Sunday, 6 July 2025
รัฐบาล

‘กรณ์’ ออกปากชมรัฐบาลแพทองธาร ยัน! การให้สัญชาติไทยลอตนี้ถูกต้อง

(30 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงการให้สัญชาติไทยตามมติคณะรัฐมนตรี ว่า...

ผมเห็นนโยบายนี้ของรัฐบาลแล้วชื่นชมนะครับ เหตุผลที่ให้ฟังขึ้นหมด ไม่ว่าจะเป็นมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ ความเป็นธรรม และสิทธิมนุษยชน 

ผมอยากจะเสริมว่านี่คือ Soft Power ของสังคมเราด้วย ที่พร้อมให้โอกาสคนต่างด้าวมาผสมผสานเติมพลังความเป็นไทยมาหลายยุคหลายสมัย เรากี่คน (ผมด้วย) ที่คงไม่มีวันนี้หากสังคมไทยในอดีตไม่ให้โอกาสบรรพบุรุษเรา

เอาละ แต่ละประเทศก็มีบริบทที่ต่างกันไป แต่ท่าทีของเราวันนี้ต้องบอกว่าสวนทางกระแสการเมืองหลักของโลก โดยเฉพาะโลกตะวันตก ที่บางประเทศถึงขั้นมีการหาเสียงว่าจะขับต่างด้าวออกนอกประเทศแม้ว่าบางคนได้เข้ามาอยู่ในประเทศเขานานแล้ว 

แนวของเรากลับเป็นตัวยืนยันความมั่นใจในตัวเราเอง เราไม่มีปมด้อยที่จะทำให้เราต้องมากลัวหรือรังเกียจผู้ที่มาพึ่งพาอาศัย และทำมาหากินอย่างสงบอยู่กับเรา

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนออนุมัติหลักเกณฑ์ เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติ และสถานะของกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในไทยเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ซึ่งจากการสำรวจตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จนถึง 2542 มีกลุ่มผู้อพยพเข้ามาเป็นเวลานานประมาณ 120,000 คน และเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ซึ่งมีการสำรวจตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2554 มีประมาณ 215,000 คน กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของชนกลุ่มน้อย 29,000 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรของบุคคลที่ไม่มีสถานะตามทะเบียนประมาณ 113,000 คน รวมทั้งหมดประมาณ 483,000 คน

โดยการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันนี้เป็นการลดขั้นตอนมอบสัญชาติให้กับบุคคลเหล่านี้ ที่ต้องใช้ระยะเวลาถึง 44 ปี ปัจจุบันการให้สัญชาติไทยกับบุคคลข้างต้นจะเป็นการยกเลิกขั้นตอนต่าง ๆ จำนวนมาก โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ข้อสังเกต 2-3 ข้อ หากให้สัญชาติไทยกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน จะเกิดผลกระทบใดตามมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่ สมช.เสนอ และส่งให้กระทรวงมหาดไทยประกาศบังคับใช้ในรายละเอียดไม่น้อยกว่า 30 วันไม่เกิน 60 วัน

สำหรับประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจำนวนกว่า 400,000 คนที่อยู่ในไทย ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่มานานและมีบ้านอาศัย สามารถทำงานได้ตามปกติ เมื่อทำให้ถูกต้อง บุคคลเหล่านี้ก็จะสามารถสัญจรไปมาได้ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ และรู้ถิ่นฐานที่อยู่ของบุคคลเหล่านี้ได้ ซึ่งที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี เล็งเห็นว่าเป็นประโยชน์และมีการสอบถามความรอบคอบจากหลายหน่วยงานมาก่อนแล้ว

‘ดร.ปวิน’ สวนเดือด!! ‘นางแบก’ ด่าพรรคส้ม ลั่น!! ไม่เคยจับมือ กับ ‘คนทำลายประชาธิปไตย’

(24 พ.ย. 67) ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพสต์ข้อความ ‘แรง’ โดยมีใจความว่า ...

ความน่ารังเกียจของ E นางแบกบางตัว คือการสร้างวาทกรรมว่า พรรคส้มคือจุดสุดยอดของความ Jungไรทางการเมือง ทั้ง ๆ ที่ตัวคุณและพรรคที่คุณสนับสนุนคือ ความ Jungไรทางการเมืองของแท้ อย่างน้อยพรรคส้มก็ไม่เคยจับมือกับคนที่ทำลายประชาธิปไตย คือแทนที่คุณจะไปด่า E พวกทำลายประชาธิปไตยเหล่านั้น กลับมาจิกกัดพรรคที่สมควรได้จัดตั้งรัฐบาล edok 

ขอบคุณ 2 ทหารกล้า ‘พล.อ.พนา - พล.ท.บุญสิน’ ผู้ยืนหยัดแสดงภาวะผู้นำในวันที่รัฐบาลไร้ท่าที

(11 มิ.ย. 68) ขอบคุณ “พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์” และ “พลโท บุญสิน พาดกลาง”

> พวกเขาอาจไม่พูดมาก แต่การตัดสินใจของเขาทำให้ชาติไทย…ยังยืนอยู่ได้
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องรบ ไม่ใช่แค่เรื่องชายแดน
แต่เป็นเรื่องของ “หัวใจคนที่ยืนอยู่หน้าประเทศ”
และในวิกฤตที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศควรจดจำชื่อของชายสองคนนี้ไว้ให้มั่น

— พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์
ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
— พลโท บุญสิน พาดกลาง
แม่ทัพภาคที่ 2
---
🕓 บันทึกเหตุการณ์:
ก่อนเกิดเหตุ (ปลาย พ.ค. 68)
– กัมพูชาขุด "คูเลต" ล้ำเข้าพื้นที่พิพาท ส่อเจตนาเชิงรุก
– ฝ่ายการเมืองไทยเงียบ ไม่มีการตอบโต้
– พลโท บุญสิน ตัดสินใจ ตรึงกำลังทันที แม้ไร้คำสั่งทางการเมือง

วันที่ 29 พ.ค. เป็นต้นมา
– กัมพูชาเพิ่มกำลัง ใกล้แนวชายแดน
– รัฐบาลพยายามเจรจา แต่ถูกเมิน
– พลเอก พนา ยืนยันชัดเจน: “ไม่ถอย ไม่ยั่ว ไม่ยอม”
– สั่งตรึงแนวรบเต็มรูปแบบ

ต้นเดือน มิ.ย.
– การเมืองยังนิ่ง แต่ทหาร สั่งปิดด่าน ตัดไฟฟ้า น้ำ และอินเทอร์เน็ต
– การตัดสินใจที่ไม่ใช่แค่กล้า แต่ “เปลี่ยนเกม”

วันที่ 7–9 มิ.ย.
– กัมพูชายอมลดระดับบางจุด
– เปิดเจรจากับ “กองทัพไทย” โดยตรง
– และ “ลบคูเลต” บางส่วน

🎖️ ถ้าชาติปลอดภัย — เพราะมีคนแบบนี้ยืนอยู่
ขอบคุณพลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์
ที่แสดงภาวะผู้นำในวันที่รัฐบาลไร้ท่าที
ขอบคุณพลโท บุญสิน พาดกลาง
ที่ยืนแนวหน้าแบบไม่กลัวความเงียบข้างหลัง
🙏🏼 ประเทศไทยต้องจดจำ

กระทรวงไหนที่คนไทย อยากให้เปลี่ยนรัฐมนตรีมากที่สุด!!

เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย. 68) รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร และคณะ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผย ผลสำรวจประเด็น 'คนไทยต้องการปรับ ครม.หรือไม่" ของ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย เป็นการสำรวจทัศนคติและความคิดเห็นด้านสถานการณ์การศึกษาและปัญหาที่เป็นกระแสสังคม ในพื้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ คณะผู้วิจัยประยุกต์ใช้การวิจัยเชิงสำรวจด้วยการลงพื้นที่สัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า (face to face) และการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (phone survey) โดยใช้แบบสัมภาษณ์ผ่านช่องทางออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 11,802 ตัวอย่าง ในช่วงระหว่างวันที่ 5 -11 มิถุนายน 2568 ผลการศึกษาสรุปสาระสำคัญ ที่น่าสนใจ

ได้แก่ ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นในประเด็น ท่านต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)หรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.6 ระบุว่า ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)

สาเหตุหลักที่ทำให้ประชาชนต้องการให้มีการปรับ ครม. สะท้อนถึงความไม่พอใจในประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง การขาดภาวะผู้นำ และความชัดเจนในการบริหาร การไม่ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้

รวมถึงปัญหาด้านการทุจริต ความไม่โปร่งใส และการไม่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการและคุณภาพชีวิต รวมถึงปัญหาเฉพาะพื้นที่ อย่างปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น

ขณะที่ ความคิดเห็นประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจ หรือร้อยละ 12.4 ระบุว่า ไม่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.)

โดยเหตุผลที่ยังไม่ต้องการให้มีการปรับ ครม. ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้ถึงประสิทธิภาพและความตั้งใจในการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ความเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ การเห็นว่ารัฐบาลเข้าใจประชาชน รวมถึงความต้องการให้เกิดความเสถียรภาพและการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาประเทศดำเนินต่อไปได้ และมีความกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรีใหม่ อาจนำมาซึ่งปัญหาด้านประสบการณ์ ความขัดแย้ง หรือการเล่นเกมการเมือง แทนที่จะเป็นการสร้างประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อสอบถามถึงกระทรวงที่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีมากที่สุด 5 อันดับ พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด หรือร้อยละ 46.75 ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีในส่วนของกระทรวงกลาโหมมากเป็นอันดับหนึ่ง

รองลงมาอันดับสองคือ กระทรวงการคลัง ร้อยละ 41.86 อันดับสาม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร้อยละ 38.26 อับดับสี่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 28.93 อันดับห้า มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร้อยละ 27.89 และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 27.88 ตามลำดับ ฯลฯ

เรียกร้องประชาคมโลก จัดการรัฐบาล-ตระกูลผู้นำกัมพูชา หลังรายงานชี้ชัดมีเอี่ยวฟอกเงิน - อาชญากรรมข้ามชาติ

แถลงการณ์ในนามประชาชนไทย
ถึงประชาคมโลก

(17 มิ.ย. 68) เรื่อง การเรียกร้องให้ดำเนินมาตรการต่อรัฐบาลกัมพูชาและตระกูลผู้นำที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

ข้าพเจ้าในฐานะประชาชนไทยผู้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ ความยุติธรรม และความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขอใช้โอกาสนี้ในการส่งสารไปยังสหประชาชาติ รัฐบาลประเทศต่าง ๆ องค์กรสิทธิมนุษยชน และประชาคมโลก เพื่อแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อพฤติกรรมของรัฐบาลกัมพูชาและเครือข่ายอำนาจที่ปกครองประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ และการบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้าน

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า รัฐบาลกัมพูชา ภายใต้การนำของตระกูลฮุน เซน และผู้ใกล้ชิด ได้สร้างเครือข่ายผลประโยชน์ที่เกี่ยวพันกับอาชญากรรมระดับโลก ทั้งในรูปของการฟอกเงินและสนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมายผ่านบริษัทอย่าง Huione Group ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นศูนย์กลางเครือข่ายฟอกเงินระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ และบริษัท Elliptic ที่วิเคราะห์บล็อกเชน พบว่า Huione Group และแอปพลิเคชัน Huione Pay ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการโอนเงินผิดกฎหมายจากขบวนการ แฮกเกอร์, กลุ่มสแกมเมอร์ รวมถึง การค้ามนุษย์ โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ใน Telegram ซึ่งเป็นแหล่งหลักของการโฆษณาและติดต่อของเครือข่าย Huione มีการพบกลุ่มนายหน้าหลายร้อยกลุ่มที่เสนอ “บริการจัดหาแรงงาน” ซึ่งแท้จริงแล้วคือการบังคับคนจากจีน เวียดนาม มาเลเซีย ให้ทำงานเป็น สแกมเมอร์ในสภาพบังคับ และยังมีผู้หญิงจำนวนมากถูกนำไป Human Trafficking  เช่น ค้าประเวณี หรือ บังคับถ่ายทำภาพยนตร์ลามก

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดมาจากกลุ่มทุน(จีนเทาโพ้นทะเล) ที่หนีการปราบปรามในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะภายใต้นโยบายเข้มงวดของสี จิ้นผิง พวกเขาเลือกย้ายฐานมายังประเทศกัมพูชา ที่เปิดรับการลงทุนจีนโดยแทบไม่มีเงื่อนไข เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้จึงกลายเป็นแหล่งตั้งรกรากใหม่ของกิจกรรมผิดกฎหมาย ทั้งสแกม ฟอกเงิน และค้ามนุษย์ โดยรัฐบาลกัมพูชาแห่งยอมผ่อนปรนเพื่อแลกกับรายได้ เหมือนภาพซ้ำของจีนโพ้นทะเลในอดีตที่ตั้งอั๊งยี่และค้าฝิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยุคนี้ซับซ้อนและอันตรายกว่าหลายเท่า

จากสถิติของ United Nations Inter-Agency Project on Human Trafficking (UNIAP) พบว่า การค้ามนุษย์จากต่างประเทศในกัมพูชา เพิ่มขึ้นในอัตรากว่าร้อยละ 400 เลยทีเดียว

งานวิจัย Behind Closed Doors: Debt-Bonded Sex Workers in Sihanoukville, Cambodia โดย ลาริสซา แซนดี (Larissa Sandy) ระบุว่า อาชญากรรมด้าน "กามารมณ์" คือรูปแบบการค้ามนุษย์อันดับ 1 ที่เกิดขึ้นใน เมืองสีหนุวิลล์

หญิงขายบริการจำนวนมากเป็น “โสเภณีขัดดอก” ที่ต้องใช้ร่างกายชดใช้หนี้แทนตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว โดยไม่มีเสรีภาพหรือทางเลือกใดในการหลีกหนี

ระบบดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้สายตาของรัฐ ด้วยการเอื้อพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษให้เครือข่ายนายทุนและอิทธิพลดำเนินการโดยไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง

นอกจากนี้ บุคคลที่อยู่ในเครือบริษัทดังกล่าว เช่น ฮุน โต ลูกพี่ลูกน้องของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ระดับภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลกัมพูชากลับไม่เพียงละเลย แต่ยังมีพฤติกรรมส่อว่าให้ ความคุ้มครองทางอ้อม แก่เครือข่ายเหล่านี้ โดยเฉพาะการที่ธนาคารแห่งชาติกัมพูชาเพิกถอนใบอนุญาตของ Huione Group ในลักษณะที่เป็นการ “ปลดเปลื้องภาระทางกฎหมาย” มากกว่าการเอาผิด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นเพียงการเตรียมการ “ควบรวมบริษัท” มากกว่าการยุติกิจกรรมอาชญากรรม

ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลกัมพูชาไม่เพียงจำกัดอยู่ในระดับภายในประเทศ หากแต่ได้ขยายตัวเป็นพฤติกรรมของรัฐที่เอื้ออำนวยต่อการก่ออาชญากรรมข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในกรณี การลอบสังหารนายลิม กิมยา อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชาที่ลี้ภัยทางการเมืองและถือสัญชาติกัมพูชา-ฝรั่งเศส ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตกลางกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 กรณีนี้ชี้ชัดถึงการใช้ความรุนแรงเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม แม้จะอยู่ในต่างแดน ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ คนร้ายได้หลบหนีเข้ากัมพูชา แต่รัฐบาลกัมพูชากลับไม่ดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างจริงจัง สะท้อนท่าทีที่ไม่เพียงละเลยต่อหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการสนับสนุนมือปืนและการก่อการร้ายทางการเมืองข้ามชาติอย่างชัดเจน

ล่าสุด รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลก (ICJ) เพื่อกล่าวโทษไทยในข้อพิพาทชายแดน โดยพยายามแสดงตนว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งที่ความจริงคือ ไทยไม่มีท่าทีคุกคามใด ๆ ตรงกันข้าม กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาที่เริ่มยั่วยุ เช่น การขุดแนวรบในพื้นที่พิพาทซึ่งเป็นต้นเหตุของการปะทะ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงน่ากังวลว่าเป็นแผนยั่วยุเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของโลกจากความเป็น “รัฐอาชญากรรม” ที่กัมพูชากำลังถูกมองว่าเป็นอยู่

ข้าพเจ้าขอตั้งคำถามต่อประชาคมโลกว่า แท้จริงแล้ว กัมพูชาควรอยู่ในฐานะ “โจทก์” หรือ “จำเลย” กันแน่
ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องให้:

ประชาคมโลกตรวจสอบ และพิจารณาดำเนินคดีอาญาระหว่างประเทศ กับผู้นำและเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติจากกัมพูชา โดยเฉพาะในระดับศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)

ประเทศสมาชิกสหประชาชาติพิจารณามาตรการทางการทูตและการเงิน ต่อหน่วยงานและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน การค้ามนุษย์ และการค้าประเวณี

องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเข้ามาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประสานกับภาคประชาสังคมในภูมิภาคเพื่อปกป้องผู้ลี้ภัย นักกิจกรรม และประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า หากละเลยพฤติกรรมเหล่านี้ให้ดำรงอยู่โดยไม่ถูกตรวจสอบและลงโทษ ย่อมเป็นการเปิดทางให้ ความชั่วร้ายแฝงเร้นในคราบของรัฐเผด็จการดำรงอยู่ต่อไป และอาจลุกลามกลายเป็นภัยคุกคามระดับโลกในที่สุด ด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีแห่งมนุษย์
ประชาชนไทยผู้รักสันติภาพและยืนหยัดต่อความยุติธรรม

‘นายกฯอิ๊งค์’ โพสต์ขอบคุณแกนนำพรรคร่วม หลังมีมติหนุนสร้างเสถียรภาพการเมือง-ต้านภัยคุกคาม

‘นายกฯอิ๊งค์’ โพสต์ คุยแกนนำพรรคร่วม ขอบคุณ จับมือหนุนรัฐบาลให้เป็นเสถียรภาพ ต้านภัยคุกคาม ยัน รัฐบาลเดินหน้าทำงานเพื่อประเทศ

เมื่อ 16.15 วันที่ 22 มิถุนายน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ได้โพสต์ภาพ การหารือกับหัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่โรงแรมโรสวูด พร้อมกับระบุว่า ประเทศชาติต้องเดินไปข้างหน้า สามัคคีประเทศไทย รวมพลังผลักดันนโยบาย แก้ไขปัญหาเพื่อประชาชน

ขอขอบคุณคณะกรรมการบริหารและสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน ที่มีมติและประกาศแนวทางสนับสนุนรัฐบาล ร่วมกันสร้างเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อรับมือต่อภัยคุกคามความมั่นคงของชาติจากภายนอก และขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน

ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกับกองทัพมีจุดยืนร่วมกัน ยืนยันหลักการประชาธิปไตย ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและรวมพลังสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวของพรรคร่วมรัฐบาล จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการผนึกกำลังกันของคนไทย ก้าวผ่านสถานการณ์อ่อนไหวนี้ด้วยความมั่นคง และประสบผลสำเร็จในการปกป้องอธิปไตย ธำรงไว้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรีของประเทศชาติและประชาชน

เชื่อมั่นว่าไม่มีภัยคุกคามใดจะเหนือกว่าพลังสามัคคีของคนไทย รัฐบาลของเราจะทำงานหนักร่วมกันด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท เพื่อประเทศไทย

‘ปชน.’ เล่นบทหยิกแกมหยอกทั้งที่ ‘รัฐบาล’ หมดสภาพ สะท้อน ‘ดีลปฏิญญาฮ่องกง’ ระหว่าง ‘ส้ม -แดง’ มีอยู่จริง

(3 ก.ค. 68) แปลกไหมที่ตอนนี้ จังหวะแบบนี้ของ ‘รัฐบาล’ ที่เรียกว่าหมดสภาพ จนใครที่เป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายต้านสามารถขย้ำ 2 พ่อลูกตระกูลชินได้อย่างราบคาบที่สุดนั้น กลับดูสุญญากาศ จนถึงแอบรู้สึกได้ว่า ‘ประเทศไทยตอนนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยอย่างงั้นหรือ?’ และ ‘ทักษิณ’ แอนด์ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ก็มีเพียงได้รับเสียงฉันทามติที่มิเห็นชอบในพฤติกรรมที่ผ่านมาเท่านั้นโดยประชาชน หากแต่มิมี ‘ภาคการเมือง’ คอยสำทับเป็นแรงหนุนให้คนไทย

ด้วยสถานภาพที่สั่นคลอนอย่างรุนแรงที่เป็นวิบากกรมของ 2 พ่อลูกหนนี้ จุดม็อบและภาคประชาชนจนติด แต่มิอาจจุดไฟในตัวเหล่าตัวพ่อตัวแม่ของด้อมส้ม ไม่ว่าจะเป็น เอก-ธนาธร / เท้ง-ณัฐพงษ์ / พิธา / ปิยบุตร / ช่อ / วิโรจน์ / ต้อม-ชัยธวัช และ ติ๋ง-ศรายุทธิ์ เลขาพรรคฯ ได้เลย ไม่มีใครออกตัวแรงๆ ด่า ‘ทักษิณ’ และ ‘อุ๊งอิ๊ง’ เลยแม้แต่น้อย มีแต่ปล่อยให้ ‘ปวิน’ ออกมาเหวี่ยงจัดพร้อมซัดพวก ‘ส้มอมสาก’ ที่ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘ปฏิญญาฮ่องกง’ กำลังซ่องสุมไพร่พล ‘ส้มสีเลือด’ มาแต่อ้อนแต่ออด 

ทั้งนี้ หากย้อนไปในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ในเวลานั้น มีพรรคที่อ้างตนว่าเป็น ‘พรรคของคนรุ่นใหม่’ ที่ชื่อว่า ‘พรรคอนาคตใหม่’ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล โผล่ขึ้นมาสวมบท ‘ล้างบางการเมืองเก่า อำนาจเก่า’ ประมาณว่าถ้าฟ้ารักพ่อเอก จงเลือกพรรคพ่อเอก ซึ่งตอนนั้นอนาคตใหม่ก็ดันได้ความใหม่ จนกวาดคะแนนเสียงมาเป็นอันดับสาม และผงาดเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดในกรุงเทพฯ

แต่อย่างไรก็ตาม พรรคอนาคตใหม่ก็จบลงด้วยการถูกยุบพรรคจากเหตุ ‘ธุรกรรมอำพราง’ ในการบริจาคเงินเกินวงเงินที่กฎหมายกำหนด ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่กระทำการลับ ลวง พราง ว่าเป็นการ ‘ปล่อยกู้’ ให้แก่พรรค แล้วก็สร้างอวตารใหม่ขึ้นมาทดแทนอย่างเร็วไวในชื่อ ‘พรรคก้าวไกล’ แต่แล้วก็มาถูกยุบอีกด้วยพฤติกรรมล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเกิด ‘พรรคประชาชน’ เป็นอวตารจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ ‘อนาคตใหม่ – ก้าวไกล’ จวบมาจนถึง ‘พรรคประชาชน’ จะมีอยู่สิ่งหนึ่งคล้ายกันนอกเหนือจากการเป็นได้เพียงพรรคฝ่ายค้าน คือ การมีพฤติกรรมครึ่งๆ กลางๆ ในการวิจารณ์ตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะกับนายทักษิณ ซึ่งภาพนี้ก็ยิ่งชัด เมื่อพฤติการณ์ของ ‘พรรคประชาชน’ ในขณะนี้ ไม่ค้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี ‘ลูกสาว’ อย่าง ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร’ เป็นหัวหน้าพรรค และนายกรัฐมนตรีแบบดุเดือด แต่กลับยังเล่นบทเดิม คือ ‘ท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์’ และ’กองทัพ’ แบบไม่ลดละ

คำถาม คือ อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้พรรคส้มและหัวเรือส้มเหล่านี้ เริ่มทำให้สงสัยว่า ‘ส้มกำลังอมสีเลือด’ หรือไม่? ภายใต้การเลือกที่จะเป็นฝ่ายค้านแบบ ‘หยิกแกมหยอก’ รัฐบาลอุ๊งอิ๊งของคุณพ่อทักษิณ แต่กลับไล่บดขยี้ ‘สถาบันและกองทัพ’ ไม่เลิก

ความสุกงอมของปรากฏการณ์นี้ ทำให้อดคิดไม่ได้กับ ข่าวลือเรื่อง ‘ดีลฮ่องกง’ ระหว่าง ‘นายทักษิณ ชินวัตร’ กับ ‘นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ที่สาระสำคัญของดีลนั้นเป็นการทอดไมตรีจาก ‘ธนาธร’ ที่พร้อมจะหยิบยื่น ‘โอกาส’ ครั้งสำคัญให้กับ ‘ทักษิณ’ ในการฟื้นศรัทธาประชาชน โดยเฉพาะฝั่งที่อ้างตัวเป็นฝ่าย ‘ประชาธิปไตย’ ให้กลับมาเลือก ‘เพื่อไทย’ อีกครั้ง ซึ่งหากทำได้ตามเกมนี้จริง แน่นอนว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมคงอ่อนกำลังลงไปเยอะ และความนิยมในตัว ‘นายใหญ่’ จะกลับมาล้นพ้นอีกครั้งก็เป็นไปได้

เพราะจากยุค รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน จนถึงยุครัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร มีเรื่องไม่ชอบมาพากล ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่เดินไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรมมากมาย แต่เหตุใด ‘พรรคส้ม’ ซึ่งมักจะชอบแสดงบทคนรักความเป็นธรรม คนต้องเท่ากัน กลับเพิกเฉย ละเลย และตรวจสอบแค่ ‘หยิกแก้มเล่น’ เท่านั้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่อง ‘ป่วยทิพย์ ชั้น 14’ ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งว่ากันว่ามีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้ไม่ต้องนอนคุก แถมได้นอนในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลตำรวจแบบสบายๆ และได้รับการพักโทษ ชนิดน่างุนงงสงสัยเป็นที่สุดนั้น เหตุใด พรรคส้ม ไม่เคยไล่บี้? หรือขุดคุ้ยได้ดุเด็ดเผ็ดมันแบบสมัย ‘โรม-รังสิมันต์’ ไล่คุ้ยตั๋วช้างบ้างเลย

นี่ขนาดหมอเก่ง วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.คนหนึ่งของพรรค ได้อภิปรายในสภาถึงพิรุธของการป่วย การส่งตัว การตรวจ และการรักษา ตลอดจนการได้อยู่ในห้องวีไอพีที่ผิดหลักเกณฑ์อย่างละเอียดยิบ จนเป็นที่ชื่นชมของสังคม แต่หัวหน้าพรรคก้าวไกล-ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นอย่าง ‘พ่อว่าว’ และพวก ก็หาได้ดำเนินการเอาผิด ด้วยการยื่นเรื่องให้องค์กรอิสระตรวจสอบไม่

นี่คือพรรคที่คนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะวัยใด เพศใด ฝากความหวังไว้ นี่คือพรรคที่คนรุ่นใหม่เชื่อว่าจะไม่มีวันทำการเมืองแบบต่อรองอำนาจ เพื่อหวังอำนาจในภายหลังแบบที่ตนกำลังไล่ด่าการเมืองในอดีต ที่สถาปนาว่าเป็น ‘การเมืองเก่า’

แต่สิ่งที่ผ่านมา ‘คนในพรรคส้มที่เริ่มอมสีเลือด’ นี้ กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ หลายกรณี ไม่ว่าจะอยู่ในชื่อใด ก็มิได้มีความมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบให้กระจ่าง และเอาผิดให้ถึงที่สุด เป็นเพียงแต่ขับออกพ้นพรรค แล้วจบไปหรือบางราย กว่าจะขับออกพ้นพรรค ก็ต้องให้สังคมไล่บี้ ตำหนิ ประณาม ตั้งคำถามถึงมาตรฐานทางจริยธรรมของพรรค เช่น กรณีนายไชยามพวานมั่นเพียรจิตต์ เป็นต้น

หรืออย่างกรณีขับ ‘อ๋อง’ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกจากพรรค ก็ไม่สามารถอ้างอิงได้ว่า ‘หมออ๋อง’ กระทำการผิดกฎ ผิดระเบียบ ผิดข้อบังคับพรรคข้อใดจนมีความผิดร้ายแรงถึงขั้นต้องขับออกจากพรรคนั้น กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างของ ‘ความฉ้อฉล’ ที่ดีที่สุดหนึ่งว่า ถ้าถึงเวลาต้องการอำนาจ ต้องการตำแหน่ง พรรคคนรุ่นใหม่พรรคนี้ ก็พร้อมที่จะ ‘ซิกแซก’ หาวิธีให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไม่ต่างจากนักการเมืองและพรรคการเมืองเก่าๆ เลยนิหว่า 

กลับมาที่ตระกูลชิน ครั้นเมื่อฝ่ายตนเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแพทองธาร เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ว่ามีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ กรณีใช้ตั๋วสัญญา PN แบบไม่ระบุวันคืน ไม่มีดอกเบี้ยกับคนในครอบครัวเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีมากกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งบทสรุปก็จบลงที่ฝ่ายค้านลงมติแพ้ในสภา แต่ก็ใช่ว่าพรรคประชาชนจะไม่สามารถใช้กลไกยื่น ปปช. หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยต่อว่า นายกฯ ขาดคุณสมบัติเรื่องความซื่อสัตย์หรือไม่แต่อย่างใด

เมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาระหว่างแพทองธารกับฮุนเซน มีการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำประเทศ เช่น การว่าร้ายแม่ทัพภาค 2 การเสนอว่าอีกฝ่ายอยากได้อะไรให้บอก ซึ่งเหตุการณ์นี้โดยหลักการควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่เมื่อแพทองธารไม่ทำ พรรคประชาชนก็มิได้กดดัน แต่ไปเดินเกมให้เกิดการ ‘ยุบสภา’ เพราะดี๊ด๊าว่า ‘เลือกตั้งใหม่หนนี้’ พรรคส้มจะได้แต้มต่อจนแลนด์สไลด์ของจริง 

ไม่นานมานี้ เมื่อพรรคภูมิใจไทย พยายามใช้ช่องทางการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา แต่เสียงไม่พอเพราะต้องมีเสียง สส.ลงชื่อ 99 เสียง แต่พรรคประชาชน ‘ไม่ทำ’ โดยอ้างว่า ไม่ควรทำพร่ำเพรื่อ เพราะถ้าซักฟอกจะทำให้ยุบสภาไม่ได้

ทำไมฝ่ายการเมืองอย่างพรรคประชาชนไม่แสดงให้เห็นว่า ท่านใช้กลไกทางการเมืองอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหา หากแต่กลับไปบอกว่า ประชาชนอย่าลงถนน เพราะเกรงว่าจะเป็นการกวักมือเรียกทหารมายึดอำนาจ ทั้งๆ ที่สาระบนเวทีชุมนุมวันนั้นไม่มีการชี้ชวนในรัฐประหารแม้แต่แอะเดียว หากแต่วันๆ พล่ามแบบแผ่นเสียงตกร่องอยู่อย่างเดียวว่า ‘ให้ยุบสภา’ 

นี่แหละหนา ที่ทำให้คนเริ่มมีปัญหาจะกลับไปย้อนดูว่า ‘ปฏิญญาฮ่องกง’ ระหว่าง ‘ส้ม-แดง’ มันมีอยู่จริงใช่หรือไม่?

ทวนอีกครั้ง!! ทำไมวันนี้ ‘พรรคส้ม-คนส้ม’ ละเว้นการปฏิบัติใดๆ ที่จะเป็น ‘โทษ’ ต่อ ‘ทักษิณ-อุ๊งอิ๊ง’ (ตรวจสอบ-ขุด-แฉ) แต่กลับพร้อมที่จะเลือกเส้นทางที่จะทำให้ พรรคประชาชน ก้าวไปสู่โอกาสในการ ‘ได้อำนาจ’ (ยุบสภา) 

พฤติกรรมและท่าทีทั้งหมดที่มีต่อพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินตั้งแต่สมัย ‘พรรคอนาคตใหม่-พรรคก้าวไกล-พรรคประชาชน’ มาจากผู้นำจิตวิญญาณอย่าง ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ที่เคยบอกไว้ว่า “พรรคเพื่อไทยคือมิตร และทางออกที่จะทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าต้องมีสองพรรคนี้” จริงแท้แค่ไหน?

สรุปแล้ววันนี้ บทบาท ‘ส้ม’ แบก ‘แดง’ ตาม ‘ดีลฮ่องกง’ ไม่ใช่แค่พูดกันพล่อยๆ จริงหรือเปล่า? 

นี่น่าจะเป็นคำถามที่คนรุ่นใหม่และคนที่กาส้มในการเลือกตั้งที่ผ่านมา น่าจะลองตั้งไว้กับ ‘พรรคประชาชน’ สักหน่อย…


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top