Tuesday, 30 April 2024
สระบุรี

รองผบ.ตร. พร้อมคณะตรวจเยี่ยมสภาพการจราจรเพื่ออำนวยความสะดวก ด้านจราจร - ลดอุบัติเหตุ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ใน พื้นที่จังหวัดสระบุรี

พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.พร้อมคณะเดินทางตรวจสภาพการจราจรและอำนวยความสะดวกในการจราจรเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่บริเวณกิโลเมตรที่ 99 ถนนพหลโยธินเปิดช่องทางพิเศษทางหลวงที่ 1 ตำบลหนองนาก อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรีซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบตำรวจภูธรภาค 1

มีพล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรีพล.ต.ต.ชัช สุขแก้วณรงค์ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง1กองกำกับการ2 พ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพร ผกก.สภ. หนองแค พ.อ.สมศักดิ์ รักษาแสง รองผล.ศม. นายธนสาร สิทธาภา ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงสระบุรี  พร้อมเจ้าหน้าที่กรมทางหลวง แขวงทางหลวงสระบุรี ให้การต้อนรับ

การจราจรช่วงจังหวัดสระบุรีเริ่มหนาแน่น บรรยากาศการเดินทางกลับของประชาชน ตั้งแต่ 2 มกราคม 2565 สภาพจราจรบริเวณทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ช่วง กม.ที่ 106เป็นต้นไป ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ พื้นที่อำเภอเมืองสระบุรีกม.100 และกม.99 อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี มีประชาชนเริ่มทยอยเดินทางกลับจากภูมิลำเนาและจากการท่องเที่ยวในจังหวัดทางภาคอีสานและภาคเหนือ หลังเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 กันเรียบร้อยแล้ว ทำให้ปริมาณรถเริ่มมากขึ้นแต่การจราจรยังคล่องตัวสามารถทำความเร็วได้ตามกฎหมายกำหนด

 

สระบุรี - ‘ผบ.มทบ.18’ พร้อม ‘แม่บ้านทหารบก’ มอบรถจักรยานให้เด็ก ๆ ในวันเด็กแห่งชาติ

พล.ต. คณธัช มากท้วม ผบ.มทบ.18 และ คุณ ธนัญญา มากท้วม ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา มทบ.18 เป็นประธานการจับสลากรางวัลพิเศษ กิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2565 ระบบออนไลน์ ภายใต้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

โดยมอบของขวัญให้กับ ผบ.หน่วย เพื่อนำไปมอบให้กับกำลังพลและนำไปมอบให้กับบุตรต่อไป(บุตรฯ จำนวน 249 คน) จัดหาจักรยานเพื่อมอบให้กับบุตรกำลังพล จำนวน 96 คัน และรางวัลพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย ณ อาคารอดิศร มทบ.18

สระบุรี - จัดงานพิธี วันยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประจำปี 2565

วันนี้(18 ม.ค.2565)เวลา 08.30 น.นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี  เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่ม ดอกไม้สด และพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ณ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์

โดยมีหน่วยงานราชการต่าง ๆ ใน จ.สระบุรี ได้ขึ้นวางพานพุ่มดอกไม้สด เพื่อถวายราชสักการะ ตามลำดับ จากนั้น นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ประธานในพิธีขึ้นคลองพวงมาลัย วางพานพุ่ม ดอกไม้สด พร้อมจุดธูป เทียน เครื่องทองน้อย ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  กล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วีรกษัตริย์นักรบที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่กอบกู้เอกราชให้ชาติไทย พระเกียรติยศเลื่องลือไปทั่วสารทิศและเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ข้าศึกไม่กล้ามารุกรานไทยอีกเป็นเวลากว่าร้อยปี

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 กำหนดให้วันที่ 18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันยุทธหัตถี เป็นวันรัฐพิธี เนื่องในวันประวัติศาสตร์สำคัญ ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงได้รับชัยชนะ จากการทำยุทธหัตถี กับพระมหาอุปราชา ซึ่งเหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ ที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยและทรงสถาปนาความเข้มแข็งมั่นคงแก่ประเทศไทยมาในอดีตกาล อันนำมาซึ่งความสุขสงบและเกียรติภูมิของราชอาณาจักร มาถึงกาลปัจจุบัน โดยการทำยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

 

สระบุรี - "9 ปีแห่งพลังสามัคคี ฟันฝ่าทุกวิกฤต สู่ทางรอดที่ยั่งยืน" โครงการ พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดินปีที่ 9

วันที่ 5 มีนาคม 2565 เวลา 09.00 น. ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนบุญล้อมศรีรินทร์ เปิดงานโครงการพลังคนสร้างโลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดินปีที่ 9 ณ ศศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ ตำบลหนองโน อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ดำเนินรายการโดยคุณสัญญา คุณากร คุณวิวัฒน์ ศัลยกำธร (อาจารย์ยัก) นายกสมาคมดินโลกและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ สนับสนุนโดยคุณอาทิตย์ กริชพิพรรธจัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจบริษัทเชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิตจำกัด นายบุญล้อม เต้าแก้ว ผู้บริหาร ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ สู่ความสำเร็จหลังดำเนินงานมาครบ 9 ปี แบ่งเป็น 3 ระยะๆ ละ 3 ปี

โดยระยะที่ 1 พ.ศ. 2556-2558 สร้างการรับรู้ สร้างตัวอย่างความสำเร็จ หลากหลายรูปแบบทั้งบุคคล ชุมชน โรงเรียนและสร้างศูนย์เรียนรู้ในพื้นที่ 5 จังหวัดมีอาสาสมัครร่วมกิจกรรม 8,000 คน

‘ก้าวไกล’ ปักธง 4 เขตครบ จ.สระบุรี ชู!! ล้วงกระเป๋าตังค์ไปไม่ว่างเปล่า

‘ก้าวไกล’ ลุยสระบุรี แนะนำว่าที่ผู้สมัครครบ 4 เขต ‘แป๊ะ บางสนาน’ เอาด้วย ด้าน ‘เพชร กรุณพล’ เผย ประชาชนถูกใจนโยบายรัฐสวัสดิการ หวังได้เห็นก้าวไกลเป็นพรรครัฐบาลนำการเปลี่ยนแปลงใหญ่  

(1 ก.พ. 66) กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ทั้ง 4 เขตของจังหวัดสระบุรี และประชาสัมพันธ์นโยบายของพรรคก้าวไกล ที่ตลาดเช้าหนองแค, ตลาดนัดสามแยกหนองแค, ตลาดล้ง, บขส. และตลาดเสาไห้ 

กรุณพล ระบุว่าจากการพูดคุยกับประชาชน นโยบายที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือนโยบายด้านรัฐสวัสดิการ โดยเฉพาะนโยบายการปรับเบี้ยผู้สูงอายุจาก 600 เป็น 3,000 บาท และเงินเด็กเล็ก 0-6 ขวบ เดือนละ 1,200 บาท

กรุณพล มองว่า นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะประชาชนเคยมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มีหนี้ที่น้อยกว่านี้ การลงพื้นที่ทำให้ตนได้เห็นผู้สูงอายุหลายคนที่ยังต้องดิ้นรนหาเงินเลี้ยงชีพ ทั้งที่ควรได้พักผ่อนจากการทำงานมาทั้งชีวิต เพราะรายได้ที่ผ่านมาจากการทำงานไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีคุณภาพ และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเงินเก็บไว้ใช้ในชีวิตบั้นปลาย นี่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่คนไทยต้องเผชิญร่วมกัน และมีแต่จะรุนแรงขึ้นในอนาคต จากการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาแล้วหลายปี

8 ปีที่ผ่านมาภายใต้รัฐบาลทหารจำแลง วันนี้หลายคนล้วงกระเป๋าเจอแต่ความว่างเปล่า ลูกค้าหายไป กำลังซื้อลดลง เยาวชนจบใหม่ไม่มีงานทำ ค้าขายลำบาก ค่าครองชีพแพงขึ้น ประชาชนตระหนักว่าการเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคน ประเทศชาติจะดีหรือร้ายล้วนเป็นเรื่องของการเมืองทั้งสิ้น

‘จุรินทร์’ ผนึกตระกูล ‘อดิเรกสาร’ มั่นใจปักธงสระบุรี ลั่น!! ไม่ได้เป็นรัฐบาลไม่ตาย ขอทำหน้าที่สุดความสามารถ

‘จุรินทร์’ ผนึก ‘อดิเรกสาร’ มั่นใจปักธงสระบุรี ได้แน่ ลั่นถ้าประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นรัฐบาลไม่ตายหรอก ขอทำหน้าที่อย่างสุดชีวิต
.
(24 เม.ย.66) ที่ จ.สระบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นำทีมประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 เดินทางพบกับนายปองพล อดิเรกสาร อดีตนักการเมืองคนดัง ที่ส่งลูกชาย นายปรพล อดิเรกสาร ลงสมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ โดยจ.สระบุรี พรรคส่งผู้สมัครครบทั้ง 4 เขตเลือกตั้ง เขต 1 นายปรพล อดิเรกสาร เบอร์ 1 เขต 2 นายสมพงษ์ ภูพานเพชร เบอร์ 2 เขต 3 น.ส.เบญจวรรณ ใสแก้ว เบอร์ 4 เขต 4 นายนันทวัชร กี่สง่า เบอร์ 5

นายจุรินทร์ กล่าวถึงการผนึกกำลังกับตระกูลอดิเรกสารว่า จะทำให้พรรคมีโอกาสปักธงได้ ซึ่งจ.สระบุรีเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว และครั้งนี้ตระกูลอดิเรกสารให้เกียรติมาร่วมงานกับเรา ยิ่งทำให้ประชาธิปัตย์สระบุรีเข้มแข็งขึ้น เป็นการรวมพลังคูณสองยกกำลังสอง ทำให้เรามีโอกาสปักธงสระบุรีเหมือนที่เคยปักธงมาแล้วหลายครั้งในอดีต

ส่วนที่นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์พร้อมเป็นทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาลนั้น พรรคควรประกาศจุดยืนหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ประชาธิปัตย์พร้อมเป็นทุกอย่าง เราได้พิสูจน์มาตลอดระยะเวลายาวนาน ถ้าเราเป็นรัฐบาล จะทำให้พรรคมีโอกาสนำนโยบายที่หาเสียงไว้ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นจริงได้ชัดเจน แต่ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่เป็นไร ประชาธิปัตย์ก็ไม่ตาย อย่างไรก็ยังอยู่ได้ และทำหน้าที่ได้อย่างสุดชีวิต สุดความสามารถ เลือกมาให้เยอะๆ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไร เราก็ไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย มีแต่ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง

“เราจะเป็นอะไรนั้นเราก็ทำหน้าที่เต็มที่ อันนี้คือยี่ห้อประชาธิปัตย์ เป็นหลักประกันที่คนไทยทั้งประเทศไว้วางใจ มั่นใจได้ ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายค้านหมดแรง เลิก ไปนอนรอว่าเมื่อไหร่เป็นรัฐบาล ประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราพิสูจน์แล้วมายาวนาน แต่ขณะนี้เรารณรงค์ว่า ถ้าประชาชนให้เสียงเรามากพอ เราก็พร้อมจัดตั้งรัฐบาล และหัวหน้าพรรคก็พร้อมเป็นนายกฯ แต่ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่เป็นไร ประชาธิปัตย์ก็ไม่ตายหรอก ยังไงก็ยังอยู่ได้ และทำหน้าที่ได้อย่างสุดชีวิตสุดความสามารถ” นายจุรินทร์กล่าว

สำหรับในโค้งสุดท้ายของการหาเสียง จะมีแกนนำสำคัญของพรรคขึ้นเวทีปราศรัยด้วยกันหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องขึ้นเวทีเดียวกัน เราเปิด 3 ทัพ บุก 3 ทัพแบบดาวกระจาย ไม่จำเป็นต้องมากระจุกรวมอยู่ที่เดียว ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง การมากระจุก บางทีอาจเป็นจุดอ่อนก็ได้

เที่ยวนี้ประชาธิปัตย์เป็นเอกภาพ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่สุด คนทั้งประเทศจะเห็นว่าสู้ยิบตา ทำหน้าที่เต็มที่ นโยบายชัดเจน และทำได้ไวทำได้จริง ตกผลึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่เป็นภาระไปขึ้นภาษี หรือไปกู้เงินมาเพื่อทำนโยบายลด แลก แจก แถม อย่างไรก็ตาม เวทีปราศรัยใหญ่วันสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งจะจัดในวันที่ 12 พ.ค.ในกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดที่มีความพร้อม

จากนั้นนายจุรินทร์และคณะ พร้อมด้วยนายปองพล ได้ร่วมกันเดินพบปะประชาชนที่ตลาดในอำเภอเมือง สระบุรี โดยบรรยากาศคึกคัก ประชาชนให้การต้อนรับเต็มที่ ทั้งมอบดอกไม้ ขอลายเซ็น และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7628760

‘บิ๊กตู่’ เปรียบประเทศไทยเป็นรถไฟ ต้องเดินไปข้างหน้า หัวขบวนต้องดี ไม่งั้นล้มทั้งขบวน

(17 ส.ค. 66) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เดินทางตรวจราชการ จ.สระบุรี เข้าตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ ณ พื้นที่โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ฯ สถานีรถไฟหินลับ ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี 

ทั้งนี้ระหว่างรับฟังบรรยายสรุปนายกฯ กล่าวว่า ให้ผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใจว่ารัฐบาลได้ทำอะไรให้เขาต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจนี่คืออนาคตประเทศ ซึ่งหลายๆอย่างทำมาได้ดีแล้ว ขึ้นอยู่กับรัฐบาลหน้าทำอะไรได้มากกว่า ซึ่งรัฐบาลวางยุทธศาสตร์ไว้แล้ว ต้องขอบคุณกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทยและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งมีหลายเรื่องเดินตามยุทธศาสตร์ชาติไม่ใช่ไปห้ามใครทำอะไรอยากจะทำอะไรก็ทำไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ 6 ข้อ ก็สามารถทำได้หมด เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า และทั้งหมดตอบคำถามได้ก็จบ ไม่ได้ไปห้ามให้ทำอะไร ยุทธศาสตร์ชาติสามารถปรับได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มียุทธศาสตร์ชาติก็จะเดินสะเปะสะปะไป ซึ่งก็แล้วแต่แล้วกัน หลายคนก็บอกว่ามีไว้ทำไม ขอให้อ่านดูก่อน ทุกเรื่องถ้าไปจับเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่เข้าใจกัน ต้องอ่านกฎหมายก็ต้องอ่านให้หมด

จากนั้นนายกรัฐมนตรี ขึ้นขบวนรถไฟหมายเลข 3 บชส.1221 จัดเฉพาะระยะทาง 300 เมตร ไปยังบริเวณอุโมงค์ผาเสด็จ โดยพล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่ได้นั่งมาหลายปีแล้ว ซึ่งเราชอบขนมอาหารที่ขาย ข้างทางรถไฟเช่น ข้าวเหนียวเนื้อ

ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกภูมิใจหรือไม่กับผลงานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องภูมิใจไปด้วยกัน ไม่ใช่จะว่ากันไปกันมามันก็จะไม่เสร็จ เมื่อถามว่าถือเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายของรัฐบาลนี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อะไรสุดท้ายมีตั้งหลายขบวน รถไฟมันไม่มีวันสิ้นสุดอยู่แล้ว ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าไม่มีวันสิ้นสุดอยู่แล้ว ถ้าทุกคนช่วยกันทำมันก็ไปข้างหน้าได้ มันถึงเกิดได้ไงฉะนั้นรถไฟยังมีหัวขบวน ถ้าหัวขบวนดีก็ไปได้ตลอด ถ้าหัวขบวนไม่ดีก็ล้มทั้งขบวน มันไปไม่ได้เข้าใจหรือเปล่า เข้าใจไหม

เมื่อถามว่าจะฝากไปถึงรัฐบาลใหม่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ไปเกี่ยวกับเขาหรอก ก็เรื่องของเขาสิ เราทำไว้ให้หมดแล้ว

เมื่อถามว่าวันนี้ถือว่าอากาศดีแล้วใช่หรือไม่ เพราะบนท้องฟ้าพระอาทิตย์กำลังทรงกลด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เหรอ โชคดีของพวกเธอ ขอให้ประเทศชาติโชคดีด้วยก็แล้วกัน

เมื่อถามว่าถือว่าโครงการรถไฟนี้เป็นไปตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าก็ใช่ ในเร็ว ๆ นี้ก็จะเสร็จอีกหลายช่วง มันก็ไม่ง่ายนักการก่อสร้างอะไรแต่ละอย่าง ซึ่งจากเดิมวิ่ง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เวลานี้วิ่งได้ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตรงนี้เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ได้สรุปให้ฟัง การเดินทางจะเร็วขึ้น และจะไปเชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงด้วย ที่จังหวัดหนองคายคู่ขนานกันไปจะทำให้คอขวดจุดนี้หายไป เพราะก่อนหน้านี้ตรงนี้เป็นพื้นที่คอขวดที่เดินทางขึ้นเขาไม่ได้ การเดินทางช้า ขอให้ลงรายละเอียดจะได้เข้าใจกัน การที่เราพูดเยอะเพราะอยากให้ได้รับรู้รายละเอียด ถ้าจับตรงนั้นตรงนี้ของคนนั้นคนนี้มาพูดมันก็ตีกันอยู่อย่างนี้ สื่อก็ต้องช่วยกันหาเหตุผลว่ามันใช่หรือไม่ใช่ มันเป็นอย่างไรข้อเท็จจริงก็จะไม่ทะเลาะกันเข้าใจหรือไม่ สิ่งนี้ใครได้ประโยชน์ นายกฯ ได้หรือ ตรงนี้นายกฯ ไม่ได้ แต่คนที่ได้คือประชาชนรัฐบาลก็ต้องทำแบบนั้น ใช้งบประมาณให้เกิดความสมดุลพูดง่าย ๆ

เมื่อถามว่าเป็นการฝากไปยังรัฐบาลใหม่ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ต้องฝากก็ส่งต่อไปบางอันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและบางอันเป็นโครงการอยู่แล้วก็หวังว่าเขาจะทำต่อ

จากนั้นขบวนรถไฟได้เคลื่อนตัวออก ผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่าขบวนรถไฟนี้ยังมีเสี่ยหนูนั่งอยู่ด้วย ขณะที่ นายอนุทิน นั่งอยู่ด้านหลังนายกฯ ถึงกับหัวเราะเสียงดังชอบใจ 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะต่อขบวนกันไปแบบนี้ไปตลอดหรือเปล่า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถาม 

เมื่อถามย้ำว่าจะฝากนายอนุทินไปสานงานต่อในรัฐบาลหน้าหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ฝากทุกคนนั่นล่ะ ฝากเสี่ยหนูก็ฝาก 

เมื่อถามว่าฝากไปถึงรัฐบาลหน้าด้วยหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไปถามนายกฯ ใหม่เขานู้น จังหวะนี้ทำให้นายอนุทินถึงกับหัวเราะ ก่อนที่นายอนุทินจะพูดกระเซ้านักข่าวพร้อมโบกมือกล่าวว่า “ลาก่อน”

หลวงพ่อวัดถ้ำกระบอกตกหลังคาเจ็บสาหัส  ลูกศิษย์ต้องเดินหามเกี้ยวส่ง รพ.ไกล 6 กม.

เมื่อวานนี้ (18 ธ.ค.66) จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Pakaraporn Bunta ได้โพสต์รูปภาพ เป็นภาพหลวงพ่อรูปหนึ่งอยู่ในกระเช้าที่มีรถเครนยกขึ้นไปบนหลังคาวิหารที่กำลังก่อสร้าง แล้วเกิดพลัดตกทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งลูกศิษย์จำนวนหนึ่งนำหลวงพ่อขึ้นเกี้ยวหามส่งโรงพยาบาล พร้อมกับระบุข้อความไว้ว่า “สัจจะ คือตัวกระทำ ห้ามขึ้นรถลงเรือ” เรื่องคือหลวงพ่อขึ้นไปทำหลังคา แล้วท่านตกลงมาจากข้างบน แต่ประเด็นคือ ท่านไม่ยอมขึ้นรถของ รพ.ที่มารับ แต่จะเดินไป รพ. เอง แต่ด้วยระยะทางเกือบ 6 โลเมตร และเลือดออกไม่หยุด ลูกศิษย์ไม่ให้ท่านเดิน เลยต้องทำเกี้ยวนั่ง

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปวัดถ้ำกระบอก หมู่ 11 ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เพื่อสอบถามสาเหตุและเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่ภายในวัดถ้ำกระบอก จึงทราบว่าพระที่ได้รับบาดเจ็บคือ พระอาจารย์บุญส่ง ฐานจาโร ประธานมูลนิธิถ้ำกระบอกและประธานสงฆ์วัดถ้ำกระบอก โดยได้พบกับ พระองอาจ ปภากโร อายุ 67 ปี ผู้ดูแลรักษาบำบัดยาและสุรา วัดถ้ำกระบอก กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. เกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อย กู้ภัยสังเกตเห็นหูท่านมีเลือดออก เป็นพระที่นี่เป็นพระที่บวชแล้วเอาตัวกระทำเป็นที่พึ่ง คือการทำงานเป็นที่พึ่ง ไม่ได้ออกไปเรี่ยไร หลวงพ่อท่านอายุจะ 80 แล้ว ท่านยังแข็งแรงอยู่ ท่านขึ้นไปมุงหลังคาเอง

เกิดเหตุการณ์กระเช้าเคนหลุด หลวงพ่อเลยร่วงลงมา ค้างอยู่ประมาณ 6 เมตร ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะมีแผล มีเลือดออกจากหูนิดหน่อย แต่ท่านจะไม่ไปโรงพยาบาล ลูกศิษย์ไม่ยอม เลยพากันหามท่านไป เพราะว่าท่านเชื่อเรื่องสัจจะ ไม่ขึ้นรถลงเรือ เป็นอะไรต้องเดิน เดินไม่ไหวก็หามกันไป ปฏิบัติมาตลอดตั้งแต่ พ.ศ.2502 กว่า 60 ปี ตั้งแต่หลวงปู่ใหญ่เป็นผู้ให้กำเนิดวัดถ้ำกระบอก ก็เอาสัจจะเป็นที่พึ่ง ตอนนี้อาการท่านไม่มีปัญหา หมอนัดผลเอกซเรย์วันนี้ช่วงบ่าย มีเย็บ 13 เข็ม มีแผลถลอกนิดหน่อย รอผลเอกซเรย์ศรีษะว่าจะมีกระทบกระเทือนไหม ลูกศิษย์ให้หมอดูแลให้เต็มที่ ถึงท่านจะอายุมากแล้วแต่ท่านยังแข็งแรงอยู่ คนหนุ่มบางคนยังสู้ท่านไม่ได้ ฉันมื้อเดียว ไม่ขึ้นรถลงเรือ ไม่รับกิจนิมนต์ บาดเจ็บสาหัสยังไงก็ไม่ยอมขึ้นรถ

ทางด้านนายอำนวย แก้วศรี อายุ 46 ปี ลูกศิษย์วัดถ้ำกระบอก กล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณ 12.00 น.ได้ยินเสียงดัง จึงเดินออกไปดูมีลูกศิษย์วัดอีกคนวิ่งมาว่าหลวงพ่อร่วงลงมาแต่ค้างอยู่บนหลังคาชั้น 2 เมื่อนำท่านลงมาแล้วทำการปฐมพยาบาล มีบาดแผลที่ศีรษะ ที่ขา และอีกหลายแห่ง

เบื้องต้น กู้ภัยมาแล้วจึงได้ประเมินบาดแผล แต่หลวงพ่อไม่ยอมไปโรงพยาบาล เพราะหลวงพ่อท่านไม่ขึ้นรถ เลยเสนอให้ทำเกี้ยวแบกไป อาจารย์บอกว่าจัดการได้เลย ผมจึงไปนำเกี้ยวมา แล้วจึงนำท่านขึ้นเกี้ยว แล้วแบกกันไป เหตุผลที่ท่านไม่ขึ้นรถเพราะท่านรับสัจจะเอาไว้ ว่าจะไม่ขึ้นรถลงเรือ ท่านบวชมา 50 กว่าปี ท่านไม่เคยขึ้นรถ ท่านเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ท่านไม่เคยขึ้นรถ เพราะหลวงพ่อท่านทำงานทุกวัน อายุ 70 กว่า ช่วงที่แบกเกี้ยวไปส่งประมาณ 6 กิโลเมตร

อาการเบื้องต้นทางโรงพยาบาลเย็บแผลให้ ต้องรอดูอาการท่าน 2 วัน เกรงว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือน เพราะมีเลือดออกทางหู 

'ปตท.' แจง!! หลังโซเชียลแชร์ปม ลูกค้าเติมน้ำมันได้ไม่เต็ม 5 ลิตร ยัน!! อยู่ในเกณฑ์คู่มือการตรวจสอบฯ ปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิง

จากกรณีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งได้เผยคลิป เข้าไปเติมน้ำมันดีเซลที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี โดยลูกค้าสังเกตว่าเกจ์วัดน้ำมันไม่ได้ขึ้นตามที่ต้องการ จนทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บนโลกโซเชียล

ล่าสุด พีพีที สเตชั่น ได้ออกหนังสือชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า ตามที่มีการเผยแพร่คลิปทางโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 ระบุว่ามีลูกค้ามาเติมน้ำมันดีเซล จำนวน 1,000 บาท ที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และรู้สึกว่าเกจ์วัดน้ำมันรถขึ้นไม่เป็นปกติ จึงแจ้งขอให้ทางสถานีบริการตรวจสอบนั้น จากการตรวจสอบพบว่า

สถานีบริการที่เกิดเหตุคือ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สระบุรี โดยลูกค้าได้เข้ามาเติม น้ำมันเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา และรู้สึกว่าเกจ์น้ำมันขึ้นไม่เป็นปกติ จึงขอให้ทางสถานีบริการดำเนินการตรวจสอบตามคลิปที่ปรากฏในโซเชียลมีเดีย โดยเมื่อบีบมือจ่าย 5 ลิตร 2 ครั้ง ได้ปริมาตรน้ำมันขาดไปประมาณ 25-30 มิลลิลิตร (หรือ 0.025 - 0.030 ลิตรต่อปริมาณน้ำมันที่ทดสอบ 5 ลิตร) ซึ่งพนักงานหน้าลานได้ชี้แจงว่ายังเป็นไปตามเกณฑ์ ใน ‘คู่มือการตรวจสอบและให้คำรับรองมาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิง’ ของสำนักงานชั่งตวงวัด ที่กำหนดให้มี ‘อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด’ หรือค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมให้ได้สูงสุดของมาตรวัดนั้น ๆ ในการตรวจสอบระหว่างใช้งานสำหรับเชื้อเพลิงปริมาณ 5 ลิตรให้มีความคลาดเคลื่อนบวกลบได้ไม่เกิน 50 มิลลิลิตร (หรือ 0.050 ลิตรต่อน้ำมันที่ทดสอบ 5 ลิตร)

พีทีที สเตชั่น ใครขอชี้แจงว่า มาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานีบริการน้ำมันทุกแห่งต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากสำนักงานชั่งตวงวัด กระทรวงพาณิชย์ โดยที่ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถปรับแต่งมาตรวัดเองได้ และสถานีบริการน้ำมันจะต้องดำเนินการตรวจวัดปริมาตรน้ำมัน และนำส่งสำนักงานกลางชั่งตวงวัดเป็นประจำทุกเดือน โดยผลการตรวจวัดปริมาตรน้ำมันของ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สระบุรี ล่าสุด ยังคงเป็นไปตามเกณฑ์ที่สำนักงานชั่งตวงวัดกำหนด ทั้งนี้ พีทีที สเตชั่น ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเรื่องดังกล่าว

โดยในวันพรุ่งนี้ (22 ธ.ค. 66) จะประสานงานให้สำนักงานชั่งตวงวัดเข้ามาตรวจสอบและยืนยันว่ามาตรวัดของ พีทีที สเตชั่น เป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคต่อไป พีทีที สเตชั่น ขอยืนยันว่า เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานให้แก่ผู้บริโภครวมถึงยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นไปตามหลักกำกับดูแลกิจการที่ดี ตามนโยบายต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชัน ของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

‘TCMA’ ชู!! ต้นแบบนิเวศนวัตกรรม บรรลุ Net Zero 2050  พร้อมดัน ‘สระบุรี’ ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกในไทย

เมื่อวานนี้ (10 ม.ค.67) ดร.ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) เปิดเผยว่า TCMA ได้ดำเนินการร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)

ทั้งนี้ เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าดำเนินงานของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ที่ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ มุ่งสู่การลดการปล่อยคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ 2050 Net Zero Cement and Concrete Roadmap การนำโรดแมปสู่การปฏิบัติการเปลี่ยนผ่าน

อีกทั้งยังได้แลกเปลี่ยนการดำเนินงานภายใต้แนวคิด Climate Partnership Determination นอกจากนี้ TCMA ได้ร่วมกับ Global Cement and Concrete Association (GCCA) องค์กรด้านซีเมนต์และคอนกรีตระดับโลก นำเสนอความก้าวหน้าดำเนินงาน Decarbonization Action และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกในระดับโลก

ดร.ชนะ กล่าวอีกว่า TCMA นำ 2050 Net Zero Cement and Concrete Roadmap มาสู่การปฏิบัติการเปลี่ยนผ่าน เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 มีการจัดทำแผนการดำเนินงานที่ลงรายละเอียด และพัฒนานิเวศนวัตกรรมดำเนินงานบูรณาการความร่วมมือเชิงพื้นที่ในจังหวัดสระบุรี ภายใต้ Public-Private-People Partnership (PPP)-Saraburi Sandbox: A Low Carbon City สร้างสระบุรีเป็นต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกในไทย 

PPP-Saraburi Sandbox เป็นการพัฒนารูปแบบความร่วมมือทำงานในเชิงพื้นที่ (Area Base) โดยใช้แนวทาง 3C คือ Communication - Collaboration - Conclusion step-by-step และ 3P คือ Public - Private - People Partnership นำโดยจังหวัดสระบุรี บูรณาการความร่วมมือและร่วมกันกำกับดูแล ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในทุกระดับ ทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ทำงานเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ผ่านโครงการต้นแบบที่สอดคล้องกับ Thailand NDC แผนลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ครอบคลุมมิติด้านนโยบาย กฎหมาย กฎระเบียบ (Policy/ Law/ Regulation) 

อีกทั้ง ด้านแหล่งทุน (Climate Funding) ด้านเทคโนโลยี (Technology) และด้านการกำกับดูแล (Governance) การดำเนินงานด้วยวิธีนี้ จะทำให้โครงการที่ทำด้านลดก๊าซเรือนกระจกมีความชัดเจนและวัดผลได้

สำหรับโครงการภายใต้ PPP-Saraburi Sandbox จะประกอบด้วย 

- การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด (Accelerating Energy Transition) เช่น การจัดหาพื้นที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ (Solar Floating) และระบบผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน การพัฒนาสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Grid Modernization) และการส่งเสริมปลูกพืชพลังงาน เช่น หญ้าเนเปียร์

- การยกระดับเป็นอุตสาหกรรมสีเขียว (Fostering Green Industry & Green Product) ด้วยการศึกษาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน และส่งเสริมการใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ หรือปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก รวมถึงการพัฒนาปูนซีเมนต์ที่ผลิตจากนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

- การจัดการวัสดุเหลือใช้ (Turning Waste to Value) ด้วยการนำวัสดุเหลือใช้มาเป็นวัตถุดิบทดแทน หรือใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE)

- การทำเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำ (Promoting Green Agriculture) ด้วยการปลูกพืชพลังงานตามโมเดล BCG เช่น การทำนาเปียกสลับแห้ง ลดการใช้น้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

- การเพิ่มพื้นที่สีเขียว (Increasing Green Space) สนับสนุนการปลูกป่าชุมชนเพิ่ม 38 แห่งทั่วจังหวัด ช่วยดูดซับคาร์บอน ต่อยอดสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิต และสร้างรายได้ให้ชุมชน

"การนำเสนอดังกล่าวอยู่ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 28 (COP28) ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์" 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top