Saturday, 19 April 2025
สหรัฐอเมริกา

กฎหมายต้านสายลับฉบับใหม่ของจีนมีผล โทษถึงประหาร ด้าน สหรัฐฯ โวย!! จ้องเล่นงาน 'บริษัท-นักข่าว' มะกัน

ร่างกฎหมายต่อต้านหน่วยสืบราชการลับข้ามชาติฉบับใหม่ของจีน มีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ที่จะเพิ่มอำนาจให้แก่รัฐบาลปักกิ่งในการตรวจสอบ จับกุมและลงโทษกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายจารกรรมสอดแนมข้อมูลลับ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้มากขึ้น 

การต่อต้านการจารกรรม สอดแนม ครอบคลุมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ที่มีเป้าหมายไปยังหน่วยงานของรัฐ หรือ โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยกฎหมายใหม่ ระบุถึง กลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายความผิดฐานเป็นสายลับ นอกจากจะหมายถึงตัวบุคคล หรือองค์กรจารกรรมเองแล้ว ยังรวมถึง องค์กรตัวแทนที่ได้รับ เผยแพร่ หรือครอบครอง เอกสาร ข้อมูล สิ่งของ และรายการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจถือเป็นความผิดฐานสอดแนมด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ กฎหมายฉบับใหม่ สร้างความกังวลแก่องค์กรต่างชาติในจีน จากเนื้อหาที่ระบุว่า พลเมืองจีนทุกคนมีหน้าที่ต้องแจ้งเหตุเมื่อพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายการสอดแนม จารกรรมข้อมูลลับแก่เจ้าหน้าที่ และ ทางการจีนมีสิทธิ์ที่จะขอตรวจค้นทรัพย์สินของผู้ต้องสงสัยได้ทันที ซึ่งกฎหมายจีนระบุโทษของการสอดแนมข้อมูลลับด้านความมั่นคงไว้สูงสุดถึงประหารชีวิต 

หน่วยข่าวกรองและความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NCSC) เชื่อว่า กฎหมายฉบับใหม่นี้ ทำให้รัฐบาลปักกิ่งขยายขอบเขตอำนาจรัฐในการเข้าถึง และควบคุมข้อมูลของบริษัทของสหรัฐฯ ในจีนได้ง่ายขึ้น และติงว่า คำจำกัดความของ "ข้อมูลลับด้านความมั่นคง" ในกฎหมายของจีนมีความกำกวม ไม่ชัดเจน ซึ่งข้อมูลที่ทางการจีนมองว่าเป็นความลับ อาจจะเป็นเพียงเอกสารภายในบริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจทั่วไปก็ได้ ที่อาจทำให้บริษัทของสหรัฐถูกลงโทษด้วยข้อหาเป็นสายลับได้ในอนาคต 

แต่ในกฎหมายฉบับเดิมของจีน ก็ระบุโทษในคดีการจารกรรมไว้สูงสุดถึงประหารชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีชายวัย 78 ปี สัญชาติอเมริกันถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตข้อหาเป็นสายลับมาแล้ว  

นอกจากนี้ ยังมีกรณีพนักงานชาวญี่ปุ่นของบริษัทยา Astellas Pharma Inc. ถูกทางการจีนกักตัวตั้งแต่เดือนมีนาคม ด้วยข้อหาเป็นสายลับ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดของคดีจากทางการจีน ทำให้ เท็ตสึโระ ฮอนมะ ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในจีน แสดงความวิตกกังวลถึง ความไม่แน่นอน, ความยุติธรรม และ ความโปร่งใสในตลาดจีน ที่จะส่งผลต่อการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นได้ 

สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มองว่า กฎหมายต่อต้านการจารกรรมใหม่ จะส่งผลต่อบริษัทต่างชาติที่อาจถูกตั้งข้อสงสัยว่าเกี่ยวพันกับองค์กรสายลับ หรือแม้แต่ชาวจีนเอง ที่ต้องติดต่อ ร่วมงานกับบริษัทข้ามชาติ หรือชาวต่างชาติ 

ด้าน หลิว เผิงหยู่ โฆษกประจำสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตอบโต้ว่า รัฐบาลจีนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองจากภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศผ่านกฎหมายของตนเอง แต่ทั้งนี้ จีนยังคงส่งเสริมการเปิดตลาดในระดับสูง และจัดเตรียมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้สอดคล้องกับหลักกฎหมาย และความเป็นสากลสำหรับบริษัทจากทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย 

อีกประเด็นที่มีการกล่าวถึงไม่น้อยว่า กฎหมายใหม่นี้จะส่งผลต่อการทำงานของสื่อมวลชนต่างชาติในจีนด้วยหรือไม่ และอาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับ นายอีวาน เกรชโควิช นักข่าวสัญชาติอเมริกันจาก Wall Street Journal ที่ถูกจับตัวในรัสเซียด้วยข้อหาเป็นสายลับเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และเป็นนักข่าวอเมริกันคนแรกนับตั้งแต่หลังสงครามเย็นที่ถูกจับกุมโดยรัสเซียด้วยข้อหานี้ 

ในประเด็นนี้ เหมา หนิง โฆษกหญิงประจำกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาสรุปสั้นๆ ว่า "หากทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายจีนแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว" 

'หม่อมปลื้ม' ยกกรณีปรากฏการณ์ชังชาติในอเมริกา ความเพ้อเจ้อของซ้ายที่โทษทุกเรื่องแม้อยู่ยูโทเปีย

(6 ก.ค. 66) ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ 'หม่อมปลื้ม' พิธีกร และผู้ดำเนินรายการข่าว โพสต์เฟซบุ๊กพร้อมแนบลิงก์ยูทูประบุว่า...

เลิกกิน Ice Cream ยี่ห้อ Ben & Jerry's เพราะมันคือพวกโว้คชังชาติในสหรัฐฯ รวมทั้งความเป็นจริงที่ว่าราคาของ Ice Cream เเบรนด์นี้ก็เเพงจนเว่อร์ ไม่มีใครเขาซื้อไหว รสชาติก็งั้นๆ

ปรากฏการณ์ปฏิเสธวันชาติของตนเองเพียงเพราะเชื่อผิดๆ ว่าเป็นสัญลักษณ์เเห่งการกดขี่ เป็นสิ่งที่มีในสหรัฐฯ เช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ฝ่ายซ้ายใหม่ในหลายประเทศชูลัทธิรังเกียจชาติตนเองซึ่งเเสวงหาความชอบธรรมด้วยการใช้วาทกรรมกดขี่

ถ้าเป็นสหรัฐฯ ก็จะปั่นวาทกรรมผู้ชายผิวขาวที่รักเพศตรงข้าม (Hetero-normative Caucasian Male) นั้นเป็นผู้กดขี่ ถ้าในฝรั่งเศสรอบล่าสุดก็จะเป็นการปั่นว่าตำรวจผู้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในเครื่องเเบบเป็นผู้เหยียดเเละกดขี่ผู้อพยพ

โดยเเนวคิดตาม Dialectic นี้จะมีผู้ซึ่งทำหน้าที่กดขี่เสมอเเล้วก็มีเหยื่อตลอดเวลา (Perpetual Victimhood Status) ถ้าเป็นเมืองไทยก็จะเป็นวาทกรรมซึ่งเรามักจะคุ้นเคยกันอยู่เเล้วผมคงไม่ต้องอธิบาย นั่นคือการกล่าวโทษทุกอย่างไปที่ทุนเเละก็กล่าวโทษทุกอย่างไปที่ศักดินา

ฝ่ายซ้ายไม่เคยมีที่สิ้นสุดในการเคลื่อนไหว พอโค่นสิ่งหนึ่งได้ก็จะกล่าวหาสิ่งอื่นต่อไปในสังคม ไม่เคยคิดที่จะนำความกตัญญูกตเวทิตาคุณเป็นคุณธรรมหลักในการขับเคลื่อนสังคมเเละชีวิตส่วนตัวบ้าง ทั้งชีวิตก็ไม่มีความสุขไม่ว่าอยู่ที่ไหนหรือได้เกิดใน Utopia เเห่งใด เพราะในใจเพ้อเจ้อถึงความเท่าเทียมทัดเทียมในรูปเเบบที่มัวเเต่คิดว่าไม่มีเเต่จริงๆ มีอยู่เเล้วเเต่ดันไม่เคยหัดที่จะมองให้เห็น...ฟังเบ็น ชาปิโร่ ซัด Ben & Jerry's ครับ สมควรโดนเบ็นด่า

‘ไบเดน’ ใช้วันชาติประณามเหตุยิงในประเทศ แซะ!! ‘รีพับลิกัน’ หนุนผู้คนครอบครองปืน

เอเอฟพี/รอยเตอร์ส เผย ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา ใช้วันประกาศอิสรภาพ (Independence Day) ที่ถือเป็นวันชาติของสหรัฐฯ เรียกร้องอีกครั้งให้เข้มงวดมาตรการควบคุมอาวุธปืน และประณามเหตุยิงที่เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศ รวมถึงเหตุยิงในวันชาติ 

โดยการเฉลิมฉลองวันชาติสหรัฐฯ ในวันที่ 4 กรกฎาคม เดิมปกติจะเป็นโอกาสให้ส่งเสริมความรักชาติ รำลึกถึงการเสียสละในการสร้างชาติ และเต็มไปด้วยงานรื่นเริงเพราะตรงกับการประกาศอิสรภาพ แต่ในสุนทรพจน์วันชาติปีนี้ที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เรียกร้องใช้มาตรการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวด โดยชี้ว่าสหรัฐฯ ต้องทนทุกข์อยู่กับเหตุกราดยิงที่ไร้เหตุผลในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ เขาจึงขอให้ใช้โอกาสเฉลิมฉลองวันประกาศ ภาวนาให้มีวันที่ชุมชนในสหรัฐฯ จะปราศจากการใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธปืน 

ประธานาธิบดีไบเดนยังประณามเหตุยิงที่เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งยังกล่าวถึงพรรครีพับลิกันที่มีนโยบายสนับสนุนสิทธิในการครอบครองอาวุธปืนโดยระบุว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันควรร่วมกันหารือเพื่อการปฏิรูปเรื่องนี้ ให้เป็นไปตามประชาชนชาวอเมริกันเรียกร้อง

ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องดังกล่าวหลังจากที่เกิดเหตุยิงหลายครั้งในช่วงไม่กี่วัน เช่น เหตุยิงคนเสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บ 4 คน ในเมืองฟิลาเดลเฟีย เมื่อคืนวันจันทร์ และเหตุยิงคนเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 11 คนในเมืองฟอร์ตเวิร์ธในคืนเดียวกันเหตุยิงหลายครั้งในวันประกาศอิสรภาพที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 5 คนในเมืองแลนซิง บาดเจ็บ 4 คนในเมืองชาร์ลอตต์ และบาดเจ็บ 4 คนในเมืองแอครอน

ข้อมูลของกัน ไวโอแลนซ์อาร์ไควฟ์ หรือจีวีเอ (Gun ViolenceArchive) ที่เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ เกิดเหตุกราดยิง (Mass Shooting) แล้ว 346 ครั้ง จีวีเอให้คำนิยามคำว่าเหตุกราดยิงว่าหมายถึงเหตุยิงที่มีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน ไม่รวมคนร้าย ส่วนปี 2021 สหรัฐฯ มีคนเสียชีวิตเพราะปืนไม่ต่ำกว่า 44,000 ราย โดยเป็นการจบชีวิตตัวเอง 24,000 ราย

‘สหรัฐฯ’ ยืนยัน!! ไม่ได้สูญเสีย 'ศีลธรรม'  แม้จัดหา 'ระเบิดพวง' ให้แก่ยูเครน

(17 ก.ค. 66) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพิกเฉยต่อคำกล่าวอ้างที่ว่าวอชิงตันอาจสูญเสีย ‘ธรรมอำนาจ’ ด้วยการจัดหาระเบิดลูกปราย หรือระเบิดพวง (cluster bombs) ให้แก่ยูเครน สำหรับใช้เล่นงานกองกำลังรัสเซีย ยืนยันอเมริกายังคงมีอำนาจทางศีลธรรม จากข้อเท็จจริงที่ว่ากำลังให้การสนับสนุนเคียฟต่อกรกับการโจมตีโหดร้ายป่าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ซัลลิแวน กล่าวในประเด็นนี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ในวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) ปกป้องการตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อช่วงต้นเดือน ที่มอบกระสุนคลัสเตอร์ให้แก่เคียฟ แม้ทำเนียบขาวเคยตราหน้าว่าเป็น ‘อาชญากร’ ครั้งที่พวกเขากล่าวหารัสเซียใช้อาวุธดังกล่าว

แม้คลัสเตอร์บอมบ์เป็นอาวุธต้องห้ามภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศฉบับหนึ่งที่ลงนามโดยชาติต่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ แต่ ซัลลิแวน เน้นย้ำว่าทั้งสหรัฐฯ และยูเครน ต่างไม่เคยลงนามในสนธิสัญญานี้

"อำนาจทางศีลธรรมของเราและอำนาจทางศีลธรรมของยูเครน ในความขัดแย้งนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเรากำลังสนับสนุนประเทศหนึ่งที่ถูกโจมตีอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยขีปนาวุธและระเบิด ถล่มเมืองต่าง ๆ ของพวกเขา เข่นฆ่าพลเรือน ทำลายโรงเรียน โบสถ์ โรงพยาบาล" ซัลลิแวนบอกกับเอ็นบีซี

"และหากใครมีความคิดที่ว่า การจัดหาอาวุธหนึ่งแก่ยูเครน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถปกป้องแผ่นดินของตนเอง ปกป้องพลเรือนของพวกเขา ด้วยเหตุผลบางประการ เป็นการท้าทายอำนาจทางศีลธรรมของเรา ผมคิดว่าคำถามนั้นเป็นสิ่งน่าสงสัย" ซัลลิแวนระบุ

ชัค ทอดด์ พิธีกรของเอ็นบีซีถามต่อโดยชี้ว่า วอชิงตัน พยายามเป็นผู้นำโลกในความพยายามกำจัดอาวุธโหดร้ายป่าเถื่อนเหล่านี้ "แต่เวลานี้เรายังคงกลับไปค้นสต๊อกของเราและมอบมันให้แก่พันธมิตร" ในเรื่องนี้ ซัลลิแวน ชี้แจงว่ากรณีแวดล้อมเป็นตัวเรียกร้องให้ไบเดนต้องตัดสินใจส่งกระสุนคลัสเตอร์ไปให้ยูเครน แม้ถูกคัดค้านจากสหราชอาณาจักร แคนาดาและพันธมิตรอื่นๆ ในนาโตก็ตาม

"ผมอยากบอกว่าที่เรายกระดับมอบในสิ่งที่ยูเครนต้องการ เพื่อไม่ให้พวกเขาไร้ซึ่งหนทางแห่งการป้องกันตนเอง ยามที่ต้องเผชิญการโจมตีของรัสเซีย" ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติระบุ "ง่ายๆ เลย เราจะไม่ปล่อยให้ยูเครนไร้หนทางในการป้องกันตนเอง"

ไบเดน บ่งชี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นเมื่อช่วงต้นเดือน อ้างว่าสืบเนื่องจากสหรัฐฯ และยูเครนขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทั่วไป ทำให้เขาตัดสินใจมอบกระสุนคลัสเตอร์แก่เคียฟ ในฐานะการแก้ปัญหาชั่วคราว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เน้นระหว่างให้สัมภาษณ์ที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) เหน็บแนมว่าทำเนียบขาวเองเคยตราหน้าการใช้ระเบิดคลัสเตอร์ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม พร้อมเตือนว่าถ้ากองกำลังยูเครนใช้อาวุธดังกล่าวในสนามรบ รัสเซียขอสงวนสิทธิตอบโต้ด้วยอาวุธแบบเดียวกัน

ระเบิดคลัสเตอร์ถูกแบนโดยทั่วโลก สืบเนื่องจากกระสุนระเบิดขนาดเล็กๆ บางลูกที่มันปลดปล่อยออกมาอาจไม่ทำงาน ซึ่งก่อภัยคุกคามแก่พลเรือน จากข้อมูลพบว่ามีพลเรือนกว่า 86,500 คน ที่เสียชีวิจากคลัสเตอร์บอมบ์นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และมีคนต้องพิการมากกว่านั้นมากมายหลายเท่า

HP แบรนด์ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก  เตรียมย้ายกำลังการผลิตคอมฯ บางส่วนออกจากจีนมายังไทย

(18 ก.ค. 66) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง HP ล่าสุดได้เตรียมย้ายกำลังการผลิตสินค้าบางส่วนออกนอกประเทศจีน โดยย้ายมายังประเทศไทย เม็กซิโก เวียดนาม เนื่องจากต้องการให้ห่วงโซ่การผลิตของบริษัทไม่สะดุด

Nikkei Asia รายงานข่าวว่า HP ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ได้เตรียมย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย และประเทศเม็กซิโก และบริษัทยังเตรียมขยายกำลังการผลิตในประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน รวมถึงทั่วโลกหลังจากนี้

สื่อธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นได้รายงานว่า HP ได้ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ในการย้ายฐานการผลิตมายัง 2 ประเทศนี้ โดยในประเทศไทย HP เตรียมที่จะผลิต Laptop สำหรับตลาดผู้บริโภค ขณะที่ Laptop ที่จำหน่ายให้กับองค์กรต่าง ๆ จะใช้ฐานการผลิตที่เม็กซิโก นอกจากประเทศไทยแล้ว HP ยังเตรียมย้ายกำลังการผลิตมายังเวียดนามในช่วงปีหน้าด้วย

ในปีที่ผ่านมา HP ได้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปมากถึง 55.2 ล้านเครื่อง และในจำนวนดังกล่าวมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ผลิตนอกประเทศจีนอยู่ราว ๆ 3 ถึง 5 ล้านเครื่อง

สำหรับประเทศไทยนั้นมีซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่หลากหลาย ทำให้ HP ตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานการผลิตอีกแห่ง ขณะที่เม็กซิโกถือเป็นฐานการผลิตสินค้าสำคัญในอเมริกาเหนือ และยังมีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดสำคัญของ HP เนื่องจากคำสั่งซื้อราวๆ 31% ขณะที่ตลาดในประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนไม่ถึง 8% ของยอดขายของบริษัท เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Lenovo รวมถึง Huawei ครองตลาดในประเทศจีนแทบเบ็ดเสร็จ

สาเหตุที่ทำให้ HP ต้องย้ายกำลังการผลิตบางส่วนออกนอกประเทศจีน บริษัทได้ให้เหตุผลเนื่องจากต้องการให้ห่วงโซ่การผลิตสินค้าของบริษัทมีความยืดหยุ่น เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของภาคการผลิต และต้องการที่จะตอบสนองลูกค้าที่มีอยู่ทั่วโลก

นอกจากผู้ผลิตอย่าง HP แล้ว Dell ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อีกรายก็ได้เตรียมที่จะย้ายกำลังการผลิต 20% ของสัดส่วนการผลิตทั้งหมดมายังประเทศเวียดนาม รวมถึงเปลี่ยนผ่านการผลิตสินค้าที่พึ่งพาชิปจากประเทศจีนด้วย ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่น เช่น Apple เองก็ตั้งเป้าที่จะกระจายกำลังการผลิตไปยังเวียดนามหรืออินเดียด้วย

อย่างไรก็ดีบริษัทได้กล่าวว่ายังให้ความสำคัญกับฐานการผลิตในเมืองฉงชิ่งของจีนอยู่ โดยฐานการผลิตนี้เปิดตัวในช่วงปี 2008 และเป็นฮับในการผลิต Laptop สำคัญของบริษัทด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทหลายแห่งได้เตรียมการที่จะย้ายฐานการผลิต หรือแม้แต่ย้ายกำลังการผลิตออกนอกประเทศจีน หลังจากที่จีนได้ใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าทั่วโลก ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน และยังรวมถึงความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระทบกับการทำธุรกิจหลังจากนี้ได้

'ปูติน' ย้ำ!! ธนาคารทางเลือก BRICS จำเป็น  เกมต่อกร 'วอชิงตัน' ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ

การจัดตั้งสถาบันการเงินทางเลือกเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ความพยายามดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงเวลาที่วอชิงตันใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นอาวุธ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวในวันพุธ (26 ก.ค.) ระหว่างการประชุมร่วมกับ ดิลมา รูสเซฟฟ์ ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) ที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มบริกส์ (BRICS)

อดีตประธานาธิบดีหญิงของบราซิล ซึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานอดีตธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่ม BRICS เมื่อเดือนมีนาคม เดินทางเยือนเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อพบปะกับ ปูติน ก่อนหน้าการประชุมซัมมิตรัสเซีย-แอฟริกาในสัปดาห์นี้

"ผมไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ ด้วยประสบการณ์มากมายของคุณและความรู้ในขอบเขตนี้ คุณจะทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาสถาบันแห่งนี้ ที่ผมคิดว่ามันมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน" ปูตินบอกกับรูสเซฟฟ์ "ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน มันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย เนื่องด้วยสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับการเงินโลก และการใช้ดอลลาร์เป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง"

ปูติน เน้นย้ำว่ากลุ่มเศรษฐกิจ BRICS ที่ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ไม่ได้มีเป้าหมายที่ใครอย่างเฉพาะเจาะจง แต่กำลังทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ร่วม ในนั้นรวมถึงด้านการเงิน เขาชี้ว่าสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้ยกระดับใช้สกุลเงินท้องถิ่นชำระบัญชีทางการค้าระหว่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

รูสเซฟฟ์ เห็นด้วยว่าบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายควรทำแนวทางนี้ไปใช้ในวงกว้าง เธอยังบอกอีกว่าความท้าทายใหญ่หลวงที่มีต่อเหล่าชาติกำลังพัฒนาคือศักยภาพในการเพิ่มงบประมาณสำหรับโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ไล่ตั้งแต่การบริการสังคม ไปจนถึงประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเด็นนี้ เธออ้างว่าถูกละเลิกเพิกเฉย เนื่องจากทุกคนมุ่งเน้นไปยังปัญหาหนี้สิน

สหรัฐฯ มีสัดส่วนคิดเป็น 20% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจโลก แต่มากกว่า 50% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกถือครองในสกุลเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว สัดส่วนการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ลดลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา หลังมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเล่นงานรัสเซีย ต่อความขัดแย้งในยูเครน ในนั้นรวมถึงอายัดทุนสำรองระหว่างประเทศและสกัดการเข้าถึงระบบชำระเงิน SWIFT ก่อความกังวลแก่ชาติต่าง ๆ ว่าพวกเขาอาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการลักษณะเดียวกันในอนาคต

เมื่อเดือนตุลาคม ปูตินอ้างว่าสหรัฐฯ "บั่นทอนความน่าเชื่อถือสถาบันทุนสำรองระหว่างประเทศด้วยการใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ แรกเริ่มคือปล่อยมลพิษทางการเงิน จากนั้นก็ขโมยเงินของรัสเซีย" และนับตั้งแต่นั้น เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังอเมริกา ยอมรับว่ามาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ อาจผลักบางประเทศละทิ้งดอลลาร์

"ประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งยุคสมัยการครองโลกของดอลลาร์สหรัฐกำลังมาถึงจุดจบ" อันเดรย์ คอสติน ประธานธนาคารวีทีบีแบงก์ของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนที่แล้ว

ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกส่วนใหญ่ มองไม่เห็นว่าจะมีสกุลเงินอื่นใดที่มีศักยภาพพอจะก้าวมาแทนที่ดอลลาร์ แต่ ปูติน แย้มเมื่อเดือนมิถุนายน ว่า BRICS กำลังดำเนินการเกี่ยวกับสกุลเงินสำรองของตนเอง บางทีอาจอยู่บนพื้นฐานของตะกร้าสินค้าโภคภัณฑ์

สหรัฐฯ แบไต๋!! ไม่จำเป็นต้องรบกับจีน แต่ให้พันธมิตรรบแทน ภายใต้แผนพึ่งพาพันธมิตรช่วยขยายขอบเขตกองทัพมะกัน

(3 ส.ค. 66) เพจ 'The World Echo' โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ลุงแซมนี่กล้าหาญจริง ๆ ชอบแอบข้างหลังชาวบ้านแล้วผลักชาตินั้นชาตินี้ให้ออกหน้า ส่วนตัวเองคอยเชิดเบี้ยหมากพลางจิบโค้กอย่างสบายใจ

ล่าสุดเผยไต๋ออกมาว่า สหรัฐฯ จะพึ่งพาพันธมิตรแทนที่จะขยายขอบเขตกองทัพของตนเองครั้งใหญ่ ตอบโต้กรณีเกิดความขัดแย้งด้านทางทหารใด ๆ กับจีนในแปซิฟิก ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคแถบนี้ นั่นไง...

แล้วพันธมิตรของอเมริกาในแถบนี้มีชาติไหนบ้างล่ะ...แปซิฟิกตอนบน ก็มีญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน ถัดลงมามีพี่ปินส์, ออสเตรเลีย, ปาปัวนิวกินี ในขณะที่ไอ้นกอินทรีหัวล้านพยายามอย่างหนักในการแทรกแซงกิจการการเมืองในไทย

พล.อ.โจเซฟ ไรอัน ผู้บัญชาการกองพลที่ 25 ซึ่งมีกำลังพล 12,000 นาย บนเกาะโอวาฮู รัฐฮาวาย ระบุปักกิ่งกำลังอวดข้อได้เปรียบ อ้างถึงการขยายอิทธิพลของกองทัพจีน แสนยานุภาพด้านขีปนาวุธพิสัยไกล และความสะดวกที่ปักกิ่งสามารถประจำการกองกำลังและยุทโธปกรณ์ในแปซิฟิก...แน่ล่ะ!! เพราะชาติที่จีนไปซูเอี๋ยไว้ไม่ไกลจากจีน

ต่างจากอเมริกาที่อยู่ไกลโพ้น แต่กระนั้นก็ยังพยายามเผือกแถวน่านน้ำนี้ไม่หยุดหย่อน ซึ่ง พล.อ.โจเซฟ กล่าวว่าในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง สหรัฐฯ และพันธมิตรจะจำเป็นต้องเดินทางข้ามน่านน้ำสากลหรือดินแดนของหลายประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากชาติเหล่านั้น เช่นเดียวกับการเคลื่อนย้ายและการขนส่งทั้งทางอากาศ ทางบกและทางทะเล

ในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว เป้าหมายลำดับต้น ๆ ของพันธมิตร คือพยายามจำกัดความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของจีน การมีส่วนร่วมในการซ้อมรบ Talisman Sabre ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของอเมริกาที่มีต่อพันธมิตร

'ARIT' พา 2 เด็กไทยสร้างชื่อ คว้ารางวัลบนเวทีระดับโลก ศึกชิงแชมป์โลกด้านไอที ที่สหรัฐอเมริกา

(4 ส.ค. 66) นายวรเทพ มงคลวาที ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอที จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ในฐานะเป็นผู้ดำเนินการจัด และคัดเลือกตัวแทนเยาวชนไทย ไปแข่งขันบนเวที Microsoft Office Specialist World Championship และเวที Adobe Certified Professional World Championship ณ เมือง Orlando, รัฐ Florida, ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม 2566 - วันที่ 2 สิงหาคม 2566 โดยการแข่งขันดังกล่าวเป็นกิจกรรมการแข่งขันทักษะการใช้ Microsoft Office และ โปรแกรม Adobe ที่มีเยาวชนมากความสามารถจากทั่วโลกเดินทางมาร่วมชิงชัยในครั้งนี้ สำหรับในปีนี้มีตัวแทนเยาวชนจากประเทศไทย จำนวน 4 คน ที่เข้าร่วมชิงชัย แบ่งเป็น 

ตัวแทนเวที Microsoft Office Specialist World Championship มี 3 คน ได้แก่ 
1. ตัวแทน Microsoft Excel Version 2019
นายทรงกลด เพชรจำรัส จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

2. ตัวแทน Microsoft PowerPoint Version 2019
นายนพณัฐ ฉลวย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

3. ตัวแทน Microsoft PowerPoint Version 2016
นางสาวสุรางค์ ศิริโต จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี    

ตัวแทนเวที Adobe Certified Professional World Championship มี 1 คน ได้แก่
1. นายพงศธร ทองมาเอง จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ซึ่งผลการแข่งขันเยาวชนไทยสามารถคว้ามาได้ 2 รางวัลได้ดังนี้ 
เวที Microsoft Office Specialist World Championship 2023
1. นายนพณัฐ ฉลวย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 โปรแกรม Microsoft PowerPoint  Version 2016

2. นายทรงกลด เพชรจำรัส จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 โปรแกรม Microsoft Excel Version Office365 & 2019

สำหรับกิจกรรมการแข่งขันโปรแกรม Microsoft Office และ Adobe เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ซึ่งในแต่ละปีจะมีประเทศต่าง ๆ จากทั่วโลก คัดเลือกเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันในเวทีระดับโลกเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนประเทศเข้าแข่งขันเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี 

นายวรเทพ กล่าวย้ำว่า “ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการจัด และคัดเลือกตัวแทนเยาวชนไทยไปแข่งขันในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นถึงความสามารถของเด็กไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก โดยเฉพาะอย่างทักษะทางด้านไอที ในยุคดิจิทัลแบบนี้ถือเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่สามารถต่อยอดสู่ความสำเร็จในอนาคตได้ของเยาวชนได้ จึงมองว่าเวทีนี้คือเวทีแห่งโอกาสที่จะช่วยส่งเสริมให้เยาวชนได้แสดงความสามารถ จึงอยากเชิญชวนไปยัง นักเรียน นักศึกษา คณะครูอาจารย์ สถาบันการศึกษา หรือแม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ร่วมกันผลักดันเวทีการแข่งขังนี้ ในปีต่อ ๆ ไป ให้ได้เป็นพื้นที่ให้เยาวชนไทย ได้แสดงออกทางความสามารถได้อย่างสร้างสรรค์ อันจะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติต่อไปได้” 

สำหรับการแข่งขันในปีหน้า ทาง บริษัท เออาร์ไอที มีกำหนดจัดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยขึ้นอีกครั้งช่วงต้นปี 2567 โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารการรับสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.arit.co.th

‘สหรัฐฯ’ ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่ม ‘นางาซากิ’ ส่งผลรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม

วันนี้เมื่อ 78 ปีก่อน สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลูกที่ 2 ที่เมือง ‘นางาซากิ’ ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง หลังถล่มเมืองฮิโรชิมา ไปแล้วก่อนหน้า ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม

จากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต่อสู้กันมายาวนานตั้งแต่ปี 2482 จนมาถึงวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 สหรัฐอเมริกาได้ทิ้ง ‘ระเบิดปรมาณู’ หรือที่เรียกในปัจจุบันว่า ‘ระเบิดนิวเคลียร์’ ลูกแรก ถล่มเมืองฮิโรชิมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 80,000 คน จากนั้นอีก 3 วันถัดมา สหรัฐฯ ได้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์อีกลูก ที่มีชื่อว่า ‘แฟตแมน’ หรือ ‘ชายอ้วน’ ซึ่งเป็นระเบิดลูกที่สองใส่เมือง ‘นางาซากิ’ นับเป็นระเบิดนิวเคลียร์เพียง 2 ลูกเท่านั้นที่นำมาใช้ในประวัติศาสตร์การทำสงคราม

ระเบิดลูกที่สอง ทำให้มีผู้เสียชีวิตในทันที 70,000 คน บาดเจ็บอีกราว 80,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนี้ผลของกัมมันตภาพรังสี ยังทำให้ผู้ที่ได้รับรังสีกลายเป็นมะเร็งในภายหลังอีกด้วย ในส่วนนี้ไม่สามารถประเมินได้แน่นอนว่ามีจำนวนเท่าใด ยังไม่รวมถึงความผิดปกติทางพันธุกรรม อันเป็นผลจากกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้างอีกด้วย  

ในที่สุดรัฐบาลญี่ปุ่นก็ประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนไว้ เพราะไม่แน่ว่าจะมีระเบิดนิวเคลียร์ลูกที่ 3 ตามมาอีกหรือไม่ หากญี่ปุ่นไม่ประกาศยอมแพ้สงครามแต่โดยดี

‘ญี่ปุ่น’ ประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นับเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488  โดยก่อนหน้านั้น นาซีเยอรมนี ได้ลงนามตราสารประกาศยอมแพ้และยุติสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488

FBI ปลิดชีพ ‘ชายในมลรัฐยูทาห์’ ที่โพสต์ขู่ฆ่า ‘โจ ไบเดน’ ก่อนหน้าผู้นำสหรัฐฯ จะเยือนมลรัฐนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง

แม้สหรัฐอเมริกาจะไม่มี ม.112 แต่ FBI ก็ได้ยิง Craig Robertson ชายผู้ที่โพสต์คำข่มขู่ต่อประธานาธิบดี Joe Biden และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ทางออนไลน์อย่างรุนแรง จนเสียชีวิต

(10 ส.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'ดร.โญ มีเรื่องเล่า' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

Craig Robertson ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการบุกของ FBI เมื่อวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2023

โดยเจ้าหน้าที่พยายามออกหมายจับ Craig Robertson ที่บ้านของเขาในมลรัฐยูทาห์ ก่อนหน้าที่นาย Biden วางแผนจะเยือนมลรัฐนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง

การร้องเรียนทางอาญากล่าวว่า Robertson โพสต์คำขู่บน Facebook ต่อนาย Biden และอัยการที่ดำเนินคดีอาญากับ Donald Trump

ทั้งนี้ Robertson ได้โพสต์บน Facebook ระบุ... "ฉันได้ยินว่า Biden กำลังจะมาที่ยูทาห์ ฉันขุดชุด ghillie เก่าๆ (ชุดพรางสำหรับพลซุ่มยิง) ของฉันออกมา แล้วจะปัดฝุ่นออกจากปืนไรเฟิลซุ่มยิง M24 ของฉันด้วย"

เกี่ยวกับสาเหตุการยิง ทาง FBI ได้ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม โดยการจู่โจมเพื่อจับกุม Craig Robertson เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 06.15 น. ตามเวลาท้องถิ่นในเมืองโพรโวทางตอนใต้ของนครซอลต์เลคซิตีไปประมาณ 65 กม.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top