Saturday, 24 May 2025
สถานบันเทิง

‘ชาดา’ สนับสนุนเปิดสถานบันเทิงถึงตี 4 เชื่อ!! จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่แท้จริง

(12 ต.ค.66) ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย กล่าวถึงการควบคุมอาวุธปืนเถื่อนว่า หากพบการครอบครองอาวุธปืนเถื่อนต้องจับกุมอยู่แล้ว โดยอาจจะออกกฎเพิ่มเติมหลังจากนี้ ตนยังไม่สามารถตอบรายละเอียดเรื่องนี้ได้ เพราะอยู่ระหว่างการดูระเบียบตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ. 2490 ยอมรับว่าเป็นกฎหมายที่เก่ามาก ควรมีการปรับปรุงแก้ไข แต่ต้องไปว่ากันในระบบของรัฐสภา ทางกระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการให้กฎหมายมีความครอบคลุมและทันสมัยมากยิ่งขึ้น

นายชาดา กล่าวว่า การควบคุมอาวุธปืนในครั้งนี้จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้ในระดับหนึ่ง เพราะจะมีมาตรการคุมเข้มยิ่งขึ้น เช่น การซื้อขายกระสุนปืนจะต้องมีใบ ป.3 ด้วย และมีข้อกำหนดว่าจะสามารถถือครองได้กี่นัด อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องมีการแก้กฎหมายร่วมด้วย

เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล นายชาดา กล่าวว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อ คาดว่าต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะจะรวบรวมรายชื่อจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมร่วมด้วย ขอให้ประชาชนใจเย็นๆ ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ คาดว่าจะสามารถส่งรายชื่อได้สิ้นเดือน ต.ค.นี้ 

เมื่อสอบถามว่ามีความกังวลจังหวัดใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า จ.นครปฐมเพราะมีการยิงกันบ่อย แต่ก็มีอีกหลายจังหวัด

เมื่อถามว่าเป็นอย่างไรบ้างที่นายชาดาได้ให้เบอร์ส่วนตัว เพื่อให้ประชาชนติดต่อแจ้งเรื่องได้ นายชาดา กล่าวว่า วันนึงโทรมาเป็น 100 สาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องความเดือดร้อนจากพฤติกรรมของบุคคลในพื้นที่ มีทั้งเรื่องสำคัญและไม่สำคัญ เรื่องใดที่สามารถดำเนินการได้เลยก็จะดำเนินการให้ ซึ่งทางอธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) ก็จะส่งเรื่องให้กับผู้ว่าฯ และตำรวจดำเนินการจับกุมต่อไป เช่น บ่อนการพนัน สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที เพราะเป็นความผิดเฉพาะหน้า ไม่ต้องรอรวบรวมรายชื่อ

เมื่อถามถึงกรณีที่จะมีการอนุญาตเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. นายชาดา กล่าวว่า ตนเห็นด้วย และควรทำมานานแล้ว โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งการเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. ไม่ใช่เรื่องอาชญากรรมแต่เป็นเรื่องของการท่องเที่ยว หลายๆ ประเทศก็เปิดกัน มองว่าเป็นคนละเรื่องกับความมั่นคง แต่เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่วนมาตรการความปลอดภัยหลังจากนี้นั้น เชื่อว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมดูแลตลอดเวลาอยู่แล้ว

‘ผู้ว่าฯ กทม.’ ไม่ขัดหากเปิดผับบาร์ถึงตี 4 คาด!! เริ่มทดลอง ธ.ค.นี้ ก่อนปีใหม่

(16 ต.ค. 66) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงความพร้อมในการขยายเวลาเปิด-ปิดสถานบันเทิง ถึงเวลา 04.00 น. ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามนโยบายของรัฐบาล ว่า กทม. ไม่ขัดข้องในนโยบายดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้ ได้หารือกับทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟพาวเวอร์แห่งชาติ เรื่อง Soft Power ที่เสนอความคิดร่วมกันที่จะทำให้เรื่องดังกล่าวชัดเจน และมีมาตรการรองรับในการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

“ในปัจจุบันยังเห็นผับที่เปิดเกินเวลาอยู่บ้าง ถ้าทุกคนออกมาร่วมกันทำให้ถูกกฎหมาย และทำให้มีระเบียบในการเข้า-ออกให้ชัดเจน ในส่วนของ กทม. ก็ไม่น่าจะมีข้อขัดข้องใด และคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี” นายชัชชาติ กล่าว

พร้อมระบุว่า ในส่วนของการปฏิบัติ อาจจะต้องปรับปรุงการแบ่งโซนให้เหมาะสมกับปัจจุบัน เนื่องจากไม่ค่อยทันสมัยตามการขับเคลื่อนของเมืองที่เปลี่ยนไป โดยต้องหารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกทางหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังสร้างความรำคาญให้ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง โดยต้องมีกรอบในการปฏิบัติให้ชัดเจน รวมถึงในแง่ของการกำกับดูแล ไม่ให้เยาวชนเข้าสถานบันเทิงและการทำผิดกฎหมายในเรื่องยาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าหากทำให้โปร่งใส และมีระเบียบปฏิบัติชัดเจน ย่อมดีกว่าการลักลอบเปิดแบบผิดกฎหมายแน่นอน

นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในแง่เศรษฐกิจอีกมากมาย เช่น พ่อค้า-แม่ค้าในตลาดที่ขายของและทำอาหาร คนขับรถสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางด้วย จึงเป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ให้รอบด้านหลายมิติ โดยคาดว่าเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทดลองเปิดสถานบันเทิงจนถึง 04.00 น. คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ประมาณเดือนธ.ค.นี้

'ศศิกานต์' ฉายผลลัพธ์อีกด้าน หากไฟเขียวสถานบันเทิงเปิดถึงตี 4 หนีไม่พ้น 'อุบัติเหตุ-พิการ' ตามฤทธิ์ความเมาที่เพิ่มขึ้นตามเวลาปิด

(17 ต.ค. 66) ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ อดีตผู้สมัคร สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับกรณี ผู้ว่าฯ ขานรับนโยบายนำร่องเปิดผับถึงตี 4 และคาดว่าในกรุงเทพฯ จะเริ่มทดลอง ธ.ค.นี้ ไว้ว่า...

ขอแชร์ข้อมูลเล็ก ๆ จากประสบการณ์ที่น่าสนใจ จาก #คุณหมอใกล้ตัว นะคะ

- ปกติหลังตี 2 ใกล้ ๆ ตี 3 จะมีเคสอุบัติเหตุเข้ามาเยอะ โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด เคสจะเยอะขึ้นผิดตา (เทียบกับช่วงโควิด)

- เคสอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากรถมอเตอร์ไซค์ รถชนคน รถชนรถ รถชนเสาไฟ ชนรั้วกั้นทาง ฯลฯ

- เคสบาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากการทะเลาะวิวาท ต่อยกัน เตะกัน ยิงกัน เกิดบาดแผลต่าง ๆ แล้วแต่อาวุธที่ใช้ ทั้งศีรษะ ช่องอก ช่องท้อง   

- เคสบาดเจ็บ - คนไข้ไม่ตาย แต่วุ่นวายทั้งโรงพยาบาล…บางครั้ง หนักหน่อย คู่กรณีก็ตามมาทะเลาะกันต่อที่โรงพยาบาล ลำบากเจ้าหน้าที่ และตำรวจอีก อย่าหาทำกันนะคะ…เพราะนอกจากความเสียหายที่เกิดกับโรงพยาบาลและคนไข้คนอื่นแล้ว (คนกำลังจะตาย แต่หมอพยาบาลต้องมาวุ่นวายกับคนตีกัน) มันเป็นการผิดมารยาทสากล และเป็นคดีอาญา

- ความอันตรายบนท้องถนน จะเกิดขึ้นเมื่อ คนเมาขับรถย้ายร้าน ขับรถกลับบ้าน ...ง่ายๆ คือ #เมาแล้วขับ ในทุกกรณี

#ถ้าผับปิดตี4…

- คนจะเมาเยอะขึ้น และเมานานขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์สะสมในกระแสเลือดนานขึ้น สติสัมปชัญญะลดลง ซึ่งอาจทำให้อุบัติเหตุจะเยอะขึ้น ความรุนแรงของแต่ละเคสมากขึ้น เคสผ่าตัดอาจจะเยอะขึ้น 

- การใส่หมวกกันน็อกควรใส่แบบเต็มใบจะดีกว่าหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ (ที่พี่วินฯ ชอบให้ใส่) เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา หมวกกันน็อกหลุดไปก่อน สมองกระจายไม่ต่างกัน

- สมองคนเราคล้าย ๆ กับเต้าหู้ที่อยู่ในกล่องไม้ - นุ่มนิ่ม ๆ ประมาณนั้น และถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเยื่อหุ้มสมอง กะโหลก และหนังศีรษะ ...แค่นั้นเอง

- ถ้ากะโหลกแตก หรือเกิดความคมขึ้นจากรอยร้าว อาจทำให้เยื่อหุ้มสมองฉีกขาด เนื้อสมองหรือเจ้าก้อนเต้าหู้ของเราก็อาจเสียหายได้

- เนื้อสมองที่ฉีกขาดหรือกระจายออกมาแล้ว แปลว่าเสียหายถาวร ไม่สามารถซ่อมแซมให้เหมือนเดิมได้

- แต่บางกรณี การบาดเจ็บที่กะโหลกไม่ร้าวหรือแตกหัก หรือเยื่อหุ้มสมองไม่ฉีกขาด สมองไม่ได้กระจายออกมา แต่ถูกเขย่า ๆ จากแรงกระแทก ทำให้เกิดการบาดเจ็บอยู่ในสมอง (เซลล์สมอง เส้นประสาทสมอง หลอดเลือดสมอง) กรณีนี้ สมองก็บาดเจ็บ หรือขาดเลือดเหมือนกัน

- 'ความตาย' ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดค่ะ ความพิการ บาดเจ็บทุพพลภาพ และนอนติดเตียง ต่างหากที่น่ากลัวค่ะ ...เพราะมันจะกระทบกับทุกคนในบ้านตลอดไปในทันที...

**ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ได้จะมาต่อต้านนโยบาย เปิดผับถึงตี 4 นะคะ แค่อยากจะให้เห็นอีกมุมของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ ...เท่านั้นเองค่ะ

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจประชาชน ต่อนโยบาย ‘ปิดสถานบันเทิงตี 4’ พบ ร้อยละ 41.76 ไม่เห็นด้วย ชี้!! ปิดตี 2 เหมือนเดิมเหมาะสมแล้ว

(22 ต.ค. 66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘นโยบาย ปิดผับตี 4 มาอีกแล้ว!’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับแนวคิดการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงในยามค่ำคืน จากเวลา 02.00 น. ออกไปเป็นเวลา 04.00 น. การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการเที่ยวสถานบันเทิงยามค่ำคืนของประชาชน พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 55.65 ระบุว่า ไม่เคยไปเที่ยว ขณะที่ร้อยละ 44.35 ระบุว่า เคยไปเที่ยว

เมื่อถามผู้ที่เคยไปเที่ยว (จำนวน 581 หน่วยตัวอย่าง) ถึงความถี่ในการเที่ยวสถานบันเทิงยามค่ำคืน ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 57.66 ระบุว่า ไม่เคยไปเลย รองลงมา ร้อยละ 33.22 ระบุว่า มีบ้างแล้วแต่โอกาส/เทศกาล ร้อยละ 4.13 ระบุว่า เดือนละครั้ง ร้อยละ 2.58 ระบุว่า อาทิตย์ละวัน ร้อยละ 2.07 ระบุว่า เกือบทุกวัน (3-5 วัน/สัปดาห์) และร้อยละ 0.34 ระบุว่า ทุกวัน (7 วัน/สัปดาห์)

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อแนวคิดที่จะขยายเวลาปิดสถานบันเทิง จากเวลา 02.00 น. ออกไปเป็นเวลา 04.00 น. โดยภาพรวม พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 41.76 ระบุว่า ปิดสถานบันเทิง เวลา 02.00 น. เหมาะสมดีอยู่แล้ว เพราะเป็นเวลาที่ไม่ดึกมากจนเกินไป ไม่เป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของผู้ที่พักอาศัยอยู่ใกล้กับสถานบันเทิง

รองลงมา ร้อยละ 23.66 ระบุว่า ควรอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เฉพาะเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย

ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ควรจะอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เหมือนกันทั่วประเทศ เพราะควรเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ เป็นการเพิ่มช่วงเวลาในการหารายได้ให้กับผู้ประกอบกิจการสถานบันเทิง และกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้อง

ร้อยละ 8.32 ระบุว่า ควรปิดสถานบันเทิง ก่อนเวลา 02.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและปัญหาอาชญากรรมได้ ร้อยละ 4.35 ระบุว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย เพราะไม่เป็นการส่งเสียงดังรบกวนการพักผ่อนของผู้พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียง

ร้อยละ 4.27 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

และร้อยละ 0.08 ระบุว่า อื่น ๆ ได้แก่ ควรปิดสถานบันเทิง เวลา 03.00 น.

เมื่อพิจารณาเฉพาะความคิดเห็นของผู้ที่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 581 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับแนวคิดที่จะขยายเวลาปิดสถานบันเทิง พบว่า ร้อยละ 36.49 ระบุว่า ปิดสถานบันเทิง เวลา 02.00 น. เหมาะสมดีอยู่แล้ว

รองลงมา ร้อยละ 30.29 ระบุว่า ควรอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เฉพาะเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ

ร้อยละ 25.13 ระบุว่า ควรจะอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เหมือนกันทั่วประเทศ

ร้อยละ 6.37 ระบุว่า ควรปิดสถานบันเทิง ก่อนเวลา 02.00 น.

ร้อยละ 0.52 ระบุว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย

ร้อยละ 1.03 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

และร้อยละ 0.17 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ควรปิดสถานบันเทิง เวลา 03.00 น.

ส่วนความคิดเห็นของผู้ที่ไม่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 729 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ร้อยละ 45.95 ระบุว่า ปิดสถานบันเทิง เวลา 02.00 น. เหมาะสมดีอยู่แล้ว รองลงมา ร้อยละ 18.38 ระบุว่า ควรอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เฉพาะเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ ร้อยละ 11.52 ระบุว่า ควรจะอนุญาตปิดสถานบันเทิง เวลา 04.00 น. เหมือนกันทั่วประเทศ ร้อยละ 9.88 ระบุว่า ควรปิดสถานบันเทิง ก่อนเวลา 02.00 น. ร้อยละ 7.41 ระบุว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนในประเทศไทย และร้อยละ 6.86 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

เมื่อถามถึงความมั่นใจของประชาชนต่อการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงจะช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว

โดยภาพรวม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 27.71 ระบุว่า ค่อนข้างมั่นใจ และไม่ค่อยมั่นใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน รองลงมา ร้อยละ 26.72 ระบุว่า ไม่มั่นใจเลย ร้อยละ 16.56 ระบุว่า มั่นใจมาก และร้อยละ 1.30 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาเฉพาะความคิดเห็นของผู้ที่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 581 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความมั่นใจต่อการขยายเวลาปิด

สถานบันเทิงจะช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว พบว่า ร้อยละ 33.73 ระบุว่า ค่อนข้างมั่นใจ รองลงมา ร้อยละ 27.20 ระบุว่า ไม่ค่อยมั่นใจ ร้อยละ 19.45 ระบุว่า มั่นใจมาก ร้อยละ 18.93 ระบุว่า ไม่มั่นใจเลย และร้อยละ 0.69 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของผู้ที่ไม่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 729 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ร้อยละ 32.92 ระบุว่า ไม่มั่นใจเลย รองลงมา ร้อยละ 28.12 ระบุว่า ไม่ค่อยมั่นใจ ร้อยละ 22.91 ระบุว่า ค่อนข้างมั่นใจ ร้อยละ 14.27 ระบุว่า มั่นใจมาก และร้อยละ 1.78 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/
ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับ โดยภาพรวม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.41 ระบุว่า จำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับปัจจุบันเหมาะสมดีแล้ว รองลงมา ร้อยละ 38.02 ระบุว่า ควรเพิ่มจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ ร้อยละ 8.17 ระบุว่า ควรยกเลิกด่านตรวจเมาแล้วขับทั้งหมด ร้อยละ 5.80 ระบุว่า ควรลดจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ และร้อยละ 1.60 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ ไม่สนใจ

เมื่อพิจารณาเฉพาะความคิดเห็นของผู้ที่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 581 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับการตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับ พบว่า ร้อยละ 48.54 ระบุว่า จำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับปัจจุบันเหมาะสมดีแล้ว รองลงมา ร้อยละ 34.60 ระบุว่า ควรเพิ่มจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ ร้อยละ 8.43 ระบุว่า ควรยกเลิกด่านตรวจเมาแล้วขับทั้งหมด ร้อยละ 7.57 ระบุว่า ควรลดจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ และร้อยละ 0.86 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของผู้ที่ไม่เคยไปเที่ยวสถานบันเทิง (จำนวน 729 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ร้อยละ 44.72 ระบุว่า จำนวน ด่านตรวจเมาแล้วขับปัจจุบันเหมาะสมดีแล้ว รองลงมา ร้อยละ 40.74 ระบุว่า ควรเพิ่มจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ ร้อยละ 7.96 ระบุว่า ควรยกเลิกด่านตรวจเมาแล้วขับทั้งหมด ร้อยละ 4.39 ระบุว่า ควรลดจำนวนด่านตรวจเมาแล้วขับ และร้อยละ 2.19 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘อธิบดีปค.’ สั่งบุกจับผับเถื่อนเชียงใหม่ แถมเสี่ยงไฟไหม้ หนำซ้ำ!! ปล่อยเด็กอายุต่ำกว่า 20 มั่วสุมดื่มสุรา 242 คน

สนธิกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองและฝ่ายปกครองเชียงใหม่ ‘ปฏิบัติการป่าช้าแตก’ Kick Off จัดระเบียบสังคม ต้อนรับ 1 พ.ย.66 ตามนโยบาย มท.1 สามารถบุกจับ ‘เลอ เนิร์ฟ ผับ’ ย่านช้างเผือก กลางเมืองเชียงใหม่ ทำเอาผู้ฝ่าฝืนกฎหมายต้องสยองคืนฮาโลวีน โดยลักลอบเปิดอย่างผิดกฎหมาย ใช้บ้านไม้ดัดแปลงทำผับเถื่อนไร้ใบอนุญาต เสี่ยงเกิดเหตุเพลิงไหม้ ไม่มีทางหนีไฟ หนำซ้ำ ‘เด็ก’ แออัดเพียบถึง 242 คน

(1 พ.ย. 66) โดย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) สั่งการชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง นำโดยนายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง พร้อมสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กว่า 30 นาย บูรณาการร่วมกับนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่

นำโดย นายอรรถวุฒิ พึ่งเนียม ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ นายสิทธิศักดิ์ อภิกุลชัยสุทธิ์ นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ และนายดนัย สุขสกุล ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ นำกำลังเข้าจับกุมสถานบริการเถื่อน ‘เลอ เนิร์ฟ ผับ’ ย่านช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้กำชับให้ฝ่ายปกครองทั่วประเทศจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษเพื่อกวดขันปราบปรามผู้มีอิทธิพล การจัดระเบียบสังคม ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนัน และอาวุธปืน โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้กรมการปกครองบูรณาการจัดตั้งชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองร่วมกับทุกจังหวัดและเริ่ม Kick off ในวันที่ 1 พ.ย.66

“ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองได้สนธิกำลังกับชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่ วางแผนเข้าร่วมจับกุม ร้านเลอ เนิฟ หรือ NEUFXBAR ซึ่งมีการร้องเรียนจากประชาชนผู้อาศัยใกล้เคียงว่าเปิดให้บริการในลักษณะเป็นสถานบริการ มีอาหารเครื่องดื่มจำหน่าย ปล่อยปละละเลยให้มีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการจำนวนมาก

ทั้งยังเปิดให้บริการจนถึงเวลา 02.00 น. ส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านข้างเคียงจนนอนไม่หลับ ซึ่งเมื่อพนักงานฝ่ายปกครองเข้าสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีการกระทำผิดจริงตามข้อร้องเรียน

กระทั่งเวลา 00.30 น. ของวันที่ 1 พ.ย.66 ได้เปิดปฏิบัติการ ‘ป่าช้าแตก’ บุกจู่โจมสถานบันเทิงละเมิดกฎหมายทันที โดยเมื่อชุดจับกุมเข้าไปถึงภายในผับ พบเป็นห้องปิดทึบ เปิดเพลงเสียงดังสนั่น แสงไฟเลเซอร์วิบวับ มีนักเที่ยวจำนวนเกือบ 300 คน กำลังมั่วสุมดื่มกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เต้นตามจังหวะเสียงดนตรีอย่างเมามัน นักเที่ยวกว่า 90% ของร้านเป็นเยาวชน

พนักงานฝ่ายปกครองจึงสั่งให้ปิดเพลงและเปิดไฟให้แสงสว่าง ทำให้ภายในผับเกิดความโกลาหล นักเที่ยวเด็กต่างตกใจและพยายามหลบหนีออกทางประตูหน้าร้านและหลังร้าน แต่ชุดจับกุมได้ปิดล้อมประตูไว้ทุกด้าน จึงทำให้นักเที่ยวไม่สามารถหนีออกไปได้ พนักงานฝ่ายปกครองได้ประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบนักเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 17 - 19 ปี ที่กำลังศึกษาสถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พนักงานฝ่ายปกครองได้ประสานให้ทางสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ รับตัวเด็กไปคุ้มครองสวัสดิภาพ และจัดทำประวัติ พร้อมแจ้งให้ผู้ปกครองมารับตัวไป” นายอรรษิษฐ์ กล่าว

นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ดูแลร้าน 7 ฐานความผิด คือ…

1.ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 
2.จำหน่ายสุราให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 
3.จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี 
4.จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด 
5.ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร 
6.โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม 
7.ดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 ซึ่งเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองชุดจับกุมจะได้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ออกคำสั่งปิดสถานที่ดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี และในส่วนของการดัดแปลงอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น นั้น ทางจังหวัดเชียงใหม่จะได้ประสานกับเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อออกคำสั่งระงับการใช้อาคารดังกล่าวต่อไป

ด้าน นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง กล่าวว่า ผับแห่งนี้ นอกจากไม่มีใบอนุญาตตั้งสถานบริการแล้ว ยังพบว่ามีการดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยใช้บ้านไม้สองชั้นนำมาดัดแปลงเป็นสถานบริการ มีเพดานห้องที่ต่ำมาก ไม่มีทางหนีไฟ หากเกิดเพลิงไหม้ จะต้องเกิดเหตุที่น่าสลด ดังนั้น จึงต้องทำการจับกุมดำเนินคดีไม่ให้เป็นตัวอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

“ขอฝากเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานบันเทิง ควรประกอบธุรกิจด้วยความมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยปละละเลยให้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการ การปล่อยปละละเลยให้มีการใช้ยาเสพติดในสถานบริการ และการพกพาอาวุธเข้าไปในสถานบริการ

หากพบว่าร้านใดยังคงฝ่าฝืนจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีและเสนอสั่งปิด 5 ปี ทุกร้าน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย และสอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท่านมีความห่วงใยความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จึงกำชับให้ฝ่ายปกครองทั่วประเทศเข้มงวดกวดขันบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข โดยหากประชาชนมีเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในท้องที่ หรือร้องเรียนมายังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด หรือสายด่วน 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายรณรงค์ กล่าวเพิ่มเติม

ธุรกิจสถานบริการ แหล่งสร้างความสุข ด้วยอบายมุข  คู่สังคมไทยแบบไร้กฎหมายคุม ก็แหล่งมั่วสุมดีๆ นี่เอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในธุรกิจสถานบริการนั้น มีมูลค่าเป็นจำนวนมหาศาล และมีความสำคัญกับธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหลอดเลือดใหญ่ของระบบธุรกิจไทย 

เนื่องจากมีการประกอบธุรกิจสถานบริการหลายประเภท ที่อาจมีผลกระทบกับศีลธรรม ความสงบเรียบร้อย หากไม่มีกฎหมายควบคุมจะทำให้เป็นแหล่งอาชญากรรมหรือแหล่งมั่วสุม 

ตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 สถานบริการ หมายถึง สถานที่ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการ โดยหวังผลประโยชน์ทางการค้า แบ่งเป็นหลายประเภท...

(1) สถานเต้นรำ รำวง หรือรองเง็ง เป็นปกติธุระประเภทที่มีและประเภทที่ไม่มีคู่บริการ เช่น ไนต์คลับ ผับ สถานที่ที่มีฟอร์เต้นรำ 

(2) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา น้ำชา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่ายและบริการ โดยมีผู้บำเรอสำหรับปรนนิบัติลูกค้า เช่น โรงน้ำชา 

(3) สถานอาบน้ำ นวด หรืออบตัว ซึ่งมีผู้บริการให้แก่ลูกค้า เช่น อาบอบนวด แต่ไม่รวมถึงสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล หรือ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ  

(4) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่ายหรือให้บริการ โดยมีรูปแบบอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้... 
(ก) มีดนตรี การแสดงดนตรี หรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิงและยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้นักร้อง นักแสดง หรือพนักงานอื่นใดนั่งกับลูกค้า 
(ข) มีการจัดอุปกรณ์การร้องเพลงประกอบดนตรีให้แก่ลูกค้า โดยจัดให้มีผู้บริการขับร้องเพลงกับลูกค้า หรือยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้พนักงานอื่นใดนั่งกับลูกค้า 
(ค) มีการเต้นหรือยินยอมให้มีการเต้น หรือจัดให้มีการแสดงเต้น เช่น การเต้นบนเวทีหรือการเต้นบริเวณโต๊ะอาหารหรือเครื่องดื่ม 
(ง) มีลักษณะของสถานที่ การจัดแสงหรือเสียง 

(5) สถานที่ที่มีอาหาร สุรา หรือเครื่องดื่มอย่างอื่นจำหน่าย โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา 

สถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ ตามคำสั่ง คสช ที่ 22 /2558 และ 46/2559 หมายถึง “...สถานประกอบการที่ไม่ครบองค์ประกอบการเป็นสถานบริการ ตามพระราชบัญญัติสถานบริการฯ แต่มีลักษณะการให้บริการที่เห็นได้ว่าเป็นการรวมกลุ่ม หรือเป็นแหล่งมั่วสุมอันอาจจะก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ด้วย...”

สถานบริการ ต้องไม่ตั้งอยู่ใกล้ วัด โรงเรียน สถานพยาบาล ในขนาดที่ว่าจะไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่สถานที่ดังกล่าว

ผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตตั้งสถานบริการ ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในต่างจังหวัด ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด

ในสถานบริการห้ามมิให้อายุต่ำกว่า 20 ที่ไม่ได้ทำงานในสถานบริการเข้าไปในสถานบริการนั้น ห้ามพกอาวุธ ห้ามขายสุราให้บุคคลที่เมาจนครองสติไม่อยู่ ห้ามปล่อยปละละเลยให้มีการขายหรือใช้ยาเสพติด 

ผู้ที่ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท

แม้ธุรกิจสถานบริการ จะมีลักษณะธุรกิจ เกือบจะตรงข้ามกับความเชื่อของพุทธศาสนิกชนในประเทศไทย แต่หากเราเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย และเดินทางสายกลางเพื่อให้ธุรกิจและความเชื่อสามารถเดินคู่กันได้ อย่างสงบเรียบร้อย เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติของเรา

‘อนุทิน’ ย้ำ!! ดีเดย์เปิดสถานบันเทิง ถึงตี 4 คาด!! เริ่ม 15 ธันวาคมนี้ นำร่อง 5 จังหวัด

(4 ธ.ค.66) ที่โรงแรมณัฐพงษ์ แกรนด์ จ.หนองบัวลำภู นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายการเปิดผับถึงเวลา 04.00 น. ในพื้นที่ 5 จังหวัดนำร่อง (กทม. ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ และเกาะสมุย) จะเริ่มในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ หรือไม่ ว่า ทางกระทรวงมหาดไทย (มท.) ส่งร่างประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนรายละเอียดต่างๆ ต้องไปถามอธิบดีกรมการปกครอง

ด้าน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า คาดว่าการเปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. ใน 5 จังหวัดดังกล่าวจะสามารถเปิดได้ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ตามนโยบายรัฐบาล

‘มท.1’ เตือน!! เปิดสถานบริการถึงตี 4 ต้องยึดมั่นในกฎ  ยัน!! ไม่ทำใครเดือดร้อน แต่หากฝืนทำผิด ‘ยกเลิก’ ได้ 

(15 ธ.ค.66) ที่จ๊อดแฟร์ แดนเนรมิตเก่า ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงการออกประกาศขยายเวลาเปิดสถานบริการถึงเวลา 04.00 น. ว่า ได้ลงนามไปแล้ว ทั้งในส่วนของกระทรวงมหาดไทยและนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เพราะในหนังสือประกาศได้ระบุวันที่บังคับใช้ไว้ชัดเจนแล้ว 

ส่วนจะมีการลงพื้นที่ตรวจสถานบันเทิงในวันนี้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขอให้ทุกคนทำตามกฎหมาย ปฏิบัติให้ถูกต้อง หากอายุไม่ถึงเกณฑ์ก็อย่าเข้าไปใช้บริการ ห้ามมีการขายยาและพกพาอาวุธเข้าไปในสถานบริการ หากไปเที่ยวก็ขอให้ไปหาความสุขความบันเทิง ดื่มไม่ขับและใช้บริการรถสาธารณะแทน ซึ่งตนต้องการให้ทุกคนมีความสุข แต่ก็ต้องมีขอบเขต อย่างไรก็ตามขณะนี้เป็นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน ทั้งตำรวจ ปปส. และฝ่ายปกครอง รวมถึง กทม. ขออย่ากระทำผิดกฎหมาย เพราะหากมี ก็สามารถถอนประกาศดังกล่าวได้ เพราะหากไม่ทำตามกฎหมายก็ต้องยกเลิก

เมื่อถามว่า จะมีบางร้านเปิดเกินเวลาที่กำหนดอีกหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า หากอนุญาตให้เปิดถึงตี 4 แล้ว คงไม่มีที่ไหนเปิดเกินเวลา หากเป็นประเภทร้านอาหารจะเปิดถึงเช้าก็คงไม่มีใครว่า แต่อยากขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินเที่ยงคืน ต้องเป็นร้านที่ได้รับอนุญาตและจดทะเบียน ใบอนุญาตถูกต้องแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เกินเที่ยงคืน ซึ่งกรุงเทพมหานครได้มีการจัดโซนนิ่งไว้แล้ว พยายามคำนึงถึงความปลอดภัยมากที่สุด ขณะเดียวกันต้องพูดถึงกลุ่มพนักงานและ ผู้ให้บริการภายในร้านที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ถือเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมย้ำว่าขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย 

นายอนุทิน กล่าวถึงการเข้าตรวจค้นร้านโซนิคผับ ย่านรามอินทรา ที่ผ่านมาว่า ร้านมีความผิดที่ไม่มีใบอนุญาต รวมถึงปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปใช้บริการ แต่ทั้งสองประเด็นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับมีการค้ายาเสพติดภายในร้าน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องการจะเน้น เพราะผู้ประกอบการทราบดีว่ากฎ ระเบียบ เป็นอย่างไร ซึ่งกระทรวงมหาดไทยพยายามอำนวยความสะดวกให้ จึงขอให้ทางผู้ประกอบการและผู้ใช้สถานบริการเคารพกฎหมาย

“การขยายเวลาเปิดสถานบริการไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครหากทุกคนทำตามกฎหมาย” นายอนุทิน กล่าว

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ร้านที่จะสามารถเปิดให้บริการได้ถึงเวลา 04.00 น. ต้องเป็นสถาน บริการตามใบอนุญาต ซึ่งในกรุงเทพมหานครมีทั้งหมด 207 แห่ง แต่ขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 140 แห่ง เนื่องจากบางแห่งได้มีการปิดบริการไปแล้ว อย่างเช่น พื้นที่ทองหล่อ ที่ขณะนี้แทบจะไม่มีร้านที่ให้บริการประเภทดังกล่าว ซึ่งจริง ๆ แล้ว สถานบริการอยู่ใน 3 โซนหลัก ได้แก่ รัชดา, สีลม และอาร์ซีเอ ซึ่งจะมีการทำรายละเอียดออกมาร้านไหนว่าร้านไหนเข้าข่ายสถานบริการที่ได้รับอนุญาตบ้าง 

‘สธ.’ เด้งรับเปิดผับบาร์ตีถึง 4 ลุยประสานหน่วยงานเกี่ยวข้อง จัดเตรียมที่พัก-บริการรถขนส่ง-ระบบการแพทย์ดูแลคนเมา

(16 ธ.ค.66) จากกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการกรมการปกครองขับเคลื่อนกฎกระทรวง ขยายเวลาให้สถานบริการ ใน 5 จังหวัด พื้นที่เปิดให้บริการได้ถึงเวลา 04.00 น. ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี เชียงใหม่ และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเริ่มเมื่อคืนวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา

ยกเว้น วันที่ 31 ธันวาคม เปิดบริการได้ถึง 06.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาล

นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจ ฝ่ายปกครองท้องถิ่น ในการดำเนินมาตรการต่างๆ รองรับเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุจากเมาแล้วขับ เช่น

จังหวัดเชียงใหม่ มีสถานบริการที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายรวม 27 แห่ง ใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองเชียงใหม่ 24 แห่ง อ.ฝาง อ.เชียงดาว อ.สันทราย อำเภอละ 1 แห่ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับอำเภอ ตำรวจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดเตรียมที่พักคอยสำหรับผู้ขับขี่ยานพาหนะที่มีระดับแอลกอฮอล์สูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 

ขณะที่ ขนส่งจังหวัดได้ประสานเครือข่ายรถสาธารณะคอยให้บริการนักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งทีมออกตรวจตรา ควบคุมสถานประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย 

จังหวัดชลบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้นำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เมืองพัทยาเพื่อตรวจตราสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนจังหวัดภูเก็ต เบื้องต้นมีสถานบริการ จดทะเบียนเปิดถึงตี 4 เฉพาะที่ซอยบางลา ตำบลป่าตอง อำเภอกระทู้ ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการผ่านหมายเลข 1669 ได้เตรียมพร้อมดูแลตลอด 24 ชม. และยังมีคณะทำงานวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนน เพื่อสอบสวนสาเหตุพฤติกรรมเสี่ยงและจุดเสี่ยงในพื้นที่ เป็นต้น

“หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่เฝ้าระวังสถานบริการให้ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ส่วนระบบการแพทย์และสาธารณสุข ทั้ง 3 จังหวัด มีความพร้อมอยู่แล้วเนื่องจากเป็นจังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งจากนี้จนถึงช่วงปีใหม่ จะเป็นช่วงที่มีการเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมาก กระทรวงสาธารณสุขจึงให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ไว้ด้วย เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” นายแพทย์สุรโชค กล่าว

‘อนุทิน’ ลุยถนนข้าวสาร ส่องความพร้อมวันที่ 2 ผับเปิดได้ถึงตี 4 ย้ำ!! แค่ตรวจเยี่ยมตามปกติ แต่สถานบังเทิงต้องทำตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 66 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผกก สน.ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสถานบริการย่านถนนข้าวสารเพื่อดูความเรียบร้อย หลังจากที่ได้มีการขยายเวลาให้สถานบริการที่ได้รับอนุญาตเปิดถึงตี 4 เป็นวันที่ 2

นายอนุทิน เปิดเผยว่า จากการไปตรวจเยี่ยมแหล่งสถานบริการ 2 วันที่ผ่านมา ทั้งย่าน RCA และถนนข้าวสาร สถานการณ์เรียบร้อยดี ทางผู้ประกอบการก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บรรยากาศคึกคัก มีแนวโน้มไปในทางที่ดี ที่จะช่วยให้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยว

ซึ่งในย่านถนนข้าวสารแห่งนี้ เป็นแหล่งที่มีชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวหมุนเวียนมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง การมาของตนมาเพื่อตรวจเยี่ยม เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ไม่ได้มาจับผิด แต่สถานบริการต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

เน้นย้ำ 3 ข้อ คือ ต้องไม่มีอาวุธ, ไม่มียาเสพติด และไม่มีเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการ สำหรับในย่านถนนข้าวสารมีสถานบริการที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง 4 แห่ง ที่สามารถเปิดได้ถึงตี 4

นอกเหนือจากนั้น หลังเที่ยงคืนห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และห้ามเปิดเพลงเสียงดัง แต่นักท่องเที่ยวสามารถนั่งดื่มกินกันได้ต่อ ทั้งนี้ ในอนาคตมีแผนจะไปตรวจเยี่ยมแหล่งสถานบริการในต่างจังหวัดด้วย แต่ยังไม่เปิดเผยวันเวลาและสถานที่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top