลาร์ของเขา ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาในการหาเสียงเลือกตั้งของเขาได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ราชา จูลี กล่าวเพิ่มเติมว่าไม่ควรมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับความมุ่งมั่นของปราโบโวที่จะดำเนินโครงการมรดกของอดีตประธานาธิบดีต่อไป เนื่องจากเขาได้รับประกันแล้วว่าเขาจะทำให้โครงการนี้เสร็จสมบูรณ์

“สำหรับเขา (ปราโบโว) นูซันตาราเป็นเมืองหลวงของการเมือง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมในอีกสี่ปีข้างหน้า นอกเหนือไปจากอาคารของรัฐบาล เราต้องสร้างอาคารสำหรับหน่วยงานนิติบัญญัติและตุลาการให้เสร็จ” รัฐมนตรีกล่าวเสริม

อาคารสำคัญของรัฐบาล เช่น ทำเนียบประธานาธิบดีและที่พักของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้ ขณะที่การก่อสร้างถนนเก็บค่าผ่านทางและสนามบินอยู่ระหว่างดำเนินการ

ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างในปี 2565 โครงการนี้ประสบปัญหาในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ความคืบหน้าของโครงการเร็วขึ้น รัฐบาลตกลงกันว่างบประมาณทั้งหมดเพียงหนึ่งในห้าจะมาจากรัฐบาล

รัฐบาลได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Delonix Group ของจีนลงทุน 500,000 ล้านรูเปียห์ (31.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสร้างโรงแรมและสำนักงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top