Sunday, 11 May 2025
รถยนต์ไฮบริด

ค่ายแดนซามูไร ใช้กลยุทธ์ รถไฮบริดราคาต่ำล้าน สกัดดาวรุ่ง รถอีวีจีน เน้นข้อดี ‘ราคาไม่แพง-กินน้ำมันน้อย-ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จ’

เมื่อวานนี้ 7 เม.ย.67 Business Tomorrow รายงานว่า มหกรรมการจัดแสดงยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ BANGKOK INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2024 ในโค้งสุดท้ายของเกมยานยนต์บนพื้นที่จัดแสดง ผลปรากฎว่า ยอดจองรถ 11 วันที่ผ่านมา ก็คือ วันที่ 25 มีนาคม -4 เมษายน 2567 มีจำนวน 29,449 คัน โดย 10 ลำดับแรก คือ

1. Toyota 5,579 คัน
2. Honda 2,983 คัน
3. MG 2,164 คัน
4. CHANGAN 1,812 คัน
5. MITSUBISHI 1,647 คัน
6. IZUSU 1,635 คัน
7. GWM 1,608 คัน 
8. GAC AION 1,506 คัน 
9. NISSAN 1,374 คัน
10. NETA 1,282 คัน

ทั้งนี้มีบางแบรนด์ดังโดยเฉพาะ BYD เลือกที่จะไม่รายงานผลในตอนนี้ โดยจะรายงานในการรวมผลวันสุดท้าย

ไฮไลท์คงจะเป็น Toyota ยักษ์ใหญ่จากแดนซามูไรที่คราวนี้ยังคงยกทัพชิงตลาด ณ งานมอเตอร์โชว์ 2024 โดยยังคงชนะราบคาบไปที่ยอดจองกว่า 5.5 พันคัน ซึ่งหนีห่างเพื่อนร่วมประเทศอย่าง Honda ไปราว 2.5 พันคัน และที่สามตามมาด้วยแบรนด์จีนอย่าง MG ที่แม้จะมีดราม่าใหญ่ที่มีผู้ใช้มาประกาศเรียกร้องกลางงานถึงปัญหาที่ได้รับจากแบรนด์ 

การเดินเกมของค่ายญี่ปุ่นครั้งนี้คือ การนำเสนอรถยนต์แบบไฮบริด โดยนำสองโมเดลใหม่น่าจับจองอย่าง YARIS CROSS และ COROLLA CROSS ที่เป็นรถยนต์รูปแบบไฮบริดที่มีราคาที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท เริ่มต้นเพียง 7.8 แสนกว่าบาท ทำให้การครอบครองเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น อีกทั้งรถยนต์ไฮบริดมีความน่าสนใจกว่ารถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องกังวลสาธารณูปโภคสนับสนุนแบบที่ชาร์จของอีวี หรือการกินน้ำมันที่น้อยกว่ารถยนต์สันดาป 

Toyota ยังกล่าวในงานแถลงข่าวมอเตอร์โชว์ว่า พวกเขายังเลือกเส้นทางการนำเสนอสินค้าหลากหลายรูปแบบโดยมองถึงการทำอีวีในอนาคต แต่ก็ยังคงนำเสนอพลังงานเก่า พลังงานไฮบริด และมองถึงความเป็นไปได้ในการสนับสนุนพลังงานไฮโดรเจนเพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

ในส่วนของเกมราคาของฝั่งจีนกลับอาจเป็นการเดินหมากผิดที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีนอาจชะงักลงไปบ้าง แม้ยอดของฝั่งจีนจะขยับขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังถูกพี่ใหญ่อย่าง Toyota ทิ้งห่าง และท่าทีของยักษ์ใหญ่อย่าง BYD ที่ใครต่างมองว่าจะเข้ามาท้าชนเจ้าตลาดอย่างญี่ปุ่น กับมีท่าที ‘ดูเชิง’ ด้วยการเปลี่ยนกลยุทธ์การรายงานรายวันเป็นรวมยอดวันเดียว ทำให้ทั้งหลายสำนักรวมถึงนักเลงรถยนต์บนโลกออนไลน์ต่างเคลือบแคลงท่าทีนี้ว่า BYD อาจจะไม่มั่นใจยอดขายหรือเปล่า?

อย่างไรก็ตาม Motor Expo 2023 ปลายปีที่ผ่านมา Toyota ครองแชมป์ไปที่ 7,245 คัน ตามด้วยอันดับ 2 Honda 6,149 คัน ส่วนอันดับ 3 ก็ไล่ที่สองมาแบบหายใจลดต้นคออย่าง BYD ที่ 6,119 คัน มาดูกันว่าในวันสุดท้ายของการจัดแสดงนี้ ชาติไหนจะเข้าป้าย แล้วจะทิ้งห่างไปได้มากแค่ไหนกัน

เรียบเรียงจาก กรังปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล, Motor Expo 2023, Toyota

มาสด้าทุ่ม 5,000 ล้าน!! ดันไทยขึ้นแท่นฐานผลิต B-SUV Mild Hybrid เตรียมผลิต 1 แสนคันต่อปี ส่งออกญี่ปุ่น-อาเซียน-ตลาดโลก

(13 ก.พ.68) นายมาซาฮิโร โมโร (Masahiro Moro) ประธานและซีอีโอของบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีของไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยมาสด้าเตรียมทุ่มงบกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์อเนกประสงค์ B-SUV แบบ Mild Hybrid (MHEV) ตั้งเป้าการผลิตที่ 100,000 คันต่อปี เพื่อส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก

แผนการลงทุนครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากมาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือบอร์ดอีวี ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบไปเมื่อเดือนธันวาคม 2567 โดยมาตรการดังกล่าวรวมถึงการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ Hybrid (HEV) และ Mild Hybrid (MHEV) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 7 ปี ตั้งแต่ปี 2569 ถึง 2575 นอกจากนี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยังได้ออกมาตรการส่งเสริมเพื่อกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตที่นำเทคโนโลยีอัตโนมัติและระบบหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต

นายมาซาฮิโร โมโร เปิดเผยว่า มาสด้ามีประวัติการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานกว่า 70 ปี และได้ลงทุนสร้างฐานการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากโรงงาน AutoAlliance (AAT) ในจังหวัดระยองเมื่อปี 2538 เพื่อผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และโรงงาน Mazda Powertrain Manufacturing Thailand (MPMT) ในจังหวัดชลบุรี เมื่อปี 2558 สำหรับการผลิตเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ โรงงานเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตของมาสด้าและซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง

สำหรับการลงทุนครั้งล่าสุด มาสด้ามุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พลังงานทางเลือก (xEV) โดยเพิ่มงบลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาทเพื่อผลิต B-SUV Mild Hybrid ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง ลดมลภาวะ และเพิ่มความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รถยนต์รุ่นนี้จะถูกผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังญี่ปุ่น กลุ่มประเทศอาเซียน และตลาดโลก การลงทุนดังกล่าวยังครอบคลุมถึงการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ เช่น เครื่องยนต์ เกียร์ และแบตเตอรี่ โดยตั้งเป้าที่จะเริ่มกระบวนการผลิตภายในปี 2570

นอกจากการขยายฐานการผลิต มาสด้ายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเครือข่ายซัพพลายเชนในประเทศเพื่อรองรับเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ โดยการลงทุนนี้ถือเป็นก้าวสำคัญภายใต้แนวทาง Multi-Solution ของมาสด้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันยาวนานระหว่างบริษัทกับประเทศไทย พร้อมทั้งมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์และเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top