Wednesday, 14 May 2025
สมคิดจาตุศรีพิทักษ์

'สร้างอนาคตไทย' ดัน ‘อุตตม’ นั่งหัวหน้าพรรค พร้อมชู ‘สมคิด’ แคนดิเดต ชิงเก้าอี้นายกฯ

พรรคสร้างอนาคตไทย ประกาศจะเสนอ ‘สมคิด’ เป็นแคนดิเดตนายกฯ พร้อมดัน ‘อุตตม’ นั่งแท่นหัวหน้าพรรค เดินนโยบายด้านเศรษฐกิจ

พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 โดยมีวาระสำคัญ 5 เรื่องประกอบด้วย รายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปี 2564 รายงานงบการเงิน การแก้ไขข้อบังคับพรรค การเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และการเลือกตั้งกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

จากนั้น นายอุตตม สาวนายน ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ กล่าวถึงอุดมการณ์ ว่า เป้าหมายสูงสุดในการตั้งพรรคสร้างอนาคตไทยเพื่อการแก้ปัญหาให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะมีพรรคการเมืองที่เป็นทางเลือก ที่อาสาเสนอทางออก โดยรวบรวมผู้คนจากหลายภาคส่วนที่มีประสบการณ์ทำงานจากภาคเอกชนและภาครัฐมาประกอบกับคนรุ่นใหม่ เพราะหากบ้านเมืองดี คนที่อยู่ในการเมืองทุกวันนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ เราทุกคนคงไม่เข้ามาทำการเมือง เพราะการตั้งพรรคไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เชื่อว่าทุกคนต้องการสร้างการเมืองใหม่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และความรู้ ความสามารถบวกกับประสบการณ์ที่มีมาหล่อหลอมร่วมกัน ไม่ใฝ่หาอำนาจ เปิดกว้างให้ประชาชนแสดงความเห็น ทั้งที่สอดคล้องและเห็นต่าง เพื่อประโยชน์สูงสุดให้บ้านเมือง 

พรรคจะไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนพึ่งได้ ถึงเวลาที่พวกเราจะผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติที่กำลังเผชิญ ให้กลับมาเป็นประเทศที่ทันสมัยได้อีกครั้ง พัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพทุกพื้นที่ ไม่จำกัดเฉพาะในเมือง บนพื้นฐานของความเสมอภาค ในโอกาสและความยุติธรรมสู่อนาคตที่มั่นคงร่วมกัน

“จากปัญหาวิกฤติที่ชะงักงัน ที่เกิดจากการเข้ามาแล้วสืบทอดอำนาจทำให้เกิดวิกฤต ซึ่งเราจะยืนเคียงข้างประชาชนและปฏิเสธการเมืองเช่นนั้น เราจะทำงานการเมืองโดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ยึดระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และสร้างระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง หยุดประชาธิปไตยเทียมที่ยึดผลประโยชน์บางกลุ่ม ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ” นายอุตตม กล่าว

‘สมคิด’ ลั่น ไม่ได้หวังขึ้นแท่นนายกฯ อยู่ที่ฟ้าดินลิขิต แต่พร้อมเป็นผู้นำให้ประเทศ

‘สมคิด’ นั่งปธ.พรรคสร้างอนาคตไทย ลั่น ไม่ได้หวังขึ้นแท่นนายกฯ ชี้อยู่ที่ฟ้าลิขิต ยัน ต้องการเปลี่ยนประเทศ ซัด การเมืองเละเทะเหมือนคอกม้า ซื้อขายโจ่งครึ่ม ย้อนอดีต ทิ้งรัฐบาลตู่ เหตุ พิษบุพเฟต์คาบิเนต พร้อมสั่ง ‘อุตตม’ ตะเพิดลูกพรรคออกนอกลู่ 

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 8 ก.ย. ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต พรรคสร้างอนาคตไทย จัดกิจกรรม #คิดสร้างอนาคตไทย เปิดตัวนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในตำแหน่งประธานพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.)โดยมีสมาชิกจากทุกภาค เข้าร่วม พร้อมทำป้ายเชียร์ #ทีมสมคิด #จอมยุทธ์กวง #สุดยอดวิสัยทัศน์ #มือเศรษฐกิจขั้นเทพ โดยนายสมคิด เดินทางมาพร้อมกับนายณฉัตร จาตุศรีพิทักษ์ หรือ น้องคลัง บุตรชายคนเล็ก ขณะที่บรรยากาศในงานมีนายปองพล อดิเรกสารนายปรพล อดิเรกสาร นายนวกิจ พลวิเศษ บุตรชายนายภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส.นครราชสีมา และนพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ อดีต ส.ส.ชัยภูมิ และอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรียุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร่วมงาน

นายสมคิด กล่าวเปิดใจว่า ตนไม่ได้มาคนเดียว มาพร้อมกับลูกชายคนเล็ก ชื่อนายณฉัตร จาตุศรีพิทักษ์ ชื่อเล่น คลัง เป็นลูกที่สวรรค์ส่งมาให้ตนในขณะที่ตนเป็น รมว.คลัง คลังเป็นลูกคนเล็ก อายุ 20 ปี เรียนวิศวกรรมปี 2 มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และไม่ได้พามาเที่ยว แต่พามาเพื่อให้เป็นประจักษ์พยาน ได้เห็นและรู้ว่าการสร้างพรรคการเมืองที่ดีมีจริง ต้องการให้เรียนรู้ว่าการทำพรรคการเมืองไม่ใช่ของง่าย ต้องการให้เข้าใจในตัวพ่อว่าต้องกลับมาช่วยเหลือน้อง ๆ ทั้งหมดล้วนเป็นภารกิจหน้าที่ ไม่ใช่เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะตำแหน่งนายกฯไม่มีความหมาย แต่ที่มีความหมายคือ การเป็นผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทย ที่ผ่านมาประเทศ มีนายกฯมาทุกสมัย ดีบ้าง อ่อนบ้าง แต่ยากที่จะหาผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาบ้านเมือง ไม่ใช่เพราะไม่กล้า แต่พลังไม่ถึง บางคนพลังถึงแต่ไม่คิดที่จะทำ เพราะวาระซ่อนเร้น จึงต้องการให้ลูกได้เห็นสิ่งที่พ่อเขาพยายาม ไม่ว่าจะได้มากได้น้อย มันเป็นเรื่องของชะตาบ้านเมือง

นายสมคิด กล่าวว่า ต้องการให้คนรุ่นใหม่ รู้ว่าการเมืองไม่ได้เลวร้าย การเมืองดี การเมืองที่มุ่งทำงานให้ชาติก็มี คนที่มุ่งทำงานก็มี อย่าคิดว่าการกลับมานั้นหวังแค่นายกฯ ให้คิดใหม่ รู้จักชื่อสมคิดน้อยไป วันนี้มาด้วย 2 วัตถุประสงค์ คือ มาเพื่อให้กำลังใจพรรค ขอบคุณทางพรรคที่มีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเมืองเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อเป็นหลักยึดแก้ไข เป็นอนาคตให้กับคนรุ่นหลาน ถ้าไม่คิดถึงอนาคต คิดถึงแต่ปัจจุบัน บ้านเมืองไปไม่ได้ จึงขอบคุณความเด็ดเดี่ยวที่กล้าประกาศว่าเป็นพรรคสายกลาง ไม่คิดสุดโต่ง สุดขั้ว เพราะความคิดแบบนั้น แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีแบ่งกลุ่มมีแต่ทำลายตัวเอง ทำลายบ้านเมือง สิ่งสำคัญต้องเป็นกลาง เพื่อเป็นตัวยึดโยงให้พลังในชาติสามารถเป็นพลังแห่งชาติ คิดในสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อชาติบ้านเมืองเป็นใหญ่ 

นายสมคิด กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุด มีความกล้าหาญเพียงพอที่กล้าตั้งพรรคการเมืองในขณะนี้ทั้งที่สถานการณ์ทางการเมืองค่อนข้างเละเทะ มีสถานการณ์ที่เงินตราเริ่มเข้ามามีบทบาทสูงมาก การแข่งขันทางการเมืองเริ่มมีลักษณะเหมือนการแข่งขันในสนามม้า มีม้าแข่งที่ต้องซื้อ มีคอกที่ต้องมีเจ้าของ และคอกก็ต้องหาเงินมาเลี้ยงม้า สิ่งเหล่านี้ที่ผ่านมาแม้มีมาตลอด แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่โจ่งครึ่มเกินไป และเป็นตัวอย่างไม่ดีให้คนรุ่นหลังจะหันหลังให้การเมืองไทย คนรุ่นใหม่จะไม่อยากเข้ามา ฉะนั้นความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ที่จะรวบรวมความคิดอ่านเพื่อเข้าไปช่วยเหลือประชาชน คือความกล้าหาญที่แท้จริง ไม่ต้องไปคำนึง ไปกลัวว่าจะได้กี่เสียง จำนวนเสียงไม่ได้บอกอะไร แต่ศรัทธาของประชาชน คือหัวใจ อย่าคิดว่าเงินตราซื้อคอกม้าใหญ่ได้แล้วจะมีพลังในการบริหารประเทศ ถ้าเล่นการเมือง สร้างพรรคการเมือง คิดแต่สร้างผลทางอำนาจ แต่ไม่มีโครงสร้างทางปัญญา ไม่สั่งสมคนมีความสามารถ สุดท้ายจะไปไม่รอด จะพาบ้านเมืองไปไม่รอดด้วย

“มีคนเคยบอกว่าสมคิด ไม่มาแน่นอน เพราะต้นทุนทางสังคมเยอะพอสมควร จะมาอยู่กับพรรคเล็กทำไม ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ แต่ต้องการช่วยพรรคครั้งนี้ เป็นตัวอย่าง เป็นตัวขับเคลื่อน สร้างความเปลี่ยนแปลงกับประเทศไทยในทางที่ถูกต้อง”นายสมคิด ระบุ

นายสมคิด กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยสถานการณ์หนักกว่าที่คิด และอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ตนจำได้ว่ารัฐบาลที่แล้วเมื่อปี 2557 ก่อนที่ตนจะส่งทีม 4 กุมารเข้าไป จีดีพีเหลือเพียง 1% เพราะมีการรัฐประหาร ทำให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องช่วยกันทำงานจนลากจีดีพีขึ้นมาถึง 3-4% แต่ต่อมาต้องมาเจอพิษโควิด-19 และพิษการเมืองที่แสวงหาอำนาจ แต่ไม่แสวงปัญญา เป็นรัฐบาลผสม หรือบุฟเฟ่ต์คาบิเนต มีที่ไหนที่นโยบายประเทศแบ่งกันตามกระทรวง ทางใครทางมัน ตนจึงวอล์กเอาท์ นี่คือความเป็นจริงของประเทศไทย ทำให้จีดีพีหดตัว วันนั้นเรายังไม่มีปัญหาเรื่องการส่งออก และพลังงาน มาวันนี้การส่งออกเริ่มชะลอตัว เมื่อมองไปข้างหน้า เราจะพบมรสุมลูกใหญ่ แล้วเราจะถึงฝั่งได้อย่างไร 

นายสมคิด กล่าวว่า วันนี้เรามีนายกฯ แต่คนไหนตัวจริงยังไม่รู้เลย ที่น่ากังวลเพราะว่าเราต้องการนายกฯจริงๆ อย่างไรก็แล้วแต่ต้องมีจริงๆ เพื่อให้โฟกัสที่ไปตัวผู้นำ ไม่อย่างนั้นใครนำเรือลำนี้ หรือจะให้ข้าราชการนำ ข้าราชการนำไม่ได้ สมัยก่อนนำได้ แต่สิบกว่าปีมานี้ให้หลังไม่ได้ เพราะการเมืองไม่ไหว ทำมากผิดมาก ไม่ทำเลยไม่ผิด คนดีมีความสามารถนิ่งเสียตำลึงทอง ฉะนั้น ทั้งหมดอยู่ที่ผู้นำที่ต้องทุบโต๊ะ ถ้าไม่ช่วยเหลือให้ยุบสภาเลย เก็บไว้ทำไม เมืองไทยจะไปไม่ไหว ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าทำไม่เป็น ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่ดี คนไทยมีความอดทนสูงมาก ตนอายุขนาดนี้ คนไทยไม่เคยบ่น ลำบากก็ไม่บ่น เขามองหาความหวังว่าใครจะมาช่วยเขา ที่น่าเป็นห่วงคือ ถ้าเขามองแล้วความหวังไม่มี พรุ่งนี้ไปตายเอาดาบหน้า อันนี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง ยิ่งวันยิ่งจน เมื่อจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ การจะเป็นเหยื่อของการปลุกปั่นเกลียดชังจะเกิดขึ้น เพราะจะมีคนปลุกปั่นอยู่ การปลุกปั่นยุยงให้แตกแยกกันไม่มีใครได้ประโยชน์นอกจากคนปลุกปั่น การเป็นปฏิปักษ์กันเองของคนในชาติเป็นสิ่งที่พรรคนี้อย่าให้เกิดขึ้น ต้องมุ่งมั่น เอาคนดีมาร่วมมือกันทั้งในพรรคและนอกพรรค

‘ดร.สมคิด’ ชี้!! สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะอ่อนแอ เพราะปมปัญหาทางการเมืองฝังลึก พร้อมฉุดทุกความเชื่อมั่น

เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 67 ศาสตราจารย์ภิชาน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ ‘จับชีพจรชีวิตประเทศไทย’ จากงานสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี 2567 โดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ภายใต้หัวข้อใหญ่ ‘ฝ่าเศรษฐกิจ ปีงูใหญ่ ชวนสร้างไทยให้ยั่งยืน’

โดยครั้งนี้ถือเป็นการออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการครั้งแรก นับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งกลางปี 66 ซึ่งช่วงหนึ่งของการปาฐกถาพิเศษ ดร.สมคิด ได้พูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมา ที่ถือว่าเป็นพระเอกของอาเซียน แต่ปัจจุบันกลับเดินช้าและอ่อนแอลง เพราะปัญหาที่สะสมมานาน ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด

“สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้ามากว่า 20 ปี และไม่ได้เติบโตเหมือนเดิมอีก เป็นปัญหาสั่งสมมายาวนาน วันนี้เศรษฐกิจไทยถือว่าอ่อนแอเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ประเทศอื่นเติบโตเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม และอินโดนีเซีย หรือมาเลเซียก็สามารถที่จะกลับมาใช้นโยบาย Multi Corridor เดินหน้าเศรษฐกิจ ส่วนอินเดียนั้นมีประชากรและแรงงานมาก มีการลงทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก แต่ไทยเสียความสามารถในการแข่งขันและกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด และประชากรลดลงเรื่อยๆ”

ดร.สมคิด ระบุอีกว่า หากดูตัวเลข GDP ย้อนหลังของไทย 20 ปี โตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี แต่หลังจากนั้นเริ่มลดลง โดยเฉพาะช่วงหลังเกิดรัฐประหาร เจอวิกฤตโควิด-19 ขณะที่ในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการประเมินตัวเลข GDP โต 1.8% สะท้อนว่าประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ยุคเติบโตต่ำมาเรื่อยๆ 2% กว่า และในปีนี้ที่ผ่านมาก็ยังไม่รู้ว่าจะไปจบอยู่ที่กี่เปอร์เซ็นต์

“ตัวเลขจาก กระทรวงการคลัง วางไว้ว่า 1.8% ซึ่งถ้าจีดีพีโต 1.8% คุณต้องเอาน้ำแข็งประคบหัวเลย เพราะโตต่ำมาก ไทยได้เข้าสู่ยุคของ Low Growth แทบจะ 20 ปีแล้ว ถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น เราไม่รู้ตัวเหรอ แต่จริงๆ ผมว่าเรารู้ตัวนะ”

เมื่อพูดถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอ? ดร.สมคิด กล่าวว่า ก็เพราะปัญหาการเมือง การแบ่งสี แบ่งค่าย มุ่งยึดฐานเสียง การออกนโยบายระยะสั้น เพื่อหาเสียง ไม่ได้กำหนดนโยบายระยะยาว และหลายเรื่อง รอการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ

“ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาประเทศไทย ถือว่าเสียเวลาไปมาก และไม่ใช่ปัจจัยปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างเดียวแต่เป็นปัญหาทางการเมือง รัฐบาลแต่ละช่วงเวลาอาจจะรู้ว่าต้องทำนโยบายอะไร แต่ว่าการเมืองไม่สนับสนุนให้ทำได้ เพราะการเมืองมุ่งแต่จะเอาชนะกัน แบ่งสี แบ่งค่าย เพื่อเอาฐานเสียงทุกรูปแบบ สุดท้ายก็นำไปสู่การหาเสบียง หาเงิน ดัชนีคอร์รัปชันก็เลยพุ่งสูง เปิดโอกาสให้ทุนทางการเมืองเข้ามากลายเป็นรูปแบบธุรกิจ นโยบายจึงออกมาเป็นควิกวิน (Quick Win) ระยะสั้น ไม่สามารถทำนโยบายระยะยาวได้ เรื่องที่เป็นนโยบายใหญ่ๆ กฎหมายสำคัญๆ ที่จะออกจากสภาฯ ก็ไม่ทำ การเมืองก็ใช้วิธีการปรองดองกันเพื่อผลประโยชน์เท่าที่ทำได้”

เมื่อพูดถึงนโยบายระยะยาว? ดร.สมคิด ให้มุมมองว่า รัฐบาลต้องหันกลับมามองการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพราะที่ผ่านมา ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ รวมไปถึงต้องกลับมาโฟกัสการลงทุนขนาดใหญ่ ที่เคยเกิดขึ้นอย่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เดินหน้า หากของเก่ายังทำไม่ได้ แลนด์บริจด์ที่จะเกิดขึ้นใหม่ก็อาจจะไปไม่รอด

“ถ้าโครงการอีอีซีเดินหน้าไม่ได้ก็ไม่ต้องหวังอะไรกับโครงการแลนด์บริดจ์ เพราะความเชื่อมั่นไม่เหลืออยู่แล้ว” ดร.สมคิด กล่าวและเสริมอีกว่า “วันนี้ไทยจึงต้องเร่งฟื้นฟู ความเชื่อมั่น ความเชื่อใจ และความเชื่อถือ ทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมทั้งฟื้นหลักธรรมาภิบาล ความโปร่งใส ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไปต่อยาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นตก เศรษฐกิจถดถอย ไม่ใช่ปัจจัยอื่น หากยังไม่ช่วยกันแก้ไข ก็จะพาประเทศไทยไปสู่ความเสี่ยงที่เรารู้แน่นอนว่าเราจะเดินไปสู่อะไร ตรงนี้ต้องคิดกันให้ดี”

เมื่อพูดถึงข้อแนะนำที่จะทำให้ตัวเลข GDP โตขึ้นได้ ต้องโฟกัสที่จุดใดเป็นสำคัญ? ดร.สมคิด แนะว่า หากจะให้ตัวเลข GDP โตขึ้น ต้องเร่งเปลี่ยนเครื่องยนต์ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะเครื่องยนต์เดิมที่ใช้เก่าแล้ว ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล AI และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

เมื่อพูดถึงความเสี่ยงหลักที่จะมีโอกาสฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและไทยต้องรับมืออย่างไร? ดร.สมคิด เผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาโลกได้ผ่านสถานการณ์ที่มีความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงมากมาย ทำให้การคาดการณ์เศรษฐกิจเป็นไปได้ยาก การทำนายอนาคตให้แม่นยำเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม้แต่ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังต้องมีการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจแล้ว 2 ครั้งซึ่งบ่งบอกว่าความไม่แน่นอนมีสูงมาก 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประเทศต่างๆ รวมทั้งบริษัท องค์กรเอกชนจะต้องเผชิญ คือภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือภาวะที่เศรษฐกิจโลกเติบโตช้าลง ล่าสุด IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวที่ 3.1% ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยในรอบหลายปีซึ่งค่าเฉลี่ยของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้นอยู่ที่ประมาณ 3.8% 

เศรษฐกิจในภาพรวมเหมือนจะฟื้นตัวและมีปัจจัยบวกรออยู่ เช่น เศรษฐกิจจีนที่จะขยายตัวได้เพิ่มเติมที่ประมาณ 4.5% เศรษฐกิจญี่ปุ่นและอินเดียฟื้นตัวและเติบโตได้ดี โดยสาเหตุที่ IMF คาดการณ์จีดีพีโลกขยายตัวต่ำกว่าที่ควร มาจากความเสี่ยงหลักในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ที่ทั่วโลกต้องเผชิญ ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงระดับสูงสุด (Top Risk) ของโลกในปัจจุบัน 

ยิ่งไปกว่านั้น หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อีกครั้งจะมีความเสี่ยงต่อเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจ เช่น นโยบายที่ทรัมป์จะหยุดสงครามยูเครนภายใน 1 วัน โดยการไปผูกไมตรีกับรัสเซีย หรือทรัมป์อาจประกาศให้อเมริกาถอนตัวจากสมาชิกป้องกันภัยแอตแลนติกเหนือ (NATO) ซึ่งก็จะทำให้ NATO อ่อนแอลงไปได้ ขณะที่การกลับมาของทรัมป์จะทำให้จีนและสหรัฐฯ ตึงเครียดมากขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นความเสี่ยงที่จะต้องเตรียมรับมือให้ดี

“การจะพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศไทย จะต้องมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกไปพร้อมๆ กันในสถานการณ์ที่ทั่วโลกมีปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการรักษาสมดุลความสัมพันธ์ ระหว่าง ‘จีน’ กับ ‘สหรัฐฯ’ ให้ดี” ดร.สมคิด ฝากทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top