Thursday, 17 April 2025
มาตรา112

มาตรา 112 คนดีๆ ไม่สะท้าน มีแต่ 'ผีห่าซาตาน' ที่ต้องกลัว

หากจะพูดเป็นประสาชาวบ้านเปรียบเปรยให้เข้าใจง่าย ๆ กฎหมายมาตรา 112 ก็คือ 'ยันต์ปราบผี' ดี ๆ นี่เอง มีฤทธิ์ในทางปกป้องบ้านเรือน และผู้คนที่คิดดีต่อแผ่นดิน เพื่อให้ประเทศชาติดำรงอยู่อย่างมั่นคง 

ขึ้นชื่อว่าคนปกติธรรมดาที่คิดดี ทำดี ปฏิบัติในทางชอบธรรม ไม่คิดเบียดเบียนทำร้ายใคร จะไม่มีใครต้องเกรงกลัว หรือเกี่ยวข้องให้ชีวิตต้องพานพบกับความยากลำบากเลย 

ตายแล้วเกิดใหม่อีก 100 ชาติ ก็จะเป็นเหมือนเดิม!!

คงมีแต่พวกฝีเปรต ผีห่า ผีบาป ผีบ้า ผีสามนิ้ว ผีกลัวติดคุก ผีลืมชาติกำเนิด ผีเนรคุณแผ่นดิน ผีสาดสีธงชาติ ผีขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว ผีล้มสถาบัน ผีหมิ่นเบื้องสูง ผีขี้ข้าตะวันตก ผีหนีการเกณฑ์ทหาร ผีลิงหลอกเจ้า ผีเบาปัญญา ผีกลิ้งกลอก ผีปั่นหัวเด็ก ผีหลอกใช้พวกอยากมีตัวตน ผีพูดอย่างทำอีกอย่าง ผีไม่กล้ายอมรับความจริง ผีโกหกไปเรื่อย ๆ และผีปากกล้าแต่ขาสั่นเท่านั้นที่ต้องหนาวสะท้าน สั่นไหว เพราะกลัว 'ยันต์ปราบผี' มาสะกด ไม่ให้ต้องผุดต้องเกิดอยู่ใน 'คุกตะรางขังผี' แบบยาว ๆ 

สุจริตชน คนบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่ทำตัวเป็นผีชั่ว ก็ไม่ต้องกลัวอำนาจของ 'ยันต์ปราบผี' นี้เลย กลับจะต้องช่วยกันปกป้อง รักษา ดูแลไม่ให้ 'ยันต์ศักดิ์สิทธิ์' ถูกพวกผีร้ายมาฉีกทำลายให้สูญสิ้นไป 

เป็นเรื่องง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่าทำไมขึ้นชื่อว่าคนถึงอยากให้มี 'ยันต์ปราบผี' ติดข้างฝาไว้ในทุกบ้าน เพราะบ้านไหนมียันต์ บ้านนั้นก็ไม่ใช่ผีดังที่กล่าวมา

แต่บางคน บางบ้าน ก็ชอบและแอบเชียร์ผี ขณะเดียวกันก็แขวน 'ยันต์ปราบผี' ไว้ในบ้านให้ผู้คนที่พบเห็นเกิดคำถามขึ้นในใจเล่น ๆ แท้จริงคือชอบตีสองหน้า หวังเข้าได้กับทุกฝ่าย หาก 'สังคมคน' พบเห็นก็จะได้ต้อนรับเพราะคิดว่าเป็น 'พวกเดียวกัน' แต่ลับหลังก็แอบสนับสนุนเหล่าผี ๆ ให้กระทำย่ำยี 'ยันต์ปราบผี' ให้สิ้นซาก

ผี...ที่ว่าน่าถอยออกห่างแล้ว คนที่แอบสนับสนุนผี แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน ย่อมสกปรกกว่าเป็นร้อยเท่า และไม่น่าคบค้าสมาคมให้เสียเวลา

‘อรรถวิชช์’ ชี้!! ‘ก้าวไกล’ แก้ ม.112 โดยย้ายออกจากหมวดความมั่นคงฯ เสมือนเป็นการนิรโทษกรรมคดีทั้งหมด-เปิดช่องให้คนหมิ่นสถาบันได้เสรี

(8 ส.ค. 67) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต สส.กรุงเทพฯ โพสต์วิดีโอที่ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ เจาะข่าวเด็ด MONO 29 เมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 ลงในบัญชีติ๊กต็อก @atavit ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบ ผิดมาตรา 112 ระบุว่า…

“กรณีผมก้าวไกล ผมคิดว่าในขณะนั้นมีคนเตือนหลายท่านแล้วว่าการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 หากจะลดโทษก็ไปแก้ไขเรื่องบทลงโทษ ให้อยู่มาตราไหนก็อยู่มาตรานั้น แต่ลักษณะการแก้ของก้าวไกลเป็นการแก้แบบยกเลิก ย้ายหมวดจากหมวดความมั่นคงแห่งรัฐ ออกมาเป็นหมวดเหมือนหมิ่นประมาททั่วไป…

“ทำให้มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาก็สิ้นสลายหายไป คนที่ชุมนุมอยู่ก็ชุมนุมต่อ ที่เคยพูดได้ หมิ่นได้ก็หมิ่นได้ต่อ ไม่ผิด มาตรา 112 อีกต่อไปแล้ว ส่วนที่ติดอยู่ในคุกก็ต้องออกมายุติการดําเนินคดี ก็จะเป็นการนิรโทษกรรมคดีทั้งหมดที่ดําเนินอยู่”

นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า หากแก้ปกติจะไม่เป็นอะไร เช่น บทลงโทษ 3-15 ปี ทางก้าวไกลบอกจะแก้ให้เหลือ 1 ปี ก็ถือเป็นสิทธิ์ของพรรคการเมือง หรือหากจะพูดคุยในสภาก็พูดได้ ฉะนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงออกมาเบรกว่า “แก้ได้ในสภานะ แต่เอามาหาเสียงทําแคมเปญไม่ได้” การกระทำของก้าวไกลไม่ใช่การแก้ไข แต่เป็นการยกเลิก แล้วไปกําหนดโทษให้เบาลงในมาตราอื่น

ตั้งแต่เลือกตั้งก้าวไกลได้ 151 สส. และเขาขับสส. 3 คนพ้นพรรคออกไป 2 คนแรกผิดมาตรฐานจริยธรรมของพรรค ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ต้องขับออกก็คือ ‘หมออ๋อง’ รองประธานสภา เพราะถ้าไม่ขับออก หมออ๋องเป็นรองประธานสภาไม่ได้ เพราะประธานสภาต้องมาจากพรรครัฐบาลเท่านั้น ก็เหลืออยู่ 148 ถ้าวันนี้ศาลตัดสินว่ายุบก้าวไกล สส. ก็จะหายไปอีก 5 คน จะเหลือ 143 ถ้าเกิดกรรมการบริหารพรรคโดนยุบวันนี้ (7 ส.ค.) ต้องไปดูคําพิพากษาไส้ในอีกว่ามันจะมีผลกระทบระลอก 2 หรือเปล่า เพราะตอนที่ก้าวไกลเขาเสนอยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 ในขณะนั้น มี สส.ปัจจุบันในสภาที่สังกัดพรรคก้าวไกลอีก 30 คน ถ้าหากมีใครไปร้อง ปปช. ต่อเนื่อง และมีการนําสืบต่อ สส. 30 คนของก้าวไกลก็อาจจะต้องถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปอีก ก็จะเหลืออยู่ 113 แต่คงไม่เร็ว ๆ นี้ 

นายอรรถวิชช์ เสริมต่อว่า เป็นบทเรียนสําคัญของการเมืองและก็เป็นบทเรียนสําคัญสำหรับก้าวไกล และผมก็เชื่อว่า สส. ต้องใช้เวลาภายใน 60 วันไปหาพรรคใหม่ ถ้าเขาย้ายทั้งแพ็กไปอยู่พรรคใหม่ โอกาสของพรรคและอนาคตทางการเมืองก็ยังมี และไม่แน่ อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป และจะเป็นการเรียนรู้หนึ่งเรื่องว่า ‘อะไรควร’ หรือ ‘อะไรไม่ควร’

‘ประชาชน’ หวั่นนำคำว่า ‘ประชาชน’ ไปแอบอ้าง ‘เซาะกร่อนบ่อนทำลาย’ ร่วมเคลื่อนไหวในโซเชียลฯ แชร์ข้อความ ย้ำ!! จุดยืน ไม่ร่วมล้มล้างการปกครอง

(10 ส.ค.67) จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคก้าวไกล ทำให้สส.จำนวน 143 คนของพรรคก้าวไกล ย้ายสังกัดพรรคใหม่ ในชื่อพรรคว่า ‘พรรคประชาชน’ โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ยืนยันยังคงยึดมั่นอุดมการณ์เดิมของพรรคก้าวไกล และจะเดินหน้าแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อไป

ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวในโซเชียลฯ โดยชาวเน็ตมีการแชร์ต่อข้อความที่ว่า ข้าพเจ้า ขอประกาศ ณ ที่นี่ว่า คำว่า ‘ประชาชน’ ของพรรคประชาชน ไม่ได้รวมถึงข้าพเจ้าและครอบครัว แต่อย่างใด

ทั้งนี้เพื่อป้องกันการถูกนำไปแอบอ้างในการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันหลักของชาติ อันนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในอนาคต

‘ทักษิณ’ ใส่เสื้อเหลืองขึ้นศาลฯ ตรวจหลักฐานคดี ม.112 แง้ม!! ไม่กังวลเพราะเป็นคดีกระชับอำนาจ หลังปฏิวัติใหม่ๆ

(19 ส.ค. 67) ศาลอาญา นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดีย (The ChosunMedia) ของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน

ซึ่งนายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

ในวันนี้มีทีมทนายความประมาณ 6-7 คนมาศาล

ต่อมาเวลา 08.53 น. นายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีนี้ ได้เดินทางมาศาล โดยสวมเสื้อสีเหลืองใส่สูทดำคลุมทับ พร้อมกล่าวก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดีว่า ไม่มีความกังวล เป็นคดีที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติใหม่ ๆ เป็นการใช้กฎหมายกระชับอำนาจ ส่วนเรื่องพยานเป็นเรื่องทนายความ หลังจากนั้นนายทักษิณได้เดินห้องขึ้นพิจารณาทันที

'ไมค์ ภาณุพงศ์' เผ่นหนีออกนอก โผล่ ‘แคนาดา’ อ้างเหตุ ไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมของไทย

เมื่อวันที่ (18 พ.ย 67) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ อดีตแกนนำม็อบสามนิ้ว จำเลยกระทำความผิดคดีอาญามาตรา 112 ซึ่งได้หลบหนีคดีไปต่างประเทศ โพสต์ภาพบัตรประจำตัวผู้มีภูมิลำเนาถาวรที่ประเทศแคนาดา พร้อมข้อความระบุว่า คำถามที่ถูกตั้งขึ้นโดยสลิ่มว่า “ไม่ผิดแล้วหนีทำไม?”

นายภาณุพงศ์ อ้างว่า ตั้งแต่ปี 2563 ที่ตนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี ศาลกลับไม่ออกหมายเรียกพยานหลักฐานที่สำคัญให้กับตนเองและเพื่อนร่วมคดีเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ตนจะสามารถเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมไทยได้อย่างไร? แล้วจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้อย่างไร?

หากตนเป็นอาชญากรจริงตามที่รัฐไทยกล่าวหาใส่ร้าย ตนก็คงไม่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศที่ได้ชื่อว่าปลอดภัยในชีวิตติดอันดับโลก อีกทั้งยังเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

เมื่อกระบวนการยุติธรรมไทยไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้ ตนจึงจำเป็นต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองในประเทศที่มีระบบยุติธรรมที่น่าเชื่อถือและโปร่งใสมากกว่าครับ และผลพิสูจน์ก็ชัดเจนแล้วว่าผมไม่ได้เป็นอาชญากรตามที่รัฐไทยกล่าวหา #ยกเลิก112

ส่องแนวคิด ‘จรัล ดิษฐาอภิชัย’ กับตรรกะที่ผิดเพี้ยนชู หลังชู ‘อานนท์ นำภา’ เป็นบุคคลแห่งปีทั้งที่ทำผิด กม. ซ้ำซาก

รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 จรัล ดิษฐาอภิชัย โพสต์เสนอชื่อ อานนท์ นำภา เป็นบุคคลแห่งปี 2567 พร้อมชูเขาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การยกย่องบุคคลที่ถูกตัดสินจำคุก 18 ปีด้วยข้อหาภายใต้มาตรา 116 และ 112 นั้น กำลังสร้างภาพประชาธิปไตยในแบบใด? มันไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งเสรีภาพหรือความเท่าเทียม แต่คือ “รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย” และรูปปั้นนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานที่มั่นคง แต่มันสั่นคลอนด้วยแนวคิดที่ไม่เคารพหลักนิติรัฐ

มาตรา 116: กติกาที่ปกป้องเสถียรภาพของสังคม
มาตรา 116 เป็นเหมือนรั้วที่ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านประชาธิปไตย มันไม่ได้มีไว้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการพูด แต่มันมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คำพูดหรือการกระทำใดๆ ยุยงให้เกิดความไม่สงบในสังคม การที่อานนท์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ไม่ได้เกิดจากการแสดงความคิดเห็น แต่เพราะเขาจงใจละเมิดกติกานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในการปลุกปั่นยุยงและการกระทำที่ล้ำเส้นเกินกว่าการใช้เสรีภาพส่วนตัว

18 ปีแห่งการละเมิด: ราคาของการไม่เคารพกฎหมาย
การที่อานนท์ถูกตัดสินจำคุกถึง 18 ปีไม่ได้มาจากระบบที่อยุติธรรม แต่มาจากการกระทำผิดซ้ำซากที่ขัดต่อกฎหมายที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน การเชิดชูบุคคลที่ละเมิดกฎหมายในลักษณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการส่งเสริมประชาธิปไตย แต่มันคือการลดคุณค่าของระบบที่ควรสร้างบนความยุติธรรมและการเคารพกติกา

ประชาธิปไตยหรือการบูชาคนผิด?
สิ่งที่จรัลทำในการยกย่องอานนท์ คือการสร้าง “รูปปั้น” ที่ไม่ได้สะท้อนถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่กลับเป็นการปั้นสัญลักษณ์ของการไม่เคารพกฎหมาย การนำคนที่ทำผิดอย่างต่อเนื่องมาชูเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสีย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดว่า ความวุ่นวายและการละเมิดกฎหมายคือสิ่งที่ยอมรับได้

บทสรุป: สัญลักษณ์ที่ไม่ควรมี
ประชาธิปไตยไม่ควรถูกหล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย การสร้างสัญลักษณ์ที่ขัดแย้งกับรากฐานของระบบย่อมไม่ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง หากเรายังคงหล่อรูปปั้นจากความผิดพลาด ประชาธิปไตยในสายตาของคนไทยและนานาชาติจะไม่เหลือคุณค่า นี่ไม่ใช่การสร้างอนาคต แต่มันคือการย้อนกลับไปทำลายรากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม

กต.สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ปม ‘พอล แชมเบอร์ส’ ถูกจับด้วยมาตรา 112 พร้อม เรียกร้องให้ไทยเคารพ “เสรีภาพในการแสดงออก”

(9 เมษายน 2568) เพจเฟซบุ๊ก U.S. Embassy Bangkok ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของ แทมมี บรูซ (Tammy Bruce) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อกรณีการจับกุม พอล แชมเบอร์ส (Paul Chambers) พลเมืองอเมริกัน ด้วยข้อหาความผิดตามกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ว่า...

“สหรัฐอเมริการู้สึกตกใจต่อการจับกุม นายพอล แชมเบอร์ส พลเมืองอเมริกัน ในประเทศไทย ด้วยข้อหาความผิดทางอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเรากำลังติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือพลเมืองอเมริกันในต่างประเทศอย่างจริงจัง และเรากำลังติดต่อกับทางการไทยเกี่ยวกับกรณีนี้

“กรณีนี้ตอกย้ำถึงความกังวลที่มีมาอย่างยาวนานของเรา ต่อการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยเคารพเสรีภาพในการแสดงออก และให้แน่ใจว่า กฎหมายจะไม่ถูกใช้เพื่อปิดกั้นการแสดงออกที่ได้รับอนุญาต ในฐานะพันธมิตรของประเทศไทยตามสนธิสัญญา เราจะติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดและสนับสนุนการปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อนายพอล แชมเบอร์ส”

แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่กงสุลของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ กำลังให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลที่เหมาะสมทั้งหมดแก่แชมเบอร์ส และเรียกร้องขอเข้าพบแชมเบอร์ส เพื่อให้แน่ใจว่ามีความเป็นอยู่ที่ดี และให้การสนับสนุนที่จำเป็น

ทั้งนี้แชมเบอร์ส นักวิชาการสัญชาติอเมริกัน ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ถูกกองทัพภาคที่ 3 แจ้งความร้องทุกข์ด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 ต่อมาแชมเบอร์สได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา และศาลจังหวัดพิษณุโลกมีคำสั่ง ‘ไม่ให้ประกันตัว’ โดยให้เหตุผลว่า เป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง และผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ เกรงว่าจะหลบหนี

แกะรอยอคติจากปลายปากกา ผู้ต้องหาตามมาตรา 112 เรื่องเล่าจากบทความปี 2009 ของ ‘Paul Chambers’

(10 เม.ย. 68) ในโลกของนักวิชาการต่างชาติที่เขียนถึงประเทศไทย มีไม่กี่คนที่ข้าพเจ้าจำชื่อได้แม่นเท่า Paul Chambers ไม่ใช่เพราะลุ่มหลงในภูมิปัญญาของเขา แต่เพราะเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ใช้คำว่า “เครือข่ายวัง” (network monarchy) อย่างสม่ำเสมอราวกับเป็นสูตรสำเร็จของทุกปัญหาไทย

ไม่ว่าจะรัฐประหารปีไหน หรือใครขึ้นเป็นนายกฯ ใหม่ สุดท้ายเขาก็จะพาเรื่องวกกลับไปสรุปว่าสถาบันฯ คือผู้เล่นเบื้องหลัง เป็น “ตัวแปรหลัก” ของทุกการเมืองไทย และกองทัพก็เป็นเพียง “หุ่นเชิดในระบบอุปถัมภ์”

ข้าพเจ้าเคยคิดว่าอาจเป็นเพียงความบังเอิญของคนมองไทยจากภายนอก แต่เมื่อได้อ่านบทความของเขาที่ลงใน New Mandala เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2009 ชื่อว่า
"Thailand’s military: perpetually political, forever factionalized, again ascendant"
ความสงสัยของข้าพเจ้ากลับกลายเป็นความมั่นใจ—ว่างานเขียนของเขาไม่ได้ต้องการ “เข้าใจไทย” หากแต่เป็นการ “ตั้งธง” เพื่อชี้นำผู้อ่านให้มองสถาบันกับกองทัพไทยในแง่ลบโดยมีเป้าหมายบางอย่างแอบแฝงอยู่

เบื้องหลังบทความวิชาการ: เมื่อพอล แชมเบอร์สสวมเสื้อคลุมนักวิชาการเพื่อจ้องรื้อโครงสร้างของสถาบัน

ในโลกวิชาการที่ควรตั้งอยู่บนฐานของข้อเท็จจริงและความเป็นกลาง งานเขียนของ พอล แชมเบอร์ส ใน New Mandala กลับเป็นตัวอย่างชัดเจนของการ บิดเบือนบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และแทรกความคิดเชิงครอบงำของตะวันตกเข้ามาในบริบทที่เขาไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

จุดตั้งต้นของการเหมารวม: สถาบันคือปัญหา

แชมเบอร์สพยายามผูกโยง สถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ากับเครือข่ายอำนาจทางทหารโดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นศูนย์กลาง ซึ่งในทางรูปแบบเหมือนจะเป็นการวิเคราะห์โครงสร้างอำนาจ แต่ในทางเนื้อหา กลับสอดแทรกอคติในลักษณะ “ลดทอนบทบาทของสถาบันให้เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง”

เขาเขียนด้วยภาษาชี้นำเต็มเปี่ยม เช่น “palace-backed generals” หรือ “monarchical network,” วางน้ำหนักทุกบรรทัดเพื่อพาไปสู่บทสรุปเดียวว่า—สถาบันคือแกนกลางของโครงสร้างที่ขัดขวางประชาธิปไตย

แต่ข้าพเจ้ากลับพบสิ่งที่น่าสงสัยมากกว่านั้น:

เขาไม่พูดถึงบริบทความไม่มั่นคงของประเทศในช่วงหลังสงครามเย็น

เขาไม่แตะเลยถึงปัญหาคอร์รัปชันของนักการเมืองที่ทำให้ทหารต้องเข้ามา

เขามองข้ามการเคลื่อนไหวขององค์กรต่างชาติที่มีบทบาทในหลายวิกฤตการเมืองไทย

ทุกอย่างถูกโยนเข้ากองเดียวกัน—ว่าสถาบันฯ หนุนหลัง และกองทัพคือเครื่องมือ

นักวิชาการหรือนักปลุกปั่นแฝงตัว?

สิ่งที่น่าสังเกตคือ แชมเบอร์สไม่ได้ตั้งคำถามกับความชอบธรรมของการเลือกตั้ง หรือกลุ่มทุนผูกขาดที่แทรกซึมการเมืองไทย หากแต่เลือกโจมตีเฉพาะ “ความใกล้ชิดระหว่างกองทัพกับสถาบันพระมหากษัตริย์” ราวกับว่า สถาบันเป็นต้นเหตุของความล้าหลังและไม่เป็นประชาธิปไตย

นี่ไม่ใช่เพียงความเข้าใจผิด แต่คือเจตนาแทรกแซงในระดับโครงสร้าง

การพยายามแปะป้ายว่าสถาบันเป็น “ศูนย์กลางอำนาจที่ครอบงำการเมือง” คือความพยายาม เปลี่ยนสถานะของสถาบันจาก “สัญลักษณ์แห่งชาติ” ให้กลายเป็น “ฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้ง” ซึ่งถือเป็นการจงใจสร้างภาพเท็จและกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

บทความเดียวที่กลายเป็นพิมพ์เขียวของทุกงานหลังจากนั้น

สิ่งที่ข้าพเจ้าพบคือ: บทความในปี 2009 นี้ กลายเป็นพิมพ์เขียวของทุกสิ่งที่ Paul Chambers จะเขียนในทศวรรษถัดมา ไม่ว่าจะกรณีรัฐประหารปี 2557 การเมืองหลังการเลือกตั้ง 2562 หรือการเปลี่ยนแปลงผู้นำกองทัพ เขายังคงลากสถาบันเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ ไม่ว่าจะมีหลักฐานชัดเจนหรือไม่ก็ตาม

การเชื่อมโยงแบบข้ามขั้นตอน (shortcut reasoning) ที่เขาใช้ เป็นกลยุทธ์การสร้างวาทกรรมมากกว่างานวิเคราะห์—พูดง่าย ๆ คือเขา “วางหมากไว้ก่อน แล้วเขียนให้เข้าหา”

อคติที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของภาษา

เมื่อข้าพเจ้าพิจารณาบทความปี 2009 ให้ลึกลงไป สิ่งที่สะดุดใจที่สุดไม่ใช่เพียงเนื้อหา แต่คือภาษาที่เขาเลือกใช้:

เขาใช้คำที่พาให้ผู้อ่าน “คล้อยตาม” โดยไม่ได้ตั้งคำถาม เช่น “again ascendant,” “factionalized by royal patrons”

เขาไม่เคยเปิดพื้นที่ให้อธิบายสถาบันในมิติที่เป็น ศูนย์รวมใจ หรือ หลักประกันของเสถียรภาพรัฐ

เขาไม่ให้เครดิตกับบทบาทการประสานและคลี่คลายความขัดแย้งที่สถาบันเคยทำมา

ทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า - Chambers ไม่ได้เขียนเพื่ออธิบาย แต่เขียนเพื่อ “เจาะความชอบธรรม” ของสถาบันในสายตานานาชาติ

การเมืองเชิงวาทกรรม: กับดักของภาษาและความเป็นอาณานิคม

แชมเบอร์สใช้กลวิธีแบบ “วาทกรรมวิพากษ์” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมในวงการรัฐศาสตร์สายตะวันตก เช่นการใช้คำว่า “networks of palace-backed military elites” หรือ “network monarchy” ที่ดูเหมือนจะมีน้ำหนักทางวิชาการ แต่ เป็นการสร้างภาพว่าไทยถูกครอบงำโดยกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่ไม่ผ่านประชาธิปไตย

คำถามคือ ทำไมนักวิชาการฝรั่งเหล่านี้ไม่ตั้งคำถามกับ ประธานาธิบดีที่ใช้อำนาจผ่านกองทัพในลาตินอเมริกา หรือราชวงศ์ตะวันออกกลางที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ?

คำตอบชัดเจน—พวกเขาไม่ได้ต้องการความยุติธรรมทางวิชาการ แต่ต้องการ เปลี่ยนสมการอำนาจของโลกให้เป็นไปตามค่านิยมตะวันตกเท่านั้น

ความเข้าใจผิดที่จงใจสร้าง: สถาบันมิได้สั่งการ แต่ดำรงอยู่เพื่อรักษาสมดุล

แม้ในหลายช่วงเวลา สถาบันจะมีความสัมพันธ์กับกองทัพในฐานะองค์อุปถัมภ์ แต่การเหมารวมว่าสถาบัน “ควบคุม” หรือ “กำหนดการเมืองไทย” คือการบิดเบือนที่ร้ายแรง

ในรัฐธรรมนูญไทย สถาบันเป็นกลางทางการเมืองและมิได้มีอำนาจบริหารใด ๆ การที่กองทัพจะอ้างความจงรักภักดีนั้น เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์การวางตนทางการเมืองของกองทัพเอง มิใช่เจตนาของสถาบัน
การวิเคราะห์โดยเหมารวมว่าสถาบัน “เอื้อ” หรือ “หนุน” รัฐประหารทุกครั้ง จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็น ความพยายามสร้างตราบาปให้สถาบันผ่านงานวิชาการ

เรื่องนี้สำคัญอย่างไร?

ข้าพเจ้ามองว่านี่ไม่ใช่เพียง “บทความหนึ่งชิ้นในอดีต” แต่คือ รากฐานของวาทกรรมที่ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผ่านเวทีสื่อตะวันตก สื่อภาษาอังกฤษ และแม้กระทั่งนักศึกษาบางกลุ่มในประเทศไทย

เมื่อกรอบคิดที่มีอคติถูกเผยแพร่โดยนักวิชาการต่างชาติที่ได้รับเครดิตในเวทีโลก งานของเขาจึงไม่ใช่แค่ “ข้อคิดเห็น” แต่กลายเป็น เครื่องมือแทรกแซงความเข้าใจของสังคมไทย

และทั้งหมดนี้… เริ่มจากบทความปี 2009 ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทันได้ระวัง

ปัจฉิมบท: ความเป็นวิชาการมิใช่เกราะกำบังอคติ

งานเขียนของ Paul Chambers ทำให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่า ความเป็นนักวิชาการมิใช่ข้อยกเว้นจากความลำเอียง

เพราะหากเราไม่ตั้งคำถามกับ “ความรู้ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น” เราก็อาจยอมให้คนภายนอกเป็นผู้กำหนดอนาคตของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว

> และเพราะเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงต้องเริ่มต้นที่บทความเล็ก ๆ ในปี 2009เพื่อเปิดโปงอคติที่แฝงอยู่หลังถ้อยคำที่ดูเหมือนเป็นกลาง แต่แท้จริงแล้ว—ไม่เป็นกลางเลยแม้แต่น้อย.

แล้วข้าพเจ้าเชื่อว่างานเขียนหลังจากนี้ จะมีหลายๆงานเขียนที่เข้าล่วงไปถึง บ้านเมืองไม่น้อยเลยทีเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top