Sunday, 20 April 2025
สหรัฐอเมริกา

6 มกราคม พ.ศ. 2567 ครบรอบ 3 ปีที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ใช้เวลา 187 นาที นั่งดูผู้ชุมนุม ‘ก่อจลาจล-โจมตี’ รัฐสภาสหรัฐฯ

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2564 หรือ ค.ศ. 2021 ประชาชนนับพันผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้ชิงตำแหน่งสมัยที่ 2 ได้บุกเข้าไปยังอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ขัดขวางการนับคะแนนเพื่อยืนยันชัยชนะอย่างเป็นทางการของ ‘โจ ไบเดน’ ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต

เหตุการณ์ในครั้งนั้นนับเป็นเหตุจู่โจมสภาคองเกรสที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่สงครามในปี ค.ศ. 1812 และถูกโหมโดย ‘ทรัมป์’ ซึ่งกล่าวอ้างอย่างผิด ๆ ว่า ความพ่ายแพ้ของเขาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 2020 นั้นเกิดจาก ‘การโกง’

เหตุการณ์จลาจลดังกล่าวส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งนายเสียชีวิตหลังจากปะทะกับผู้ประท้วง ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้อง 4 นาย เสียชีวิตในเวลาต่อมาจากการฆ่าตัวตาย อีก 140 นายได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ ฝั่งผู้ประท้วงเสียชีวิต 4 ศพ ประชาชนมากกว่า 700 คน ถูกจับกุมด้วยข้อหามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้

ทรัมป์ได้โพสต์วิดีโอเมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 โดยเขาใช้เวลา 40 วินาทีให้ความเห็นอกเห็นใจผู้ประท้วง “ผมรับรู้ถึงความเจ็บปวด ผมรู้ว่าพวกคุณเจ็บปวด แต่ตอนนี้ผมอยากให้พวกคุณกลับบ้าน เราต้องมีสันติ เราต้องรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย เราต้องเคารพกฎหมายและความสงบเรียบร้อยของประชาชน”

นอกจากนี้ยังโพสต์ข้อความเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับม็อบ ระบุว่า…“นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชัยชนะของการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอันศักดิ์สิทธิ์ถูกพรากไปจากผู้รักชาติที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ยุติธรรมมาเป็นเวลานาน” 

เขาโพสต์ต่อว่า “กลับบ้านด้วยความรักและความสงบสุข จดจำวันนี้ไว้ตลอดไป!”

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ทรัมป์ถูกเสนอชื่อเข้าสู่กระบวนการถอดถอนจากตำแหน่งเป็นครั้งที่สอง และเข้ารับการสอบสวน โดยคณะกรรมการสภาสอบสวนเหตุการณ์ 6 มกราคม (Select Committee to Investigate the January 6th Attack on the United States Capitol) ที่จัดตั้งขึ้น เมื่อ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2021

โดยเบนนี ธอมป์สัน (Bennie Thompson) ประธานคณะกรรมการ และผู้แทนจากมิสซิสซิปปี กล่าวว่าคณะกรรมการทั้ง 9 คน ต้องการทราบว่าทรัมป์ทำอะไรบ้างระหว่าง ‘187 นาที ของการไม่ทำอะไรเลย’ ขณะที่เขานั่งดูผู้ประท้วงในโทรทัศน์จากห้องรับประทานอาหารในทำเนียบขาว

ทางด้านลิซ เชนีย์ รองประธานคณะกรรมการ และผู้แทนจากไวโอมิง หนึ่งในผู้วิพากษ์ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์รายการ ‘This Week’ ทางสถานี ABC ว่า “ทรัมป์ควรบอก (ผู้ประท้วง) ให้หยุดได้แล้ว แต่เขากลับไม่ได้ทำ”

'จีน' คว่ำบาตร 5 บริษัทค้าอาวุธอเมริกัน  ตอบโต้นโยบายขายอาวุธให้ไต้หวันของสหรัฐฯ

เมื่อวันอาทิตย์ (7 ม.ค.67) ที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งประกาศคว่ำบาตร 5 บริษัทค้าอาวุธสัญชาติอเมริกันทันที เพื่อตอบโต้นโยบายสนับสนุนอาวุธให้กับไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นการยุยงปลุกปั่นการแบ่งแยกดินแดนของเกาะไต้หวันอย่างจงใจ ขัดต่อหลักการนโยบายจีนเดียวของจีนแผ่นดินใหญ่ 

โดยบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ คว่ำบาตรโดยรัฐบาลปักกิ่ง ได้แก่...

- BAE Systems Land and Armaments
- Alliant Techsystems Operations
- AeroVironment
- ViaSat 
- Data Link Solutions 

กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ระบุชัดเจนในแถลงการณ์ว่า มาตรการคว่ำบาตรนี้ จะประกอบด้วยการอายัดทรัพย์สินของบริษัทเหล่านั้นในจีน รวมถึงสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ของทั้งองค์กร และตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการห้ามองค์กรและบุคคลของจีนทำธุรกรรมและให้ความร่วมมือองค์กรทั้ง 5 แห่งนี้ด้วย 

รัฐมนตรีต่างประเทศจีนยังเสริมอีกว่า การขายอาวุธของสหรัฐฯ ให้กับไต้หวันที่ถือว่าเป็นภูมิภาคส่วนหนึ่งของจีน ส่งผลเสียร้ายแรงต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลจีนที่จะต้องปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง สิทธิ และผลประโยชน์ขององค์กรและพลเมืองของจีนตามกฎหมาย 

มาตรการคว่ำบาตรของจีนในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้อนุมัติงบประมาณช่วยเหลือด้านการทหารแก่ไต้หวันมูลค่า 300 ล้านเหรียญ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ที่ครอบคลุมถึงการสนับสนุนด้านยุทโธปกรณ์ การฝึกอบรม และการซ่อมบำรุง เพื่อเสริมศักยภาพด้านการสั่งการ ควบคุม และการสื่อสารให้แก่กองทัพไต้หวัน

กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยังย้ำอีกว่า งบช่วยเหลือด้านการทหาร และ การขายอาวุธของสหรัฐฯให้ไต้หวัน จะช่วยให้ไต้หวันขยายขีดความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลจีนปักกิ่งต้องออกมาตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรบริษัทค้าอาวุธทั้ง 5 แห่งของสหรัฐอเมริกาในวันนี้ แม้นักวิเคราะห์ตะวันตกจะมองว่าการคว่ำบาตรของจีนเป็นเพียงการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตอาวุธของสหรัฐฯ ไม่สามารถขายอาวุธให้กับรัฐบาลจีนได้อยู่แล้ว 

แต่อย่างน้อยก็เป็นการส่งสัญญาณแสดงความไม่พอใจจากรัฐบาลปักกิ่ง ถึงสหรัฐฯ ที่พยายามใช้ไต้หวันเป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้งกับจีน ที่อาจลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารอย่างจริงจังระหว่างชาติมหาอำนาจตะวันตก กับ จีน ในเขตพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน ซึ่งการขายอาวุธของสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งรูปแบบของความพยายามในการแทรกแซงกิจการภายในของจีน ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีน และ ไต้หวัน 

รัฐบาลจีนจึงจำเป็นต้องตอบโต้ ผ่านนโยบายคว่ำบาตรที่สหรัฐอเมริกาชอบใช้กดดันประเทศที่เป็นอริกับตนอยู่เสมอ แต่อาจไม่เห็นผลมากนัก เพราะตราบใดที่การครอบครองอาวุธ หมายถึงการรักษาสันติภาพในมุมมองของสหรัฐฯ และรัฐบาลไต้หวันเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน ก็คงคลี่คลายได้ยาก

ยักษ์เทคฯ 'อเมซอน' เดินหน้าปลดพนักงาน 'ไพร์ม วิดีโอ-เอ็มจีเอ็มสตูดิโอ' หลัง 'ทุนจม-เล็งหาทิศทางใหม่' ตั้งเป้าปลดให้ได้ 27,000 คนในปี 67

อเมซอน อินคอร์ปอเรชั่น ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซระดับโลกในสหรัฐอเมริกา ประกาศปลดพนักงานจำนวนมากหลายร้อยคนขึ้นไปใน 2 ธุรกิจชื่อดัง ได้แก่ 'ไพร์ม วิดีโอ' (Prime Video) ธุรกิจสตรีมมิ่งภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลก และอเมซอน เอ็มจีเอ็ม สตูดิโอ ธุรกิจผลิตภาพยนตร์ ในสหรัฐอเมริกา สำหรับการปลดพนักงานจำนวนมากใน 2 บริษัทนี้ เป็นไปตามนโยบายของอเมซอนที่ประกาศไว้ตั้งแต่เมื่อปีผ่านมาว่าต้องปรับลดค่าใช้จ่ายลงให้มากที่สุดและต่อเนื่องด้วยการตั้งเป้าหมายปลดพนักงานมากมายถึง 27,000 คนระหว่างปี 2023 ถึงสิ้นปี 2024 

(11 ม.ค.67) Btimes รายงาน นายไมค์ ฮอพกิ้นส์ รองผู้อำนวยการอาวุโส ไพร์ม วิดีโอ และอเมซอน เอ็มจีเอ็ม สตูดิโอ กล่าวว่า ได้วิเคราะห์ แจกแจงโอกาสหลายอย่างที่จะลดหรือยุติการลงทุนในธุรกิจบางประเภท ในขณะที่ไปเพิ่มการลงทุนและเน้นความสำคัญสิ่งริเริ่มใหม่ๆ ด้านเนื้อหา และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งสร้างผลสำเร็จที่เห็นผลมากขึ้น 

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัททุ่มเงินลงทุนจำนวนมากมายในการตั้งและบุกธุรกิจสื่อ โดยใช้เงินลงทุนมากถึง 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 297,500 ล้านบาท ในการผนวกกิจการเอ็มจีเอ็ม และใช้เงิน 465 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 16,275 ล้านบาทในการสร้างภาพยนตร์ซีซั่นแรกของเดอะลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ตอนเดอะ ริง ออฟ พาวเวอร์ มาอยู่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งภาพยนตร์ของไพร์ม วิดีโอ

ขณะที่เมื่อวานนี้ (10 ม.ค.67) 'ทวิชต์' (Twitch) แบรนด์แพลตฟอร์มถ่ายทอดสดการเล่นเกมและการแข่งขันอี-สปอร์ต (e-Sports) ชื่อดังระดับโลกของบริษัทเทคโนโลยีและยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซชื่อดังระดับโลก อเมซอน อินคอร์ปอเรชั่น เตรียมประกาศในวันพุธนี้ตามเวลาในสหรัฐด้วยการปลดพนักงานครั้งใหญ่ออกมากกว่า 500 คน หรือมากถึง 35% ของพนักงานทั้งหมดในปัจจุบัน โดยการเตรียมประกาศปลดพนักงานในวันพุธนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 1 ปีผ่านมา ในปี 2023 ทวิชต์ปลดพนักงาน 2 รอบรวมกันกว่า 400 คน 

สาเหตุจากผลประกอบการของทวิชต์ที่ขาดทุนต่อเนื่อง ซึ่งผลจากการลงทุนสูงเพื่อให้บริการเว็บไซต์ในรูปแบบแพลตฟอร์มถ่ายทอดสดรองรับการเล่นเกมออนไลน์และการแข่งขันอี-สปอร์ต ที่กินเวลามากถึง 1,800 ล้านชั่วโมงต่อเดือน นับเป็นขนาดการให้บริการถ่ายทอดสดเกมออนไลน์ที่ใหญ่มหึมาแห่งหนึ่งของโลก ที่สำคัญเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมีราคาแพงมาก ทั้งๆ ที่ทวิชต์ใช้โครงสร้างเครือข่ายเทคโนโลยีของบริษัทอเมซอน อินคอร์ปอเรชั่น 

นอกจากนี้ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2023 ผ่านไป ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ นายแดน แคลนซี เปิดเผยว่า ทวิชต์จะยุติบริการถ่ายทอดสดเกมออนไลน์ และอี-สปอร์ตในประเทศเกาหลีใต้ สาเหตุจากค่าใช้จ่ายสูงอย่างมากมาย ท่ามกลางในปี 2023 เกิดการทยอยลาออกของผู้บริหารระดับสูงในบริษัททวิชต์หลายคนในช่วงที่ผ่านมา 

บริษัทอเมซอน อินคอร์ปอเรชั่น เข้าซื้อกิจการทวิชต์เมื่อปี 2015 ปรากฏว่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึง 9 ปีในปัจจุบัน ทวิชต์ ไม่สามารถสร้างผลประกอบการเป็นกำไรให้กับอเมซอน อินคอร์ปอเรชั่นได้เลยแม้แต่ปีเดียว เนื่องจากรูปแบบการหารายได้จากค่าโฆษณาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว และอยู่ในระดับสูงทุกวันนี้มาอย่างต่อเนื่อง 

‘สหรัฐฯ’ ยั่วยุ ‘จีน’ ประเด็นไต้หวันล้ำเส้นแดง หวังหยุดการเติบใหญ่ของจีน

(16 ม.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เผยไทม์ไลน์ท่าทีของสองมหาอำนาจ ‘สหรัฐฯ’ และ ‘จีน’ ภายหลังการเลือกตั้ง ปธน.ไต้หวันเสร็จสิ้น ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Aksornsri Phanishsarn’ ระบุเนื้อหา ดังนี้...

การยั่วยุจีน 🇨🇳 ในประเด็น #ไต้หวัน ตั้งใจ #ล้ำเส้นแดง ของจีน จนเกิดสงคราม คือ แผนสหรัฐฯ ที่คิดว่า เป็นหนทางเดียวที่จะใช้หยุดการเติบใหญ่ของจีน #อ่านเกมเมกา 🇺🇸 #ยั่วมังกรให้พ่นไฟ 🇨🇳
(https://www.facebook.com/1037140385/posts/10228816992263094/?)

หลังเลือกตั้งไต้หวันแค่วันเดียว!! สหรัฐฯ ส่งผู้แทนไปไต้หวัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะทำให้จีนไม่พอใจ 🇺🇸 #อ่านเกมเมกา

คณะผู้แทนอย่างไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ เดินทางเข้าพบทั้งสองผู้นำของไต้หวันหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งครั้งสำคัญเมื่อ 13 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความไม่พอใจของรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่

คณะผู้แทนอย่างไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ ได้แก่ สตีเฟน แฮดลีย์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และ เจมส์ สไตน์เบิร์ก อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงไต้หวันเมื่อวันที่ 14 ม.ค. หลังจากไล่ชิงเต๋อชนะเลือกตั้งแค่ 1 วัน และ เตรียมนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีคนที่ 8 ของไต้หวันนับตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 1947 (https://www.facebook.com/photo.php?fbid=711912137734799&set=a.586524703606877&type=3)

ทางการจีนประณามสหรัฐฯ รวมถึงรัฐบาลนานาชาติที่แสดงความยินดีต่อไล่ชิงเต๋อและพรรค DPP ที่ชนะการเลือกตั้งไต้หวัน และเรียกร้องให้ทุกประเทศสนับสนุนหลักการจีนเดียว และเน้นย้ำว่า “ไม่ว่าผล #การเลือกตั้งท้องถิ่นในไต้หวัน จะเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนจะไม่เปลี่ยนแปลง” (อ้างอิง: https://www.aljazeera.com/news/2024/1/15/taiwans-tsai-and-lai-welcome-us-support-as-beijing-fumes-over-election
https://www.reuters.com/world/asia-pacific/former-us-officials-visit-taiwan-post-election-talks-2024-01-14/
)

‘ทรัมป์’ โกยคะแนนชนะ ‘เฮลีย์’ เลือกตั้งขั้นต้นรัฐนิวแฮมป์เชียร์ จ่อเป็นตัวแทนรีพับลิกัน ชิงเก้าอี้ปธน.สหรัฐ กับ ‘โจ ไบเดน’

(25 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่าการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาตัวแทนพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งเป็นรัฐที่สอง เสร็จสิ้นลงแล้ว ปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะขาดตามคาดเหนือ นิคกี เฮลีย์ คู่แข่งที่เหลือเพียงคนเดียว จ่อได้เป็นตัวแทนพรรคเข้าไปชิงชัยกับ โจ ไบเดน จากเดโมแครต

การเลือกตั้งที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ตอกย้ำความได้เปรียบของทรัมป์หลังจากที่เขาชนะรัฐไอโอวา รัฐแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์นี้ เหลือเพียงเขากับ นิคกี เฮลีย์ คู่แข่งที่เขาเคยแต่งตั้งให้เป็นทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะผู้สมัครคนอื่นถอนตัวไปแล้ว ล่าสุด ผลการนับคะแนนเสร็จสิ้นไปกว่าร้อยละ 90 ผลปรากฏว่า ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งที่นิวแฮมป์เชียร์ โดยได้คะแนนไปราวร้อยละ 50 ทิ้งห่างเฮลีย์ ที่ได้ประมาณร้อยละ 40

หลังจากทราบผลไม่เป็นทางการ ทรัมป์ ได้เปิดแถลงข่าวและได้วิจารณ์ล้อเลียน เฮลีย์ ว่า เป็นผู้แพ้ที่ไม่ยอมรับความจริง เหมือนกับการเลือกตั้งที่ไอโอวาก่อนหน้านี้ ที่ได้คะแนนเป็นลำดับสาม แต่กลับปราศัยราวกับเป็นผู้ชนะทั้ง ๆ ที่ล้มเหลวในการเลือกตั้ง เขายังได้ยกความสำเร็จทั้งในการเลือกตั้งและการสำรวจว่าได้รับความนิยมและเชื่อมั่นจากประชาชนให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงทำเนียบขาวกลับคืนมาจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เพื่อทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ด้าน เฮลีย์ ก็ได้แถลงกับผู้สนับสนุนเช่นกัน และประกาศว่าจะยังไม่ถอนตัวและต่อสู้ต่อไป โดยได้แสดงความยินดีกับทรัมป์ เพราะการแข่งขันยังไม่เสร็จสิ้นยังมีอีกหลายรัฐรออยู่ เฮลีย์ยังได้ท้าทายให้ทรัมป์ แสดงความกล้าหาญด้วยการร่วมโต้วาที ประชันวิสัยทัศน์กับเธอหลังจากที่ได้หลีกเลี่ยงไม่ร่วมการโต้วาทีกับผู้สมัครคนอื่น ๆ เลย

ส่วนทางด้านพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ก็มีการเลือกตั้งขั้นต้นในนิวแฮมป์เชียร์ในวันเดียวกัน แต่เนื่องจากเกิดขัดแย้งภายในพรรค ทำให้ชื่อของไบเดนไม่อยู่บนบัตรเลือกตั้ง และทำให้ผลเลือกตั้งในนิวแฮมป์เชียร์ของพรรคเดโมแครต จะไม่ได้รับการรับรองผล

สำหรับการเลือกตั้งขั้นต้นครั้งต่อไปที่รัฐเซาท์แคโรไลนา ซึ่งเฮลีย์เคยเป็นผู้ว่าการรัฐติดต่อกัน 2 สมัย จะจัดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจะเป็นรัฐที่เฮลีย์แพ้ไม่ได้ หลังจากแพ้มาแล้วใน 2 รัฐแรก

'วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์' ปลุกสติ 'คนอเมริกัน' หาทางรอดที่แท้จริงจากวิกฤต โยนทิ้ง 'ประชาธิปไตย' หายนะที่ซ่อนอยู่ในคราบแห่ง 'ความหวัง-เท่าเทียม'

ไม่นานมานี้ เบอร์นี่ แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์ สังกัดพรรครัฐบาลเดโมแครต ได้กล่าวในสิ่งที่กำลังทำให้ชาวอเมริกันต้องคิดหนักถึงโลกแห่งความจริง ในวันนี้ที่ แนวคิดตะวันออก คือ ทางเลือกบนทางรอด และถึงวันที่ โลกทุนนิยม...กำลังเดินมาถึงจุด...รอวันล่มสลายแล้ว

เบอร์นี กล่าวว่า 'ประชาธิปไตย' ไม่ใช่ทางเลือกของโลกอีกต่อไปแล้ว เราต้องช่วยกัน เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเรา ให้เป็น 'สังคมนิยม' และประเทศในกลุ่มประชาธิปไตย ไม่อาจหนีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ และผมเสนอแนวคิดให้เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น 'สังคมนิยมกึ่งประชาธิปไตย' 

เหตุผลที่ เบอร์นี กล่าวเช่นนี้ เพราะเขามองว่าสภาพการเมืองของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน กำลังมุ่งสู่ 'คณาธิปไตย' และ 'ลัทธิอำนาจนิยม' มากขึ้น

“มีเพียงเศรษฐีกลุ่มเล็ก ๆ ที่ร่ำรวยอย่างมาก และมีอำนาจควบคุมหัวใจเศรษฐกิจ และ อำนาจทางการเมืองของสหรัฐอเมริกามากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันนี้คนอเมริกัน มีเพียง 3 ตระกูลเท่านั้นที่ครองความมั่งคั่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของคนอเมริกันทั้งประเทศ จนเป็นไปในลักษณะ 'รวยกระจุกจนกระจาย'”

เบอร์นี ขยายความอีกว่า ผู้ร่ำรวยที่สุด ในสหรัฐอเมริกา มีเพียง 1% ของประชากร 328 ล้านคน ครอบครองความมั่งคั่ง มากกว่า ประชากร 92% รวมกัน นี่คือ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

อีกทั้ง 49% จากรายได้ของชาวอเมริกันในแต่ละวัน กลายเป็นของคนกลุ่มรวยที่สุด 1% นั้นด้วย นั่นจึงทำให้สังคมในสหรัฐอเมริกา ที่แท้จริง 'ไม่มีความเท่าเทียม' อีกแล้ว แต่กลับมีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ภายใต้ชื่อ 'ระบบประชาธิปไตย'

ปัจจุบันนี้ คนอเมริกันเกือบ 40 ล้านคน หรือราว 12.2% เป็น 'คนยากจน' ... ทุกคืน จะมีคนราว 5 แสนคน ต้องนอนข้างถนน เพราะเป็นคนไร้บ้าน

ขณะที่อีกประมาณ 50% ของคนอเมริกัน มีเงินไม่พอใช้ 'ต้องหาเช้ากินค่ำ' มีเงินใช้แบบเดือนชนเดือนเท่านั้น

เบอร์นี กล่าวว่า ระบอบทุนนิยมเสรี เป็นระบอบการปกครองที่ล้มเหลว ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจพังทลาย และ 'ไม่ยุติธรรม' บรรดามหาเศรษฐี เสพสุขกับตลาดหุ้น คอยเก็บเกี่ยวความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น แต่ชนชั้นกลาง กับ ผู้ใช้แรงงานต้อง 'ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ' ถึงขนาดที่มีการวัดกันว่า รายได้เฉลี่ยของกรรมกรอเมริกันตอนนี้ ยังคงพอๆ กับรายได้เมื่ออดีต 46 ปีก่อนกันเลยทีเดียว

"ผู้ใช้แรงงานจำนวนมาก ต้องดิ้นรน ทำงานหลายงาน เพื่อความอยู่รอด ระบอบประชาธิปไตย สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อวิถีการดำเนินชีวิต การดิ้นรนต่อสู้ มีผลต่ออายุขัยด้วย เพราะเศรษฐีอเมริกันจะมีอายุยืนยาว กว่าคนจน เฉลี่ยถึง 15 ปี" เบอร์นี กล่าวและว่า...

"อุดมคติเดิมที่ว่า ระบอบประชาธิปไตย ทำให้ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน คนขยันมีโอกาส สร้างตนสร้างฐานะนั้น พิสูจน์ได้ว่า ล่มสลายลงไปแล้ว ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เยาวชนคนรุ่นใหม่ มีแนวโน้มใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ มากกว่าคนรุ่นก่อน ที่เป็นบิดารมารดาปู่ย่าตายาย...

"การแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะบริษัทยักษ์ พวกตลาดหุ้น ชนชั้นปกครองชนชั้นสูง (อีลิท) ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนี้ คนเหล่านี้ รวมหัวกัน ต่อต้านแนวคิดสังคมนิยม ต่อต้านนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พวกเขาเป็นเจ้าของสื่อสารมวลชน เจ้าของในตลาดหุ้น ที่สามารถควบคุมความคิดของคนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ให้มองไม่เห็นสาเหตุ ที่มาของปัญหาว่า เกิดจากระบบทุนผูกขาด"

เบอร์นี เปิดเผยด้วยว่า ชนชั้นปกครอง ในทำเนียบขาว ใช้วิธีการเดิม ๆ พยายามเบี่ยงเบนปัญหาสำคัญ  ภายในประเทศไปเป็นเรื่องอื่น ๆ ตลอดมา เช่น พยายามใช้วิธีแบ่งแยกประชาชน ให้มีการเหยียดผิว สร้างความเกลียดชัง ยุยงก่อให้เกิดสงคราม ยุแยงให้เกิดความแตกแยกไปทั่วโลก เพื่อให้อุตสาหกรรมค้าอาวุธเติบโต เพื่อมาค้ำจุนให้เกิดการจ้างงาน จ้างผู้ชำนาญการพิเศษในทุกสาขา เช่น ด้านไอที ที่เป็นหัวใจของอุตสาหกรรมมาช่วยผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ยุคใหม่

ดังนั้น ประเทศ สหรัฐอเมริกา ไม่ควรสร้างลัทธิการเมืองบนความเกลียดชัง ความคิดในการยุให้เกิดการแบ่งแยก แต่ควรใช้หลักคิด ในระบอบการปกครองที่มีคุณธรรม มีเมตตา ยุติธรรม และ ความรัก นั่นคือ ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครอง ของ สหรัฐอเมริกา เป็น 'สังคมนิยม กึ่งประชาธิปไตย'

"สหรัฐอเมริกา จึงจะรอดจากหายนะ"

เบอร์นี่ แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนด์

'วีระศักดิ์' ส่งมอบหนังสือรับรอง 'GBAC STAR' สู่ 6 สุดยอดผู้บริหารไทย หลังได้รับการรับรองมาตรฐานสุขอนามัยระดับสากลจากสหรัฐฯ

(26 ม.ค.67) นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกล่าวเปิดและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'มาตรฐานสุขอนามัยในกระแสการท่องเที่ยวของสากล' ที่อาคารศูนย์การประชุมบางแสนเฮอริเทจ จังหวัดชลบุรี โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และนายกเทศมนตรีเมืองแสนสุขร่วมให้การต้อนรับ

สำหรับงานดังกล่าว ได้รับเกียรติจาก ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. และประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บพข. กล่าวแนะนำโครงการและนางสาวนวลสมร อุณหะประทีป หัวหน้าโครงการ รายงานผลการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยระดับสากลจบแล้ว

หลังจากนั้น นายวีระศักดิ์ ก็ได้ขึ้นทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีมอบหนังสือรับรอง การเป็นผู้ได้รับการรับรองมาตรฐานสุขอนามัยระดับสากล หรือ GBAC STAR ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา ให้กับผู้บริหารของไทย 6 แห่งที่ได้รับการรับรองในปีนี้ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต, ศูนย์การประชุมบางแสนเฮอริเทจ ชลบุรี, บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซนทรัลเวิลด์, บ้านปารค์นายเลิศ, บริษัทนิกรมารีน ภูเก็ต และ บริษัทสุโข เวลเนสแอนด์ สปา จำกัด โดยเมื่อรวมกับที่ได้รับไปรุ่นแรกในปีก่อนหน้าอีก 4 แห่ง คือ ไทเกอร์มวยไทย, ป่าตองเบย์วิว, เกาะยาวใหญ่วิลเลจ และ อ่าวนางปรินซ์วิลล์ รีสอร์ตแอนด์ สปา ก็ทำให้ไทยมีสถานที่ที่ได้รับตรามาตรฐานนี้รวมแล้ว 10 แห่ง

อนึ่ง มาตรฐาน GBAC STAR ได้ถูกใช้ในสถานประกอบการมาตรฐานนับพันแห่งทั่วโลก เช่น สนามบิน JFK, สนามบินลากัวเดียร์, สนามบินนวอค์, ท่าเรือนิวยอร์ก, ท่าเรือนิวเจอร์ซีย์, ศูนย์ประชุมนานาชาติออราเคิลและสนามกีฬาที่แอตแลนตา จอร์เจีย ซึ่งเป็นเมืองเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน เป็นต้น ขณะนี้มีกิจการต่างๆ รอรับการประเมินให้ผ่านการรับรองมาตรฐาน GBAC STAR อีกหลายพันแห่งทั่วโลก

สำหรับการขอรับรองตรามาตรฐาน GBAC STAR ของไทย เป็นการร่วมมือผ่านงานวิจัยที่นักวิจัยและวิชาการจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยงบประมาณจาก กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่ทำงานร่วมกับแต่ละสถานที่เพื่อใช้ประโยชน์จากฐานเดิมที่สถานประกอบการหลายๆ แห่งในไทยเคยพัฒนาระบบมาตรฐานสุขอนามัยผ่านระบบ SHA และ SHA+ ที่ดำเนินการโดยททท.และกระทรวงสาธารณสุขมาก่อนในช่วงรับมือโรคระบาด โควิด19  

ดังนั้น ด้วยการดำเนินการเพิ่มการบันทึกเอกสารและขั้นตอนรายละเอียดอีกเพียงไม่มาก ผู้ประกอบการก็เข้าเกณฑ์ที่จะผ่านการประเมินของ GBAC STAR ที่ตลาดสหรัฐฯ, แคนาดา, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ให้ความเชื่อถือต่อมาตรฐานนี้อย่างยิ่งได้แล้ว 

อีกทั้งผู้ประกอบการต่างพึงพอใจที่นอกจากจะมีตรารับรองที่ตลาดไว้วางใจแล้ว ยังได้มาตรฐานที่สร้างความปลอดภัยให้พนักงานหน้างานของตนเอง มีแผนรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน มีแผนประเมินความเสี่ยงที่อาจมาถึง และมีการเปลี่ยนแปลงที่กระตุ้นให้ Supply Chains และนิเวศของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยตื่นตัว และเท่ากับช่วยยกระดับมาตรฐานของการเดินทางและท่องเที่ยวไทยไปด้วย

นอกจากนี้ ผลพลอยได้ที่เกิดจากกิจกรรมคือ นักวิจัยไทยจากโครงการนี้ ซึ่งมีทั้ง มอ.ภูเก็ต และ นิด้า ได้กลายเป็นผู้มีความชำนาญในการออกแบบติดตามและประเมินมาตรฐานตามระบบของ สมาคม ISSA Worldwide Cleaning Industry Association USA และได้รับการรับรองให้เป็นบุคลากรเชี่ยวชาญในการประเมินอิสระให้ GBAC STAR ในระดับภูมิภาคด้วย

Texas เหลืออด!! 'ไบเดน' ปล่อยชายแดนทางใต้เป็นจุดเสี่ยงผู้อพยพเถื่อน ชนวนขัดแย้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนอาจถึงขั้นแยกตัวจากสหรัฐฯ


ความขัดแย้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนระหว่างมลรัฐ Texas และรัฐบาลกลางบริเวณชายแดนทางใต้ของมลรัฐ Texas ยังคงดำเนินต่อไป


CBS News Texas ได้พูดคุยกับ Haim Vasquez ทนายความด้านการย้ายถิ่นฐานของ North Texas เพื่อแจกแจงเรื่องราวทั้งหมดและสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป “เราไม่เคยเห็นจุดที่เรามีในตอนนี้” Haim Vasquez ทนายความด้านคนเข้าเมืองกล่าว “อย่าไปถึงจุดนั้นที่เรามีกองกำลังพิทักษ์ชาติของมลรัฐ Texas เจ้าหน้าที่จากสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะของมลรัฐ Texas (The Texas Department of Public Safety : DPS) โดยพื้นฐานแล้วปิดกั้นทางเข้าและรับอำนาจหรือควบคุมชายแดน”


เมื่อวันจันทร์ (22 ม.ค.) ศาลฎีกาสหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลกลางมีอำนาจในการถอดลวดหนามที่มลรัฐ Texas ติดตั้งไว้ที่ชายแดนทางใต้ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวว่า มลรัฐ Texas มีเวลาจนถึงวันศุกร์ในการให้หน่วยงานรัฐบาลกลางเข้าถึง Eagle Pass แต่ผู้ว่าการ Abbott กำลังเพิ่มความมั่นใจเป็นสองเท่าโดยกล่าวว่าเขาจะเพิ่มการลาดตระเวนตามชายแดน เพิ่มเครื่องกีดขวางและลวดหนามให้มากขึ้น “เราอยู่ในประเด็นที่วิกฤตมากในขณะนี้ เพราะเรากำลังทดสอบแก่นแท้ของความเป็นสาธารณรัฐของสหรัฐอเมริกา และศาลฎีกามีอำนาจหรือไม่ ไม่ว่ามลรัฐต่าง ๆ จะต้องปฏิบัติตามหรือหาทางตีความหรือไม่ก็ตาม ในแบบที่พวกเขาต้องการ” Vasquez กล่าว

แนวกีดขวางป้องกันผู้อพยพผิดกฎหมายในแม่น้ำของมลรัฐ Texas

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Ken Paxton อัยการสูงสุดของมลรัฐ Texas ปฏิเสธคำขอของรัฐบาลกลางในการเข้าถึงชายแดน และเรียกร้องหลักฐานที่ระบุว่ารัฐบาลกลางมีอำนาจเปลี่ยนสวนสาธารณะของมลรัฐ Texas ให้เป็นช่องทางเข้าได้ Vasquez บอกว่าจะต้องรอดูว่าใครจะเริ่มลงมือเพื่อดำเนินการต่อไป “หากรัฐบาลกลางถอยห่างจากเรื่องนี้ พวกเขาจะสูญเสียอำนาจที่พวกเขามีตามคำสั่งของศาลฎีกาแห่งสหรัฐฯอย่างสิ้นเชิง” Vasquez กล่าว

ผู้ว่าการมลรัฐต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกพรรค Republican 25 คนสนับสนุนจุดยืนของผู้ว่าการ Abbott พวกเขากล่าวว่า มลรัฐ Texas มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการป้องกันตัวเอง ผู้ว่าการ Abbott กล่าวว่าเขาเชื่อว่ามลรัฐเหล่านั้นยินดีส่งทหารของกองกำลังพิทักษ์ชาติไปยังชายแดนหากจำเป็น “ผมคิดว่าตอนนี้เราได้ก้าวข้ามเส้นในความพยายามในการแก้ไขปัญหาแล้ว และตอนนี้พวกเขากำลังทำให้มันกลายเป็นประเด็นทางการเมือง” Vasquez กล่าว

แถลงการณ์ของ Gregg Abbott ผู้ว่าการมลรัฐ Texas เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2024

รัฐบาลกลางได้ทำลายข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกาและมลรัฐต่าง ๆ ฝ่ายบริหารของสหรัฐอเมริกามีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางที่คุ้มครองรัฐต่าง ๆ รวมถึงกฎหมายคนเข้าเมืองที่มีอยู่ในหนังสือในขณะนี้ ประธานาธิบดี Biden ได้ปฏิเสธที่จะบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นและยังฝ่าฝืนกฎหมายเหล่านั้นอีกด้วย ผลก็คือเขาได้ทำลายข้อตกลงการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

แม้ว่าจะมีการแจ้งเป็นชุดจดหมาย - ฉบับหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้ส่งไปถึงมือเขาเอง - แต่ประธานาธิบดี Biden กลับเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของมลรัฐ Texas ที่ให้เขาปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ 

- ประธานาธิบดี Biden ละเมิดคำสาบานของเขาที่จะปฏิบัติตามกฎหมายคนเข้าเมืองที่สภาคองเกรสตราขึ้นอย่างซื่อตรง แทนที่จะดำเนินคดีกับผู้อพยพฐานก่ออาชญากรรมต่อรัฐบาลกลางในการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ประธานาธิบดี Biden ได้ส่งทนายความของเขาไปที่ศาลรัฐบาลกลางเพื่อฟ้องร้องมลรัฐ Texas ในการดำเนินการเพื่อรักษาความมั่นคงบริเวณชายแดน 
- ประธานาธิบดี Biden ออกคำสั่งให้หน่วยงานของเขาเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ของรัฐบาลกลางที่บังคับใช้ในการควบคุมตัวผู้อพยพผิดกฎหมาย ผลที่ตามมาคือการอนุญาตให้มีทัณฑ์บนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย 
- ประธานาธิบดี Biden ต้องใช้เงินภาษีเพื่อเปิดโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงชายแดนของมลรัฐ Texas เพื่อล่อลวงผู้อพยพผิดกฎหมายออกจากจุดเข้าเมืองตามกฎหมาย 28 จุดตามแนวชายแดนทางใต้ของรัฐนี้ ซึ่งเป็นสะพานที่ยังไม่มีใครเคยจมน้ำ และต้องเสี่ยงลงไปในแม่น้ำริโอแกรนด์ที่อันตราย 

ภายใต้นโยบายชายแดนที่ผิดกฎหมายของประธานาธิบดี Biden ผู้อพยพผิดกฎหมายมากกว่า 6 ล้านคนได้ข้ามชายแดนทางใต้ของเราในเวลาเพียง 3 ปี ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรของมลรัฐต่าง ๆ 33 รัฐในประเทศนี้ การปฏิเสธในการปกป้องประเทศอย่างผิดกฎหมายได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนต่อผู้คนทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา 

James Madison, Alexander Hamilton และบรรดาคนอื่น ๆ ผู้ที่เขียนรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ เล็งเห็นล่วงหน้าว่ามลรัฐต่าง ๆ ไม่ควรตกอยู่ภายใต้อำนาจของประธานาธิบดีที่ไม่เคารพกฎหมาย ซึ่งไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามจากภายนอก เช่น แก๊งค้ายาที่ลักลอบขนผู้อพยพผิดกฎหมายหลายล้านคนข้ามพรมแดน นั่นคือเหตุผลที่ผู้วางกรอบรวมทั้งมาตรา IV § 4 ซึ่งสัญญาว่ารัฐบาลกลาง “จะปกป้อง (มลรัฐ) แต่ละแห่งจากการรุกราน” และมาตรา I § 10 ข้อ 3 ซึ่งยอมรับ “ผลประโยชน์อธิปไตยของรัฐในการปกป้อง พรมแดนของพวกเขา” Arizona กับสหรัฐอเมริกา 567 U.S. 387, 419 (2012) ((Scalia, J., ผู้คัดค้าน) 

ความล้มเหลวของฝ่ายบริหารของ Biden ในการปฏิบัติหน้าที่ที่กำหนดโดยมาตรา IV § 4 ได้ก่อให้เกิดมาตรา I § 10 ข้อ 3 ซึ่งขอสงวนสิทธิ์ในการป้องกันตัวเองสำหรับรัฐนี้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ข้าพเจ้าจึงได้ออกประกาศภายใต้มาตรา 1 § 10 ข้อ 3 เพื่อเรียกร้องอำนาจตามรัฐธรรมนูญของมลรัฐ Texas ในการปกป้องและคุ้มครองตัวเอง อำนาจนั้นเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศและแทนที่กฎเกณฑ์ของรัฐบาลกลางใด ๆ ที่ตรงกันข้าม กองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติของมลรัฐ Texas สำนักงานความปลอดภัยสาธารณะของมลรัฐ Texas และเจ้าหน้าที่ของมลรัฐ Texas อื่น ๆ กำลังดำเนินการตามอำนาจดังกล่าว เช่นเดียวกับกฎหมายของรัฐ เพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดนของมลรัฐ Texas

Gregg Abbott ผู้ว่าการมลรัฐ Texas

Woman with a Parasol - Madame Monet and Her Son ภาพสีนํ้ามันบนผ้าใบที่จิตรกรชื่อก้อง 'Claude Monet’ รังสรรค์ไว้

(2 ก.พ.67) จากเพจ 'Sompob Pordi' ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ระบุว่า...

ภาพวาดที่เป็นที่รู้จักของคนแทบทั้งโลกภาพนี้ชื่อ

Woman with a Parasol - Madame Monet and Her Son หรือบางครั้งคนในวงการเรียกสั้นๆเป็นภาษาอังกฤษว่า The Stroll 

หรือเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า La Femme à l'ombrelle - Madame Monet et son fils

เป็นภาพสีนํ้ามันบนผ้าใบที่จิตรกรแนว Impressionism ชื่อก้อง Claude Monet วาดขึ้นในปีค.ศ. 1875 โดยผู้หญิงและเด็กในภาพก็คือ Camille ภรรยา และ Jean บุตรชายของตน

ปัจจุบัน ภาพเขียนอันโด่งดังนี้ถูกแสดงอยู่ที่ แกลอรี่แห่งชาติที่กรุงวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา

และก็เป็นธรรมดาด้วยหากจะมีการทำวาดภาพปลอมหรือภาพลอกเลียนแบบขึ้นมาหลอกขายผู้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เช่นเดียวกับภาพเขียนชื่อดังอื่นๆ โดยไม่เปิดเผยว่าใครเป็นคนทำภาพปลอมขึ้นมา เพราะส่วนใหญ่แล้ว เขาจะอายกันทั้งคนวาดและคนซื้อ

แต่หากไม่อายกันเลย ก็นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ 😁

เปิดตัวเลข ‘นักศึกษาต่างชาติ’ เรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ในทุก ๆ ปี จะมีนักศึกษาจากทั่วโลกบินข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อไปเรียนต่อที่ ‘สหรัฐอเมริกา’ ซึ่งสัดส่วนจะมากน้อยต่างกันในแต่ละประเทศ สำหรับในปี 2023 ที่ผ่านมา นักศึกษาต่างชาติที่ไปเรียนต่อในสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 1 ได้แก่ จีน รองลงมาคืออินเดีย

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมรายชื่อ 25 ประเทศที่มีนักศึกษาไปเรียนต่อในสหรัฐมากที่สุดประจำปี 2023 จะมีประเทศใดบ้าง มาดูกัน!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top