Tuesday, 22 April 2025
อินฟลูเอนเซอร์

‘หนึ่ง iMoD’ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวัย 30 ปี ลูกเพจร่วมอาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหัน

(22 ก.ค. 66) หนึ่ง iMoD อินฟลูเอนเซอร์ดังด้านไอที ถูกรถชนเสียชีวิตในวัย 30 ปี แฟนเพจร่วมอาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหัน

เฟซบุ๊ก iMoD เพจด้านไอทีชื่อดัง โพสต์แจ้งข่าวเศร้าว่า หนึ่ง iMoD หรือ นายเกียรติศักดิ์ มูลรินทร์ อินฟลูเอนเซอร์วัย 30 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุถูกรถชนเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ค. โดยระบุว่า

เป็นเรื่องที่เศร้าใจเป็นอย่างมากที่ต้องเรียนให้ทุกท่านได้ทราบถึงข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของ Keattisak Moonrin หรือ หนึ่ง iMoD จากอุบัติเหตุทางถนนเมื่อเช้าวันนี้ 20 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา

หนึ่งเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ดูแลน้อง ๆ และเป็นห่วงน้อง ๆ อยู่เสมอ ใครที่ได้ดูคลิปของหนึ่งอาจจะเห็นว่าเป็นคนพูดเก่ง แต่จริง ๆ แล้วหนึ่งเป็นคนเรียบร้อยมากมีความเคารพนอบน้อมและพูดจาไพเราะเสมอ วันนี้หนึ่งจากไปแล้ว ขอให้หนึ่งไปอยู่ในที่ที่สวยงาม มีท้องฟ้าสวย ๆ มีน้องแมวน่ารักรายล้อม หนึ่งจะอยู่ในใจน้อง ๆ และพวกเราชาว iMoD ตลอดไป

ขอเรียนเชิญเพื่อน พี่น้องหรือแฟนเพจที่อยากร่วมส่งหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย มาร่วมพิธีการสวดพระอภิธรรมซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 22 - 24 ก.ค. และพิธีฌาปนากิจ 25 ก.ค. 2566 นี้ ณ วัดป่าแพ่ง ถนน เมืองสมุทร ตำบล ช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่

สำหรับ หนึ่ง iMod เป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์และพิธีกรของช่อง iMod มีชื่อเสียงจากการทำรีวิวเทคโนโลยีและไอที ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า, มือถือ รวมถึง Gadget ต่าง ๆ จนมีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งหลังทราบข่าวก็ทำให้ผู้ที่ติดตามผลงานรวมถึงเพื่อน ๆ ต่างร่วมเข้ามาแสดงความอาลัย หลายคนใจหายกับการจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้

‘ร้านเหล้าข้าวสาร’ แจงเหตุติ๊กต็อกเกอร์ถ่ายรีวิวให้ แต่ร้านไม่เลี้ยงดริงก์ ยัน!! ไม่รู้จริงๆ ว่าใครเป็นอินฟลูฯ และปกติก็ไม่มีนโยบายเลี้ยงด้วย

(21 ต.ค.66) จากกรณี ‘Mischa Cheap’ ซึ่งเป็นสถานบันเทิง ตั้งอยู่ที่ถนนข้าวสาร เจอลูกค้าที่อ้างว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์โวยวาย เหตุทางร้านไม่ยอมเลี้ยงดริงก์ หลังตนอุตส่าห์ถ่ายติ๊กต็อกโปรโมตร้านให้ จึงเขียนรีวิวร้านลงกลุ่ม ‘สาวกถนนข้าวสาร - (Khaosan Society)’ ว่า “ร้าน Mischa Cheap คือแย่มาก วันนี้เราไปร้านกับเพื่อนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วยกันสองคน พวกเราถ่ายรูปโปรโมตร้านให้ลง TikTok แต่ร้านไม่เลี้ยงดริ๊งก์อินฟลูเอนเซอร์เลย นิสัยแบบนี้คงจะมีคนรู้จักร้านอะเนอะ ถึงว่าร้านเงียบเชียว โชคดีนะคะ”

ซึ่งทางร้านได้ชี้แจงว่า “โปรดทราบ เจ้าของร้านเป็นอินฟลูเอนเซอร์อยู่แล้ว จึงไม่มีนโยบายเลี้ยงอินฟลูเอนเซอร์อื่นๆ ค่าเช่าร้านแพง นี่จะกินเองยังซื้อเซเว่นมาแช่ตู้เลย น้องช่วยเข้าใจพี่ด้วย”

อย่างไรก็ตาม เพจเฟซบุ๊กร้าน ‘Mischa Cheap’ ก็ได้ออกมาโพสต์ “ขอขอบคุณอินฟลูเอนเซอร์ ‘น้องมินนี่ ออนิว’ ที่มาช่วยรีวิวร้านเรา และต้องขอโทษที่น้องพนักงานของเราไม่รู้ว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์ จึงไม่ได้บริการน้องอินฟลูเอนเซอร์ดีเท่าที่ควร ขอบคุณมากนะครับที่มารีวิวร้าน” พร้อมกับแนบคลิปวิดีโอในเหตุการณ์ดังกล่าว ที่มีเนื้อหา ระบุว่า…

ร้าน: "มารีวิวได้บอกพนักงานไหมครับ?"
อินฟลูฯ: "บอกค่ะ บอกไปตั้งนานแล้วว่ามารีวิว ร้อนก็ร้อน"

จากนั้นทางร้านก็ได้อธิบายไปว่า ปกติทางร้านไม่ทราบว่าใครเป็นอินฟลูเอนเซอร์บ้าง พร้อมกับขอโทษกลับไป และได้ถามกลับไปอีกครั้งว่าเป็นติ๊กต็อกหรือเปล่า? ทางด้านแก๊ง ‘น้องมินนี่ ออนิว’ ได้ตอบกลับว่า ใช่ และบอกว่าปกติตนถ่ายรีวิวร้านอะไรพวกนี้อยู่แล้ว ซึ่งก็เพิ่งเคยมาร้าน Mischa Cheap ครั้งแรก และรู้สึกว่าร้านดูเท่ พร้อมกับโชว์หน้าบัญชีติ๊กต็อกของตนที่ใช้ชื่อว่า 'มินนี่ออนิว' โดยอ้างว่ามีผู้ติดตามถึง 1.4 แสนคน 

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทางร้านได้ขอบคุณที่มารีวิว พร้อมขอโทษอีกครั้งว่าพนักงานไม่รู้จริงๆ เพราะวันนี้ที่ร้านลูกค้าเยอะ

MI ชี้!! ปี 67 ‘อินฟลูเอนเซอร์’ แบกอุตฯ โฆษณา เข้าถึง ‘กลุ่มย่อย-ทรงประสิทธิภาพ’ มากกว่าสื่ออื่น

(18 ธ.ค. 66) นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานและกรรมการบริหาร บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป จำกัด หรือเอ็มไอ กรุ๊ป เผยผลการประเมินของทีม MI Learn Lab ของบริษัท โดยคาดว่าเม็ดเงินโฆษณาในปี 2567 จะมีมูลค่าประมาณ 87,960 ล้านบาท หรือเท่ากับการเติบโต 4% จากปี 2566 นี้ ซึ่งจากข้อมูลช่วง 11 เดือน เชื่อว่าสิ้นปี 2566 มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาจะอยู่ที่ 84,500 ล้านบาท และเติบโต 4.4% จากปีก่อนหน้า โดยตัวเลขนี้น้อยกว่าการเติบโตในปี 2565 ที่เม็ดเงินเพิ่มขึ้น 6.3% 

นายภวัต กล่าวอีกว่า เม็ดเงินที่เติบโต 4% นี้ จะกระจุกอยู่ในกลุ่มสื่อออนไลน์ และสื่อนอกบ้าน ขณะที่สื่ออื่น ๆ ทั้งทีวี สิ่งพิมพ์ ยังหดตัวต่อเนื่องโดยเป็นผลจากฟังก์ชั่ันใหม่อย่าง Affiliate หรือการแบ่งรายได้จากการขายสินค้า-บริการให้กับ KOL (Key Opinion Leader) หรืออินฟลูเอนเซอร์ เมื่อผู้บริโภคซื้อผ่านลิงก์ในโพสต์หรือวิดีโอ ร่วมกับพฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภคที่ย้ายไปออนไลน์อย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2567 สื่อทีวีจะมีเม็ดเงินโฆษณาลดจาก 36,199 ล้านบาทในปี 2566 เป็น 35,475 ล้านบาท ขณะที่เม็ดเงินในสื่อออนไลน์ จะเพิ่มจาก 28,999 ล้านบาทเป็น 31,899 ล้านบาท เช่นเดียวกับสื่อนอกบ้านที่จะได้เม็ดเงินเพิ่มจาก 12,101 ล้านบาทเป็น 13,311 ล้านบาท ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ส่วนแบ่งของสื่อออนไลน์กับทีวีขยับเข้าใกล้กันเป็น 36.3% และ 40.3% ตามลำดับ 

นายภวัต กล่าวต่อไปอีกด้วยว่า KOL (Key Opinion Leader) หรือ อินฟลูเอนเซอร์ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของอุตฯ โฆษณาในปี 2567 และมีบทบาทในการทำการตลาดและสร้างยอดขายให้กับแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะ KOL ระดับไมโครและนาโน ที่แม้มีฐานแฟนน้อยแต่เฉพาะกลุ่มนั้น เนื่องจากเป็นเครื่องมือการตลาดที่สามารถตอบโจทย์ท้าทายของตลาด ทั้งการโฟกัสกับการสร้างยอดขายของบรรดาธุรกิจเพื่อรับมือปัญหาสภาพเศรษฐกิจ และการเข้าถึงผู้บริโภคที่แตกเป็นกลุ่มย่อยลงไปเรื่อย ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าสื่ออื่น

เนื่องจาก KOL ทยอยหันไปสร้างรายได้ผ่าน Affiliate กันมากขึ้น ทำให้แบรนด์สามารถใช้งาน KOL โดยหวังผลได้แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ อย่างสร้างการรับรู้ ไปจนถึงปิดการขายและสร้างฐานแฟนคลับให้กับแบรนด์ซึ่งนำไปสู่การซื้อซ้ำ ซึ่งเป็นปลายน้ำในช่องทางเดียว ขณะเดียวกันความสามารถเข้าถึงผู้บริโภคแต่ละกลุ่มย่อย ได้ช่วยให้แบรนด์รับมือกับตลาดที่แยกย่อยเป็นหลายกลุ่มหลายเซ็กเมนต์ได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการใช้-ทำงานกับ KOL จะเปลี่ยนแปลงไปหลายด้าน ทั้งการคัดเลือกและสร้างคอนเทนต์กับ KOL ให้ตรงกับโจทย์ของธุรกิจและฐานแฟนของ KOL ซึ่งต้องละเอียดมากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าค่าใช้จ่ายในการใช้ KOL จะเพิ่มขึ้นตามไป

‘อินฟลูฯ สาว’ ทำคอนเทนต์เดินอัดคลิปกลางถนน ไม่สนโลก ลั่น!! “เดี๋ยวรถก็หยุดให้เอง” ท่ามกลางชาวเน็ตแห่วิจารณ์ยับ

(23 ม.ค.67) บัญชี X ของ ‘Red Skull’ ได้โพสต์คลิปที่ได้รับมาจากสมาชิกรายหนึ่ง โดยเป็นคลิปหญิงสาวอินฟลูเอนเซอร์คนดัง เดินลงไปบนถนน พร้อมถือไม้เซลฟี่ ถ่ายคลิปตัวเอง พร้อมเดินหมุนวนไปมาบนท้องถนนที่มีรถสัญจรไปมา โดยตั้งคำถามว่า สามารถทำแบบนี้ได้หรือ และเสี่ยงอันตรายมากไปหรือไม่

โดยทวิตของ Red Skull ระบุว่า "ไม่มั่นใจว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรอคะ สำหรับการถ่ายแบบ? คนในรูปค่อนข้างมีชื่อเสียงมากๆ ด้วยค่ะ ถ้าเยาวชนเห็นแล้วเลียนแบบทำตามลง Tiktok น่าจะไม่ดีนะคะ แล้วเจ้าตัวพิมพ์ตอบคอมเมนต์ว่า เดินๆ ไปเดี๋ยวเขาหยุดให้เราเอง น่าจะพีกนะคะ เขามีชื่อเสียงใน social มากๆ เลยคิดว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยิ่งพีก"

ซึ่งหลังจากมีการโพสต์คลิปดังกล่าว ชาวเน็ตจะทำการขุดจนพบว่า หญิงสาวรายนี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มียอดฟอลอินสตาแกรมเกือบแสน ที่สำคัญเป็นลูกสาวคนเล็กของอดีตทหารยศใหญ่ คลิปวิดีโอที่เป็นดรามาเจ้าตัวก็เป็นคนลงเอง แถมตอบคอมเมนต์คนอื่นว่า "เดินๆ ไป เดี๋ยวรถเขาหยุดให้เราเอง"

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ว่าการกระทำดังกล่าว ถือเป็นตัวอย่างที่ไม่ได้ อาจก่อให้เกิดอันตราย ทั้งต่อตัวเจ้าของคลิปเอง และผู้ใช้รถใช้ถนนด้วย 

‘อินฟลูฯ ดังสิงคโปร์’ โดน ‘ไต้หวัน’ ลงดาบ!! ห้ามเข้าประเทศ 5 ปี หลังจัดฉากสร้างคอนเทนต์ ‘ถูกปาไข่ใส่’ ทำภาพลักษณ์เสื่อมเสีย

(1 มี.ค.67) สเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไต้หวันประกาศห้ามอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวสิงคโปร์เข้าไต้หวัน หลังกุเรื่องสร้างความปั่นป่วนเพียงเพื่อทำคอนเทนต์

รายงานระบุว่าเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา น.ส.เฉิง เหว่ง อี้ หรือชื่อในวงการอินฟลูเอนเซอร์บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า ‘เคียราคิตตี้’ (KiaraaKitty) กำลังไลฟ์วิดีโอผ่านแพลตฟอร์มทวิตช์ระหว่างเที่ยวเมืองเกาสง ทางตอนใต้ของไต้หวัน อยู่ๆ ก็มีคนปาไข่ใส่ โดยคนที่ลงมือทำร้าย น.ส.เฉิง สวมชุดกระโปรง และตะโกนเป็นภาษาจีนกลางด่าทอ น.ส.เฉิง ว่าอ่อยสามีของตน

น.ส.เฉิงกล่าวว่าถูกทำร้ายเพราะทำคอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งต้องสมัครเป็นสมาชิกจึงจะเข้าชมภาพวาบหวิวในแพลตฟอร์ม ‘โอนลีแฟนส์’ ได้ อินฟลูเอนเซอร์สาวให้สัมภาษณ์สื่อไต้หวันด้วยว่าไม่รู้จักคนที่ปาไข่ใส่และจะแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจเมืองเกาสงยืนยันเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ว่า น.ส.เฉิงไม่เคยเข้าแจ้งความ

ด้านหนังสือพิมพ์ไทเปไทมส์รายงานว่า ตำรวจสอบสวนพบว่าคนที่ปาไข่จริงๆ แล้วเป็นผู้ช่วยของ น.ส.เฉิง เป็นชายชาวสิงคโปร์วัย 32 ปี นามสกุลสเว่ ทั้งน.ส.เฉิงและนายสเว่ทำผิดกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมจากการแพร่กระจายข่าวปลอม และคดีนี้ส่งถึงศาลแขวงเกาสงแล้วนอกจากนี้ตำรวจยังขอให้น.ส.เฉิงขอโทษต่อสาธารณชนที่กุเรื่องขึ้นมาด้วย

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ก.พ. น.ส.เฉิงไลฟ์สดพร้อมกับร้องไห้น้ำตานองหน้าและยอมรับว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมด จากนั้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันกล่าวว่า น.ส.เฉิงและนายสเว่ออกจากไต้หวันไปแล้ว

ก่อนศาลแขวงเกาสงตัดสินคดีและลงโทษห้ามเดินทางเข้าไต้หวัน 5 ปี พร้อมยืนยันว่าไต้หวันยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน แต่จะไม่ยอมรับการกระทำที่ผิดกฎหมาย บั่นทอนความสมานฉันท์ และความมั่นคงในสังคม

สำหรับน.ส.เฉิงนั้นเกิดในฮ่องกงเมื่อปี 2545 แต่ย้ายไปอยู่สิงคโปร์ และขึ้นชื่อเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่สร้างรายได้จากการขายสินค้าแปลกแหวกแนว เช่น น้ำที่ใช้อาบแล้วหรือชุดชั้นในใช้แล้วและโหลใส่ผายลมราคาหลายร้อยดอลลาร์สหรัฐ

พุ่งเป้า!! 'ไทย' จ่อทบทวน กม.คุม 'อินฟลูเอนเซอร์' เทียบเกณฑ์ ตปท.  หลังพบทำคอนเทนต์เชิงลบ สร้างกระแส หวังเพิ่มยอดวิว

(4 มี.ค.67) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/2566 และภาพรวมปี 2566 ว่า ด้านสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอินฟลูเอนเซอร์ (influencer) ข้อมูลจาก Nielsen ในปี 2565 พบว่า ประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มีจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ รวมกันมากถึง 13.5 ล้านคน โดยประเทศไทยมีจำนวนกว่า 2 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย ซึ่งการขยายตัวของอินฟลูเอนเซอร์ส่วนหนึ่งมาจากการเป็นช่องทางสร้างรายได้ ทั้งจากการโฆษณาหรือ รีวิวสินค้า โดยในปี 2566 สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับทั่วโลกถึง 19.01 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 140.33 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 7.4 เท่า ภายใน 7 ปี

นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับไทย อินฟลูเอนเซอร์ได้รับความสนใจจากคนจำนวนมาก เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ได้ค่อนข้างสูง เฉลี่ยตั้งแต่ 800-700,000 บาทขึ้นไปต่อโพสต์ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันผลิตคอนเทนต์ และการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม (Engagement) ของอินฟลูเอนเซอร์มักมีการสร้างคอนเทนต์ให้เป็นกระแสโดยไม่ได้คำนึ่งถึงความถูกต้องเหมาะสมก่อนเผยแพร่ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคมหลายประการ

อาทิ การนำเสนอข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง เช่น การเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ จากรายงานผลการดำเนินงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พบจำนวนยอดละสมผู้โพสต์ที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอม 7,394 บัญชี โดยเป็นจำนวนข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนรวมกันกว่า 5,061 เรื่อง

นายดนุชา กล่าวว่า การชักจูงหรือชวนเชื่อที่ผิดกฎหมาย อาทิ การโฆษณาเว็บพนันออนไลน์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ข้อมูลจากผลการสำรวจพฤติกรรมการเล่นพนันออนไลน์ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน ในปี 2566 พบว่าคนรุ่นใหม่เล่นพนันออนไลน์ประมาณ 3 ล้านคน โดย 1 ใน 4 เป็นนักพนันฯ หน้าใหม่ หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 7.4 แสนคน โดยส่วนใหญ่ 87.7% พบเห็นการโฆษณาหรือได้รับการชักชวนทางออนไลน์ ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 1 ล้านคน
.
การละเมิดสิทธิพบว่าอินฟลูเอนเซอร์บางรายมีการเสนอข่าวอาชญากรรมราวกับละคร เพื่อสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ และไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้เสียหาย ครอบครัว หรือบุคคลใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังพบการทำข่าวโดยใช้ภาพผู้คนหรือ วิดีโอของผู้อื่นมาตัดต่อลงคอนเทนต์ของตน โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา
.
นายดนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีเนื้อหาบางประเภทที่ไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย แต่อาจนำไปสู่การสร้างค่านิยมที่ผิดต่อสังคม อาทิ คอนเทนต์ การอวดความรำรวย จากการศึกษาของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบกลุ่มเจนซี (Gen Z) จำนวน 74.8% เป็นผู้ที่ชอบแสดงตัวตนในรูปแบบนี้มากที่สุด หรือการนำเสนอภาพบุคคลที่ได้รับการปรับแต่งให้ดูดี จนกลายเป็นมาตรฐานความงามที่ไม่แท้จริง ซึ่งอาจสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับเด็กและเยาวชนในสังคม และอาจกระทบต่อการก่อหนี้เพื่อนำมาซื้อสินค้าและบริการ

“ตัวอย่างข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลเชิงลบของอินฟลูเอนเซอร์ต่อสังคมหลายแง่มุม ซึ่งในต่างประเทศเริ่มมีการออกกฎหมายเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ออกระเบียบห้ามเผยแพร่ผิดกฎหมาย นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร กำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ แจ้งรายละเอียดภาพบุคคลที่ใช้สำหรับการขายและโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย พร้อมแสดงเครื่องหมายกำกับ เพื่อลดปัญหาความกดดันทางสังคมต่อมาตรฐานความงามที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน”นายดนุชา กล่าว

นายดนุชา กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ขณะนี้มีกฎหมายควบคุม อาทิ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 และพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 รวมทั้งอยู่ระหว่างพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. … ที่มีความพยายามปรับปรุงการกำกับดูแลการนำเสนอข้อมูลให้เท่าทันสื่อปัจจุบัน แต่ยังไม่มีกฎระเบียบสำหรับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน

“นอกจากนี้ แนวทางการกำกับดูแลส่วนใหญ่เน้นไปที่การตรวจสอบ เฝ้าระวังการนำเสนอ และการตักเตือน/แก้ไข ซึ่งหากไทยจะขยายการกำกับดูแลให้ครอบคลุมกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์อาจต้องทบทวนการกำหนดนิยามของสื่อออนไลน์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงแนวทางการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับการผลิตเนื้อหาของสื่อกลุ่มต่าง ๆ โดยอาจศึกษาจากกรณีตัวอย่างของกฎหมายและมาตรการของต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทสังคมต่อไป” นายดนุชากล่าว

เปิดประวัติ ‘หลิน มาลิน’ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2024 แซ่บไม่ธรรมดา ดีกรี CEO โปรไฟล์ อินฟลูเอนเซอร์ ด้านความงาม-แฟชั่น

(7 เม.ย.67) สิ้นสุดการรอคอยสำหรับค่ำคืนรอบไฟนอล เวทีการประกวด มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2024 (Miss Grand Thailand 2024) พร้อมกับสาวงามผู้ครองมงกุฏคนใหม่ มิสแกรนด์ภูเก็ต “หลิน มาลิน ชระอนันต์” เจ้าของตำนาน สวย เผ็ด แซ่บ สยบครหานางงามตัวเล็ก ก็มงได้!

วันนี้ THE STATES TIMES จะขอพาทุกท่านไปรู้จัก ‘หลิน มาลิน’ นางงามครบเครื่อง สวยเก่งรอบด้าน โปรไฟล์ไม่ธรรมดา ระดับ CEO สาว

ชื่อ-นามสกุล : มาลิน ชระอนันต์
ชื่อเล่น : หลิน
วันเกิด : 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2539

เชื้อชาติ : ลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์
อายุ : 27 ปี
ส่วนสูง : 165 ซม.
สัดส่วน : 32-24-35
การศึกษา : ปริญญาตรี การสื่อสารและสื่อมวลชน ภาคอินเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

IG : malinmln

ก่อนจะก้าวเข้าสู่วงการนางงาม ‘หลิน มาลิน’ เป็นที่รู้จักในโลกโซเชียลอยู่บ้างแล้ว เนื่องจากเธอเป็น อินฟลูเอนเซอร์ เกี่ยวกับความงามและแฟชั่น มักจะรีวิวเครื่องสำอาง เสื้อผ้าอยู่บ่อย ๆ ที่สำคัญยังมีธุรกิจส่วนตัว มีดีกรีเป็นถึง CEO ของแบรนด์ Skinboss Thailand

กระทั่งเริ่มต้นประกวดนางงามบนเวทีมิสแกรนด์ภูเก็ต 2024 เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งเธอยังครองตำแหน่ง ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชนบนเวทีนี้อีกด้วยนับว่าเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดที่น่าจับตามองบนเวที มิสแกรนด์ 2024 เลยทีเดียว

ทั้งนี้เมื่อลงสนามใหญ่ สาวหลิน มาลิน ก็ไม่เคยกลัวใคร ไม่สนดราม่า จัดเต็มความแซ่บ สร้างความฮือฮาตั้งแต่เข้ากองวันแรก ในชุดบาบ๋าย่าหยา ชูป้ายทวงคืนความยุติธรรมให้หมอภูเก็ตถูกฝรั่งสวิสฯทำร้ายร่างกาย

และอีกชุดที่เป็นกระแสวิจารณ์สนั่นในโลกโซเชียล คือ ชุดเว้าสูงระดับตำนาน ซึ่งเธอก็สามารถฝ่ากระแสวิพากษ์วิจารณ์จากโลกโซเชียล และพิสูจน์ตัวเองด้วยความสามารถ และศักยภาพที่มี จนได้เป็นสาวงามที่เข้ารอบ 5 คนสุดท้ายด้วย Boss’s Choice

ทั้งนี้ หลิน มาลิน มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2024 จะเป็นตัวแทนสาวงามจากประเทศไทยเข้าร่วมประกวด มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล 2024 ณ ประเทศเมียนมาร์ ในเดือนตุลาคมนี้

‘ณวัฒน์’ ลั่น เวทีเราต้องหาเงิน ให้มงลงที่ ‘หลิน’ เหมาะสมแล้ว  เพราะมีประโยชน์ สปอนเซอร์จ่ายหนัก แม้หุ่นไม่ปังแต่ภาษาเป๊ะ

(8 เม.ย.67) มีดรามาให้ต้องเคลียร์หลายเรื่องเลยทีเดียว สำหรับบอสใหญ่ของเวทีมิสแกรนด์ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ เพราะผลการประกวดในปีนี้ มีหลายอย่างที่ค่อนข้างค้านสายตาคนดู อย่างแรกเลยคือเรื่องส่วนสูงของ “หลิน มาลิน ชระอนันต์” มิสแกรนด์ภูเก็ต ผู้คว้าตำแหน่ง ‘มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2024’

ที่ดูจะตัวเล็กกว่ามาตราฐานนางงามที่คนคาดหวัง ต่อมากับอันดับ Top 5 ที่คนมองว่า ‘เหมย อรทัย พังจันทร์’ มิสแกรนด์มหาสารคาม ไม่สมควรได้เข้า เพราะสาวงามคนอื่น สวย หุ่นดี เหมาะสมกว่ามาก งานนี้หลายคนเลยเอาคำพูด ที่เจ้าตัวเคยพูดไว้มาย้อนถาม ไหนว่าหุ่นของนางงามเป็นเรื่องสำคัญ แล้วทำไมปีนี้ ถึงเลือกคนที่หุ่นไม่ตรงสแตนดาร์ดนางงามเข้ามาถึง 2 คน ล่าสุด บอสณวัฒน์ ไม่รอช้า ขอเคลียร์จบครบทุกประเด็น

“เป็นปีที่ตัดสินค่อนข้างยาก ต้องยอมเลือกช้อยส์ที่คิดว่ามีประโยชน์สูงสุดในการทำงาน มีภาพรวมที่ถูกใจกับคนที่มาสนับสนุนการประกวด เลยกลายเป็นหลินครับ ถามว่าดีไหม ผมก็มั่นใจว่าต้องดีที่สุด เท่าที่เราประเมินออกมาในทุกๆ ด้านที่เรากำหนดแล้ว หลายๆ คนอื่นอาจจะไม่พอใจ เราก็ต้องยอมเคารพในความไม่พอใจ แต่ข้อดีของหลิน ทำไมหลินถึงมง เราปฏิเสธไม่ได้ว่าหลินมีความฟิต และมีสมองค่อนข้างลึก สิ่งนี้เราอาจจะหาจากคนทั่วๆ ไปยาก สามารถสื่อสารแล้วตอบโต้ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องมีใครมานั่งบอก ซึ่งหลินมีในจุดนั้น และหลินมีคะแนนเพิ่มในห้องสัมภาษณ์ คือตลอดชีวิตทุกอย่างหาด้วยตัวเอง แต่พอมาประกวดนางงาม เริ่มมีคนเอาของมาให้ มันเลยกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตมาก คะแนนห้องทำก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้จักตัวตนเขามากขึ้น”

โจทย์ 4B - Beauty Body Brain Business ‘หลิน’ มีแค่ 2B คือธุรกิจกับสมอง
“สำหรับหลิน ถ้า 4B ผมว่าได้ 2B ที่ดีที่สุด คือหนึ่ง Business เพราะหลินเป็นอินฟลูฯ มาก่อน ยอดผู้ติดตามก็เยอะมากเป็นอันดับต้นๆ สามารถทำงานและทำเงินให้ตัวน้องและองค์กร สองคือ Brain มีสมองที่ครีเอทและไว ส่วนเรื่อง Beauty น้องก็ยังมีอยู่ อาจจะไม่สแตนดาร์ดที่หลายคนใฝ่ฝัน บอดี้ก็โดนโจมตีหนัก ผมก็ยอมรับว่าน้องอาจจะไม่มีในจุดนี้ หรือมีแต่อยู่ในคะแนนที่ต่ำ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่เต็มร้อยสำหรับ 4B ทั้งหมด ตัวหลินเองก็ยอมรับ ผมว่านาทีนี้มันไม่มีใครมานั่งปฏิเสธ ในเรื่องของรูปร่าง ผมเองก็ไม่ปฏิเสธว่าเป็นปัญหา พูดกันอยู่ทุกครั้งก่อนตัดสินใจ ว่าแหม ถ้าอีกนิดหนึ่งนะ เราก็จะรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกาไปเยอะ แต่ถ้าเราตัดสินใจเอา เราก็ต้องยอมรับ ซึ่งมันคงแก้เรื่องสรีระไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่แก้ไม่ได้ ใบหน้ายังแก้ได้ แต่จะต่อกระดูกคงเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องยอมรับครับ”

ยอมรับอาจจะเสียเปรียบ ตอนไปประกวดเวที ‘มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล’
“ก็ต้องยอมรับตรงๆ การไปประกวดระดับสากล ส่วนมากเขามองจากรูปลักษณ์ภายนอก เราก็ต้องยอมรับว่าอาจจะเสียเปรียบในจุดนี้ น้องก็อาจจะเอาจุดอื่นมาแก้ไข มาผ่อนปรนให้น้องทำดีที่สุด ก็พูดตรงๆ แกรนด์อินเตอร์ ถ้าน้องยังไม่เก่งพอ ยังไม่พร้อมพอ ยังไงไทยก็มงยากอยู่แล้ว พูดมาหลายปีก็ยืนยันเหมือนเดิม หลินภาษาอังกฤษดี สมองดี เดินทางได้ เข้ากับเพื่อนได้เร็ว หรือถ้าได้ตำแหน่งก็สามารถทำงานได้ เพราะเป็นคนคล่องตัว แต่ส่วนที่ไปเจออินเตอร์แล้วเราต้องยอม ก็ต้องยอมรับว่าอินเตอร์เขาวัดคนจากรูปลักษณ์จริงๆ เพราะหลังประกวดเสร็จ ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนไทยด้วยกัน ที่จะอยู่แบบใกล้ชิด ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นยังไงเราก็ต้องยอมรับตามสภาพ”

ยันไม่ใช่แฟนคลับ ‘เหมย’ หลังคนสงสัยทำไมเข้า Top 5 ครั้งแรกที่เจอยังให้ไปลดน้ำหนัก
“หลายคนติดใจกับเหมย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าภาวะของเหมยเกิดจากอะไร เพราะตั้งแต่เก็บตัว เหมยจะถูกแอนตี้มาตลอด กลัวว่าเหมยจะได้ตำแหน่งที่ดี ไม่รู้ว่ามันเกิดการชี้นำแบบไหน บางคนมาโทษว่าผมเป็นแฟนคลับเหมยหรือเปล่า (เป็นลูกรักจริงไหม?) ไม่ครับ ก่อนจะเป็นลูกรัก ผมไม่รู้จักใครเลย ผมเจอเหมยครั้งแรกในการประกวดมิสแกรนด์เลย เหมยเดินมาขอถ่ายรูปด้วย เราก็นึกในใจเห็นชื่อมิสแกรนด์และจังหวัด เราก็ตกใจนางงามเราทำไมมีแบบนี้ด้วยเหรอ เดี๋ยวต้องคุยกับทีมงานนิดหนึ่งว่ายังไง ตอนนั้นน้ำหนักดูเยอะกว่านี้มาก ก็คิดว่าเข้ามาแล้วน้องจะมีปัญหาไหม ก็พูดตรงๆ ถ้าเป็นแกะดำ มันก็จะกลายเป็นสร้างความทุกข์ให้กับผู้หญิง มันจะกลายเป็นเรื่องกดดัน ก็เลยบอกทางผู้ช่วยที่ดูพีดี ว่าดูแลด้วย เดี๋ยวมันจะกลายเป็นตลกขบขัน ใครจะมาบูลลี่หรือเปล่า นั้นคือจุดเริ่มต้นที่รู้จักกัน

หลังจากนั้นก็ไม่เจอน้อง มาเจอตอนเข้ากอง ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่จากเส้นเรื่องที่เห็นน้องผ่านติ๊กต็อกตลอด น้องไลฟ์ขายของคนดูหลัก 10 ถ้าเป็นผมคงท้อ แต่น้องเอาจริงเอาจัง ผมก็คิดว่าเออ นี่ก็บ้าเหมือนกันนะ ในที่สุดความพยายามเขาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงจุดหนึ่ง เขาพยายามปรับตัวทุกอย่าง ผมไปพูดว่าลองติดกิ๊ฟดูสิ เพราะไม่รู้จะขายอะไร เข้ากองคนดูยัง 100-200 เขาก็เป็นเสือปืนไว สั่งแกร๊บไปซื้อกิ๊ฟมาติด แล้วคนดูก็ขึ้นปั๊บ เป็น 3,000-4,000 แล้วก็ขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนหนึ่งที่แตะ 1 หมื่นคนดู แล้วยอดขายก็ทะลุทะลวง คราวนี้ขายอะไรก็ขายได้หมดเลย น้องก็มีความมั่นใจมากขึ้น ความรู้จักก็เลยเกิดจากตรงนี้ เส้นเรื่องและสิ่งที่ปรับ มันปรับแล้วมันเหมือนการก่อสร้าง มันเป็นไปตามสเปกที่ปรับได้ เลยเป็นสิ่งที่สัมผัสกันแค่นี้ครับ

เมื่อวานนี้ทั้งสกลนครและเหมย ตอบคำถามแย่ทั้งคู่ ไม่สามารถที่จะผ่านได้ ถ้าสกลนครตอบดีรู้เรื่อง ก็ได้ไป บังว่าเหมยตอบลงทะเลไปแล้ว แล้วสกลนครก็ลงตามไปด้วย เลยต้องกลับมานั่งคิด ว่าอย่างนั้นคำตอบวัดสองคนนี้ไม่ได้แล้ว เราต้องดูภูมิหลัง ดูสิ่งที่เราพบเจอมา ดูการไลฟ์ ในที่สุดก็ได้เป็นเหมยไป เพราะว่าวุฒิภาวะน่าจะดีกว่าครับ”

เตรียมแปลงโฉมเป็น ‘New เหมย’ สั่งลดน้ำหนัก ทำหน้า เปลี่ยนทรงผม
“เบื้องต้นเราก็พูดแล้วว่าต้องอะไรนะ อย่างแรกคือบอกน้องให้ทำจิตใจให้สบาย อะไรไม่สบายก็อย่าไปอ่านมัน แล้วสิ่งที่เราจะเห็นเหมยคือแน่นอน น้ำหนักต้องลงแบบก้าวกระโดด รูปร่างหน้าตาอาจจะต้องมีเปลี่ยนบ้าง ความใหญ่ของใบหน้าก็ต้องลดลง ต้องเป็น New เหมยให้ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทันไหม ต้องทันแหละ เพราะมันที่ 18 นี้ T-Pop เริ่มฝึกแล้ว ฝึกที่ไทย 20 กว่าคิว เอาครูเกาหลีมาสอนทั้งร้องทั้งเต้น แล้วก็จะบินไปเกาหลีวันที่ 30 พฤษภาคม กลับมาอีกทีเดือนกรกฎาคมเลย หลายคนบอกเอาเหมยไปทำที่โน่นด้วย ถ้าไปทำก็ไม่ได้เป็น T-Pop จะเป็นคนไข้ เพราะมันจะใช้เวลาเป็นเดือน ต้องเป็น New เหมยที่ไทย มีหลายโรงพยาบาลติดต่อมาขอเหมย บอกอยากทำมาก มันมือมาก ตอนนี้ก็กำลังดูอยู่ อันดับแรกคือต้องเป็นสปอนเซอร์ก่อน ถามว่ามีเรฟฯ ไหม เรฟฯ ผมคืออิงฟ้า เอาเป็นว่าแต่ละคนก็มีบริบทของตัวเอง ถ้าอยากเห็นก็คือให้หน้าลงนิดหนึ่ง เปลี่ยนเป็นผมสั้นบ๊อบน่ารักๆ และผอมลงนิดหนึ่ง ทุกคนต้องถูกแปลงโฉมหมดนะครับ 8 คนจะถูกแปลงโฉมที่เกาหลี เราจะมีการเปลี่ยนบุลคลิกภาพ กลับมาอีกทีจำไม่ได้”

ยินดีคนย้อนคำพูด เคยบอกว่าบอดี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่ปีนี้หุ่นไม่ปังตั้ง 2 คน
“ผมเคยพูดไว้ ว่าโอเคบอดี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่ผมถามว่า ณ วันนี้ถ้ามีหมดครบทุกอย่าง ผมก็เลือกคนคนนั้น แต่สิ่งที่เรามีในปีนี้ มันไม่ครบสักคน ก็ต้องยอมรับ ถึงจะเอาคำพูดผมมาย้อน ผมก็ยินดี เพราะถูกย้อนมาตั้งแต่ปีอิงฟ้าแล้ว ขอเวลาผมดูแลและปลุกปั่นนิดหนึ่งแล้วจะดีขึ้น”

ลั่นเวทีเราหาเงิน หลังเจอเปรียบเทียบ Top 5 ต่างกับอีกเวทีหนึ่งมาก ถูกใจแต่เจ็บและจนผมไม่ทำ
“เวทีเราหาเงินอะครับ เวลาเราไม่ได้เน้นอยู่เฉยๆ เพราะฉะนั้นเราต้องดู ว่าเอามาแล้วต้องวิ่งไปทำงานและหาเงินได้ ถ้าเราจะหาคนสวยหาไม่ยากครับ ทำไมเราลงทุนเป็นเดือนๆ บางคนบอกหาเป็นเดือนๆ ได้มาสภาพแค่นี้เหรอ เออ เดี๋ยวมันจะรวยมากขึ้น เพราะเราต้องหาคนที่มันสร้างเงินครับ ผมยืนยันนะครับ ถ้ามันค้านสายตา เดี๋ยวมันก็เสื่อมไปเอง จะมีกลุ่มที่ไม่ใช่โปรไฟล์จริงๆ อาจจะไม่ชอบสไตล์นี้ ผมก็ยินดีน้อมรับใยความไม่ชอบ แต่ผมอธิบายใหัฟัง สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าคนหมู่มาก ไม่ได้หมายความว่าคนหมู่เขา ถ้าเราต้องตามใจเขา บริษัทเราจะเล็กลง ปีหน้าเราจะหาสปอนเซอร์ยาก ถูกใจแต่เจ็บและจนผมก็ไม่ทำ ขอรวยดีกว่าครับ”

เคลียร์ปมทำไม สระบุรี และ กรุงเทพฯ ชนะแคมเปญ แต่ไม่ได้เข้ารอบลึกๆ
“เรื่องการชนะแคมเปญ ผมว่าทุกคนต้องเล่นทุกแคมเปญอยู่แล้ว เช่น สระบุรีและกรุงเทพฯ ก็เล่นเกือบทุกแคมเปญ คนที่ได้มาทั้งหมดเล่นหมด ยกเว้นคนที่เล่นแล้วอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ภาคเหนือเป็นภาคที่หาได้ง่าย ใครไปอยู่ภาคเหนือ ล้านเปอร์เซ็นต์ยังไงก็เข้า สมมติสระบุรีไปอยู่ภาคเหนือก็เข้า มันบังเอิญว่ายังอยู่ไม่ถูกที่ถูกเวลา ซึ่งตัวเต็ง 3 คนในภาคกลาง กรุงเทพฯ สระบุรี ปทุมธานี มันต้องเหลือแค่คนเดียว เราไม่ปฏิเสธความสวยว่าไล่กันหมด ถ้าความสวยบวกความมั่น ปทุมธานีมั่นมาก ส่วนสระบุรีก็มีบางช่วงที่หายไป ต้องยอมรับนะ ว่าช่วงภูเก็ตอยู่ๆ นางก็หายไป ก็ต้องเรียกขวัญและกำลังใจกลับมา เพราะฉะนั้น 3 คนนี้ คนที่มีคอนเทนต์ครีเอทเตอร์ที่สุดคือปทุมธานี ครีเอทีฟสำหรับต่อการประกวดแกรนด์มากๆ ถ้ากองทัพไม่ฮึกเหิม ก็เหมือนกำลังจะอ่อนล้า”

ตำนานบอสช้อยต์ สร้างคนมง 4 ปีซ้อน เลือก ‘หลิน’ เพราะสปอนเซอร์ซื้อหนัก
“หลินขึ้นไลฟ์ก็ไม่เคยผิดหวัง คนดูแน่น ขายของแน่น แล้วที่สำคัญ 88 ล้านที่ได้มาจากสปอนเซอร์ทุกคน เซอร์เวย์ตำแหน่งพิเศษไป เห็นที่เขาส่งมาแล้วก็ตกใจ ไปบอกเขาว่าเปลี่ยนคนอื่นบ้างได้ไหม เราเลยรู้สึกว่าสปอนเซอร์เลือกขนาดนี้ เราจะทำยังไง ถ้าซื้อหนักขนาดนี้แล้วเราไม่เอามาเป็นบอสช้อยส์ ก็รู้สึกว่าสปอนเซอร์เขาจะอยู่กับเราไหมหนอปีหน้า มันมาเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ก็เลยต้องเลือกบอสช้อยส์เป็นหลินครับ ตอนนี้มีคนติดต่องานมาเยอะ ราคาไลฟ์ของหลิน 250,000 บาท ต่อ 1 ชั่วโมงครับ มีคนจองอยู่ แล้วก็ลดลั่นกันมาจนถึง 100,000 บาท ส่วนพรีเซ็นเตอร์ก็มีแล้ว 2,500,000 บาท ต่อ 1 ปี นี่คือขายถูกแล้ว เดี๋ยวค่อยขึ้นราคา”

ดีใจกับ ‘ไผ่หลิว กมลวลัย ประจักษ์รัตนกุล’ รองอันดับ 5 Miss Grand Thailand 2023 ได้เดบิวต์เป็นไอดอลที่จีน“ดีใจด้วย เพิ่งไปเซ็นสัญญามา กี่ปีขออนุญาตไม่บอก แล้วน้องก็ยังอยู่กับเรา ในสังกัดแกรนด์ (เสียตังค์โหวตให้น้องไหม?) โอ๊ย นอกจากโหวตแล้วบังคับคนด้วย (หัวเราะ) ลามไปถึงนางงามรุ่นเก่ารุ่นใหม่เละเทะกันไปหมด วันแรกที่เราไปด้วยกัน ผมก็ทำตัวปกติ ขับรถไปด้วยกัน ไม่เคยเข้าไปก้าวล่วงทีมงานเลย ถามว่ามั่นใจไหม ตั้งแต่ไปเคยบอกกับแฟนคลับ อย่าโวยวายเยอะ ยังไงไผ่หลิวก็ต้องอยู่สิ ดูจากศักยภาพแล้ว ทุกอย่างมันต้องบอกได้ว่าเปอร์เซ็นต์ดีมากกว่าไม่ดี แล้วผมก็มีวิธีเช็กฟีดแบ็กภายในของผมว่ามันเป็นยังไง เพราะฉะนั้นโมเมนต์มันดีมาเสมอ ขอบคุณไผ่หลิวที่พูดถึงแกรนด์ตลอดเลย น่าจะเป็นดวงเขาที่เรามาเจอกัน”

ถกสนั่น!! ติ๊กต็อกเกอร์ รับแอดมินช่วยตอนไลฟ์ ค่าจ้างเดือนละ 100 บาท เผย!! ที่ให้เท่านี้ เพราะรายได้ไม่เยอะและให้ทำแค่ 'จ.-พ.-ศ.' วันละชั่วโมง

(17 พ.ค.67) ปัจจุบันอาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ เติบโตและมีอิทธิพลอย่างมากในประเทศไทย หลาย ๆ คน สร้างชื่อเสียง เงินทอง ได้จากการอัปโหลดคลิปวิดีโอลงโซเชียล จนบางครั้งเมื่อมีชื่อเสียงมากขึ้น ก็อาจจะทำงานคนเดียวไม่ไหว ต้องมีการจ้างงานคนอื่นเพิ่มเติม

ล่าสุด ดาวติ๊กต็อกคนหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 4.9 หมื่นคน ได้ตกเป็นประเด็นดรามาในโลกออนไลน์ หลังเธอประกาศรับสมัครคนช่วยทำงานในตำแหน่ง ‘แอดมิน’

คอยทำหน้าที่อ่านคอมเมนต์ในไลฟ์สด เนื่องจากเธอมีปัญหาทางสายตา คุณสมบัติคือ อายุ 17 ขึ้นไป, ใจเย็น, ละเอียด, รอบคอบ, ตรงต่อเวลา, พูดจาสุภาพ, มีความอดทนสูง

ทำงานวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 16.00 น. ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวัน หากวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลาว่างตรงกันก็สามารถนัดเวลากันได้ จากนั้นก็ได้มีคนทักไปสอบถามรายละเอียด ก่อนจะต้องตกใจ เมื่อพบว่า งานนี้ได้รับค่าจ้าง 100 บาท ต่อเดือน

เมื่อเกิดดรามาหนักขึ้น เจ้าของช่อง ก็ได้ออกมาตอบประเด็นนี้ บอกว่าเรื่อง ค่าจ้างเดือนละ 100 บาท นั้นเป็นเรื่องจริง ที่ให้เท่านี้ เพราะรายได้ของเธอก็ไม่ได้เยอะ อีกทั้งให้ทำงานแค่ จันทร์ พุธ และศุกร์ วันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ทั้งยังบอกว่าตอนนี้ปิดรับสมัครไปแล้ว ไม่ได้อยากออกมาพูด แต่เห็นมีคอมเมนต์ถามทุกคลิป เลยออกมาเคลียร์ดีกว่า พร้อมปิดท้ายว่า “คนทำงานไม่พูด คนพูดไม่ทำงาน”

ทำเอาชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่น ว่าแบบนี้ไม่เหมาะสมอย่างแรง กรมแรงงานควรตรวจสอบเพราะหากจ้างเดือนละ 100 บาท นำมาหารเฉลี่ยก็ได้วันละไม่ถึง 10 บาท เงินจำนวนแค่นี้ ไม่สามารถนำไปดำรงชีวิตอะไรได้เลยด้วยซ้ำ

จากนั้น ดาวติ๊กต็อก เจ้าของช่อง ก็เข้ามาตอบว่าจะมีการพิจารณาขึ้นเงินเดือนจาก 100 เป็น 1,000 บาทให้ แต่ต้องขอปรึกษากับคุณแม่ก่อน

'Mission To The Moon' เผย!! แบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มเลี่ยงเอี่ยว 'การเมือง' หวั่น!! พาแบรนด์ไปพัง พร้อมเลือกใช้ 'เหล่าอินฟลูฯ' ที่ไม่คลั่งการเมืองมากขึ้น

ไม่นานมานี้ Mission To The Moon ได้นำเสนอบทความที่สืบเนื่องจากแบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มปรับทิศทาง ไม่นิยมจ้างอินฟลูฯ ที่ตื่นรู้ทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า...

ปัจจุบันนี้อาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ถือเป็นสายงานที่มาแรงและสร้างกำไรให้กับตัวคนทำ รวมถึงบริษัท และแบรนด์ผู้จ้างได้อย่างมากมายมหาศาล

ด้วยพลังของโซเชียลมีเดียที่ผนวกกับพลังของความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพก็สามารถสร้างคอนเทนต์ พัฒนาทักษะการเล่าเรื่องและตัดต่อ รวมถึงค่อยๆ เก็บเกี่ยวความนิยมจนกลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นความนิยมในตัวของอินฟลูเอนเซอร์เองก็ยังสามารถต่อยอดมูลค่าได้อีกมากมาย เช่น ทำแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าคนที่มาสายอาชีพนี้จะประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้าทุกคน

เพราะความผันผวนรอบทิศทางทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นในตลาดแรงงาน ยิ่งในอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ที่มีทั้งระดับเล็กไปจนถึงระดับใหญ่ ทั้งอินฟลูเอนเซอร์ที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรงของแบรนด์ได้ และอินฟลูเอนเซอร์ที่อาจเพิ่มโอกาสใหม่ๆ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ให้กับแบรนด์

แต่ก็ใช่ว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง และมียอดผู้ติดตามสูงๆ จะได้รับโอกาสจากทุกแบรนด์ เพราะผู้จ้างเองก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ ลักษณะของกลุ่มผู้ติดตาม รวมไปถึงประเด็นความอ่อนไหวอื่นๆ ที่อาจกระทบกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย และหนึ่งในประเด็นที่อาจเรียกได้ว่าอ่อนไหวจนถึงขั้นทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนกลายเป็น ‘โปรไฟล์ที่มีความเสี่ยงสูง’ ต่อแบรนด์ก็คือเรื่องการเมืองนั่นเอง

>> เพราะ ‘การเมือง’ คือเรื่องอ่อนไหวในโลก Marketing
การทำการตลาดให้กับสินค้าและแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) มีอิทธิพลกับสร้างการรับรู้และกำไรให้กับแบรนด์สูงมากจริงๆ และแบรนด์ต่างๆ เองก็พร้อมที่จะลงทุนเม็ดเงินมหาศาลเพื่อทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น Walmart, Kraft Heinz หรือ Coca-Cola

โดยจากการรายงานของ CNBC มีการคาดการณ์ว่า Creator Economy หรือเศรษฐกิจจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของเหล่าครีเอเตอร์จะมีมูลค่าถึง 528 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 และสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจรูปแบบนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างคอนเทนต์กับแบรนด์ หรือบริษัทที่ลงโฆษณา

โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ความเห็นทางการเมืองมักประกอบสร้างขึ้นมาจากทฤษฎีสมคบคิด และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ยิ่งต้องระมัดระวังในเรื่องของคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากมีการคว่ำบาตรอินฟลูเอนเซอร์เกิดขึ้น คนที่จะโดนผลกระทบหนักที่สุดก็คือแบรนด์ที่เป็นผู้จ้างนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นการที่คอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้างไปอยู่ใกล้กับคอนเทนต์อื่นๆ ที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ก็จะทำให้ส่งผลต่ออัลกอริทึม ยอดการเข้าถึง และอาจส่งผลกระทบไปถึงทัศนคติที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้แบรนด์จึงต้องมีการศึกษาภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ในตลาดเป็นอย่างดี เพื่อพิจารณาถึงกำไร ผลประโยชน์ รวมไปถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คริชนา สุบรามาเนียน (Krishna Subramanian) ผู้ก่อตั้ง Captiv8 บริษัทการตลาดกล่าวว่า แบรนด์ต้องการที่จะรู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้าง ถ้าพวกเขาจะจ้างอินฟลูเอนเซอร์สักคนเพื่อทำการตลาดให้กับสินค้า

โดยเครื่องมือ AI ของ Captiv8 จะแบ่งเกรดของอินฟลูเอนเซอร์หรือเน็ตไอดอลในสหรัฐฯ ออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจของแบรนด์ เช่น...

- เกรด A หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ปลอดภัย’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่นำเสนอคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางสังคม
- เกรด C ที่หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ต้องระวัง’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่พูดถึงเรื่องการเมือง และประเด็นอ่อนไหวทางสังคมบ่อย ๆ
- รวบรวมและวิเคราะห์เนื้อหาที่เป็นประเด็น เช่น ประเด็นทางสังคมที่ละเอียดอ่อน ความตายและสงคราม คำพูดที่สร้างความเกลียดชังจากตัวครีเอเตอร์จากการรายงานข่าว

นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัท Viral Nation ผู้ให้บริการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียที่สร้างบริการ Advanced Brand Safety ในการช่วยวิเคราะห์คำสำคัญและตรวจจับคอนเทนต์ที่อาจเป็นประเด็นอ่อนไหว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในภายหลังได้

>> ตระหนักรู้ทางการเมืองอย่างไรไม่ให้กระทบกับ ‘ภาพลักษณ์’ ของเรา?
แม้ว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ในโลกธุรกิจกลับไม่เป็นเช่นนั้น ความคิดเห็นที่ของคนที่มีอุดมการณ์ขัดแย้งกันอาจทำให้เกิดอคติขึ้น ส่วนแบรนด์เองก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกับอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้หลายแบรนด์ไม่สามารถลอยตัวเหนือดรามาที่เกิดขึ้นได้

แต่การจะทิ้งอุดมการณ์ไปเลยก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะยังมีผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสำคัญกับจุดยืนของแบรนด์ และอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้าง ถ้าเช่นนั้นแล้วเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั้งหลายควรจะรับมือกับความต้องการของแบรนด์ และสถานการณ์การเมืองที่เพิกเฉยไม่ได้นี้อย่างไร?

>> แสดงออกอย่างมีมารยาท
ภาพลักษณ์และวิธีการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์สำคัญอย่างมากในยุคนี้ โดยเฉพาะคนที่ใช้โซเชียลมีเดียทำมาหากินก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าทุกการโพสต์จะถูกเผยแพร่ และแชร์ต่ออยู่บนโลกออนไลน์ ดังนั้นความคิดและการแสดงออกของเราจะสร้างผลกระทบในอนาคตอย่างแน่นอน แต่จะเป็นผลดีหรือผลร้ายนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการสื่อสารของเรา

>> เคารพในความเห็นที่ต่างกัน
อาชีพอินฟลูเอนเซอร์ทำให้เราได้พบเจอกับความคิดเห็นมากมาย ทั้งความเห็นที่คล้ายกับเราและความเห็นที่ต่างจากเรา ดังนั้นต้องเข้าใจว่าคนทุกคนสามารถมีมุมมอง ความคิดเห็นและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันได้ แต่ต้องเคารพในเหตุผลของทุกฝ่าย และไม่สร้างความขัดแย้งด้วยคำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง

>> คำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง
ในกรณีที่ประเด็นความอ่อนไหวนั้นเป็นเรื่องที่เฉพาะกลุ่มมาก ๆ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเราโดยตรง คนที่ทำอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์อาจจะต้องไตร่ตรองถึงความคุ้มค่าอย่างถี่ถ้วน ว่าการแสดงความคิดเห็นออกไปนั้นจะส่งผลกระทบอย่างไรกับภาพลักษณ์และอาชีพของเรา แล้วจะได้อะไรกลับมาคุ้มกับที่เสียไปหรือไม่?

สุดท้ายนี้ แม้ว่าเรื่องบางเรื่องอาจกำลังกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างน่าติดตาม แต่ในฐานะของผู้ประกอบอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้สร้างคอนเทนต์ออนไลน์จำเป็นจะต้องคำนึงถึงทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผู้จ้าง ภาพลักษณ์ของตัวเราเอง และทัศนคติของโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบกับประเด็นอ่อนไหวที่เกิดขึ้นด้วย

การคำนึงถึงทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบอย่างถี่ถ้วน จะช่วยให้เราระมัดระวังในการผลิตและเผยแพร่คอนเทนต์มากขึ้น มีการตรวจสอบที่รัดกุมมากขึ้น ซึ่งจุดนี้เองจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ให้ดูน่าเชื่อถือได้ และถ้าหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น อินฟลูเอนเซอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ก็มีส่วนผิด และจำเป็นที่จะต้องแสดงการรับผิดชอบต่อแบรนด์ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดนั้นด้วยเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top