Monday, 20 May 2024
รถยนต์

'จีน' จ่อขึ้นแท่นผู้ส่งออกรถยนต์เบอร์ 1 แซงหน้า 'ญี่ปุ่น' หลัง 8 เดือนแรก ส่งออกแล้ว 2.9 ล้านคัน เติบโต 61%

ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดของการครอบงำอุตสาหกรรมรถยนต์โดยญี่ปุ่นและพันธมิตรตะวันตกแล้วหรือไม่?

(13 ก.ย.66) สำนักข่าวซินหัว เผย จีนเตรียมขึ้นแท่นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก แทนที่ญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของการครอบงำอุตสาหกรรมรถยนต์โดยยุโรป, อเมริกา, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน ได้รายงานยอดส่งออกยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีน ช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม รวมอยู่ที่ 727,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 110 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานระบุอีกว่ายอดส่งออกยานยนต์พลังงานใหม่ข้างต้นแบ่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้าล้วน 665,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 120 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบปลั๊กอิน 62,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 73.5

โดยสรุป ยอดส่งออกยานยนต์ของจีน ช่วง 8 เดือนแรก รวมอยู่ที่ 2.94 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.9 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยยอดส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.8 และร้อยละ 31.1 จากปีก่อน

ทั้งนี้ หากอ้างอิงข้อมูลตาม มูดี้ส์ (Moody’s) พบว่า ยอดการส่งออกรถยนต์ประจำปีของจีนแซงหน้ายอดการส่งออกของเกาหลีใต้ในปี 2564 และเยอรมนีในปี 2565 และปัจจุบันจีนอยู่ในแนวทางที่จะเอาชนะญี่ปุ่นได้ในปี 2566 หลังจาก MarkLines ผู้ให้บริการข้อมูลอุตสาหกรรมยานยนต์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2565 เผยผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นได้ส่งออกรถยนต์จำนวน 3.2 ล้านคัน ซึ่งไม่ต่างจากปีก่อนหน้าเท่าไรนัก

สำหรับจีนในช่วงปี 2562 - 2564 ปริมาณการขายรถยนต์ในจีนพุ่งทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตที่ชะลอตัวของชนชั้นกลางและความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในวงกว้างก่อนที่จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างปี 2564 - 2565

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์ส จะพบว่า จีนยังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างมากอุตสาหกรรมยานยนต์

โดย ความท้าทายดังกล่าวเกิดขึ้นจากความไม่สอดคล้องกันระหว่าง 'ยอดการผลิตในโรงงานของจีน' และ 'อุปสงค์รถยนต์ภายในประเทศ'

ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้บริหารในอุตสาหกรรมคาดการณ์แนวโน้มสำคัญ 3 ประการอย่างไม่ถูกต้อง ได้แก่...

▪ การลดลงอย่างรวดเร็วของยอดขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน
▪ ความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
▪ ความต้องการรถยนต์ส่วนบุคคลที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

‘เบนซ์’ เปิดแคมเปญใหม่ ดึงลูกค้าเข้าใช้บริการศูนย์ ลดค่าอะไหล่สูงสุด 25% พร้อมสิทธิพิเศษเพียบ!!

(15 ก.ย. 66) ‘เมอร์เซเดส-เบนซ์’ เปิดแคมเปญ ‘Make your drive like day one’ จูงใจลูกค้าเข้ารับบริการ ด้วยส่วนลดอะไหล่ ของแจกแถม เงื่อนไขการเงิน

แคมเปญ ‘Make your drive like day one’ ของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ชวนลูกค้าดูแลรถเบนซ์ให้เหมือนวันแรกของการใช้งาน โดยปรับลดราคาอะไหล่ลงมาสูงสุด 25% เมื่อเข้ารับบริการในศูนย์บริการ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศ
แคมเปญนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566  โดยแบ่งเป็นข้อเสนอต่างๆ คือ

รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น (รวม Van model) ทุกช่วงอายุรถยนต์ จะได้รับส่วนลดค่าอะไหล่ 25% สำหรับอะไหล่
- กลุ่มบำรุงรักษา 
- กลุ่มอะไหล่สึกหรอ
- อะไหล่กลุ่มช่วงล่างที่ร่วมแคมเปญ

รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่น (รวม Van model) ทุกช่วงอายุที่เข้ารับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
- รับน้ำมันเครื่อง MB Oil 1 ลิตร ฟรี 
- ลูกค้าที่มียอดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ลูกค้าที่เข้ารับบริการเปลี่ยนยาง MB Tire และ ลูกค้าที่ซื้อ MBSP ในช่วงแคมเปญ รับเพิ่มน้ำมันเครื่อง MB Oil อีก 1 ลิตร

ลูกค้า MBSP ที่มีโปรแกรม Easy Care หรือ Ultimate ที่เข้ารับบริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
- รับกระบอกน้ำสุญญากาศ Mercedes-Benz ขนาด 0.5 ลิตร มูลค่า 1,583.60 บาท 1 ใบ ต่อ 1 ใบเสร็จ ต่อรถยนต์ 1 คัน

ลูกค้าที่ทำรายการผ่านบัตรเครดิตซิตี้ เมอร์เซเดส และมียอดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 25,000 บาท 
ขึ้นไป (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
- เลือกผ่อนชำระดอกเบี้ย 0% ได้นาน 6 เดือน หรือ 10 เดือน

‘ฉางอัน’ พร้อม!! ทุ่ม 9,800 ล้าน ตั้งโรงงานผลิต ‘EV-แบตเตอรี’ ในไทย เป้ากำลังผลิต 1 แสนคันต่อปี เซ็นสัญญาแต่งตั้งดีลเลอร์แล้ว

เมื่อไม่นานนี้ ‘ฉางอัน ออโตโมบิล’ จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับพันธมิตรทางธุรกิจตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย (ดีลเลอร์) โดยพิธีดังกล่าวจัดขึ้นที่เมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน ภายใต้แนวคิด ความร่วมมือแบบเปิด ผลประโยชน์ร่วมกัน และความร่วมมือแบบ ‘win-win’ เพื่อสร้างตัวแทนจำหน่ายระดับสากลสำหรับประเทศไทย

ทั้งนี้ ในช่วงเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา บริษัท ฉางอัน ออโตโมบิล ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน ได้ประกาศการตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

ซึ่งเป็นการลงทุนตั้งโรงงานแห่งแรกนอกประเทศจีนโดยมีมูลค่าการลงทุนราว 9,800 ล้านบาท เพื่อให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาประเภท BEV, PHEV, REEV (Range Extended EV) และแบตเตอรี่ กำลังการผลิตในระยะแรก 1 แสนคันต่อปี

กระทั่งในช่วงเดือน สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ฉางอัน ออโตโมบิล (Changan Automobile) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน ได้ดำเนินการจัดตั้งบริษัทในประเทศไทยครอบคลุมถึงบริษัทจัดจำหน่าย โรงงานประกอบรถยนต์ รวมถึงโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ เพื่อเป็นการรองรับและตอบสนองแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดยได้รับหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจอย่างเป็นทางการจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ให้จัดตั้งบริษัทนิติบุคคลเพื่อประกอบการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

‘ปลัดอุตฯ’ ยัน!! เดินหน้า ‘ศูนย์ทดสอบยานยนต์’ เฟส 2 ต่อเนื่อง ดัน ‘ไทย’ สู่ฮับทดสอบมาตรฐานอันดับ 1 ในอาเซียน-อันดับ 11 ของโลก

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 66 นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้ดำเนินโครงการ โดย นายณัฐพล ยืนยันว่า พร้อมเดินหน้าโครงการในเฟส 2 ต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้เตรียมประกาศรายชื่อบริษัทผู้ชนะการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ โครงการก่อสร้างสนามทดสอบความเร็วและสมรรถนะ และการป้องกันดินสไลด์สู่สนามทดสอบยางล้อ ตามมาตรฐาน UN R117 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารและข้อมูล โดยคาดว่า 1-2 เดือนนี้ จะสามารถประกาศชื่อผู้ชนะได้แน่นอน

ขณะที่มีรายงานว่า บริษัทผู้ชนะการประกวดราคา โครงการก่อสร้างสนามทดสอบความเร็วและสมรรถนะ และการป้องกันดินสไลด์สู่สนามทดสอบยางล้อ ตามมาตรฐาน UN R117 นั้น พบมีข้อมูลอยู่ในระบบอี-บิดดิ้ง ว่า มีผู้แข่งขัน 2 ราย และมีผู้รับการคัดเลือกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งบริษัทผู้รับคัดเลือกมีราคาต่ำสุด อยู่ที่ 844,230,000 บาท

ส่วนงบประมาณที่ได้รับอนุมัติมาในปี 2566 อีก 1,667.69 ล้านบาทนั้น จะใช้สำหรับการก่อสร้าง ได้แก่

1.) สนามทดสอบสมรรถนะและความเร็ว และการป้องกันดินสไลด์สู่สนามทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117
2.) สถานีสำหรับเตรียมสภาพรถ (Work Shop)
3.) ทางวิ่ง (Run-In) ส่วนต่อขยายจากสนามทดสอบยางล้อเพื่อการทดสอบมาตรฐาน UN R117
4.) LAB ทดสอบการชน

ทั้งนี้ หาก สมอ.มีการประกาศรายชื่อบริษัทที่ชนะการประกวดราคาฯ ก็จะสามารถเดินหน้าก่อสร้างโครงการดังกล่าวได้ในทันที เพื่อให้ดำเนินโครงการในแต่ละระยะแล้วเสร็จตามกรอบเวลาของโครงการทั้งหมด เปิดใช้บริการได้ในปี 2569

สำหรับโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ใช้พื้นที่ 1,235 ไร่ บริเวณเขตสวนป่าลาดกระทิง ต.ลาดกระทิง อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเป็นการลงทุนของภาครัฐทั้งหมด ภายใต้กรอบวงเงิน 3,705.7 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่า 55% ใช้งบประมาณไปแล้ว 2,038 ล้านบาท คงเหลือการดำเนินงานอีก 45% ในวงเงินประมาณ 1,667.69 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 หากแล้วเสร็จสมบูรณ์ ศูนย์ทดสอบแห่งนี้จะกลายเป็นฮับการทดสอบมาตรฐานอันดับ 1 ในอาเซียน และอันดับที่ 11 ของโลก

การก่อสร้างศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อของไทย ไปสู่การเป็นซุปเปอร์คลัสเตอร์ (Super Cluster) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทย เปลี่ยนผ่านจากการเป็นฐานการผลิตยานยนต์สันดาปภายใน เป็นยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน มีบุคลากรที่มีความรู้และความสามารถในด้านผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อ สามารถทดสอบและรับรองได้เองในประเทศ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในประเทศ ที่ไม่ต้องส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบที่ต่างประเทศ

‘ไทย’ พลิกบทบาทฐานผลิต ‘รถยนต์สันดาป’ สู่ ‘EV’ ชั้นนำโลก เล็งดึงเม็ดเงินบริษัทต่างชาติลงทุน 1 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 เพจเฟซบุ๊ก ‘เดือดทะลักจุดแตก’ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่เมื่อไม่นานนี้ ทางสำนักข่าวบลูมเบิร์กเทเลวิชัน ของสหรัฐอเมริกา รายงานข่าวว่า ‘ไทยแลนด์’ ฐานผลิตรถยนต์ (น้ำมัน) แห่งเอเชีย’ พลิกเดิมพัน EV หวังดูดเงินลงทุนมหาศาล 1 ล้านล้านบาท โดยระบุว่า…

ประเทศไทยซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ (Detroit of Asia) ในแง่ของการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ระดับแถวหน้าของโลก ด้วยการตั้งเป้าหมายที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติถึง 1 ล้านล้านบาท (2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ภายในระยะเวลา 4 ปี

โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ไทยได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ เพื่อดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่ให้มาลงทุนในอุตสาหกรรม EV และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของไทย โดยนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า กลุ่มผู้ผลิต EV ของจีนถือเป็นเป้าหมายหลักของไทย

นายนฤตม์กล่าวว่า อุตสาหกรรม EV, ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, ดิจิทัล, สำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค และอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็น ‘5 อุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์’ ที่บีโอไอให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ

ข้อมูลจาก fDi Markets ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ติดตามการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมระบุว่า ในขณะที่ไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากบริษัทจีนหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงบีวายดี, เกรท วอลล์ มอเตอร์ และเอสเอไอซี มอเตอร์นั้น ทิศทางด้านการลงทุนในอุตสาหกรรม EV ในปี 2565 แสดงให้เห็นว่าไทยต้องเร่งดำเนินการอย่างมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ขณะที่สหรัฐฯ, ฮังการี, เม็กซิโก, อินโดนีเซีย และเยอรมนี ได้รับเงินลงทุนจากมูลค่าทั้งหมดกว่า 1.06 แสนล้านดอลลาร์ที่ลงทุนในโครงการ EV ทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว

ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษเพื่อการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Special Operation Center For Strategic Investment) ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯนั้น กำลังทำงานเกือบจะตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อดึงดูดนักลงทุนที่มีศักยภาพสูง และจัดการประชุมระดับสูงให้กับรัฐบาล รวมทั้งคอยสนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับทริปการเดินทางไปต่างประเทศที่สำคัญ เพื่อพยายามทำข้อตกลงด้านการลงทุน

ทั้งนี้ หลังจากที่นายเศรษฐาเดินทางเยือนสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่แล้ว บีโอไอพยายามโน้มน้าวบริษัทรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์, กูเกิล และอะเมซอน เว็บ เซอร์วิส ให้เข้ามาสร้างหรือเพิ่มฐานธุรกิจในประเทศไทยผ่านทางการลงทุนใหม่ ๆ

‘มือเศรษฐกิจจุลภาค’ ชี้!! กระแส ‘EV’ มาแรง เขย่าวงการรถยนต์ แนะ ‘ไทย’ จับทิศทางให้ถูก รับมือการเปลี่ยนแปลงรอยต่อเทคโนโลยี

(10 ธ.ค. 66) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Ta Plus Sirikulpisut’ เกี่ยวกับกระแสตอบรับของรถยนต์ไฟฟ้า จากงาน ‘Motor Expo 2023’ ระบุว่า…

‘Motor Expo’ คราวนี้ รถยนต์ไฟฟ้าขายดีมากๆ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงเริ่มแล้วในไทย?

รถยนต์เป็นพาหนะที่คุ้นเคย จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่แพงขึ้น ทำให้คนเริ่มเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีปัญหาในเรื่องของจุดชาร์จ แบตดับก่อนที่ Range ในจอบอกไว้ ขายต่อยาก และค่าประกันแพง

แต่ปัญหาเหล่านี้ทยอยถูกแก้ไข และที่สำคัญคือ ‘คนใช้รถ’ จะเอาเงินค่าเติมน้ำมันมาผ่อนรถได้เกือบฟรีเลย ค่าบำรุงรักษาก็น้อยมาก ยกเว้นเปลี่ยนแบตเตอรี่ การตัดสินใจตรงนี้ทำให้มีการเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น

แต่รถไฟฟ้า ไม่ใช่แค่ธุรกิจรถยนต์ มันมี 3 ธุรกิจ อยู่ในนั้น คือ ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ และยานยนต์

นั่นคือ Toyota, Panasonic และ Apple รวมกัน

เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก ถ้ามีระบบที่ทำให้ชาร์จไว และวิ่งได้นานขึ้น จาก 400 Km เป็น 700 Km รถที่คุณใช้จะกลายเป็นรถตกรุ่นเหมือนโทรศัพท์ตกรุ่นทันที และถ้ารถมีเทคโนโลยีช่วยขับ คนเก่าก็ตกรุ่นทันที อีกหน่อยถ้าบินได้ยิ่งแล้วใหญ่เลย

วันนึงถ้า Apple พร้อม แล้วออกรถยนต์ไฟฟ้า Toyota, Benz, BMW, Tesla, BYD จะเจอเหมือน Nokia, Motorola, Nikon, Seiko การ Disrupt ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น

ในทางกลับกันค่ายญี่ปุ่นที่เคยมองข้าม EV เพราะหลายปีก่อน มันมีทางแยกเทคโนโลยี ยุโรปพัฒนา ‘Diesel’ ส่วนญี่ปุ่นพัฒนา ‘Hybrid’ และข้ามไปสู่ ‘Hydrogen’ ในขณะที่ ‘Elon Musk’ พัฒนา EV เมื่อจีนเข้ามาเร่งปฎิกริยา EV ดูเหมือน EV จะชนะแล้ว แต่ญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ ยังไม่ทิ้ง Hydrogen การที่ไม่ยอมแพ้ทำให้ เงิน R&D กระจายไป 3 ทาง Hybrid, EV และ Hydrogen ไม่สุดสักทาง

อย่างไรก็ดี ขอให้ไทยเราจับทิศทางให้ถูกเพื่อสร้างอุตสาหกรรม เพื่อการจ้างงานในประเทศ ดูแลคนไทยในยุครอยต่อของเทคโนโลยี

‘เทสลา’ จ่อเรียกคืนรถยนต์หลายรุ่นกว่า 1.6 ล้านคัน ในจีน หลังพบซอฟต์แวร์มีปัญหา หวั่นกระทบระบบช่วยขับขี่-ล็อกรถยนต์

เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 67 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ‘เทสลา’ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังของนายอีลอน มัสก์ เตรียมที่จะเรียกคืนรถยนต์จำนวนกว่า 1.6 ล้านคัน ในจีน ตามรายงานของสำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งชาติจีน (เอสเอเอ็มอาร์) เมื่อวันที่ 5 มกราคม หลังพบปัญหาที่ซอฟต์แวร์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายขณะขับขี่รถยนต์

การเรียกคืนดังกล่าว ซึ่งมีสาเหตุมาจากการพบปัญหาที่ระบบช่วยขับขี่และระบบล็อกรถยนต์ จะดำเนินการผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์รถยนต์ ผ่านระบบทางอากาศระยะไกล (over-the-air: OTA)

เอสเอเอ็มอาร์ ระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ผ่านทางออนไลน์ว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีการเรียกคืนรถยนต์เทสลาจำนวนทั้งสิ้น 1,610,105 คัน รุ่น Model S, Model X และ Model 3 ที่ถูกนำเข้ามาในประเทศ และรถยนต์รุ่น Model 3 และ Model Y ที่ถูกผลิตในประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2014 และ 20 ธันวาคม 2023”

ทางหน่วยงานยังให้คำแนะนำแก่เจ้าของรถยนต์ที่เข้าข่ายจะถูกเรียกคืนว่า หากระบบช่วยเหลือพวงมาลัยอัตโนมัติถูกเปิดขึ้น ผู้ขับขี่อาจใช้งานฟังก์ชันช่วยขับขี่ระดับ 2 รวมกันในทางที่ผิด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและอันตรายได้

นอกจากนั้นแล้ว การเรียกคืนรถยนต์ดังกล่าวยังรวมถึงรถยนต์เทสลาที่ถูกนำเข้าจำนวน 7,538 คัน ที่ถูกผลิตระหว่างวันที่ 26 ตุลาคม 2022-16 พฤศจิกายน 2023 หลังพบปัญหาที่ระบบควบคุมการล็อกรถอีกด้วย

‘สธ.’ เตือน!! ใช้ชีวิตบน ‘รถติดเครื่องยนต์กลางแจ้ง’ อันตรายถึงชีวิต เพิ่มความเสี่ยง ‘รับก๊าซพิษเข้าสู่ร่างกาย-โรคฮีทสโตรก’

(28 ก.พ.67) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า โรคลมแดด หรือ Heat Stroke เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวหรือควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายได้ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นจากการเผชิญกับสภาพอากาศที่มีความร้อนสูง เช่น การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมท่ามกลางอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน ซึ่งพบว่ามีอุบัติการณ์เพิ่มมากขึ้นในฤดูร้อน อาการจะเริ่มจากอุณหภูมิร่างกายค่อยๆ สูงขึ้น เมื่อเกิน 40 องศา ร่างกายจะไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้รู้สึกผิดปกติ ปวดศีรษะ หน้ามืด กระสับกระส่าย ซึม สับสน ชัก ไม่รู้สึกตัว ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบ ตัวแดง ถ้าปล่อยทิ้งไว้ให้มีอาการอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบสมอง หัวใจ ไต และกล้ามเนื้อ หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ เมื่อพบผู้ที่มีอาการจากโรคลมแดด ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า โรคลมแดดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน กลุ่มเสี่ยงของโรคลมแดด ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ที่ออกกำลังกายหรือใช้กำลังมากเป็นเวลานาน รวมถึงประชาชนทั่วไป และผู้ป่วยระยะพักฟื้น สำหรับการป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมในสภาพอากาศที่ร้อนจัด หรือกลางแจ้งเป็นเวลานานๆ หากสามารถเลี่ยงได้ ควรเลือกเวลาที่ต้องการทำกิจกรรม เช่น ช่วงเช้ามืด หรือระหว่างพระอาทิตย์ตกดิน ผู้ที่ชอบออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิร้อนจัด ควรดื่มน้ำให้มากเพียงพอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ เช่น เครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน กาแฟ เหล้า เบียร์ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้เสียน้ำทางปัสสาวะในปริมาณสูง หากไม่สามารถชดเชยน้ำได้มากพอ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคลมแดดได้ หากจำเป็นต้องออกไปกลางแจ้งควรปกป้องตนเองจากแสงแดด โดยอุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เช่น สวมใส่เสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี หมวก ร่ม ถือเป็นหนึ่งอุปกรณ์ที่ควรพกติดตัวเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด

“การอยู่ในรถที่ติดเครื่องยนต์กลางแจ้งซึ่งมีอันตรายมาก นอกจากต้องพบกับอากาศร้อนแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงของการได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษที่มีผลต่อระบบประสาท จึงควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม โรคลมแดดขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งผู้ที่เกิดอาการต้องได้รับความช่วยเหลือในทันที ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสมอง และอวัยวะที่สำคัญในร่างกาย” นพ.ธนินทร์ กล่าว

ส่อง 20 อันดับ ยอดขายรถยนต์ในจีน แบรนด์จีนติดโผเพียบ!! BYD ผงาด!! เบอร์ 1

ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการจัดอันดับแบรนด์รถยนต์จีนในปี 2023 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ Volkswagen ไม่ใช่แบรนด์ที่มียอดขายสูงสุด และสูญเสียตำแหน่งสำคัญนี้ให้กับ BYD ซึ่งสร้างผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าขนานใหญ่

โดยผู้บริโภคในจีนเริ่มเปลี่ยนจากความรักในแบรนด์ต่างประเทศมาสู่แบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้น เพราะพวกเขาเชื่อว่าแบรนด์จีนมีศักยภาพและตีโจทย์ความต้องการของพวกเขามากขึ้น ทั้งตัวซอฟต์แวร์ไปจนถึงประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ส่งผลให้แบรนด์ต่าง ๆ เช่น BYD, Geely, Changan มีความสามารถที่ขึ้นมาท้าทายมากกว่าแบรนด์เจ้าตลาดอย่าง Volkswagen, Toyota, Honda ได้อย่างน่าสนใจ

ในขณะเดียวกัน Tesla ก็ยังคงไต่อันดับต่อไปเนื่องจากความนิยมของ Model Y อย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

‘แบรนด์สมาร์ตโฟนจีน’ อวดเทคโนโลยีสุดล้ำ!! ใช้ ‘สายตา’ บังคับรถ อาศัยแอปฯ จับการเคลื่อนไหวสายตาในมือถือ แทนการจับพวงมาลัย

(29 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปกติแล้วเมื่อนึกถึงการขับขี่รถยนต์ ผู้คนย่อมนึกภาพการควบคุมรถโดยการใช้สองมือคอยจับหมุนพวงมาลัย ทว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่ทำให้คนขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยตอนขับรถ แต่ยังสามารถใช้ ‘สายตา’ เป็นตัวควบคุมได้ด้วย

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวพาชมวิธีการควบคุมรถด้วยเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ (eye tracking) ซึ่งพัฒนาโดยออเนอร์ (HONOR) ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนจีน และถูกนำมาอวดโฉมระหว่างงานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นในเมืองบาร์เซโลนาของสเปน

ออเนอร์ติดตั้งเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ลงบนสมาร์ตโฟน และใช้เซนเซอร์จับภาพด้านหน้าของมือถือตรวจจับการเคลื่อนที่ของสายตา ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถออกคำสั่งให้รถสตาร์ตหรือดับเครื่องยนต์ รวมถึงออกคำสั่งให้รถเดินหน้าหรือถอยหลังได้อีกด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top