Saturday, 24 May 2025
สถานบันเทิง

'ผู้ประกอบการไทย' ชี้!! อนาคตสถานบันเทิงไทย ปี 67 หลังไฟเขียวตี 4 พร้อมแนะ!! จับตาตลาดท่องเที่ยวคาซัคฯ มาแรง หลังฟรีวีซ่า

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้พูดคุยกับ คุณพีระพล พิภวากร เจ้าของร้านอาหาร Ministry of Single และรองประธาน Kazakh Thai Alliance ในประเด็น 'อนาคตสถานบันเทิงไทย เปิดถึงตี 4 ดีจริงไหม?' โดยคุณพีระพล กล่าวว่า...

ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาร้านอาหารและสถานบันเทิงได้รับผลกระทบพอสมควร จากการที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวจากนโยบายของภาครัฐในขณะนั้น 

อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่ผ่านมาบรรยากาศการท่องเที่ยวไทยเริ่มดีขึ้น เพียงแต่ต้องมีการปรับบริบทและกลยุทธ์ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยก่อนโควิด-19 กลุ่มเป้าหมายยังเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนเป็นคนไทยแล้ว

ฉะนั้นอยากให้ภาครัฐที่ออกนโยบายลงมาพูดคุยกับผู้ประกอบการถึงความต้องการจริงๆ ว่าต้องการอะไร เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจ และมีความเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะการเปิดสถานบริการถึงตี 4 ก็ควรเข้มงวดในเรื่องกฎหมาย เช่น การเมาแล้วขับรถต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง นอกจากนี้ควรส่งเสริมผู้ประกอบการในด้านอื่นๆ เช่น การลดหย่อนภาษี มีกองทุนร้านอาหารเพื่อแปลงหนี้เป็นทุน หรือส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น เป็นต้น 

นอกจากนี้ คุณพีระพล ยังได้เปิดประเด็นสำคัญอีกเรื่องเกี่ยวกับมุมมองตลาดท่องเที่ยวคาซัคสถานหลังฟรีวีซ่า ซึ่งในฐานะรองประธาน Kazakh Thai Alliance คุณพีระพล กล่าวว่า...

พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวคาซัคสถานส่วนใหญ่จะมีวันหยุดยาวเป็นเดือนโดยเลือกจุดหมายมาเมืองไทยกันเป็นจำนวนมากในช่วงนี้หลังจากฟรีวีซ่า โดยนักท่องเที่ยวคาซัคสถานมีกำลังซื้อสูง นิยมท่องเที่ยวภูเก็ต, กระบี่ และพัทยา โดยแต่ละปีมาท่องเที่ยวเมืองไทยกว่า 300,000 คน 

ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวคาซัคสถานในปัจจุบันยังน้อยอยู่ด้วยหลายปัจจัย เช่น เที่ยวบินจากไทยไปคาซัคสถานยังไม่เพียงพอ โดยปัจจุบันรูปแบบการท่องเที่ยวต้องไปกับทัวร์เพียงอย่างเดียว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยอย่างมาก

ขณะเดียวกัน ในด้านการส่งเสริมการตลาดที่ประเทศคาซัคสถาน ก็ต้องบอกว่าเป็นข่าวดี เพราะยังมีความต้องการสินค้าจากประเทศไทยสูง เนื่องจากสินค้าไทยมีคุณภาพที่น่าเชื่อถือ คนในคาซัคฯ ก็เชื่อมั่นมาก หลายๆ ชนิดสินค้าก็ได้รับการตอบรับดี เช่น ผลไม้ไทย, น้ำจิ้มไก่, อาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง, เครื่องกระป๋อง เป็นต้น 

แน่นอนว่า ในส่วนของคาซัคสถานเอง ก็อยากนำสินค้ามาเปิดตลาดในไทยด้วยเช่นกัน เช่น เนื้อวัว, เนื้อม้า, เนื้อแกะ, ข้าวสาลี เป็นต้น 

คุณพีระพล ทิ้งท้ายอีกด้วยว่า ในปีนี้ช่วงหลังเดือนกุมภาพันธ์ ตนจะมีการจัดทริป Business Matching เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่อยากไปเปิดตลาดธุรกิจที่คาซัคสถานอีกครั้ง ถ้าท่านใดสนใจท่องเที่ยวและร่วมทริป Business Matching สามารถสอบถามได้ที่ 095-936-9635

‘มท.1’ บุกจับผับดังย่านอ้อมน้อย พบ ‘เปิดเกินเวลา-มั่วสุมยา’ เพียบ!! พร้อมลุยกำราบอิทธิพลมืด จัดระเบียบสังคมเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง

(27 ม.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำทีมกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง, นายผล ดำธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร, นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง, นายไพฑูรย์ มหาชื่นใจ ปลัดจังหวัดสมุทรสาคร นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง พร้อมสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กว่า 30 นาย ร่วมกับ สำนักงาน ปปส. ภาค 7 ฝ่ายปกครองจังหวัดสมุทรสาคร ฝ่ายปกครองอำเภอกระทุ่มแบน และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กระทุ่มแบน เข้าจับกุมสถานบริการละเมิดกฎหมาย เปิดเกินเวลา ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินเวลา หนำซ้ำยังยินยอมให้นักเที่ยวใช้สารเสพติดภายในสถานบริการอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

นายอนุทิน เปิดเผยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรมการปกครองได้รับเรื่องร้องเรียนว่าในพื้นที่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร มีสถานบริการชื่อ ‘TAG Pub’ มีการปล่อยปละละเลยให้นักเที่ยวใช้สารเสพติดภายในสถานบริการ และยังแสดงดนตรีส่งเสียงดังรบกวนชุมชน เปิดให้บริการเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่เกรงกลัวกฎหมาย และอวดอ้างว่ามีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ให้การสนับสนุน จึงขอให้กรมการปกครองทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าว โดยชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองจึงส่งสายลับเข้าสืบสวนข้อเท็จจริงต่อเนื่อง กระทั่งพบว่าสถานบริการ TAG Pub มีการกระทำผิดจริงตามข้อร้องเรียน

ต่อมา ในคืนวันที่ 26 มกราคม 2567 ต่อเนื่องเช้าวันที่ 27 มกราคม 2567 ชุดสายลับจึงได้แจ้งไปยังชุดจับกุม เพื่อเปิดปฏิบัติการจู่โจมจับกุมสถานบริการ ‘TAG Pub’ ทันที เมื่อชุดจับกุมเข้าไปถึงภายในผับ พบนักเที่ยวจำนวนมากกำลังดื่มด่ำบรรยากาศความสนุกสนานกันอย่างเมามัน เมื่อเจ้าหน้าที่แสดงตัว นักเที่ยวต่างแตกตื่น โยนยาเสพติดทิ้งเกลื่อนกลาดเต็มพื้น และพยายามหลบหนี โดยกรูกันดันประตูหลบหนีออกไป แต่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองก็ได้ควบคุมนักเที่ยวที่เหลือไว้ได้จำนวนหนึ่ง และประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบ แล้วจึงให้เจ้าพนักงาน ปปส. ภาค 7 ทำการตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะของนักเที่ยวทุกราย พบผู้มีสารเสพติดในปัสสาวะจำนวน 77 ราย แยกเป็น ชาย 38 ราย และ หญิง 39 ราย

ทั้งนี้ มีพนักงานของทางร้านรายหนึ่ง เปิดเผยกับสายลับ ว่า “ผับนี้มีแต่คนเล่นยา” ทั้งนี้ทางพนักงานฝ่ายปกครอง จึงได้จับกุมตัวเจ้าของร้าน และร้องทุกข์กล่าวโทษในฐานความผิด ดังนี้

1.) เปิดสถานบริการเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด
2.) ยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้มีการใช้สารเสพติดภายในสถานบริการ
3.) ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาห้ามขาย
4.) จัดโปรโมชันส่งเสริมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

อีกทั้งการกระทำของสถานบริการดังกล่าว ยังเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ 22/2558 โดยได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ออกหนังสือคำสั่งพิจารณาปิดสถานที่เป็นเวลา 5 ปี

นายอนุทิน เปิดเผยด้วยว่า สถานบริการแห่งนี้เคยเปิดให้บริการในชื่อ ‘NOS Pub’ และถูกชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองจับกุมฐานเปิดผับอัปยาและถูกสั่งปิดสถานที่เป็นเวลา 5 ปี มาแล้วเมื่อปี 2561 มาถึงปัจจุบัน ตัวอาคารเดิมถูกลดลงมาครึ่งหนึ่งแล้วปรับปรุงใหม่ โดยใช้ชื่อร้านว่า ‘TAG Pub’ แต่กระนั้นก็ยังประกอบธุรกิจท้าทายกฎหมายซ้ำอีกครั้ง และจากการสืบสวนทางลับพบเป็นผับที่มีผู้อิทธิพลในพื้นที่หนุนหลังอีกด้วย โดยหลังจากนี้ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง จะนำเรื่องส่งต่อไปยังคณะกรรมการปราบปรามผู้มีอิทธิพลจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อขยายผลและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

นายอนุทิน ได้เน้นย้ำว่า “การจัดระเบียบสังคม และการปราบปรามผู้มีอิทธิพล เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย โดยมุ่งเน้นการจัดระเบียบสังคมเพื่อสร้างสังคมให้สงบสุข บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอดอบายมุข ประชาชนมีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สิ่งใดที่ขัดกับความมุ่งหมายนี้ ก็คือสิ่งที่เราต้องใช้กลไกของรัฐในการกำจัดให้สิ้นไป”

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชน มีข้อมูลการกระทำผิดกฎหมาย หรือต้องการแจ้งให้ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย สายด่วน 1567

‘โฆษกรัฐบาล’ ยัน!! สถานบันเทิงครบวงจร ไม่ได้เน้น ‘กาสิโน’ ยก!! ‘สิงคโปร์’ สร้าง ‘มารีน่าเบย์’ ส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้คึกคัก

(18 ม.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ ‘เสียงจากใจไทยคู่ฟ้า’ ว่า ในเรื่องของสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งเวลาออกกฎหมายจะต้องผ่านคณะรัฐมนตรี ก็ได้มีการพิจารณา 3 ประเด็นหลักคือ 1. รับทราบรายงานที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่าในแต่ละปีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอื่นๆ มีสถิติการจับกุมการพนันผิดกฎหมายทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก 2. แม้มีการจับกุมการพนันออนไลน์ใต้ดินจำนวนมาก แต่พบว่ามีเงินไหลไปนอกประเทศจำนวนมาก และ 3.มีการจัดทำสถานบันเทิงครบวงจรจำนวนมาก รอบๆ ประเทศไทย และประเทศอื่นๆ

“ที่สำคัญเราไม่ได้เห็นว่า ทำไมต่างประเทศเขาทำแล้วเราต้องทำ แต่ถ้าเราไม่ทำเราก็จะควบคุมอะไรไม่ได้ ธุรกิจใต้ดิน ธุรกิจค้ามนุษย์ การจ้างงานไม่อยู่ในระบบ เงินทองไหลออกนอกประเทศ เกิดความวุ่นวายขายปลาช่อนกันเยอะแยะมากมายตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมาเพราะฉะนั้นการทำสถานบันเทิงครบวงจรนั้น จึงไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องของกาสิโนอย่างเดียว แต่หมายความถึงสถานที่ท่องเที่ยว ยกตัวอย่าง อ่าวมารีน่าเบย์ ประเทศสิงคโปร์ สมัยก่อนคนไปสิงคโปร์ ก็ไปเที่ยวสวนนก ไปเดินแถวถนนออชาร์ด เหมือนสุขุมวิทบ้านเรา เดินชอปปิงร้อนก็ร้อน ไม่มีอะไรจะเที่ยว ก็ทำมารีน่าเบย์ ขึ้นมา มีทั้งสปอร์ต คอมเพล็กซ์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีจุดถ่ายรูป มีโรงแรมที่พัก และมีกาสิโนเพียง 10%”

นายจิรายุ ยังกล่าวต่ออีกว่า วันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า ประเทศไทยเดินทางมา 10-20 ปี แล้วสิ่งเหล่านี้กลายเป็นสภาพปัญหามากมาย หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจากนี้ จะต้องส่งเรื่องไปยังรัฐสภา เพื่อบรรจุวาระรับหลักการ ซึ่งจะมีการอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ว่าตกลงแล้วจะเอากฎหมายฉบับนี้หรือไม่ ซึ่งถ้ารับหลักการก็ต้องตั้งกรรมการวิสามัญ ซึ่งมีทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ที่จะมาร่วมกันพิจารณารายละเอียดรายมาตราว่า จะเขียนกติกาอย่างไร จะให้คนไทยเข้าได้หรือไม่ หากเข้าได้ควรจะเป็นลักษณะอย่างไร หรือหากเข้าไม่ได้ควรจะเป็นลักษณะอย่างไร ดูเรื่องผลกระทบต่างๆ เงินทองจะเป็นแบบไหน อย่างไร ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน และถ้าอยู่ในกรอบนั้น แล้วลงมติวาระ 3 ก่อนจะส่งต่อไปที่สมาชิกวุฒิสภา จากนั้นก็ส่งกลับมาที่รัฐสภาแล้วประกาศใช้ นี่คือสิ่งที่ที่จะต้องลงรายละเอียด ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยอีก 6 เดือน

เครือข่ายหยุดพนันบุกกฤษฎีกา ยื่น 4 ข้อหนุนความเห็นกฤษฎีกาแยกกาสิโนออกจากสถานบันเทิงครบวงจร ชงควรอยู่ภายใต้ พรบ.พนัน พร้อมขอเวลาให้ภาคีรวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอทำประชามติกาสิโนก่อน ไม่ควรรีบทำตามใบสั่งการเมือง ต้องรอบคอบเพราะผลกระทบกว้างขวา

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) เวลา 10.00 น. หน้าอาคารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถนนพระอาทิตย์ นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน พร้อมด้วยตัวแทนมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายนักศึกษานิติศาสตร์ และเครือชุมชนลดปัจจัยเสี่ยงกว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อแสดงจุดยืนให้ฟังเสียงประชาชน มากกว่ารับคำสั่งฝ่ายการเมือง โดยเครือข่ายได้แสดงละครล้อเลียน คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เปรียบเสมือนพ่อครัวอย่าแต่มุ่งทำอาหารประเคนฝ่ายการเมือง โดยไม่ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนความต้องการของประชาชน พร้อมชูป้ายข้อความอาทิ กฤษฎีกาต้องอิสระไม่ถูกควบคุมสั่งการจากการเมือง  รัฐบาลต้องเป็นผุ้ควบคุมไม่ใช่เปิดทางสร้างผีพนัน กาสิโนต้องอยู่ภายใต้ พรบ.พนัน เป็นต้น

​นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รับดำเนินการตรวจและปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อพร้อมนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในลำดับถัดไป โดยก่อนหน้านั้นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและภาคีเครือข่าย ใคร่ขอแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและเครือข่ายฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า กิจการสถานบันเทิงครบวงจรกับกิจการสถานเล่นพนัน ควรแยกการพิจารณาออกจากกัน เพราะกิจการหนึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่อีกกิจการหนึ่งมีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาการพนัน ด้วยแต่ละกิจการต่างมีกฎหมายเฉพาะที่ควบคุมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก เพราะจะเป็นความซ้ำซ้อน และควรใช้มาตรการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ  

นายธนากรกล่าวอีกว่า  2. การออกกฎหมายใหม่นี้ จึงดูมีเจตนาอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้อำนาจออกใบอนุญาต และผู้ประกอบธุรกิจ ในลักษณะจอดจุดเดียวจบ หรือ one-stop service ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้มากเช่นนี้ และอาจขัดกับกฎหมายเดิมเมื่อถึงคราวปฏิบัติจริง การออกกฎหมายใหม่เพื่อการนี้จึงเปรียบเสมือนการพยายาม 'สวมเสื้อตัวใหญ่' ที่จะก่อให้เกิดความรุ่มร่าม จนสุดท้ายเป็นอุปสรรคต่อผู้ใช้งานเอง 3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 77 บัญญัติว่า “รัฐพึงมีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น” และในเมื่อสถานกาสิโนคือแหล่งเล่นพนันขนาดใหญ่ กิจการนี้ก็พึงอยู่ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว คือ พระราชบัญญัติการพนัน เป็นการเข้าตามตรอกออกตามประตูที่พึงกระทำ มิใช่การใช้วิธีสร้างทางลัดหรือทางลอดของตนเอง โดยใช้วิธีการออกกฎหมายพิเศษหรือกฎหมายเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทำในสิ่งที่ตนอยากทำได้ ที่สำคัญยิ่งคือ รัฐพึงเป็นผู้ควบคุมการพนัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อภาวะเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิต สุขภาพกายและจิต และความมั่นคงของมนุษย์ รัฐจึงไม่พึงอยู่ในฐานะผู้ส่งเสริมหรือสนับสนุนการเพิ่มแหล่งพนันด้วยนโยบายของรัฐบาลเอง เพราะรัฐเปรียบเสมือนอัศวินผู้ปราบยักษ์มาร มิใช่ผู้เปิดประตูเมืองให้ยักษ์มารย่างกรายเข้ามาอย่างสง่างามโดยการออกกฎหมายใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบธุรกิจการพนัน และหากเอกชนรายใดต้องการประกอบกิจการจำพวกนี้ ก็พีงเสนอขออนุญาตตามช่องทางของกฎหมายที่มีอยู่

“3. มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน และภาคีเครือข่ายขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการกฤษฎีกายืนหยัดในความถูกต้อง โดยยึดมั่นว่า “ลูกค้าที่แท้จริงของท่านคือประชาชน” และดำรงความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง เพื่อดำรงศรัทธาและความเชื่อถือของอนุชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาสืบไป และ 4. ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาสนับสนุนการขอใช้สิทธิของประชาชนในการเข้าชื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีจัดทำประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงขอให้รัฐบาลเคารพสิทธิของประชาชน และให้โอกาสเครือข่ายในการดำเนินการรวรวมรายชื่ออย่างน้อย 60 วัน โดยไม่เร่งรัดจะให้ออกกฎหมายนี้โดยเร็วตามความต้องการของฝ่ายการเมือง” นายธนากร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top