Friday, 30 May 2025
ออสเตรเลีย

'ออสเตรเลีย' สั่งลดจำนวนนักศึกษาต่างชาติเข้าประเทศปีหน้า 'แก้ปัญหาคนล้นเมือง-ราคาที่อยู่อาศัยพุ่ง' ฟากมหาวิทยาลัยไม่ปลื้ม

(28 ส.ค.67) บลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ส.ค.67 ออสเตรเลีย ได้กลายเป็นประเทศล่าสุดที่เตรียมกวาดล้างปัญหานักศึกษาต่างชาติล้นเมือง ซึ่งเป็นข้อวิตกที่สืบเนื่องกับปัญหาประชากรล้นเข้าเมืองออสเตรเลียจำนวนมากในช่วงระยะหลัง ตามหลังแคนาดา, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ที่ล้วนใช้มาตรการจำกัดนี้ไปแล้ว

ทั้งนี้จากรายงานโดยอ้างอิงจากรอยเตอร์ส ระบุว่า รัฐบาลพรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบานิส ได้ประกาศเมื่อวันอังคาร (27) ว่า ในปี 2025 จำนวนเพดานนักศึกษาต่างชาติจะเหลือแค่ 270,000 คนเท่านั้น

"ภายใต้นโยบายนี้ รัฐบาลแคนเบอร์ราจะจำกัดจำนวนนักศึกษาต่างชาติใหม่ที่ 145,000 คนสำหรับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และอีก 95,000 คนสำหรับคอร์สฝึกฝีมือแรงงาน" รัฐมนตรีการศึกษาออสเตรเลีย เจสัน แคลร์ (Jason Clare) แถลงข่าว (27)

สำหรับออสเตรเลีย มีนักศึกษาต่างชาติเกือบ 600,000 คนที่ได้รับวีซ่านักศึกษาเดินทางเข้าประเทศในปี 2023 ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงเป็นประวัติศาสตร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

รอยเตอร์ส รายงานว่า ในงานแถลงข่าววันอังคาร (27) แคลร์ ได้กล่าวด้วยว่า “มีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 10% อยู่ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเรา โดยในปัจจุบันมีจำนวนสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และอีกกว่า 50% อยู่ในสถาบันเอกชนฝึกอบรมคอร์สอาชีพ”

ด้านรัฐมนตรีการศึกษาออสเตรเลีย แถลงว่า "รัฐบาลพรรคแรงงานออสเตรเลียจะแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สำหรับการลดเพดานจำนวนการรับนักศึกษาเหล่านั้นต่อไป"

ฟาก สมาคมการศึกษาอุดมศึกษาเอกชนออสเตรเลีย (The Independent Tertiary Education Council Australia) ได้ออกแถลงการณ์ว่า "มหาวิทยาลัยต้องการข้อมูลเพิ่มในการเปลี่ยนแปลงนี้" โดยชี้ว่า "การประกาศของรัฐบาลทำให้เกิดคำถามมากกว่าคำตอบ"

รอยเตอร์ส รายงานต่อว่า ทางมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ก็ได้มีกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า ทางมหาวิทยาลัยได้รับแจ้งการจำกัดเพดาน แต่ยังไม่เปิดเผยเพิ่มเติม นอกจากระบุว่า กำลังอยู่ระหว่างการประเมินทางด้านการเงินและปัจจัยแทรกซ้อนอื่น ๆ

"การจำกัดเพดานนักศึกษาต่างชาติ จะส่งผลร้ายต่อมหาวิทยาลัยของพวกเรา, ภาคส่วนการศึกษาระดับสูงโดยรวม และต่อประเทศเป็นเวลาอีกหลายปีหลังจากนี้' รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ศาสตราจารย์ ดันแคน มาสเคลล์ (Prof. Duncan Maskell) แถลง

ขณะที่ เดวิด ลอยด์ (David Lloyd) ประธานกรรมการสมาคมมหาวิทยาลัยออสเตรเลีย (Universities Australia) ชี้ว่า "การตั้งเพดานรับนักศึกษาเหมือนเป็นการติดเบรกให้กับภาคอุตสาหกรรมการศึกษาระดับอุดมศึกษาออสเตรเลียที่มีชื่อเสียง"

ด้าน บลูมเบิร์ก รายงานว่า การสนับสนุนเข้าเมืองในออสเตรเลียตกลงในจุดต่ำสุดของรอบ 5 ปี อ้างอิงจากโพลสำรวจของ Essential ที่ได้เผยแพร่วันอังคาร (27) โดย 42% ของผู้ตอบแบบสอบถามต่างกล่าวว่า ส่งผลกระทบทางลบต่อออสเตรเลีย

ทั้งนี้ นักศึกษาต่างชาติสร้างรายได้ราว 32,500 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้แก่ระบบเศรษฐกิจแดนจิงโจ้ในปี 2023 และทำให้ภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาออสเตรเลียกลายเป็นภาคบริการส่งออกสูงสุดของประเทศ

‘น็อคเอาท์ ซีพีเอฟ’ ชนะคะแนน ‘อเล็กซ์ วินวู้ด’ ป้องกันแชมป์โลก ‘WBA’ ได้สำเร็จ ที่ออสเตรเลีย

เมื่อวานนี้ (7 ก.ย. 67) น็อคเอาท์ ซีพีเอฟ ชนะคะแนน อเล็กซ์ วินวู้ด ผู้ท้าชิงชาวออสเตรเลีย ป้องกันแชมป์โลกรุ่นมินิมั่มเวทสมาคมมวยโลก (105 ป.) WBA เอาไว้ได้สำเร็จ ที่เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย น็อคเอาท์ได้ 2 นับ แต่คะแนนไม่เอกฉันท์ 113-113 , 114-112 ,114-112 

‘ออสเตรเลีย’ จ่อออกกฎหมายจำกัดเด็กอายุ 14-16 ใช้งานโซเชียลฯ กระตุ้น!! 'ห่างไกลจากมือถือ-ให้ออกไปเล่นในสนามมากขึ้น'

เมื่อวานนี้ (11 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรี ‘แอนโทนี อัลบาเนซี’ ของออสเตรเลีย ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณากำหนดอายุขั้นต่ำของเยาวชนที่สามารถใช้โซเชียลมีเดียระหว่าง 14-16 ปี และจะเตรียมทดลองใช้ระบบตรวจสอบอายุในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ก่อนออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้เกณฑ์ใหม่นี้

ผู้ปกครองหลายคนวิตกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กในการใช้โซเชียลมีเดีย และต้องการให้เด็กๆ ห่างไกลจากโทรศัพท์มือถือ และออกไปเล่นในสนาม ที่ผ่านมาจีน ฝรั่งเศส และอีกหลายรัฐในสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายที่มุ่งจำกัดอายุของเยาวชนที่สามารถใช้โซเชียลมีเดีย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับอันตรายต่างๆ ตั้งแต่ เรื่องการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ จนถึงเรื่องมาตรฐานความงามที่ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง

มาตรการนี้ได้รับเสียงวิจารณ์โต้แย้งว่าเป็นการลิดรอนสิทธิการแสดงออกของเยาวชนและสร้างความเสี่ยงเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว รวมถึงอาจเป็นการกีดกันเยาวชนจากการมีส่วนร่วมที่ดีและมีความหมายในโลกดิจิทัล และผลักให้พวกเขาหันไปสู่พื้นที่ออนไลน์ที่มีคุณภาพต่ำ

'อดีตทูตฯ' เห็นใจ!! ชะตากรรมเด็กไทย 'ย้ายประเทศ' ไปออสเตรเลีย แนะ!! ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาเมืองไทย "เพราะบ้านเรายังอบอุ่นกว่า"

เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เท่าที่ทราบ ตอนนี้พวกที่เคยทำเพจแนะนำให้ย้ายประเทศไปออสเตรเลีย เริ่มทยอยกันกลับกันมาบ้างแล้ว เพราะทนค่าครองชีพที่สูงบรรลัยที่นั่นไม่ไหว เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ยังไม่พอใช้จ่ายแต่ละเดือน เงินเหลือเก็บแทบไม่มี

มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีเด็กไทยไปประสบเคราะห์กรรมเจ็บป่วย เป็นโรคซึมเศร้า มีอาการทางจิตหลายราย

บางรายก็เอาชีวิตไปทิ้งที่ออสเตรเลีย เจ็บป่วยตายแบบว้าเหว่โดดเดี่ยว น่าเวทนา ชุมชนไทยก็ระดมเงินช่วยกันเท่าที่จะช่วยได้

ยิ่งช่วงหลังเจอมาตรการของรัฐบาลออสเตรเลียที่พยายามลดจำนวนคนเอเชีย ไม่ต่อวีซ่าให้ หรือขั้นตอนการต่อวีซ่า Strict สุด ๆ

ยังไง ๆ ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ อย่างน้อยกลับมาตายรังที่บ้านเรายังอบอุ่นกว่านะ

'สุชาติ' หารือ 'ออสซี่' ชวนลงทุน EEC 'ด้านการศึกษา-พลังงานหมุน' พร้อมขอลดข้อจำกัด-อุปสรรคทางการค้า เอื้อสินค้าไทยไปออสเตรเลีย

(24 ก.ย. 67) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานร่วมการประชุมยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 กับผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านการค้าเครือรัฐออสเตรเลีย (นายทิม แอร์) ในวันที่ 23 กันยายน 2567 ณ กรุงเทพฯ โดยทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่การค้าไทยออสเตรเลียมีมูลค่าสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน พร้อมเดินหน้าขยายการค้าการลงทุน ยกระดับผู้ประกอบการให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะประเด็นการค้าใหม่ ๆ เช่น การค้าดิจิทัล และสิ่งแวดล้อม

นายสุชาติ กล่าวว่า ไทยได้ขอให้ออสเตรเลียร่วมมือกับไทยในหลากหลายด้านภายใต้วาระการดำเนินการของยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและออสเตรเลีย หรือ เซก้า ทั้งเรื่องการยกระดับการเกษตรไทยโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย การส่งเสริม Soft Power ของไทย การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพและการแพทย์ การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการดึงดูดการลงทุนออสเตรเลียเข้ามาในไทย การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และความร่วมมือด้านพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหม่ที่จะช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและแนวทางผลักดันทางการค้าของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ที่เน้นเรื่องการขยายการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้า การเร่งเจรจาจัดทำ FTA และการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการไทย

นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยได้ขอให้ออสเตรเลียร่วมมือในการลดข้อจำกัดและอุปสรรคทางการค้าเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานในการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังออสเตรเลีย และขอให้ออสเตรเลียพิจารณาใช้มาตรการที่กำหนดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรถยนต์นำเข้าจากไทยไปยังออสเตรเลียอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เวลากับภาคอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไทยได้มีเวลาปรับตัว และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในอุตสาหกรรมดังกล่าว

“ออสเตรเลียกับไทยมีความสัมพันธ์อย่างยาวนานกว่า 70 ปี ผมได้ขอให้ออสเตรเลียเข้ามาลงทุนใน EEC ทั้งด้านการศึกษาและพลังงานหมุนเวียน อีกทั้งทั้งสองประเทศยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรหลัก จึงมีหารือในการส่งเสริมด้านการเกษตรทั้งใน WTO และในรูปแบบทวิภาคีด้วย” นายสุชาติกล่าว

ในส่วนของความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย หรือ ทาฟต้า (TAFTA) มีส่วนสำคัญที่ทำให้การค้าสองฝ่ายเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 200 และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินการต่อไป ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ ไทยและออสเตรเลียจึงได้ร่วมตัดเค้กเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จที่ FTA ไทย-ออสเตรเลีย (ทาฟต้า) จะครบรอบ 20 ปี ในวันที่ 1 มกราคม 2568 ด้วย

ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กรกฎาคม) การค้าระหว่างไทยและออสเตรเลีย มีมูลค่า 10,827.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปออสเตรเลีย มูลค่า 7,234.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10.07 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และไทยนำเข้าจากออสเตรเลีย มูลค่า 3,593.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และพืชและผลิตภัณฑ์จากพืช เป็นต้น

'ออสเตรเลีย' ฟ้อง 2 ซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ หลังทำโปรโมชัน 'หลอก' ลดราคาสินค้า

(24 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะกรรมาธิการการแข่งขันและผู้บริโภคของออสเตรเลีย (ACCC) ยื่นฟ้องซูเปอร์มาร์เก็ตวูลเวิร์ธ (Wollworths) และ โคลส์ (Coles) ฐานเอาเปรียบผู้บริโภค โดยการขึ้นราคาสินค้าจากปกติ แล้วเสนอขายในราคาลดลง ถือเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคทางอ้อม โดยมีพฤติกรรมหลอกลวงเกี่ยวกับการลดราคาสินค้า ระบุว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 2 แห่งนี้ได้คงราคาสินค้าบางอย่างเป็นเวลานานถึง 2 ปี จากนั้นได้ขึ้นราคา เพียงเพื่อจะนำมาโฆษณาหลังจากนั้นว่ากำลังอยู่ในช่วงลดราคา

จีน่า คาสส์ กอตต์ลิบ ประธานสำนักงานคุ้มครองดูแลผู้บริโภคของออสเตรเลีย กล่าวว่า หลังจากที่มีการโฆษณาทางการตลาดมาหลายปี บรรดาลูกค้าต่างเข้าใจว่าโปรโมชัน Prices Dropped ของ Woolworths และ ‘Down Down’ ของ Coles หมายถึงการลดราคาปกติของผลิตภัณฑ์ในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างต่อเนื่องแต่กลับพบว่าในหลายกรณีส่วนลดนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา 

จากการตรวจสอบข้อร้องเรียนพบว่า Woolworths ได้ให้ข้อมูลเท็จแก่ลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประมาณ 266 รายการในช่วง 20 เดือน ที่ผ่านมา และทางด้าน Coles ได้ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ 245 รายการในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์มีตั้งแต่อาหารสัตว์ พลาสเตอร์ และน้ำยาบ้วนปาก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจากออสเตรเลีย เช่น Tim Tam หรือจะเป็นซีเรียลของ Kellogg's

โดยทั้งสองบริษัทได้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ลดราคาปลอมไปหลายสิบล้านชิ้น และได้รับรายได้จำนวนมากจากการขายเหล่านั้น ในขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมากต้องพึ่งพาส่วนลดเพื่อช่วยให้มีงบประมาณในการซื้อของชำใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพพุ่งสูงเช่นนี้ 

ต่อมาแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่า รัฐบาลของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะผู้บริโภคไม่สมควรถูกซูเปอร์มาร์เก็ตกระทำราวกับเป็นคนโง่เขลา

'อีลอน มัสก์' วิจารณ์นายกฯ ออสซี่ เล็งออกกม.ห้ามเด็กต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลมีเดีย

(22 พ.ย.67) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของแพลตฟอร์ม X หรือ ทวิตเตอร์เดิม วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลออสเตรเลียที่เสนอร่างกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้สื่อสังคมออนไลน์ หลังจากที่ร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภา

มักส์ เขียนข้อความด้วยการรีทวีตข้อความของนายแอนโทนี อัลบานีซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย โดยระบุว่า “ดูเหมือนจะเป็นการใช้ช่องทางควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของชาวออสเตรเลียทุกๆ คน” ตอบกลับข้อความของนายกออสเตรเลียที่โพสต์ว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการผลักดันร่างกฎหมายนี้

สำหรับร่างกฎหมายห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย หากผ่านการเห็นชอบจากสภา ร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ออสเตรเลียเป็นประเทศที่เข้มงวดที่สุดประเทศหนึ่งเพื่อปกป้องเยาวชนที่มีความเสี่ยงสูงจากผลร้ายของสื่อออนไลน์ นอกจากนั้นร่างกฎหมายนี้ยังกำหนดโทษสำหรับสื่อสังคมออนไลน์ที่พยายามละเมิดกฎหมายโดยให้ปรับเงินสูงสุดถึง 49 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือ ประมาณ 1,100 ล้านบาทด้วย ซึ่งภาคประชาสังคมส่วนใหญ่ของออสเตรเลียมีความเห็นไปในทางสนับสนุนเพื่อปกป้องเยาวชน

ในประเทศอื่น ๆ อย่าง สหรัฐอเมริกา เคยพยายามกำหนดข้อจำกัดในการใช้โซเชียลมีเดียสำหรับเด็ก โดยมีกฎหมายกำหนดให้บริษัทเทคโนโลยีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี แต่ข้อเสนอของออสเตรเลียมีความเข้มงวดมากกว่า โดยกำหนดอายุขั้นต่ำที่ 16 ปี ไม่อนุญาตให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มโดยไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าจะได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก็ตาม

‘เหล้าเถื่อน’ ใน ‘ลาว’ กำลังระบาดหนัก ‘ออสเตรเลีย’ เตือน!! นักท่องเที่ยวให้ระวัง

เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 67) ออสเตรเลียเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังการดื่มสุราปนเปื้อนเมทานอลในสปป.ลาว หลังวัยรุ่นออสเตรเลีย 1 รายเสียชีวิต หลังดื่มสุราปนเปื้อนที่วังเวียง เป็นชาวต่างชาติรายที่ 4 ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว 

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีส ของออสเตรเลีย แถลงว่า บิอังกา โจนส์ วัยรุ่นออสเตรเลียวัย 19 ปี เสียชีวิตเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดี) หลังจากดื่มเหล้าผสมเมทานอลในสปป.ลาว ซึ่งถือเป็นชาวต่างชาติรายที่ 4 แล้วที่สงสัยเสียชีวิตในเหตุการณ์ดื่มเหล้าเถื่อนในลาว 

เมืองวังเวียง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของลาว ห่างจากกรุงเวียงจันทน์ ไปทางเหนือประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งวัยรุ่นออสเตรเลียหลายคนเดินทางไปเที่ยวก่อนล้มป่วยหนัก  เผยให้เห็นเมืองนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์ที่มาร่วมทำกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ 

โจนส์ ล้มป่วยในวังเวียงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และจากนั้นก็ถูกส่งตัวมายังจังหวัดอุดรธานี เพื่อรักษาต่อ ขณะที่ฮอลลี โบวลส์ เพื่อนของเธอในวัย 19 ปีอีกราย ยังรักษาตัวอยู่ที่ไทยเช่นกัน ตามการเปิดเผยของครอบครัวที่ระบุว่าเธอยังอยู่อาการขั้นวิกฤต

ทั้งนี้ เชื่อว่าโจนส์และโบวลส์ ดื่มสุราปนเปื้อนเมทานอล ซึ่งมักใช้เป็นส่วนผสมแทนเอธานอลในราคาที่ถูกกว่า แต่อาจทำให้เกิดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้ และทางออสเตรเลียออกคำเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังการดื่มสุราปนเปื้อนในลาวแล้ว

ทางการไทยยืนยันว่า โจนส์ เสียชีวิตเนื่องจาก ‘ภาวะสมองบวมเพราะมีระดับเมทานอลในระบบร่างกายสูง’

สุราปนเปื้อนเริ่มกลายเป็นประเด็นขึ้นมา หลังจากหญิงออสเตรเลีย 2 รายล้มป่วยเมื่อ 13 พฤศจิกายน หลังออกไปดื่มกับกลุ่มเพื่อนที่นั่น และการเสียชีวิตของโจนส์ ถือเป็นนักท่องเที่ยวรายที่ 4 ที่เสียชีวิตเพราะดื่มสุราปนเปื้อนในวังเวียง

ทางการออสเตรเลีย ระบุว่า ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายราย’ ต่างเป็นเหยื่อของสุราปนเปื้อนเมทานอลนี้ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันแล้วว่ามีชาวอเมริกัน 1 รายเสียชีวิตที่วังเวียง และกระทรวงต่างประเทศเดนมาร์ก ยืนยันว่ามีพลเมือง 2 รายเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้เช่นกัน

นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศนิวซีแลนด์ เผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มีพลเมือง 1 รายล้มป่วยในลาว และคาดว่าอาจเป็นเหยื่อของสุราปนเปื้อน พร้อมทั้งออกคำเตือนการเดินทางของพลเมืองนิวซีแลนด์ที่ไปเยือนลาวให้ระมัดระวังในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนเมทานอลในลาวด้วยเช่นกัน

'ด.ต.เสน่ห์' ตร.ไทยเข็นนทท.เมาแอ๋ส่งที่พัก เผยเข้าใจหัวอกพ่อแม่ห่วงลูกหลาน

(6 ธ.ค. 67) ตำรวจไทยกลายเป็นที่ชื่นชมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังคลิปวิดีโอหนึ่งเผยให้เห็นการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวสาว 2 รายที่เมาหนักจนหมดสติบนเกาะพีพี โดยเว็บไซต์ข่าวในออสเตรเลียรายงานเหตุการณ์นี้เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา

ในคลิปวิดีโอเผยภาพ ด.ต.เสน่ห์ เจือละออง เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ สภ.เกาะพีพี ช่วยนักท่องเที่ยวหญิงอายุ 19 ปีจากออสเตรเลีย และ 23 ปีจากเยอรมนีที่หมดสติหลังจากดื่มหนักตลอดทั้งคืน เพื่อนนักท่องเที่ยวพยายามปลุกแต่ไม่สำเร็จ ด.ต.เสน่ห์จึงยืมรถเข็นจากร้านค้าในพื้นที่นำพวกเธอขึ้นรถและเข็นกลับไปยังที่พักอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงโฮสเทล เพื่อน ๆ ของนักท่องเที่ยวร่วมมือกับ ด.ต.เสน่ห์ช่วยพาพวกเธอไปยังห้องพักอย่างปลอดภัย

ด.ต.เสน่ห์ เป็นคุณพ่อของลูกสาว 3 คน เปิดเผยว่าเขาเข้าใจหัวอกผู้ปกครองและต้องการปกป้องนักท่องเที่ยวจากอันตราย "ผมคิดว่าเราเหมือนเป็นผู้ปกครองที่พาพวกเขากลับบ้าน ทั้งสองคนเมามากจนพูดไม่ได้และยืนไม่ไหว ในสถานการณ์แบบนี้พวกเขาอาจเกิดอุบัติเหตุอย่างตกบันไดหรือทะเลได้ ผมจึงอยากมั่นใจว่าพวกเขาจะเข้านอนอย่างปลอดภัย"

ด.ต.เสน่ห์ย้ำว่า การช่วยนักท่องเที่ยวที่เมาหนักเป็นหน้าที่หนึ่งของตำรวจบนเกาะพีพี และเขาได้ทำแบบนี้มานานกว่า 2 ปีแล้ว โดยถือปฏิบัติตามโครงการ 'You drink, I drive เมาไม่ขับ กลับกับตำรวจ' ซึ่งช่วยดูแลนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เมาจนไม่สามารถกลับที่พักเองได้

"เราไม่อยากลงโทษหรือตำหนิ แต่เลือกที่จะช่วยเหลือและปกป้องพวกเขาแทน เพราะเข้าใจว่าทุกคนมาเที่ยวที่เกาะพีพีเพื่อความสนุกสนาน"

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของตำรวจไทยในสายตาชาวต่างชาติอีกด้วย

กองทัพเรือสหรัฐฯ เตรียมส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 4 ลำ ประจำการออสเตรเลีย เพื่อถ่วงดุลจีนในอินโด-แปซิฟิก

(17 มี.ค. 68) กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแผนการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้นเวอร์จิเนีย จำนวน 4 ลำ เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ภายในปี 2570 โดยภายใต้ข้อตกลง AUKUS ซึ่งเป็นความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย

ขณะนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำน้ำ USS Minnesota (SSN-783) เข้าร่วมการฝึกซ้อมนำร่องที่ฐานทัพเรือในออสเตรเลียแล้ว โดยการฝึกซ้อมดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เหลือเข้าประจำการในอนาคต นอกจากนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังเตรียมส่งกำลังพล 50-80 นาย เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling ภายในกลางปี 2568 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเรือดำน้ำเหล่านี้

สำหรับที่ตั้งของ HMAS Stirling ตั้งอยู่ใกล้เอเชียและมหาสมุทรอินเดียมากกว่าที่ตั้งกองบัญชาการกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐฯ “การปกป้องมหาสมุทรอินเดียจากศักยภาพและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นสิ่งสำคัญ” ปีเตอร์ ดีน ผู้อำนวยการด้านนโยบายต่างประเทศและการป้องกันของศูนย์ศึกษาสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าว

การส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์และกำลังพลดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคในการขยายอิทธิพลทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะการถ่วงดุลอิทธิพลของจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดังกล่าว

การประจำการของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในออสเตรเลียตามข้อตกลง AUKUS จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติการทางทะเลของพันธมิตรในภูมิภาค และส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนพันธมิตรในออสเตรเลียและภูมิภาคนี้ในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top