Tuesday, 22 April 2025
สำนักนายกรัฐมนตรี

สำนักนายกฯ ทุ่ม 2 ล้าน จ้างที่ปรึกษาฯ ทำโพล ‘คนไทยรับรู้-เชื่อมั่น’ ต่อผลงาน/นโยบายรัฐบาล ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา’? กำหนดระยะเวลา 3 เดือน ต.ค.- ธ.ค. 2564 

มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เผยแพร่ประกาศโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาสำรวจการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อนโยบายและผลงานรัฐบาลและความเชื่อมั่นที่มีต่อการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี

โครงการนี้ ดำเนินการโดย ‘สำนักโฆษก’ ตามวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรและตามราคากลาง สำหรับว่าจ้างที่ปรึกษา วงเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคามาตรฐานตามที่สำนักงบประมาณ หรือหน่วยงานกลางจากสถาบันการศึกษาอื่นกำหนด

โครงการดังกล่าว กำหนดวงเงินเพื่อเป็น ‘ค่าตอบแทนบุคลากร’ จำนวน 1,203,880 บาท

รัฐบาลปลื้ม ไทยติดอันดับ 8 ‘ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรม’ มากที่สุดในโลก ชี้!! มาถูกทาง เตรียมขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่

(2 พ.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลสำเร็จการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ไทย ของในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งมั่นยกระดับศักยภาพของคนไทย และทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล สร้างความประทับใจให้คนทั่วโลก

ส่งผลต่อการจัดอันดับในหัวข้อ ‘ประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก’ ประจำปี 2567 บนเว็บไซต์ U.S. News & World Report ประเทศไทยติดอันดับที่ 8 จากทั้งหมด 89 ประเทศ ถือเป็นอันดับสูงสุดของประเทศแถบเอเชีย

นายจิรายุ กล่าวว่า หลักเกณฑ์พิจารณา จะพิจารณาจากคุณลักษณะของประเทศ 5 ประการ ได้แก่ มีวัฒนธรรมที่เข้าถึงได้, มีประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง, มีอาหารที่ยอดเยี่ยม, มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย และมีสถานที่ท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์เป็นจำนวนมาก จากรายละเอียดการจัดอันดับระบุว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม

และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดในโลก ผสมผสานระหว่างศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมกับบ้านเมืองที่ทันสมัย มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และทางธรรมชาติ หาดทรายและวัดวาอารามที่งดงาม และมีชื่อเสียงด้านการนวดแผนไทยและอาหารที่มีรสชาติยอดเยี่ยม

“สะท้อนให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเดินมาถูกทาง นายก ฯ แพทองธาร เตรียมขับเคลื่อนงานวัฒนธรรม ให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ในการสร้างรายได้ในประเทศเร่งเดินหน้าผลักดันประเทศไทยให้เป็น 1 ใน 25 ประเทศที่มีอิทธิพลด้าน Soft Power ในมิติวัฒนธรรม ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ให้มาสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยววัฒนธรรมของไทย” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

นักลงทุนต่างชาติ เชื่อมั่น!! ประเทศไทย ลงทุนกว่า 1.3 แสนล้านบาท ชี้!! มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ กระตุ้นให้เกิดการลงทุน

(3 พ.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงตัวเลขนักลงทุนต่างชาติที่สนใจมาลงทุนในประเทศไทย ว่า ตัวเลขเพิ่มขึ้น แสดงถึงศักยภาพของไทยที่ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โดยพบว่าตั้งแต่เดือน มกราคม-กันยายน ที่อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 636 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 143 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 493 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท และเกิดการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 2,505 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 143 ราย คิดเป็นร้อยละ 29 มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 50,792 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60

นายจิรายุ กล่าวว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก 1.ญี่ปุ่น 157 ราย (25%) เงินลงทุน 74,091 ล้านบาท 2.สิงคโปร์ 96 ราย (15%) ลงทุน 12,222 ล้านบาท 3.จีน 89 ราย (14%) ลงทุน 11,981 ล้านบาท 4.สหรัฐอเมริกา 86 ราย (13%) ลงทุน 4,147 ล้านบาท และ 5.ฮ่องกง 46 ราย (7%) ลงทุน 14,116 ล้านบาท โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ของนักลงทุนต่างชาติช่วง 9 เดือน ปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติลงทุน 207 ราย (33% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 108 ราย (109%) มูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท (30% ของเงินลงทุนทั้งหมด) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 23,690 ล้านบาท (147%) โดยเป็นนักลงทุนจาก ญี่ปุ่น 67 ราย เงินลงทุน 13,191 ล้านบาท จีน 54 ราย ลงทุน 7,227 ล้านบาท ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,219 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 68 ราย ลงทุน 14,192 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศคือ ธุรกิจ แพลตฟอร์ม และ ซอฟต์แวร์ ที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยมีสัดส่วนการลงทุนมูลค่า 28,397.26 ล้านบาท คิดเป็น 7.27% (กลุ่มแพลตฟอร์ม 11,721.44 ล้านบาท กลุ่มซอฟต์แวร์ 16,675.82 ล้านบาท) โดยต่างชาติที่มาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ สิงคโปร์ ลงทุน 9,814.28 ล้านบาท ไต้หวัน 5,953.63 ล้านบาท และ มาเลเซีย 2,237.63 ล้านบาท

นายจิรายุ กล่าวว่า ตัวเลขการลงทุนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนชาวต่างชาติให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ควรแก่การมาลงทุน เป้าหมายของรัฐบาล คือการหาตลาดการลงทุนใหม่ รักษาตลาดเก่า ขยายการลงทุนให้เป็นรูปธรรมเพิ่มขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีสิทธิประโยชน์ที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ และมีอุตสาหกรรมที่พร้อมสนับสนุนแผนการลงทุน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทย

‘รองโฆษกรัฐบาล’ ชวนปชช. ชมภาพยนตร์หาชมยาก ในงาน ‘เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพมหานคร’

(10 พ.ย. 67) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล เชิญชวนประชาชนร่วมงาน เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 16 หรือ World Film Festival of Bangkok 2024 ระหว่างวันที่ 7 – 17 พฤศจิกายน 2567 ณ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร จัดโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และพันธมิตรภาคเอกชน

นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า เทศกาลดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย ‘Soft Power’ ด้านภาพยนตร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ และผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย รวมถึงเพื่อขยายโอกาสสู่ตลาดภาพยนตร์นานาชาติ อีกทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมโยงศิลปวัฒนธรรม แนวคิด รวมถึงเรียนรู้ความหลากหลายของชีวิตผ่านเนื้อหาภาพยนตร์จากทั่วโลก ซึ่งปีนี้กลับมาในคอนเซปต์ ‘New Horizons’ สื่อถึงการแสวงหาขอบฟ้าใหม่ๆ บ่งบอกถึงการก้าวเดินสู่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในอนาคต

สำหรับเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่ 16 ได้คัดสรรหนังเด็ด คุณภาพหาชมยาก นับ 100 เรื่อง จาก 35 ประเทศทั่วโลก ให้คนไทยได้รับชมอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเทศกาลฯ ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสนับสนุนผลักดันด้านภาพยนตร์ไทยให้เป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ โดยนำความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม เทคโนโลยี มาประยุกต์กับต้นทุนทางวัฒนธรรมของไทย เพื่อขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านภาพยนตร์ไทยสู่เวทีนานาชาติ

‘รองโฆษก’ เผย!! รัฐบาลไทย รับมอบ 4 วัตถุโบราณบ้านเชียง อายุกว่า 3,500 ปี ชี้!! เป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ‘ไทย – สหรัฐอเมริกา’ ทางด้านวัฒนธรรม

(17 พ.ย. 67) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมรับมอบโบราณวัตถุบ้านเชียง 4 ชิ้น จากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ประกอบด้วย ภาชนะดินเผา กำไลข้อมือ และลูกกลิ้งทรงกระบอกสองชิ้นที่ยังไม่ทราบการใช้งานที่แน่ชัด โดยวัตถุโบราณดังกล่าว มีลวดลายเขียนสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และได้รับยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางของวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยีของมนุษย์ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 3,500 ปี 

“พิธีการส่งคืนโบราณวัตถุบ้านเชียงครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญต่อแหล่งที่มาของโบราณวัตถุแล้ว ถือเป็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาที่ดำเนินความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมมาต่อเนื่อง ต่อจากการส่งคืนโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ โกลเด้นบอย เมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งการนำวัตถุโบราณ ที่ห่างไกลจากประเทศไทย ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะสถานทูตสหรัฐที่ติดต่อและส่งคืนวัตถุโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ รวมถึงหน่วยงานทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือโดยเฉพาะองค์การยูเนสโก” นางสาวศศิกานต์ กล่าวระบุ

นางสาวศศิกานต์ ยังกล่าวอีกว่า คณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุในต่างประเทศ และได้วางแนวทางติดตามวัตถุโบราณคืนสู่ประเทศไทยทุก ๆ สามเดือน และได้รับแจ้งว่าสหรัฐจะส่งคืนโบราณสถานให้ไทยอีก 2 ชิ้น เป็นประติมากรรมรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการตรวจพิสูจน์ และภายหลังการรับมอบโบราณวัตถุทั้ง 4 ชิ้น จะมีการจัดแสดงให้ผู้สนใจได้เข้าชมยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่อไป รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้าย

‘รองโฆษกรัฐบาล’ ชี้!! ‘ญี่ปุ่น - จีน - ฮ่องกง’ แห่ลงทุน EEC เผย!! 10 เดือน เพิ่มขึ้น 128% มูลค่ากว่า 4.5 หมื่นล้านบาท

(24 พ.ย. 67) น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง รายงานผลการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ว่า ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวน 251 ราย คิดเป็น 32% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ เพิ่มขึ้น 128% มีมูลค่าการลงทุน 45,739 ล้านบาท คิดเป็น 28% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 146% 

นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนอันดับ 1 จากญี่ปุ่น 86 ราย ลงทุน 16,184 ล้านบาท ,จีน 59 ราย ลงทุน 8,030 ล้านบาท ,ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,219 ล้านบาท และประเทศอื่น 88 ราย ลงทุน 16,306 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการวิศวกรรม ธุรกิจบริการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ธุรกิจบริการติดตั้ง ทดสอบ ซ่อมแซม บำรุงรักษาและฝึกอบรมเกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และระบบการทำงาน ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐาน และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า 

น.ส. ศศิกานต์ กล่าวว่า สำหรับการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวน 786 ราย ประกอบด้วย 1. การลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 181 ราย 2. การขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 605 ราย เงินลงทุนรวม 161,169 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทย 3,037 คน โดย นักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก 1.ญี่ปุ่น 211 ราย สัดส่วน 27% ลงทุน 91,700 ล้านบาท 2.สิงคโปร์ 110 ราย สัดส่วน 14% ลงทุน 14,779 ล้านบาท 3.จีน 103 ราย สัดส่วน 13% ลงทุน 13,806 ล้านบาท 4.สหรัฐฯ 103 ราย สัดส่วน 13% ลงทุน 4,552 ล้านบาท และ 5.ฮ่องกง 57 ราย สัดส่วน 7% ลงทุน 14,461 ล้านบาท

‘จิรายุ’ ชวนประชาชน สักการะ ‘พระเขี้ยวแก้ว’ มีกิจกรรม เจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา

(8 ธ.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพียงแค่สองวันที่เปิดให้ประชาชนได้เข้าสักการะพระเขี้ยวแก้ว พบว่ามี ประชาชนให้ความสนใจเดินทางมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ท้องสนามหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ปี 2568 อย่างเนืองแน่นและต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวันหยุดนี้ ซึ่งภายในท้องสนามหลวง ยังมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และมีการจัดกิจกรรมทุกวันอีกด้วย

ทั้งนี้ ขอแนะนำรายละเอียดและข้อปฎิบัติ สำหรับประชาชนที่เดินทางเข้าน้อมกราบพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว ดังนี้ ประตูเปิดให้เข้าตั้งแต่ เวลา 07.00 – 20.00 น. ของทุกวัน , แสดงบัตรประชาชน หรือใบขับขี่ หรือพาสปอร์ตต่อเจ้าหน้าที่ประตูทางเข้า เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้เข้า หากไม่มีบัตรแสดงตน, ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดเข้าไปภายในบริเวณ, งดนำดอกไม้ พวงมาลัย พานบายศรี มาเอง, รัฐบาลจัดดอกบัวประดิษฐ์ไว้ภายใน เพื่อให้น้อมถวาย ผู้เข้าสักการะสามารถหยิบพร้อมบทสวดมนต์ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ, สามารถเดินน้อมสวดมนต์ เดินเวียนเทียนแล้ววางบริเวณจุดวางดอกบัวโดยรอบได้โดยไม่ต้องไปรอวางด้านข้างจุดแรกจุดเดียว, ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าภายในบริเวณมณฑลพิธี, แต่งกายสุภาพ ในลักษณะเข้าศาสนสถาน, ไม่อนุญาตให้ใส่ชุดดำ เข้าบริเวณมณฑลพิธี, ไม่อนุญาตให้ใส่ขาสั้น สายเดี่ยว เกาะอก เสื้อบาง กางเกงยีนส์ขาด เข้าสักการะ, ห้ามนำวัตถุของมีคม วัตถุไวไฟ ไฟแช็ค มีด คัตเตอร์ เข้าไปภายในบริเวณมณฑลพิธี

นอกจากนี้ ยังมีการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ในช่วงเวลา 10.00-12.00 น. และเวลา 16.00 น. เป็นต้นไป และพิธีเจริญจิตตภาวนา ทุกวันพระ โดยจะมีพิธีแสดงธรรมเทศนา 1 กันต์ (ในภาคเช้า) สำหรับในวันที่ 31 ธ.ค. 2567 จะมีกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี และกิจกรรมทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ วันที่ 1 ม.ค.2568

“ขอเชิญชวนเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งโอกาสที่หาได้ ไม่บ่อยนักที่จะได้สักการะพระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศจีน ที่ประดิษฐานเป็นการชั่วคราวในประเทศไทยจนถึงวันที่ 14 ก.พ. 2568 เวลา 07.00-20.00 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และจะอัญเชิญกลับในวันที่ 15 ก.พ. 2568” โฆษกรัฐบาล กล่าวทิ้งท้าย

‘ศศิกานต์’ เชิญชวน!! คนไทยท่องเที่ยว ช่วงเทศกาล ส่งความสุข!! พร้อมดีลพิเศษ เพียงจองผ่านเว็บไซต์

(10 ธ.ค. 67) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี    กล่าวว่า ขอเชิญชวนคนไทยเดินทางท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลท่องเที่ยว นี้ ผ่านโครงการ ‘สุขทันที ปลายปีเที่ยวไทย’ มุ่งสร้างกระแสการเดินทางภายในประเทศช่วงปลายปี โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้เปิด www.สุขทันทีปลายปีเที่ยวไทย.com  ซึ่งรวบรวมที่พักชั้นนำจากทั่วประเทศในสไตล์ที่หลากหลายกว่า 200 แห่ง ให้สามารถเลือกโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษ  โดยจองผ่านเว็บไซต์ www.สุขทันทีปลายปีเที่ยวไทย.com  ซึ่งมีส่วนลดตั้งแต่ 15-35% และสามารถรับส่วนลดเพิ่มอีก 5-10% เมื่อจองผ่านเว็บไซต์นี้ ทำให้ได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 45% สำหรับโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ มีหลากหลายระดับทั้งโรงแรมชั้นนำที่ได้รับรางวัล และโรงแรมเครือดังที่ไม่เคยลดราคามาก่อน

ผู้ที่สนใจจองห้องพักสามารถเลือกใช้ 2 วิธีง่ายๆ บนเว็บไซต์ www.สุขทันทีปลายปีเที่ยวไทย.com  ดังนี้

1.เลือกโรงแรมที่ชอบ จากนั้นระบบจะนำไปที่เว็บจองของโรงแรมนั้นโดยตรง กรอกรหัส ‘happynow’ เพื่อรับส่วนลดพิเศษทันที

2.กรอกรหัส ‘happynow’ บนเว็บของโรงแรมที่เลือก ระบบจะยืนยันผ่านอีเมลพร้อมเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง

“ผู้สนใจสามารถจองได้ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2567 - 31 มีนาคม 2568 และสามารถเข้าพักในโรงแรมหรือที่พักที่ได้ทำการจองไว้ได้ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 31 มีนาคม 2568 ติดตามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมที่ Facebook: Amazing ไทยแลนด์ หรือโทร 1672 Travel Buddy” นางสาวศศิกานต์ กล่าวทิ้งท้าย

‘จิรายุ’ เผย!! ‘แพทองธาร’ เป็นนายกรัฐมนตรี 3 เดือน ทำงานเข้าตาประชาชน วางเป้า!! ทำให้คนไทย หลุดจาก ‘กับดักความยากจน’ ก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้ว

(21 ธ.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นของนอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ท กรุงเทพ ในประเด็น ‘ท่านเห็นว่าบุคคลใดที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นนักการเมืองแห่งปี 2567’ พบว่า ประชาชนชื่นชมและชื่นชอบโหวตให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มาเป็นอันดับหนึ่ง นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกกำลังใจ ถือว่าจะเป็นอีกแรงผลักดันสำคัญในการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป

นายจิรายุ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศมาเพียง 3 เดือน ได้เร่งผลักดันแก้ไขปัญหาที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติและตรงตามความต้องการของประชาชน ซึ่งผลการสำรวจความคิดเห็นนี้จะเป็นอีกเสียงที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการทำงาน ความสำเร็จที่เห็นผล อย่างเป็นรูปธรรมในการเดินหน้าในทุกนโยบาย ของรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นทั้งคำชมหรือข้อแนะนำเพื่อนำไปปรับปรุงให้เป็นประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน

นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลยืนยันว่าจะขอทำงานให้หนักมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการลงพื้นที่แก้ไขปัญหาในทุก ๆ หมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัดและทุกภาคของประเทศและการเป็นตัวแทนของประเทศเพื่อนำพาประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักและเชิญชวนนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมาประเทศไทยให้ได้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าในทุกตารางนิ้วของประเทศ ตามนโยบาย 2568 โอกาสไทยทำได้จริง หลังจากภาวะเศรษฐกิจ สังคมหยุดนิ่งมานานหลายปี

โฆษกรัฐบาล ยังกล่าวอีกด้วยว่า นายกรัฐมนตรียืนยันว่าปีหน้าจะเร่งสปีดนโยบายต่างๆโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งช่วงหน้าฝน ประชาชนจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงภัยกับอุทกภัยซ้ำซากแบบนี้อีก นอกจากนี้การเร่งรัดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจะเร่งทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว รวมทั้งการปราบปรามยาเสพติดที่ มอบนโยบายเร่งด่วนให้ส่วนราชการให้ดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียืนยันและขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะนำพาเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งสิ่งดี ๆ กลับคืนสู่พี่น้องประชาชนให้ได้ในเร็ววันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ประเทศไทยหลุดกับดักความยากจนและก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วให้ได้

รัฐบาล เน้นย้ำ!! เดินหน้า เสริมสร้างความมั่นคง ให้ประเทศ เตรียมพร้อม!! รับมือภัยคุกคาม ให้ครอบคลุมทุกมิติ

(5 ม.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รายงานการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยปี 2568 นี้ กอ.รมน. มุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และปรับบทบาท ให้สอดคล้องกับปัญหา ความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อสร้างโอกาส เพิ่มศักยภาพ เสริมความมั่นคงให้ประเทศยิ่งขึ้นไป

การขับเคลื่อนงานความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เดินหน้าเสริมสร้างความมั่นคงภายใต้แผนงาน ‘ตำบล มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’ ร่วมกับส่วนราชการกำหนด 1,154 ตำบลตามเป้าหมาย เพื่อมุ่งแก้ไขภัยคุกคามและพัฒนาให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ มีการดำเนินการจัดตั้งหมู่บ้านอาสาพัฒนาตนเอง จำนวน 55 หมู่บ้าน ใน 55 จังหวัด เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของหมู่บ้านให้มีความเข้มแข็งรักในถิ่นฐาน พร้อมเป็นส่วนร่วมในการพัฒนาและป้องกันตนเองในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ 

การแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ  ได้มีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดน (นบ.ยส.) ในพื้นที่ภาคเหนือ (นบ.ยส.35) รับผิดชอบพื้นที่ 18 อำเภอ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) รับผิดชอบพื้นที่ 25 อำเภอ ของจังหวัดนครพนม เลย หนองคาย บึงกาฬ มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมถึงในปี 68 จะมีการจัดตั้งหน่วย นบ.ยส.17 เพิ่มเติม เพื่อป้องกันและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนภาคตะวันตกใน 5 อำเภอของจังหวัดกาญจนบุรี

ทั้งนี้ กอ.รมน. ได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนนโยบาย ได้แก่ 

1) การจัดระเบียบคนไร้ที่พึ่ง ซึ่ง กอ.รมน. ร่วมกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และส่วนที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแก้ไขและช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง เตรียมจัดตั้งบ้านอิ่มใจรองรับและดูแลคนไร้ที่พึ่งได้ 200 คน และจะร่วมกันดูแลด้านสวัสดิการ สังคม สุขอนามัย และการฝึกอาชีพต่อไป 

2) การบริหารจัดการที่ดินของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์ กอ.รมน. บูรณาการร่วมกับ กระทรวงกลาโหม (กห.) และเหล่าทัพ มอบพื้นที่ให้กับกรมธนารักษ์ไปดำเนินการจัดสรรให้ประชาชนเช่าใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ทั้งในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ปัจจุบันมีประชาชนได้รับสิทธิในที่ดินทำกินและอยู่อาศัย เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 55,180 ไร่เศษ 

3) การดำเนินการเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบทหารกองประจำการแบบสมัครใจ กอ.รมน ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าสร้างแรงจูงใจ การส่งเสริมการศึกษาอาชีพ โดยจะดำเนินการศึกษาแนวทางการขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทน สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ตลอดจนสิทธิ์ในการเข้ารับราชการใน กห. เหล่าทัพ และกระทรวงต่าง ๆ ต่อไป 

4) การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้บูรณาการร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 และ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการวางแผน อำนวยการและบูรณาการ การป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง ในพื้นที่รับผิดชอบและพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดให้ครอบคลุม ซึ่งพบว่าจุดความร้อนสะสม พื้นที่เผาไหม้สะสม และค่าฝุ่นละอองลดลงเมื่อเทียบกับห้วงปีที่ผ่านมา 

5) นโยบาย ‘ไม่ท่วม ไม่แล้ง’ กอ.รมน. บูรณาการร่วมกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย สำรวจความเดือดร้อนของประชาชน ในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัด (ตราด จันทบุรี อุทัยธานี อุดรธานี น่าน เชียงใหม่ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) โดยจะเสนอโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเร่งด่วน 71 โครงการ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ 17,215 ครัวเรือน (49,105 ราย) 

นอกจากนี้ กอ.รมน. ได้บูรณาการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ร่องน้ำทะเลสาบสงขลาที่มีการใช้เครื่องมือประมงประเภทโพงพาง ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของสัตว์น้ำและทำให้เกิดอุบัติเหตุในการสัญจรทางเรือหลายครั้ง ปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อนเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน กอ.รมน.ภาค 4 จึงได้บูรณาการแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา และจะเชิญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมต่อไป รวมถึงแนวทางการเพิ่มบทบาทข้าราชการพลเรือน ปัจจุบัน กอ.รมน. กำหนดแนวทางเพื่อเพิ่มบทบาทข้าราชการพลเรือน ลดสัดส่วนของทหาร รวมถึงการกำหนดอัตรากำลังใน กอ.รมน. ให้สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจในปัจจุบันและอนาคตของประเทศ 

“สำหรับการปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน. ได้นำเสนอเรื่องแนวทางการดำเนินการ โดยให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาความเหมาะสม ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบและมีมติให้ ผอ.รมน.ภาค 4 เป็นผู้รับมอบอำนาจจาก ผอ.รมน. ดำเนินการ ประกอบด้วย การปรับโครงสร้าง อัตรากำลัง และแผนเสริมสร้างสันติสุข ของ จชต. เนื่องจากปัจจุบัน สถานการณ์ใน จชต. ในภาพรวมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ สถิติความเสียหายต่อทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่การยกเลิกพื้นที่ประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เป็นรายอำเภอ จึงมีการปรับลดอัตรากำลังพล จำนวน 178 อัตรา คงเหลือ 49,735 อัตรา ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมการถ่ายโอนภารกิจให้แก่ อส.จชต. ในปี 2570 พร้อมพิจารณาถึงแนวทางแผนเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2568 ซึ่งปรับให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น มีประชาชนเป็นจุดสมดุล โดยบูรณาการกับหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพแผนงานหลักในการวางแผน เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหา จชต. เป็นไปอย่างประสานสอดคล้องและมีประสิทธิภาพ” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top