Monday, 28 April 2025
วิเคราะห์การเมือง

กระแสสอย ‘71 สส.ฉาว’ จากหลากพรรคเงียบกริบ ปล่อยนั่งชูคอกินเงินเดือนในสภาฯ ไร้การตรวจสอบ

ครบ 6 เดือนเต็มแล้วที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา จำนวน สส.เขต 400 สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน รวมเป็น 500 คน

กกต. รับรองผลการเลือกตั้ง สส.ทุกคนที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดในระบบเขตเลือกตั้ง ท่ามกลางการร้องเรียนเรื่องการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย จน กกต.ทำงานไม่ทัน มีเรื่องร้องเรียนทั้งซื้อเสียงเลือกตั้ง จัดเลี้ยง กล่าวหาว่าร้าย (ใส่ร้าย) คู่แข่ง แต่ กกต.ไม่มีปัญญาจับคนทำผิดกฎหมายได้เลยแม้แต่รายเดียว ทั้ง ๆ ที่ กกต.มีกลไกมากมาย ทั้งส่วนกลาง และระดับจังหวัด ทั้งยังมีผู้ตรวจการเลือกตั้งเป็นตัวช่วยอยู่อีกด้วย

ชาวบ้านทุกหย่อมหญ้ารับรู้รับทราบถึงการซื้อเสียงกันครึกโครม ตั้งแต่หัวละ 500-2,000 บาท แต่ละเขตเลือกตั้งผู้สมัครที่คาดหวังว่าจะได้ทุ่มกันเขตละ 20-30-50 ล้านบาท แต่ กกต.กลับไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปสืบเสาะมาได้เลย ทั้ง ๆ ที่มีฝ่ายสืบสวน ฝ่ายสอบสวนอยู่พร้อมสรรพ

เสร็จการเลือกตั้งจึงมีเรื่องร้องเรียนการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมากมาย ผู้ร้องต้องหาหลักฐานไปส่งให้ กกต.เอง แต่จะด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ ก่อนการเลือกตั้ง กกต.ไม่มีปัญญาสอยผู้สมัครรายใดได้เลย แม้แต่รายเดียว แถมเสร็จการเลือกตั้ง กกต.กลับรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่มีคะแนนอันดับ 1 และมีเรื่องมีราวร้องเรียนอยู่ เข้าไปเดินเฉิดฉายอยู่ในสภา นั่งชูคอสะล่อนเกือบครึ่งสภา ไม่มีใบแดง ใบเหลือง หรือใบส้ม ใบดำ เลยแม้แต่ใบเดียว

แถมยังออกมานั่งชูคอแถลงข่าวคอเป็นเอ็น ‘ผลการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม’ เป็นการแถลงรับรองผลการเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อร้องเรียน และความสงสัยของชาวบ้าน

ก่อนหน้านี้เมื่อสักสองเดือนก่อน มีข้อมูลหลุดออกมาจาก กกต.ว่า เตรียมสอย สส. 71 เขต จากทั้งหมด 400 เขต จากพรรคการเมืองหลักเกือบทุกพรรค ทั้งเพื่อไทย ก้าวไกล ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ มีระบุชัดว่ามีจังหวัดไหน เขตไหน แต่แล้วข่าวนี้ก็หายไปตามกระแสลมหวน ไม่มีข่าวไม่มีคราวความคืบหน้าอะไรออกมาอีกเลยจนถึงวันนี้

6 เดือนเต็มที่ กกต.ปล่อยให้ผู้ถูกร้องเรียน และส่อว่าจะมีมูล เข้าไปนั่งอยู่ในสภาอันทรงเกียรติ กินเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าเดินทางจากภาษีประชาชน เดือนละ 2-3 แสนบาท แถมบางคนไม่ได้เป็น สส.ที่มีส่วนร่วมอยู่ในการทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง กลับได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งทางการเมือง เข้าไปเบ่งกล้ามอยู่ในทำเนียบบ้าง ในกระทรวงต่าง ๆ บ้าง ลูกน้องเดินตามหน้าตามหลังเบ่งอำนาจบารมีกันยิ่งกว่า ‘แมงปอ’

หรือว่า กกต. ขี้ขลาดจากประสบการณ์ที่เลินเล่อ เสนอให้ใบส้ม ‘สุรพล เกียรติ์ไชยากร’ ผู้สมัคร สส.เขต 8 เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย และศาลพิพากษาให้ กกต.ต้องชดใช้เงิน 62 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยเพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายสุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัคร ส.ส. เชียงใหม่ เขต 8 พรรคเพื่อไทย

หรือการปล่อยข่าวออกมาว่าจะสอย 71 เขตเลือกตั้ง และทอดเวลาออกไปสองเดือน เป็นการเคาะกะลา แม้จะยังมีเวลาอยู่ตามกรอบของกฎหมายสอยได้ใน 1 ปี แต่ไม่ควรลืมว่า ‘ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม’ และประชาชนเป็นผู้เสียโอกาส กกต.ควรจะเร่งมืออย่างรอบคอบ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่ทอดเวลาออกไปจนชาวบ้านชาวช่องรู้สึกได้ถึงความอ่อนด้อย และไร้ประสิทธิภาพ

‘ถาวร’ พร้อมหนุน ‘พระนาย’ นักเรียน รร.นานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ หลังคว้าแชมป์กอล์ฟเยาวชน รายการ ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’

‘พระนาย’ นักเรียนทุน Bloomsbury international school Hatyai คว้าแชมป์ กอล์ฟเยาวชน ‘ถาวร’ ยินดีพร้อมหนุน พัฒนานักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย สู่ระดับมืออาชีพในอนาคต

ช่วงระหว่าง วันที่ 10-12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่สนามกรังปรีซ์ กอล์ฟคลับ จังหวัดกาญจนบุรี มีการจัดการแข่งขัน กอล์ฟเยาวชน ‘TGA-SINGHA Junior Golf Ranking’ ส่วนกลาง สนาม 5 คลาส S-A-B โดยมีตัวแทนเยาวชนจากทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน

โดยผลการแข่งขันในรุ่นคลาส AB ผู้คว้าแชมป์ ได้แก่ นายวิศว์ จิตตธร, รุ่นคลาส AG แชมป์ ได้แก่ นางสาวธัญจิรา อิสสระผล, รุ่นคลาส BB แชมป์ ได้แก่ นายพระนาย เหรียญไกร และเป็นนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทย, รุ่นคลาส BG แชมป์ ได้แก่ นางสาวมาริษา โตใจ, รุ่นคลาส SB แชมป์ ได้แก่ นายภูธเนษฐ์ กังวล, รุ่นคลาส SG แชมป์ ได้แก่ นางสาวพิมพ์ชมพู ฉายศิลป์รุ่งเรือง

สำหรับพระนาย เหรียญไกร เป็นนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ บลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ ที่มี ‘ถาวร เสนเนียม’ นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาอยู่

‘ถาวร เสนเนียม’ ประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai ได้ออกมาแสดงความยินดีกับน้องพระนาย เหรียญไกร ซึ่งเป็นนักกีฬากอล์ฟเยาวชนทีมชาติไทยที่มีสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนต่อความฝันของอาชีพคือ

1. บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
2. Bloomsbury International School Hatyai และ
3. ร้าน Crochet ซึ่งจะเป็นสปอนเซอร์หลักของน้องพระนายในการแข่งขันกีฬากอล์ฟ 

“ผมในฐานะประธานที่ปรึกษา Bloomsbury International School Hatyai เราพร้อมสนับสนุนน้องพระนาย ให้เดินตามความฝันทั้งด้านการเรียนและด้านกีฬาอย่างสุดกำลัง” ถาวร เสนเนียม กล่าว

โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ บริหารโดยคุณพิมพ์จันทร์ เสนเนียม ทายาทของถาวร เสนเนียม 

นายถาวร เสนเนียม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เคยโพสต์เฟซบุ๊ก ถาวร เสนเนียม ว่า…

“คณะผู้บริหาร Bloomsbury International School Hatyai โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่-หาดใหญ่ คณะนี้เข้าบริหารตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 ซึ่งผม นายถาวร เสนเนียม รับหน้าที่เป็นประธานที่ปรึกษา จนถึงขณะนี้ Bloomsbury International School Hatyai ได้รับรองการประเมินความเป็นมาตรฐานจาก 2 องค์กร คือ

1.มาตรฐานของสมศ. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2565

2.มาตรฐานของ CIS (Council of International Schools) ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนมกราคม 2565 (January 2022)

ซึ่งถือว่ามีคุณภาพในด้านการเรียนการสอนและการบริหารเป็นที่น่าพอใจยิ่ง

วิธีการตรวจสอบว่าโรงเรียนใด สามารถดำเนินการจัดการศึกษาได้มาตรฐานหรือไม่ กฎหมายได้กำหนดให้มีการรับรองมาตรฐานเรียกว่าการประกันคุณภาพภายนอก เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการติดตาม และตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา โดยคำนึงถึงความมุ่งหมาย หลักการ และแนวการจัดการศึกษาในแต่ละระดับ ระบุไว้ในมาตรา 49 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2562 คือ สมศ. เพื่อให้มีการตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชน

เป้าหมายของการประเมินคุณภาพภายนอก เพื่อให้สถานศึกษามีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ยึดหลักความเที่ยงตรง เป็นธรรม และโปร่งใส มีหลักฐานข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง และมีความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ สร้างความสมดุลระหว่างเสรีภาพทางการศึกษากับจุดมุ่งหมายและหลักการศึกษาของชาติ โดยให้มีเอกภาพเชิงนโยบาย ซึ่งสถานศึกษาสามารถกำหนดเป้าหมายเฉพาะ และพัฒนา คุณภาพการศึกษาให้เต็มศักยภาพของสถานศึกษาและผู้เรียน ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมมือกับสถานศึกษา ในการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพ ภายในของสถานศึกษา สร้างความเป็นอิสระ เสรีภาพทางวิชาการ เอกลักษณ์ ปรัชญา ปณิธาน วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างนวัตกรรม และพลเมืองของโลก ตามเป้าหมายการศึกษาชาติ

สำหรับการประกันคุณภาพโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนนานาชาตินั้น นอกจากจำเป็นต้องได้รับการประเมินและประกันคุณภาพจาก สมศ. แล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับรองการประกันคุณภาพภายนอกจากองค์กรซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยกระทรวงศึกษาธิการหรือองค์กรที่เป็นสากล เช่น CIS , WAS เป็นต้น โรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กร CIS ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นการยืนยันว่าโรงเรียนแห่งนี้ สามารถจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนมีมาตรฐานทัดเทียมกับโรงเรียนนานาชาติอื่น ๆ ทั่วโลก สร้างความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง (Active citizen) มุ่งเน้นให้เป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมที่จะเรียนรู้ (Learner) อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก (well being) และสร้างความยั่งยืน (sustainable)”

‘นายหัวไทร’ จัดรายการข่าวการเมือง คลื่น FM 89.5 ยึดมั่น!! พูดตรง ไม่หยาบ ไม่เลือกฝั่ง สร้างสรรค์สังคม

ผมเป็นนักข่าวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่เดินบนเส้นทางสายข่าวมา 30 กว่าปี นับตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมา กับนักข่าววิทยุ สายทหาร เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นบรรณาธิการวิทยุ เนชั่น บรรณาธิการข่าวภูมิภาคเครือเนชั่น บรรณาธิการสำนักข่าวเนชั่น บรรณาธิการคมชัดลึก บรรณาธิการบริหารช่องระวังภัย และอีกมากมาย เออลี่จากงานประจำมาแล้ว 5 ปี มาประกอบธุรกิจส่วนตัวเล็กน้อย ก็เป็นคนขายไอติม

“แต่ว่าตำแหน่ง journalist ใครปลดไม่ได้ ติดตัวไปจนตายแหละ แม้จะถูกโยกถูกย้ายไปตรงโน้นตรงนี้ แต่ตำแหน่งนักข่าวก็ติดตัวไปตลอด แม้เออลี่มาแล้ว ก็ยังมีจิตวิญญาณนักข่าวสิงอยู่” นายหัวไทร กล่าว

ว่าง ๆ ก็เขียนบทวิเคราะห์แนวการเมืองในนาม #นายหัวไทร เสนอผ่านเฟซบุ๊กเฉลียว คงตุก ผ่านเพจ ผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ตามสถานการณ์ทางการเมือง ด้วยมีข้อมูลปฐมภูมิจำนวนมาก ที่แหล่งข่าวเก่า ๆ แหล่งข่าวใหม่ ที่ยังติดต่อกันอยู่นำมาเล่าสู่กันฟัง ผมมีหน้าที่นำมาประมวล วิเคราะห์

เดินทางไปทำข่าวบ้างตามสมควรทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด แต่ในใจคิดว่า อายุพอสมควรแล้ว ควรจะวางมือจากวิชาชีพนักข่าว แต่เมื่อหลับจากนึกถึง ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ที่ถือเป็นครูคนสำคัญช่วงอยู่ทำงานที่เนชั่น ในวัย 70 กว่าปีจะย่าง 80 ปีแล้ว ก็ยังทำงาน ยังจัดรายการ ยังวิเคราะห์ข่าวทุกวันในสไตล์ของ ‘คนบ้าข่าว’ จึงจะยังคงขอเดินหน้าทำหน้าที่ ‘หมาเฝ้าบ้านต่อไป’ เพราะตำแหน่งนักข่าวไม่มีวันเกษียณ

จู่ ๆ ระหว่างนอนเล่นอยู่ในเปลข้างบ้าน มีคนโทรมาให้ไปร่วมจัดรายการวิทยุ ทางคลื่น FM 89.5 MHz ที่เขากำลังปรับปรุงแนวทางในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยให้จัดแนวการเมืองล้วน ๆ นัดพูดคุยตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อย ให้ผมจัด 2 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 17.00-19.00 น. ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาดีสำหรับช่วงข่าวการเมือง

รายการจะเริ่ม 5 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป ก็ลองดูกันอีกสักตั้ง จริง ๆ วางตัวเองไว้ว่า ไม่อยากเอาตัวเองไปผูกยึดกับเวลามากนัก จะไปไหนก็ไป คิดถึงใครก็ไปหา กับเวลาที่มีไม่มากนักแล้ว

แต่เมื่อพรรคพวกขอให้ไปช่วยก็ลองดู เป็นแนวที่เคยทำมาตั้งแต่ปี 2532 โน้น ย้อนกลับมาจัดใหม่ก็ขอฝากติดตามด้วยครับ 

“สื่อที่ทำงานอย่างสร้างสรรค์นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นกลาง ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกสี ไม่ใช่นางแบก ไม่ใช่ติ่ง ไม่ใช่ด้อม ไม่ใช้คำหยาบ วิจารณ์แบบฟันธง ตรงไปตรงมา เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม”

โดยจะจัดร่วมกับ ‘จาตุรันต์ บุญเบญจรัตน์’ นักจัดรายการวิทยุผู้สนใจข่าวสารการเมืองเช่นกัน เป็นช่วงเวลาที่ท่านผู้ฟังจะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ ‘มากกว่าข่าว’ รู้ทิศทางในอนาคตของคอการเมือง

พิสูจน์ระบบคุณธรรม จะด่างพร้อยหรือไม่? หากยังพยายามดันอาวุโสน้อยสุดขึ้นมาอีก

ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะว่างลงในเดือนตุลาคม 2567 นี้ เนื่องจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะเกษียณอายุราชการ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) จึงต้องสรรหา ผบ.ตร.คนใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่ง กตร. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทางนายกรัฐมนตรีจะต้องเสนอชื่อให้ กตร.พิจารณา

ในปัจจุบัน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด เกษียณกันยายน 2567 ดูเหมือนชีวิตข้าราชการตำรวจกลายเป็น 'ผู้ให้' และจำยอมหลีกทางให้ รอง ผบ.ตร.คนอื่นที่มีอาวุโสน้อยได้ไต่ขึ้นไปชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.อยู่ร่ำไป

เมื่อกันยายน 2566 พล.ต.อ.รอย มีสิทธิชอบธรรมตามหลักอาวุโส ซึ่งเป็นระบบคุณธรรมของการเติบโตในสายงานราชการตำรวจที่ควรได้รับคัดเลือกให้เป็น ผบ.ตร. แล้วชีวิตของเขาเหมือนถูกสาปจนจำต้องหลีกทางให้ รอง ผบ.ตร.อาวุโสน้อยกว่า แต่เส้นใหญ่สุดปาดหน้าไปเป็น ผบ.ตร.อย่างหน้าชื่นอกตรมมาแล้ว

ภาพสะท้อนอาการ 'ผิดหวัง' ในระบบคุณธรรมตำรวจที่พยายามเดินหลีกหนีระบบเส้นสายเบียดแทรกพุ่งพรวดไปเป็น ผบ.ตร.นั้น ในวันที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ประชุมพิจารณาเห็นชอบแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ พล.ต.อ.รอย ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย

คงไม่ใช่วาสนา พล.ต.อ.รอย ไม่ถึง ผบ.ตร. แต่ระบบคัดเลือกที่ขาดคุณธรรม และถูกกลุ่มอำนาจไม่ยึดบรรทัดฐานตามกฎหมายขัดขวางไม่ให้ก้าวไปสู่ตำแหน่งปรารถนาของนายตำรวจยศ 'พล.ต.อ.' ซึ่งไต่เต้าจนมีสิทธิไขว่คว้าได้ แล้วระบบคุณธรรมก็ถูกอำนาจอื่นมาทำให้วงการตำรวจด่างพร้อยซ้ำซากอีก

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อไร้โอกาสไปถึง ผบ.ตร.แล้ว พล.ต.อ.รอย ที่อยู่ในวงการตำรวจมาทั้งชีวิต ผ่านร้อนผ่านหนาวจากอำนาจการเมืองกดทับจำเจ แน่นอนชีวิตตำรวจที่เหลืออยู่ เขาย่อมต้องการเกษียณในตำแหน่งสุดท้ายของงานตำรวจในกันยายนปี 2567 

แล้ว พล.ต.อ.รอย กลายเป็น 'ผู้ให้' ต้องยอมหลีกทางอีกครั้ง ขณะที่เวลาจะเกษียณเหลืออีก 8-9 เดือน เขาต้องถูกมติ ครม.ให้ย้ายขาดจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร.สูงสุดที่หมดโอกาสได้เป็น ผบ.ตร.แล้ว ไปเป็น 'เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ' (สมช.) ที่ว่างเว้นอยู่

ดูเหมือนรัฐบาลเชิดชูเอออวยว่า พล.ต.อ.รอย มีความเหมาะสม มากความรู้ (แต่ไม่ได้เป็น ผบ.ตร.ตามระบบคุณธรรม) ในตำแหน่ง เลขา สมช. ก็ว่ากันไป ส่วนด้านลึกที่ไม่ยกยอกันนั้น คือ คำสั่ง 'ย้ายไปที่ใหม่' เป็นการเปิดทางให้ รอง ผบ.ตร.ว่างลง แล้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโสสูงคนหนึ่งจะได้มีที่ลงในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เพื่อบ่มเพาะให้ไปเป็นคู่ชิง ผบ.ตร. คนใหม่ที่จะแต่งตั้งช่วงสิงหาคม-กันยายน 2567 

อย่ากระพริบ ดันอาวุโสน้อยสุด ข้ามหัว 'บิ๊กโจ๊ก'

ว่ากันว่า ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโส ยศ 'พล.ต.ท.' ตามหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้นครองยศ 'พล.ต.อ.' ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. คือ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข นรต.รุ่น 39 เกษียณกันยายนปี 2568 ขึ้นมาเป็น รอง ผบ.ตร.ที่ว่างลง

ผู้สันทัดกรณีระดับเขี้ยวล้วนปักใจเชื่อตรงกันว่า พล.ต.ท.ประจวบ คือ ผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. คนใหม่กับ รอง ผบ.ตร.ที่อยู่ในโผมีสิทธิเป็น ผบ.ตร.ทั้งหมด ซึ่งเหลืออยู่อีก 4 คน เรียงลำดับอาวุโสในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ดังนี้...

- พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกษียณปี 2574 
- พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เกษียณปี 2569
- พล.ต.อ. สราวุฒิ การพานิช เกษียณปี 2567 
- พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ เกษียณปี 2569 

ขณะที่ พล.ต.ท.ประจวบ เกษียณปี 2568 และเมื่อได้เลื่อนยศเป็น พล.ต.อ. ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. จะมีอาวุโสน้อยสุด

การประเมินว่า แม้ พล.ต.ท.ประจวบ มีอาวุโสน้อยสุดก็ตาม แต่จะสามารถไขว่คว้าตำแหน่ง ผบ.ตร. มาครองได้เช่นกัน เพราะการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ล่าสุดเมื่อกันยายน 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้มีอาวุโสรั้งบ๊วยสามารถทำได้สำเร็จมาแล้ว และเป็น ผบ.ตร.คนปัจจุบันซึ่งจะเกษียณกันยายนปี 2567 

การปักใจเชื่อมั่นเช่นนั้น ส่วนสำคัญมาจากแรงผลักดัน 2 ส่วนทั้งมีกฎหมายและเป็นอำนาจการเมืองต้องการ โดยด้านกฎหมายอ้างถึง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 มาตรา 77 (1) ซึ่งผู้ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ไม่เกี่ยวกับหลักอาวุโสแต่อย่างใด นั่นเท่ากับสะท้อนระบบคุณธรรมเป็นปัจจัยเล็กน้อยที่จะถูกคัดเลือกให้เป็น ผบ.ตร.

มาตรา 77 (1) ระบุว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอกซึ่งดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติหรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

แน่ละเมื่อพิจารณาเพียงชั่วเวลาลมผ่านวูบแล้ว มาตรา 77 (1) ไม่ได้ระบุถึงหลักอาวุโสให้เป็น ผบ.ตร. ซึ่งเป็นความจริง แต่หากพิจารณาประกอบกับมาตรา 78 (1) ระบุหลักเกณฑ์คัดเลือกตำรวจยศ พล.ต.อ.ไปเป็น ผบ.ตร. ไว้ดังนี้...

"การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77 (1) ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 77 (1) โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง"

โปรดสังเกตุว่า มาตรา 78 (1) กำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือก รอง ผบ.ตร. เป็น ผบ.ตร.ตามมาตรา 77 (1) นั้น ได้เน้นถึงระบบอาวุโสมาเป็นส่วนประกอบสำคัญด้วย และไม่ต้องตีความให้ซับซ้อนอีกเลย เพราะคำว่า ‘คำนึงถึงอาวุโส…’ ย่อมไม่เท่ากับ ‘ผู้มีอาวุโสน้อยสุด’ ต้องได้เป็น ผบ.ตร.

ดังนั้น การคำนึงถึงหลักอาวุโสจึงแปลเป็นอื่นไม่ได้ โดยต้องเคร่งครัดถึงระดับอาวุโสที่มากกว่าคนอาวุโสน้อยสุดจึงควรถูกคัดเลือกให้ได้เป็น ผบ.ตร. เพราะจะเป็นที่ยอมรับของข้าราชการตำรวจ และนี่คือ 'ระบบคุณธรรม' ส่วนคนมีอาวุโสน้อยสุดได้เป็น ผบ.ตร.จึงแสดงถึงส่วนหนึ่งเป็นความต้องการของอำนาจการเมืองผลักดัน

หากอำนาจการเมืองหนุนดันยศ พล.ต.อ.อาวุโสน้อยสุดเป็น ผบ.ตร. แล้วนายกฯ คัดเลือกหยิบชื่อส่งให้ ก.ตร.พิจารณา พร้อมล็อบบี้ให้แต่งตั้ง ด้วยพฤติการเช่นนี้ย่อมเป็นการทำให้ระบบคุณธรรมด่างพร้อย ข้าราชการตำรวจย่อมอ่อนโรยในการทำหน้าที่ แล้วเสียงสังคมก็ดังกระหึ่มกระตุ้นให้ปฏิรูปตำรวจพ้นจากระบบเส้นสายของการเมืองต้องการ

กล่าวอย่างแจ่มชัดเฉพาะ พล.ต.ท.ประจวบ หากได้เลื่อนยศมาเป็น พล.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เขาจะมีอาวุโสน้อยสุดเพียงเป็น รอง ผบ.ตร.ตั้งแต่การโยกย้ายปกติเมษายนถึงได้รับโปรดเกล้าฯ กระทั่งถึงสิงหาคมและกันยายนปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงการชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.กับรอง ผบ.ตร.คนอื่นคึกคัก ลุ้นระทึก แต่เขามีอาวุโสประมาณ 5-6 เดือนเท่านั้น 

ด้วยอาวุโสน้อยสุดเช่นนี้ หากทะลุไปถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในกันยายนปี 2567 ความครหาได้เพราะอำนาจการเมืองผลักดัน โดยเป็นอำนาจการเมืองที่ พล.ต.ท.ประจวบ คุ้นเคยพื้นที่เชียงใหม่ แล้วอาจมีสัมพันธ์กับนักการเมืองเชียงใหม่ที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรคเพื่อไทยต้องการให้เป็น ผบ.ตร

ดังนั้น ศักดิ์ศรีของ พล.ต.ท.ประจวบ ย่อมมั่วหมองด้วยเส้นสายของอำนาจนัการเมือง ถูกกล่าวหาเป็นตำรวจที่ทำให้ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจด่างพร้อย แต่ถึงที่สุดเขาอาจไม่ต้องการเป็นตำรวจด้วยระบบเส้นสายก็ได้

การคาดหมายว่า พล.ต.ท.ประจวบ คือ ผบ.ตร.ในอนาคต มาจากผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์เอาทางภววิสัยที่เป็นตำรวจภาค 5 มาก่อน เป็นคนจัดระเบียบรอรับทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านเมื่อ 22 สิงหาคม 2566 แล้วประเมินว่า อำนาจการเมืองต้องการให้เป็น ผบ.ตร.

แต่ด้านลึกที่เป็นอัตวิสัยแล้ว พล.ต.ท.ประจวบ ย่อมไม่ต้องการ ผบ.ตร.ด้วยทางลัดตามอำนาจการเมืองก็เป็นไปได้ เพราะเขารู้ตัวเองว่า อาวุโสใน รอง ผบ.ตร.เพียง 5-6 เดือนมันน้อยนิดที่เป็น ผบ.ตร.ด้วยระบบคุณธรรมและทำให้องค์กรตำรวจภาคภูมิใจได้ 

ดังนั้น ยังมีเวลาและปัจจัยแห่งอนาคตอีกที่จะประเมินและฟันธงว่า พล.ต.ท.ประจวบ เมื่อได้เลื่อนยศเป็น พล.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. คือ ผบ.ตร.ตามอำนาจการเมืองเพื่อไทยหมายปองไว้หรือไม่

โปรดย้อยรอยศึกษาอำนาจแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร. คนที่ 8 เมื่อ 26 ตุลาคม 2554-30 กันยายน 2555 ล้วนละม้ายคล้ายคลึงกับการย้าย พล.ต.อ.รอย ไปเป็น เลขา สมช.ยิ่งนัก

อนาคต ‘บิ๊กโจ๊ก’ บนถนนสายขรุขระ สู่ตำแหน่ง ‘ผบ.ตร.’ เมื่อระบบคุณธรรมถูกทำลาย หลักอาวุโสถูกมองข้าม

เหลืออีก 7 เดือน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นั่นก็แปลความได้ว่า เดือนสิงหาคม กันยายน จะเป็นเดือนเดือดสำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงการสรรหาบุคคลมานั่งเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ 

ถ้ายึดตามหลักอาวุโส ความรู้ความสามารถ แน่นอนว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ผู้มีอาวุโสสูงสุดในบรรดา พล.ต.อ.ทั้งหมด จะต้องได้ก้าวขึ้นไปเป็น ผบ.ตร.

แต่ด้วยตำแหน่ง ผบ.ตร.ยึดโยงกับฝ่ายการเมืองอยู่ด้วย จึงไม่มีอะไรการันตีว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ จะได้ขึ้นไปนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. 100% คงจำกันได้ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ก็ใช่ว่าจะอาวุโสสูงสุด แต่ฝ่ายการเมืองเลือกเขาให้มานั่งเก้าอี้ ผบ.ตร. 

“มันขึ้นอยู่กับความพอใจของฝ่ายการเมือง ไม่ต้องคิดถึงระบบคุณธรรมอะไรหรอก” ผู้คร่ำหวอดในวงการตำรวจกล่าว

ในวัย 52 ปี ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถจริง จะได้มีโอกาสก้าวขึ้นครองยศ พล.ต.อ.เหรอ? แม้จะใกล้ชิดสนิทสนมกับฝ่ายอำนาจก็ตาม แต่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ขึ้นครองยศ พล.ต.อ. ตั้งแต่อายุ 50 ต้น ๆ จึงยังเหลืออายุราชการอีกมากถึง 7 ปี

บนถนนที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีแต่ถนนขรุขระ และเต็มไปด้วยดงหนาม มีปัญหาแม้กระทั่งกับอดีต ผบ.ตร. จนต้องโดนเด้งเข้ากรุมาแล้ว แต่ด้วยสายแข็งยังได้กลับมาใส่ชุดสีกากีอีกครั้ง ดงหนามหนึ่ง คือ การก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่จนมีผลงานพุ่งแรงเจิดจรัส แต่เมื่อเกษียณในปี 2574 หากได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ตั้งแต่กันยายนนี้ ย่อมมีเวลาในตำแหน่งอีกนานโขถึง 7 ปี

‘บิ๊กโจ๊ก’ จึงเต็มไปด้วยกับดักขวากหนามยิ่งหนาแน่น สกัดไม่ให้เป็น ผบ.ตร. หรือมีเป้าประสงค์ขัดขวางเพื่อลดทอนเวลาอยู่ในตำแหน่งให้เหลือน้อย หากร้ายแรงอาจเล่นหนักถึงขั้นไม่ให้เป็น ผบ.ตร.กันเลย

ภารกิจสกัด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เริ่มถูกออกแบบขย่มมาตั้งแต่ต้นปี 2567 แล้วรุมขยี้หนักมือขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยข้อหาย้อนศรจากหน้าที่การงานเก่าที่เคยรับบทเป็นมือปราบคอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์ กระทั่งข้อหาพนันออนไลน์เป็นชนักพุ่งปักตำรวจคนสนิททีละคน ทั้ง ๆ ที่ใครทำผิดก็ลงโทษคนนั้น ใครถูกกล่าวหาก็ไปแก้ตัวเอาเองในศาล

การเล่นงานตำรวจคนสนิท ไม่ได้หมายความว่า ต้องการดึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้ามาพัวพันกับข้อหาพนันออนไลน์ แต่เป้าหมายของจอมบงการออกแบบวางแผนสกัดกั้นหวังเพียงทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกสังคมมองด้วยสายตาเคลือบแคลงกังขา

เพียงเท่านี้คือ สิ่งที่การเมืองสีกากีต้องการทำให้มัวหมองและขอเอาคืน พร้อมกับลากโยงไปขัดขาไม่ให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้เป็น ผบ.ตร.ในรอบพิจารณาคัดเลือกช่วงสิงหาคมถึงกันยายนนี้

แม้จะถูกเล่นงานเอาคืน ลูกน้องโดนบุกตรวจค้น จับกุมฟ้องร้องต่อศาลในคดีสมรู้ร่วมคิดหาประโยชน์จากการพนันออนไลน์และฟอกเงิน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังคงยืนหลังตรงพิงกฎหมายบ้านเมืองชนิดไม่ออกอาการของเหยื่อที่กำลังถูกรุมยำ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยยืนยันและยังย้ำอยู่ว่า ไม่เคยเกี่ยวข้องกับคดีพนันออนไลน์ ส่วนลูกน้องต้องไปต่อสู้คดีในศาล และพิสูจน์ให้ได้ว่าเส้นทางเงินมาที่ตัวเองได้มาจากไหน โดยใครทำต้องรับผิดชอบ ในส่วนของเว็บพนันและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องการปราบปรามอย่างเดียว

"ผมมั่นใจว่าไม่มีเงินเข้ามาที่บัญชีของลูกน้อง มันเป็นเรื่องที่จะต้องไปอธิบายในชั้นศาลให้ได้ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ผมมองว่าลูกน้องไม่มีการกระทำความผิดในลักษณะแบบนี้ เราเป็นชุดทำงานกันมานาน ถ้าผิดคงผิดมานานแล้ว" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ปัดอุปสรรคที่กำลังทยอยมาเล่นงาน และรู้ดีว่า งานเข้าแบบนี้มีเป้าหมายเช่นใด เพราะเมื่อเล่นงานลูกพี่ไม่ได้ จึงต้องเลาะโอบทำลายลูกน้องเพื่อให้สะเทือนถึงลูกพี่

ล่าสุดข้อหาคดีแบบลูกน้องเป็นพิษ ถูกขุดให้หนักขึ้น พยายามฉายภาพการข่มขู่แอบถ่ายรูปอัยการที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนฟ้องร้องคดีพนันออนไลน์ ราวกับต้องการสื่อให้เห็นว่า ตำรวจลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นขบวนการผู้มีอิทธิพล เพราะมีลูกพี่เป็นคนคัดท้ายอยู่

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องพิสูจน์ตามกฎหมาย ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยึดหลักด้านนี้ไว้มั่นคง ชนิดบอกว่า รู้จักลูกน้องแต่เวลาทำงานตามหน้าที่ ส่วนเลิกทำงานแล้ว เป็นเรื่องส่วนตัว ใครทำอะไรไม่ดีไว้ต้องจัดการด้วยกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน

เมื่อเกมการเมืองสีกากีเริ่มเห็นร่องรอยทำลายความน่าเชื่อถือของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะรอง ผบ.ตร.อาวุโสที่มีโอกาสคั่วเก้าอี้ ผบ.ตร. มาครองในช่วงโยกย้ายเดือนกันยายนนี้ ดังนั้น อัตราเร่งของเกมย่อมล็อกให้เกิดขึ้นถี่ยิบ

โดยชนิดความถี่นั้น ถึงขั้นสร้างความรำคาญ เบื่อหน่ายให้อำนาจเหนือกว่าเข้ามาจัดการ และอำนาจที่ขบวนขัดขาตีฆ้องร้องป่าวเสมอ

โดยความจริงคือ การกดดันให้ใช้อำนาจโยกย้าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้พ้นจากรอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุดที่มีสิทธิ์ชอบธรรมตามกฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ถูกพิจารณาเลือกให้เป็น ผบ.ตร.คนต่อไป

เมื่อเรียงระบบอาวุโสสูงสุดไปสู่น้อยสุดในตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่มีอยู่และจะตั้งเพิ่มขึ้นใหม่ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เกษียณปี 2574, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เกษียณปี 2569, พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช เกษียณปี 2567, และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ เกษียณปี 2569 ขณะที่ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ซึ่งถูกคาดจะได้เลื่อนจาก ผู้ช่วย ผบ.ตร.มาเป็น รอง ผบ.ตร. จะเกษียณปี 2568 และมีอาวุโสน้อยสุด

ดังนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงเป็นสเปกที่เข้ากับเกณฑ์ต้องถูกพิจารณาเลือกให้เป็น ผบ.ตร.มากที่สุด แต่ด้วยเงื่อนไขมีอายุราชการตำรวจนานกว่าทุกคนจึงกลายเป็นจุดอ่อนต้องถูกขัดขาให้ล้มหัวคะมำจนพลาดได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ในช่วงพิจารณาเดือนกันยายนนี้ เพื่อเปิดทางให้ รอง ผบ.ตร.ที่จะเกษียณในปี 2569 ได้เป็นคู่ชิงชัยขัดตาทัพกันไปก่อน

นี่เป็นเป้าหมายของจอมบงการออกแบบวางแผนไว้ และเป็นแผนลดทอนระบบอาวุโส พร้อมกำหนดทางเลือกยื้อเวลาการขึ้นเป็น ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกไปให้นานอีก 2-3 ปี หลังจากนั้นยังมีเวลาเหลือให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พกพาวาสนาขึ้นเป็น ผบ.ตร.และอยู่ในตำแหน่งนานถึง 3-4 ปี ซึ่งอาจเป็นเวลาเฉลี่ยในตำแหน่งมากกว่า ผบ.ตร.ที่ผ่านมา

ดังนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กำลังถูกกดดันให้มีทางเดินไปสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.ใน 2 ทางชีวิตข้าราชการตำรวจที่เหลืออยู่ คือ จะเป็นก่อนตามหลักอาวุโสในเดือนกันยายนนี้ หรือเลือกรอเป็นหลังกันยายน 2569

สิ่งสำคัญ การกดดัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เช่นนั้น จอมบงการวางแผนจำต้องออกแรงกดดันไปถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะทั้งสองคนมีอำนาจตามกฎหมายที่จะเลือก รอง ผบ.ตร. คนใดคนหนึ่งในจำนวน 5 คนขึ้นมาพิจารณาให้เป็น ผบ.ตร.คนต่อไป

แต่อำนาจการพิจารณาของ ผบ.ตร.คนปัจจุบันกับนายกรัฐมนตรี ย่อมใคร่ครวญกับการทำลายระบบอาวุโส ที่เป็นประหนึ่งบรรทัดฐานในหลักระบบคุณธรรมการโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามกฎหมายตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในกฎหมายตำรวจแห่งชาติปี 2565 กำหนดการจัดระเบียบราชการข้าราชการตำรวจไว้ที่มาตรา 60 โดยให้คำนึงถึงระบบคุณธรรม ว่า (3) การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการตำรวจต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรม โดยพิจารณาจากอาวุโส ผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติประกอบกัน และจะนำความคิดเห็นทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้

ดังนั้น องค์ประกอบสำคัญกำหนดการจัดระเบียบราชการข้าราชการตำรวจที่เป็นระบบคุณธรรมนั้น คือ ระบบอาวุโส ซึ่งแปรเปลี่ยนการตีความอธิบายเป็นอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว

โดยเฉพาะมาตรา 78 ได้กำหนดให้พิจารณาตำรวจที่เหมาะสมเพื่อแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ว่า (1)...โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

ด้วยการกำหนดตามกฎหมายตำรวจแห่งชาติปี 2565 นั้น จอมบงการวางแผนสกัดกั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องให้เลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ด้วยการทำลายระบบคุณธรรมเพื่อยอมโอนอ่อนให้การเมืองสีกาควบคุมสั่งการ

ไม่เพียงเท่านั้น หมากเกมนี้เล่นด้วยอารมณ์เคียดแค้นมุ่งทำลายองค์กรตำรวจที่มีข้าราชการกว่า 2 แสนคน ต้องอยู่เป็นเบี้ยล่างอำนาจการเมืองร่ำไป สิ่งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และนายกรัฐมนตรีต้องใคร่ครวญให้หนัก เพื่อไม่ให้จมดิ่งไปในหลุมพรางอำนาจอำมหิต

ชาวสมุยโอด!! ‘ปัญหาขยะล้นเกาะ’ วนมาอีกครั้ง ทำลายภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวระดับโลก

“ถุงขยะเกลื่อนเกาะสมุย แม้นายกฯ รับปากจะจัดการโดยเร็ว แถมยังเกิดไฟไหม้ซ้ำอีก ศาลปกครองก็สั่งให้เทศบาลเร่งแก้ แต่ปัญหายังเหมือนเดิม”

นายหัวไทรได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านบนเกาะสมุยว่า เวลานี้มีขยะล้นเกาะแล้ว ชาวบ้านไม่รู้จะเอาไปทิ้งไหนก็นำมาใส่ถุงดำวางไว้บนถนน

“ชาวบ้านจำเป็นต้องนำถึงขยะมาวางกองไว้บนถนน โดยเฉพาะถนนเส้นหลักสายโรงพยาบาลไปสนามบิน เต็มไปด้วยถุงขยะ รถเก็บขยะของเทศบาลนครสมุย ก็ไม่มาเก็บไปกำจัด ไม่รู้ว่าเกิดจากปัญหาอะไร โทรไปแจ้งผู้รับผิดชอบของเทศบาลก็ไม่รู้อยู่ไหน”

ปัญหาขยะเกาะสมุยเป็นปัญหาที่มีมายาวนาน จนเคยมีปัญหาบ่อกำจัดขยะเต็มมาแล้ว

“เทศบาลแก้ปัญหาด้วยการใช้เรือขนไปกำจัดฝั่งเมืองสุราษฎร์ธานี แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ ยังมีขยะตกค้างอีกนับแสนตัน

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2567 นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เดินทางไปเกาะสมุย ได้ไปดูเตาเผาขยะเกาะสมุย และได้แสดงความเป็นห่วงการท่องเที่ยวเจริญขึ้น ทำขยะล้น และรับปากว่าจะดูแลปัญหา สนับสนุนงบฯในการเร่งแก้ ทำคู่ขนานมาตรการระยะสั้น-ระยะยาว

ครั้งนั้นชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตรวจติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหาขยะในอำเภอเกาะสมุย โดยนายกฯ รับฟังการบริหารจัดการขยะเกาะสมุยที่ยังตกค้างอยู่จำนวนประมาณ 150,000 ตัน จากนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย โดยขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในการกำจัดขยะดังกล่าว ทั้งนี้ ในระยะสั้นที่ต้องมีการขนขยะออกไป และต้องใช้งบประมาณ 237 ล้านบาทนั้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าอาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่า ซึ่งต้องขอดูก่อน แต่สำคัญที่สุดคือขยะที่ตกค้างจะต้องถูกกำจัดโดยเร็ว โดยการแก้ปัญหาระยะสั้นรัฐบาลรับจะดูแลให้ว่าวิธีการใดจะดีที่สุด

ส่วนระยะยาวต้องพัฒนาศักยภาพเตาเผาให้มีประสิทธิภาพ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยจะทำควบคู่กันไป เพื่อรองรับขยะที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นได้ ทั้งจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ พร้อมขอบคุณชาวสมุยที่ช่วยกันแยกขยะ ซึ่งส่วนนี้ก็ช่วยการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วย

ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 28 พฤษภาคม ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้กองขยะ 1.5 แสนตัน ชาวบ้านอยากให้หาแนวทางบริหารจัดการในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้ให้ดีกว่านี้ เพราะห่วงเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากบริเวณรอบข้างมีบ่อขยะเก่าจำนวนหลายบ่อ หากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาอีกก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

กองขยะที่ถูกเพลิงไหม้ อยู่ภายในโรงเก็บขยะ สถานที่เตาเผาขยะเทศบาลนครเกาะสมุย หมู่ที่ 5 ตำบลมะเร็ต อ.เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี เหตุเกิดเมื่อช่วงเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 โดยเพลิงได้โหมลุกไหม้อย่างรุนแรง เนื่องจากต้นจุดเกิดเหตุเป็นกองขยะเก่าจำพวกพลาสติกที่แห้งและติดไฟง่าย โดยเจ้าหน้าที่ได้ระดมรถดับเพลิง รถน้ำ จากเทศบาลนครเกาะสมุย รถดับเพลิงจากสนามบินสมุย รถน้ำของเอกชน มาช่วยดับไฟ 

ต่อมาเวลาประมาณ 03.00 น. สถานการณ์คลี่คลายเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้

จากการสังเกตโรงเก็บขยะ พบว่าเป็นโครงสร้างที่ทำจากเหล็ก ตัวเสาและโครงตรัสตรงจุดที่เกิดไฟไหม้ บางชิ้นมีลักษณะบิดงอ หลังคาและผนังที่ใช้แผ่นเมทัลชีทได้รับความเสียหาย ในเบื้องต้นทางเทศบาลนครเกาะสมุย ยังไม่สรุปสาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ และจะให้วิศวกรกองช่างเข้ามาตรวจสอบโครงสร้างอาคารดังกล่าวว่ามีความปลอดภัยหรือไม่

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2566 ศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำพิพากษาให้เทศบาลนครเกาะสมุย โดยนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการเก็บ ขน และกำจัดมูลฝอย รวมทั้งมูลฝอยติดเชื้อ ในบ่อขยะ ในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือมาตรฐานที่กฎหมายหรือกฎที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ และให้ขจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ และบำบัดแหล่งน้ำสาธารณะบริเวณที่พิพาทให้กลับคืนสู่สภาพเดิม และให้เทศบาลนครเกาะสมุย รายงานผลการดำเนินการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและศาลทราบทุก 30 วัน จนกว่าปัญหามลพิษดังกล่าวจะหมดสิ้นไป แต่ไม่เกิน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด

เกาะสมุยเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่ใครก็ใฝ่ฝันอยากจะไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ไปชมทัศนียภาพ ธรรมชาติอันสวยงามโดดเด่นของเกาะสมุย แต่การบริหารจัดการเกาะสมุยยังไม่พร้อมจะรองรับการทะลักเข้ามาของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะปัญหาการจัดการขยะ ปล่อยให้ชาวบ้านนำขยะในถุงกองไว้บนถนนให้อุจาดตาประจานการทำงานของเทศบาลเกาะสมุยได้อย่างไร สนามบินก็เป็นของเอกชน ที่จำเป็นต้องลงทุนขนานรันเวย์ให้ยาวกว่านี้ เพื่อรองรับเครื่องบินลำใหญ่ขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

แอบทำกันเงียบๆ เอาป่าสงวนอุทยานทับลาน เข้าโครงการ One Map แน่ใจได้อย่างไร ว่าที่ดินจะตกถึงมือเกษตรกร ไม่ไปอยู่ในมือนายทุน?

จากกรณีที่ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช บอกว่ายินดีรับฟังเสียงของประชาชน กรณี มติครม. จะเอาป่าสงวนอุทยานแห่งชาติทับลาน 265,286 ไร่ มาเข้าโครงการ One Map และยกที่ดินเข้าสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (สปก.) นั้น

หากลงในรายละเอียดแล้ว โครงการ One Map มีเป้าหมายให้ทุกส่วนราชการใช้แผนที่เดียวกันในการแก้ปัญหาข้อโต้แย้ง ที่เดิมต่างฝ่ายต่างมีแผนที่ของตัวเอง ซึ่งน่าจะเป็นผลดี แต่ในทางปฏิบัติเมื่อไปยึดสัดส่วน 1:4000 จึงก่อให้เกิดปัญหามีที่ดินเหลือ จึงจะยกให้ สปก.ไปจัดสรรให้เกษตรกรทำกิน 

แต่จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าที่ดินจะตกถึงมือเกษตรกร ไม่ไปอยู่ในมือของนายทุน?

ในวงประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่ดินก็ตั้งข้อกังวลเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังจะเดินหน้าเพิกถอนพื้นที่บางส่วนของอุทยานแห่งชาติทับลาน เอาไปให้แจกจ่ายกัน

ประเด็นข้อสงสัยทำไมต้องยึดสัดส่วน 1:4000 เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าจะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าไม้ไป 265,000 ไร่ ซึ่งตามหลักวิชาการ ต้องมีพื้นที่ป่าไม่น้อยกว่า 25% เมื่อหลายปีก่อนพบว่า เรามีพื้นที่ป่าไม่ถึง 18% เวลาผ่านมาหลายปี ไม่รู้ว่าเวลานี้เรามีพื้นที่ป่าเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์ 

เราจึงไม่ควรสูญเสียพื้นที่ป่าไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มีเพียบจะร่วมกันรณรงค์ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า รณรงค์ให้ปลูกป่าเพิ่มขึ้น แต่ผู้ดูแลป่ากลับจะยกพื้นที่ป่าให้เอาไปทำลายกัน เป็นเรื่องที่คนไทยรับไม่ได้ และไม่ต้องอ้างว่า ต้นเรื่องมาจากรัฐบาลก่อน ถ้าไม่เห็นชอบก็ยกเลิกได้ แค่มติ ครม.

น่าแปลกใจว่าเรื่องนี้ ‘แอบทำกันเงียบ ๆ’ มาโผล่เป็นข่าวเมื่อต้องทำประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของประชาชน เสียงค้านจึงอื้ออึงขึ้นพร้อมกันทั้งประเทศ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะเอาพื้นป่าที่ดีที่สุดของชาติ ไปพัฒนาแบบผิด ๆ ป่าทับลานมีพื้นที่รวมกันถึง 1,398,000 ไร่ รัฐบาลจะเอาไปใช้ในชุดแรก 18.59%

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มรดกโลกกำลังถูกคุกคามครั้งใหญ่ ประชาชนเริ่มออกมาปกป้องกันแล้ว ถ้าไม่ออกมาอาจจะสายเกินแก้ ผลงาน สปก.ที่นายทุนเอามาทำรีสอร์ท กว่า 400 แห่งยังไม่สามารถรื้อถอนได้ทั้ง ๆที่มีคำสั่งศาลให้รื้อถอนแล้ว นี่คือการสะสมปัญหาใหม่ชัด ๆ

จากความพยายามให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินไทยได้ถึง 99 ปีและยังจะให้ต่างชาติถือครองคอนโด ได้อีก 75% เรื่องนี้ยังไม่จบ จะมาเอามาทับลานไปพัฒนาอีกแล้วจะพัฒนาอะไรกันนักหนา ขยันผิดปกติไปหรือเปล่า?

ทรัพยากรป่าไม้ของเรา เหลือน้อยเต็มทีแล้ว อย่าให้ใครมาทำลายอีกเลย หาวิธีการแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นเถอะครับ

‘ปลอดประสพ’ กร้าว!! “กินทับลาน มีเรื่องกับผมแน่นอน” ร่วม #Saveทับลาน ค้านจัดสรรเป็นที่ดิน สปก.

“กินทับลาน มีเรื่องกับผมแน่นอน”

นี่เป็นประโยคที่ ‘ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี’ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ได้เขียนและโพสต์ลงในแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความต่อมาว่า…

“รูปนี้ถ่ายที่อุทยานแห่งชาติทับลานเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ที่พกปืนเพราะกำลังมีเรื่อง ตอนนี้มีคนจะมาเอาทับลานอีกแล้ว ขอย้ำว่า อธิบดีกรมป่าไม้คนแรกที่ไปจับกุมการบุกรุกทับลานเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วชื่อปลอดประสพนะครับ ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนความคิดแน่นอน สงสัยคราวนี้จะต้องอาสาคุณประวัติศาสตร์ หัวหน้าอุทยานทับลานซึ่งเป็นลูกน้องเก่า ไปช่วยเฝ้าอีกเสียแล้ว”

นี้เป็นการประกาศจุดยืนชัดเจนของคนในพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน 265,000 ไร่ ไปจัดสรรเป็น สปก.

คงหลับตาเห็นภาพเก่า ๆ ของปลอดประสพ ทั้งดุดัน และจริงจัง และเป็นคนคิดเปลี่ยนเครื่องแบบของข้าราชการกรมป่าไม้ อีกภาพที่จำได้ คือการยืนบนหัวเรือไล่ล่าจระเข้ หลุดจากฟาร์มเลี้ยง

พ้นจากข้าราชการประจำ ปลอดประสพก็กระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองในนามพรรคไทยรักไทยในยุคก่อตั้ง ในยุคทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจ เมื่อไทยรักไทยถูกยุบ ก็แปลงร่างมาเป็นพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน

แม้นการเพิกถอนพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติทับลานไม่ได้ริเริ่มขึ้นจากรัฐบาลเพื่อไทย ที่มีเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่ได้คัดค้าน แถมยังเดินหน้าต่อไป นายกฯ เศรษฐาเป็นคนให้สัมภาษณ์เองด้วยซ้ำว่าจะเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ 

เป็นการประกาศเดินหน้าท่ามกลางเสียงค้านอื้ออึงทั้งในสื่อกระแสหลัก และในสื่อโซเชียล ที่ติด #saveทับลาน พร้อมรณรงค์ให้ร่วมกันลงชื่อคัดค้านการถอนป่าทับลาน

ไม่ใช่เป็นการคัดค้านเพราะรักและหวงแหนในผืนป่าอย่างเดียว แต่ยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่ดินที่นำไปจัดสรรเป็น สปก.นั้น จะตกถึงมือเกษตรกรจริงหรือ หรือจะตกไปอยู่ในมือของนายทุนกันแน่

ขอบคุณคุณปลอดประสพที่รักษาจุดยืนไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นแนวทางของรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวกันก็ตาม

‘ธรรมนัส’ ประกาศอิสรภาพ หลุดพ้น ‘บิ๊กป้อม-พปชร.’ เอ่ยชัด “ผมว่า…ผมพอแล้ว” หลังถวายหัวรับใช้มา 6 ปี

หลัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาเปิดเผยโผรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ โดยไม่มีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ โดยให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า พรรคร่วมเขาไม่เอา ซึ่งพรรคร่วมน่าจะหมายถึงพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล ที่ไม่ต้องการให้มลทินทั้งหลายไปกระทบต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร เหมือน ‘เศรษฐา ทวีสิน’ โดนมาแล้ว กรณีไร้จริยธรรม แต่งตั้ง ‘พิชิต ชื่นบาน’ เป็นรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่มีมลทิน

แต่ที่น่าสนใจ มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้าว่า รัฐบาลใหม่ไม่เอา ‘วงษ์สุวรรณ’ ซึ่งหมายถึงไม่เอา ‘พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ’ นั้น แต่ในโผรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ กลับมีชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท นั่งเก้าอี้เดิม แต่เตะโด่ง ‘ร.อ.ธรรมนัส’ ออกนอกสนามแข่ง มี ‘สันติ’ มานั่งว่าการกระทรวงเกษตรแทน และให้ ‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ เสียบแทนสันติในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข

ไม่เอา ‘วงษ์สุวรรณ’ อันเกิดจากความไม่พอใจของหัวเรือใหญ่เพื่อไทย ไม่พอใจต่อท่าทีที่เมินเฉยต่อพรรคเพื่อไทยของ ‘พล.อ.ประวิตร’ ที่ไม่เข้าร่วมประชุมสภาโหวตให้แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ออกแรงห้าม 40 สว.ที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความฐานะของนายกฯ เศรษฐา ผิดจริยธรรมทางการเมือง จนต้องพ้นจากตำแหน่ง

เกือบ 6 ปีที่ประชาชนได้รู้จักชื่อของ ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’ ในฐานะนักการเมืองที่สร้างแรงสะเทือนอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เขาให้สัมภาษณ์หรือปรากฏตัว มักมีสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญ เคยถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ปลดพ้นรัฐมนตรีมาแล้ว หลังร่วมกันวางแผนล้ม พล.อ.ประยุทธ์กลางสภา และเคยออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปตั้งพรรคใหม่ ‘เศรษฐกิจไทย’ แต่สุดท้ายก็กลับมาพลังประชารัฐอีกครั้งและรับบทเป็นแม่บ้านเลขาธิการพรรค

“จากประสบการณ์ 6 ปีที่ผ่านมา ผมเองรับใช้บุคคลหนึ่งและพรรคหนึ่งมามากพอสมควรแล้ว จึงถึงเวลาที่ต้องเดินออกมาโดยไม่ทะเลาะกับใคร วันนี้ถึงเวลาที่ต้องประกาศความเป็นอิสรภาพของตัวเองแล้ว” 

พร้อมกล่าวด้วยว่า “พี่น้องคงเห็นแล้วว่าสมัยรัฐบาลที่แล้ว ผมก็รักคนคนหนึ่งมาก ใช้ผมไปตาย ผมยังไปตายเลย แล้วท้ายที่สุดผมก็ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง ผมว่าผมพอแล้ว และการที่ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ถามผมและไม่ได้คุยอะไรกัน”

คำพูดเหล่านี้ไม่ต้องแปล เข้าใจกันได้ง่าย ๆ ‘แตกหักกันแล้ว’ แต่ ร.อ.ธรรมนัสก็ยังไปไหนไม่ได้ จะย้ายพรรคก็ยังไม่ได้ เพราะถ้าลาออกเองก็จะพ้นจากความเป็น สส. ก็ต้องอยู่เป็นก้างขวางคอไปเรื่อย ๆ จนกว่า พรรคเขาหมั่นไส้ ไม่ออกเอง แล้วไปหาพรรคใหม่

พรรคใหม่ก็ไม่ต้องไปควานหา หรือดิ้นรนอะไรมาก ‘พรรคกล้าธรรม’ ที่ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ไปตั้งพรรครอไว้เรียบร้อยแล้ว

ก็ต้องติดตามกันต่อไปสำหรับก้าวย่างของชายผู้กล้าได้กล้าเสียคนนี้ในนาม ‘ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า’

รู้จัก ‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ ลูกสาว ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ ‘ว่าที่ รมช.กระทรวงมหาดไทย’ ใน ครม.แพทองธาร 1

เป็นชื่อที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นหรือได้ยินในแวดวงข่าวมากนักสำหรับ ‘ดีดา-ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ แต่หลังจาก ‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ‘แพทองธาร’ พร้อมส่งซาบีดา เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทนชื่อของ ‘ซาบีดา’ ก็เริ่มเป็นที่จับจ้องมองทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อเธอเข้ามาแทนชาดาเลย ส่วนคนที่น่าจะมาแทน คือ ‘มนัญญา ไทยเศรษฐ์’ น้องสาวของชาดา 

แต่ขณะนี้เป็นห้วงเวลาที่มนัญญาเตรียมลงชิงนายกฯ อบจ.อุทัยธานี ‘ชาดา-มนัญญา’ สองพี่น้องได้มีเรื่องบาดหมางกัน เนื่องจากชาดาได้รับปากสนับสนุนอีกคนหนึ่งไปแล้ว นักเลงต้องรักษาคำพูด ยังดีที่ตกลง และเคลียร์กันได้ก่อนการสมัคร ‘มนัญญา’ ก็ถอนตัว จากการชิงนายกฯ อบจ.อุทัยธานี ในขณะที่ชื่อ ‘ซาบีดา’ ถูกส่งเข้าประกวดชิงเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยพอดี

บุญหล่นทับ ‘ซาบีดา’ ด้วยการสละของบิดา หลังตรวจสอบน่าจะไม่ผ่านคุณสมบัติ

‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ ดีกรีนักเรียนนอก เกิดวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ปัจจุบันอายุ 39 ปี 11 เดือน เป็นบุตรคนที่ 2 ของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ กับ นางเตือนจิตรา แสงไกร อดีตนายกเทศมนตรี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปริญญาโทนิติศาสตรมหาบัณฑิต จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ 

เมื่อชาดาผู้เป็นบิดาเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ซาบีดา เข้ามาฝึกงานเป็นคณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยของผู้เป็นพ่อ และเป็นตัวแทนในการทำงานดูแลประชาชนในพื้นที่อุทัยธานีด้วย

ชีวิตครอบครัว ‘ซาบีดา ไทยเศรษฐ์’ แต่งงานกับ ชาเดฟ-อนันต์ ปาทาน เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2565 ที่โรงแรมบันยันทรี เกาะสมุย โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาในขณะนั้นเป็นประธานในพิธี ซึ่งปัจจุบัน ‘ดีดา ซาบีดา’ ยังไม่มีบุตร และถือว่ามีครอบครัวช้า เพราะแต่งงานในวัยเลย 35 ปีไปแล้ว

แต่ก็ถือว่า ‘ซาบีดา’ เป็นรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยคนหนึ่ง เพียงแต่อายุมากกว่า นายกฯ แพทองธาร 1 ปีกว่า ๆ แต่ในวัยที่ยังไม่ถึง 40 ปี ถือว่า ‘กำลังดี’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top