Tuesday, 22 April 2025
ภาษีนำเข้า

'จีน' กระตุ้น!! สหรัฐฯ ยกเลิก 'ภาษีนำเข้าเพิ่มเติม' สินค้าจีนทั้งหมด เพราะขัดต่อกฎของ WTO และอาจทำให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิม

(6 ก.ย.67) สำนักข่าวซินหัว เผย กระทรวงพาณิชย์ของจีน ระบุว่า สหรัฐฯ ควรแก้ไขข้อผิดพลาดของตนและยกเลิกภาษีนำเข้าเพิ่มเติมต่อสินค้าจีนทั้งหมดทันที

เหอหย่งเฉียน โฆษกกระทรวงฯ กล่าวระหว่างตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นที่สหรัฐฯ เลื่อนการประกาศตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนภายใต้มาตรา 301 ออกไปอีกครั้ง

ทั้งนี้องค์การการค้าโลก (WTO) ได้ตัดสินแล้วว่า ภาษีนำเข้าตามมาตรา 301 นั้นขัดต่อกฎระเบียบขององค์การฯ ซึ่งเหอระบุว่า การที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม มีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ หน่วยงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ขอความเห็นจากสาธารณชนเกี่ยวกับผลการพิจารณาภาษีนำเข้าตามมาตรา 301 ซึ่งเสียงส่วนใหญ่คัดค้านต่อการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมหรือขอยกเว้นภาษีในวงกว้างขึ้น โดยเหอระบุว่า ความเห็นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการขึ้นภาษีภายใต้มาตรา 301 ไม่เป็นที่นิยมในหมู่สาธารณชนในสหรัฐฯ

เวียดนามชิงประกาศลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ของ ‘ทรัมป์’

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เวียดนาม ประกาศลดภาษีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายประเภทในความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีใหม่ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน 2568 นี้

ตามแถลงการณ์จากเว็บไซต์รัฐบาล การลดภาษีครั้งนี้รวมถึงการปรับลดภาษีรถยนต์บางประเภทจากเดิมที่สูงถึง 64% ลงมาเหลือ 32% และลดภาษีก๊าซ LNG จาก 5% เหลือเพียง 2% ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้เวียดนามแก้ไขปัญหาการเกินดุลการค้า และเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าให้ดีขึ้น 

นอกเหนือจากรถยนต์และ LNG แล้ว เวียดนามยังได้ปรับลดภาษีเอทานอลจาก 10% เหลือ 5% และลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิด เช่น แอปเปิลสด ไก่แช่แข็ง อัลมอนด์ และเชอร์รี่

การลดภาษีครั้งนี้ของเวียดนามดูเหมือนจะเป็นการตอบสนองล่วงหน้าต่อแผนการเก็บภาษีที่สหรัฐฯ อาจใช้กับสินค้าเวียดนาม หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้เริ่มตรวจสอบการนำเข้าของเวียดนาม โดยเฉพาะสินค้าบางประเภทที่สหรัฐฯ มองว่ามีการค้ากับเวียดนามในลักษณะไม่เป็นธรรม

เวียดนามจึงพยายามลดภาษีในบางสินค้าหวังที่จะป้องกันไม่ให้มาตรการภาษีใหม่จากสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุนในระดับสากล

การลดภาษีของเวียดนามอาจช่วยรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงจากมาตรการภาษีที่อาจกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและยานยนต์ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของเวียดนามในปัจจุบัน

ตามข้อมูลจากสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เวียดนามได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีช่องว่างการค้ากับสหรัฐฯ ใหญ่ที่สุด โดย เวียดนาม ครองอันดับที่ 3 ของประเทศที่มีดุลการค้าส่วนเกินกับสหรัฐฯ รองจาก จีน และ เม็กซิโก ซึ่งปัญหานี้ทำให้เวียดนามตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ที่มุ่งหวังลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ

สำหรับการลดภาษีในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของเวียดนามในการรักษาสมดุลในการค้าระหว่างประเทศและรับมือกับความท้าทายจากมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น โดยรัฐบาลเวียดนามจะยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนการรับมือหากเกิดการตอบโต้จากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

จีน-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น จับมือร่วมต้านแรงกดดันภาษีทรัมป์ เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ไม่ยอมถูกบีบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จับมือกันในด้านเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการเก็บภาษีศุลกากรที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้เริ่มเจรจาเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า โดยมีเป้าหมายในการลดผลกระทบจากภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการส่งออก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจทั้งสามประเทศ

ทั้งสามประเทศประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า พวกเขาตกลงที่จะเร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไตรภาคีและเพิ่มความร่วมมือในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและการควบคุมการส่งออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผย

การเจรจาครั้งนี้คาดว่าจะครอบคลุมหลายด้าน เช่น การพัฒนาความร่วมมือในเทคโนโลยีขั้นสูง การสร้างเครือข่ายการค้าทั่วภูมิภาค และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการเงินและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาการตลาดของสหรัฐฯ ที่มีความผันผวน

นโยบายการเก็บภาษีสินค้าส่งออกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้หลายประเทศในเอเชียตื่นตัว และเริ่มมองหากลยุทธ์ใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพทางการค้าและลดความเสี่ยงจากการขึ้นภาษี ซึ่งมีผลกระทบต่อการผลิตในหลายภาคส่วน

จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีศุลกากรและกำหนดข้อจำกัดทางการค้ากับสินค้าจีน ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างก็มีการส่งออกสินค้าหลายประเภทไปยังสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

การรวมตัวครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับทั้งสามประเทศในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยเฉพาะในกรอบการค้าเอเชียแปซิฟิก โดยการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจอาจช่วยให้สามประเทศนี้สามารถตอบโต้ผลกระทบจากนโยบายการค้าและเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ

ลู่ ฮ่าว นักวิจัยจากสถาบันญี่ปุ่นศึกษาแห่งสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่าความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นความจริงที่ชัดเจน ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะกดดันให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ “ลดความเสี่ยง” หรือแยกตัวจากจีนนั้นไม่น่าจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง

“นโยบายของทำเนียบขาวเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้พันธมิตรในเอเชียของวอชิงตัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เกิดความกังวลมากขึ้น” ลู่กล่าว และเสริมว่าทั้งสองประเทศควรกลับมาสู่เส้นทางของการเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาคและปรับปรุงการมีส่วนร่วมกับจีน เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากสหรัฐฯ

สำหรับการเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยมีความคาดหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และขยายฐานเศรษฐกิจในภูมิภาคให้มีความหลากหลายและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงการปรับตัวของสามประเทศในเอเชียที่มีเศรษฐกิจใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อตอบโต้การเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการค้าระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

‘ทรัมป์’ งัดมาตรการขั้นเด็ดขาด ประกาศภาษีนำเข้าใหม่ ไทยโดน 36% สูงสุดลำดับต้นๆ ของโลก กระทบหนักอุตสาหกรรมส่งออก

​(3 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการทางการค้าที่สำคัญ โดยกำหนดให้มีการเก็บ “ภาษีพื้นฐาน” (baseline tariff) ในอัตรา 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากทุกประเทศ มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00:01 น. ของวันเสาร์ที่ 5 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ

“ในความเห็นของผม นี่เป็นหนึ่งในวันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา” ทรัมป์กล่าว เป็นเวลาหลายทศวรรษที่อเมริกาถูก “ปล้นสะดม ข่มขืน” โดยคู่ค้าทางการค้า “ในหลายๆ กรณี มิตรนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าศัตรู”

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมที่เรียกว่า “ภาษีตอบโต้” (reciprocal tariffs) ต่อประเทศที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลทางการค้า โดยภาษีเหล่านี้จะมีอัตราที่สูงขึ้นและจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน เป็นต้นไป ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปจะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 20% ญี่ปุ่นที่ 24% และจีนที่ 34%

สำหรับประเทศไทย สินค้านำเข้าจะถูกเก็บภาษีที่อัตรา 36% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดที่กำหนดในมาตรการนี้

ทรัมป์ระบุว่ามาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเตือนว่ามาตรการดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้นและอาจกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้า

อัตราภาษีนำเข้าตามประเทศ
-10%: สหราชอาณาจักร, บราซิล, สิงคโปร์, ชิลี, ออสเตรเลีย, ตุรกี, โคลัมเบีย, เปรู, คอสตาริกา, โดมินิกัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, นิวซีแลนด์, อาร์เจนตินา, เอกวาดอร์, กัวเตมาลา, ฮอนดูรัส, อียิปต์, ซาอุดีอาระเบีย, เอลซัลวาดอร์, ตรินิแดดและโตเบโก, โมร็อกโก
- 15%: นอร์เวย์
- 17%: อิสราเอล, ฟิลิปปินส์
- 18%: นิการากัว
- 20%: สหภาพยุโรป, จอร์แดน
- 21%: โกตดิวัวร์
- 24%: ญี่ปุ่น, มาเลเซีย
- 25%: เกาหลีใต้
- 26%: อินเดีย
- 27%: คาซัคสถาน
- 28%: ตูนิเซีย
- 29%: ปากีสถาน
- 30%: แอฟริกาใต้
- 31%: สวิตเซอร์แลนด์
- 32%: ไต้หวัน, อินโดนีเซีย
- 34%: จีน
- 36%: ไทย
- 37%: บังกลาเทศ, เซอร์เบีย, บอตสวานา
- 44%: ศรีลังกา, เมียนมา
- 46%: เวียดนาม
- 47%: มาดากัสการ์
- 48%: ลาว
- 49%: กัมพูชา

ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยืนยันว่า นโยบายนี้มุ่งหวังให้ ธุรกิจสหรัฐฯ ได้เปรียบในการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคการผลิตภายในประเทศ แต่มีการคาดการณ์กันว่าหลายประเทศอาจหันไปทำข้อตกลงการค้าใหม่กับประเทศอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ นอกจากนี้ องค์การการค้าโลก (WTO) อาจเข้ามาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยหากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น

รมว.คลังสหรัฐฯ แนะประเทศทั่วโลก ‘อย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ และยอมรับมัน’ เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้ง หลังทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีใหม่

(3 เม.ย. 68) สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นในระหว่างการประชุมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศว่า ประเทศต่างๆ ควรหลีกเลี่ยงการตอบโต้มาตรการภาษีที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้กำหนดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทั่วโลก เพื่อป้องกันการยกระดับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ

เบสเซนต์กล่าวว่า “คำแนะนำของผมสำหรับทุกประเทศในตอนนี้คืออย่าตอบโต้ นั่งนิ่งๆ ยอมรับมัน แล้วมาดูกันว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าคุณตอบโต้ สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง” โดยเบสเซนต์กล่าวในการสัมภาษณ์ในรายการ Special Report ไม่นานหลังจากการประกาศดังกล่าว 

ในระหว่างการประชุม เบสเซนต์เน้นย้ำว่า การตอบโต้ภาษีของทรัมป์อาจไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง “ถ้าคุณไม่ตอบโต้ นี่คือจุดสูงสุด” 

ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการภาษีใหม่เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และลดการขาดดุลทางการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งทำให้หลายประเทศตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และบางประเทศได้แสดงท่าทีที่ต้องการตอบโต้

ขณะที่สหรัฐฯ ยังคงยืนยันในความจำเป็นของมาตรการดังกล่าว เบสเซนต์เตือนว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจยืดเยื้อและขยายวงกว้าง หากไม่มีการเจรจาและหาทางออกที่สมดุลและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย

นอกจากนี้ เบสเซนต์กล่าวกับเบร็ต ไบเออร์ หัวหน้าผู้ประกาศข่าวสายการเมืองของ Fox News ว่าเป้าหมายของการเก็บภาษีศุลกากรคือการสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว “เรากำลังกลับสู่วิถีทางที่ดี” เขากล่าว โดยโจมตีรัฐบาลของไบเดนเรื่องการใช้จ่ายรัฐบาลที่ “มหาศาล” 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวเสริมว่า รัฐสภากำลังดำเนินการเพื่อให้ผ่านร่างกฎหมายภาษี เนื่องจากฝ่ายบริหารกำลังพยายามทำให้ การลดหย่อนภาษีของทรัมป์ในปี 2017 เป็นแบบถาวร

“ยิ่งเราสามารถได้รับความแน่นอนเรื่องภาษีได้เร็วเท่าไหร่ เราก็สามารถเตรียมการสำหรับการกลับมาเติบโตได้เร็วเท่านั้น” เบสเซนต์กล่าว

ประกาศเก็บภาษี 34% ตอบโต้สหรัฐฯ หลังทรัมป์ขึ้นภาษี 54% ปลุกมังกรจีนตื่น

(4 เม.ย. 68) จีนประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากร 34% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจาก สหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน นี้ ซึ่งถือเป็นการดำเนินการตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะตอบโต้กลับหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ยกระดับ สงครามการค้า ด้วยการเพิ่มภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีนในปีที่ผ่านมา

เมื่อวันพุธ ทรัมป์เปิดเผยภาษีนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมดจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 34 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่จะส่งผลให้ความสัมพันธ์เริ่มกลับมาดำเนินไปตามปกติอีกครั้ง และทำให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกเลวร้ายลง

“การกระทำเช่นนี้ของสหรัฐฯ ไม่สอดคล้องกับกฎการค้าระหว่างประเทศ ทำลายสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีนอย่างร้ายแรง และถือเป็นการกลั่นแกล้งฝ่ายเดียว” คณะกรรมการภาษีศุลกากรแห่งคณะรัฐมนตรีจีนระบุในแถลงการณ์ที่ประกาศกำหนดภาษีตอบโต้

นับตั้งแต่กลับมามีอำนาจในเดือนมกราคม ทรัมป์ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมด 2 งวดๆ ละ 10% ซึ่งทำเนียบขาวระบุว่ามีความจำเป็นเพื่อหยุดยั้งการนำเข้าเฟนทานิลผิดกฎหมายจากจีนมายังสหรัฐฯ นั่นหมายความว่าสินค้าจีนที่ส่งมายังสหรัฐฯ จะต้องเสียภาษีนำเข้า 54%

ภาษี 54 เปอร์เซ็นต์นั้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดไว้ และอาจเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์โดยพื้นฐาน รวมถึงการค้ามูลค่าราวๆ ครึ่งล้านล้านดอลลาร์ระหว่างทั้งสองเศรษฐกิจหลังจากพึ่งพากันมานานหลายทศวรรษ

การเพิ่มภาษีศุลกากรของจีนในครั้งนี้คาดว่าจะมีผลกระทบต่อ การค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับผู้บริโภคและธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องเผชิญกับ สินค้าที่มีราคาสูงขึ้นในตลาด

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้ ‘เวียดนาม’ อยู่เป็น ในภาวะสหรัฐฯ เก็บภาษีอ่วม ต่อสายตรงเจรจา ‘ทรัมป์’ พร้อมเสนอลดภาษีสหรัฐฯ เหลือศูนย์

(5 เม.ย. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ว่า…

#เวียดนาม 🇻🇳 เทหมดหน้าตัก #จำใจยอม ถอยสุดซอย เพราะพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐในสัดส่วนสูงมากกกกก #โตเลิม 🇻🇳 ผู้นำเบอร์หนึ่งเวียดนามต่อสายโทรคุยกับ #ทรัมป์ 🇺🇸 เสนอว่าจะ #ลดภาษีเหลือศูนย์ ให้สหรัฐฯ ถ้ามีข้อตกลงกันได้!! สัญญาณเหมือนจะดี ทรัมป์พอใจและบอกว่า “a very  productive call” และครอบครัวทรัมป์โดย Trump Organization ก็มีผลประโยชน์ทางธุรกิจในเวียดนาม มีโครงการสร้างสนามกอล์ฟและรีสอร์ตแถวเมืองบ้านเกิดโตเลิม มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ 🤔เรื่องนี้จะจบอย่างไร ติดตามกันนะคะ #ภาวะผู้นำ ในยามวิกฤตสำคัญยิ่งยวด 🇻🇳 #เวียดนามอยู่เป็น

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี อธิบายเพิ่มเติมว่า #ผลประโยชน์ส่วนตัวของทรัมป์ในเวียดนาม 🤔 ครอบครัวทรัมป์ โดย Trump Organization และพันธมิตรในเวียดนาม คือ กลุ่ม Kinh Bac Urban Development Corporation (KBC) มีโครงการลงทุนกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสนามกอล์ฟ โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนาม

ตามรายงานจาก Reuters โดยอ้างคำพูดของโฆษกของ Trump Organization ระบุว่า “โครงการนี้จะลงทุนมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในจังหวัดฮึงเอียน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเลขาธิการใหญ่โต เลิม คาดว่า จะเริ่มต้นในเดือนพฤษภาคมปีนี้”

แหล่งข่าวอ้างว่า “โครงการที่ร่วมมือกับ KBC ที่จังหวัดฮึงเอียนจะประกอบด้วยสนามกอล์ฟ 18 หลุม รวม 3 สนาม รวมทั้ง Resort Complex ที่จะเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกของ Trump Organization”

ในวันที่ 18 มีนาคม 2025 ตัวแทนของ Trump Organization ได้พบกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ โดยมีตัวแทนจากบริษัทระดับบิ๊กของสหรัฐฯ และสภาธุรกิจ U.S. ASEAN Business Council อื่นๆ ร่วมเข้าพบด้วย เช่น Boeing, Apple, Intel, Coca-Cola, Nike และ Amazon

#จุดแข็งเวียดนาม 🇻🇳 เวียดนามมีศักยภาพสูง เพราะมี 2 ปัจจัยหลักที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง คือ

(1) #ผู้นำดีมีชัย !! ผู้นำเวียดนามมองไกล มีวิสัยทัศน์ และกล้าลงมือทำ (ไม่ดีแต่พูด) มีความเฉียบขาดในการ regulate จัดการปัญหา/ขจัดจุดอ่อน และมีเป้าหมายที่แน่วแน่ long term strategy (ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา)

(2) #คุณภาพคนในชาติ !! คนเวียดนามขยันมากกก กระหายความสำเร็จ (ไม่งอมืองอเท้ารอคอยแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต)

แถมอีกเรื่อง คือ คนในชาติเวียดนาม #ไม่แตกแยกกันเอง และทุกคน #รักชาติยิ่งชีพ ด้วยค่ะ

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้สงครามเศรษฐกิจสหรัฐฯ-จีน เสียหายกันถ้วนหน้า เตรียมรับมือ หุ้นร่วง ส่งออกไม่ได้ ทุนต่างชาติไม่มา นักท่องเที่ยวลด เศรษฐกิจฟุบ คนตกงาน

(6 เม.ย. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ว่า…

ทรัมป์เพิ่งโพสต์ว่า “จีนจะเจ็บตัวมากกว่าสหรัฐฯ” !! ความเป็นจริง คือ เจ็บทั้งคู่ และ 🌎 #เจ็บทั้งโลก 🌎 !!

งานนี้หนักนะคะ  🇺🇸 #ทรัมป์ กับ 🇨🇳 #สีจิ้นผิง ต่างคนต่างงัดไม้แข็งมาฟาดใส่กัน  #ตาต่อตาฟันต่อฟัน  ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแบบชาติเล็กๆ ที่มี #เศรษฐกิจเปราะบาง อย่างไทยก็คงรอดยาก !!

แม้ว่าคู่ชกหลักของสหรัฐฯ คือ จีน !! แต่ชาติอื่นที่อยู่ใน supply chain ห่วงโซ่อุปทานของสองมหาอำนาจนี้ก็ต้องโดนเลขหางไปด้วย  #โดนลากให้พังไปด้วยกัน 

นายกฯ #สิงคโปร์  เตือนชัดเจนแล้วนะคะ #ระบบเศรษฐกิจแบบเดิมถูกทุบพังทะลายลงแล้ว ระบบโลกาภิวัตน์แบบเดิมถูกสับถูกหั่นเป็นชิ้นๆ การค้าโลกหดตัว

โลกจะแบ่งค่ายแบ่งขั้วชัดเจน แต่ละชาติจะถูกบีบให้ต้องเลือกข้าง 

ผู้นำชาติไหนที่ยังคง #ชะล่าใจ ก็จะเจอ #ความหายนะ อย่างหนักก่อนใครเช่นกันค่าาา

หุ้นร่วง ส่งออกไม่ได้ ทุนต่างชาติ FDI ไม่มา นักท่องเที่ยวลด เศรษฐกิจฟุบ ปิดโรงงาน คนตกงาน ขาดรายได้ สังคมแตกแยกหนักกว่าเดิม ฯลฯ ฃ

#ความล่มจมทางเศรษฐกิจ มาจ่อรออยู่หน้าประตูบ้านแล้วนะ #ไทยแลนด์ 

‘นายกฯ’ เชื่อการหารือบรรลุผล ส่ง ‘พิชัย’ เจรจาสหรัฐฯ ยันไทยไม่ใช่แค่ผู้ส่งออก แต่คือพันธมิตรหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้

(6 เม.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงถึงจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อสถานการณ์ภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึงร้อยละ 36 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และสินค้าเกษตร

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตั้งแต่ต้นปี และดำเนินการหารือกับภาคเอกชนและตัวแทนสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมส่ง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อหารือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง

“ประเทศไทยไม่ใช่แค่ผู้ส่งออก แต่คือพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เชื่อถือได้” น.ส.แพทองธาร กล่าว พร้อมเปิดเผยว่า ข้อเสนอของไทยจะครอบคลุมถึงการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น พลังงาน อากาศยาน และสินค้าเกษตร รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการป้องกันการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า และวางแผนขยายตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง ยุโรป และอินเดีย รวมถึงเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และยืนยันว่า “ประชาชนไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง รัฐบาลจะอยู่เคียงข้างและปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างถึงที่สุด”

โดยในวันอังคารที่ 8 เมษายนนี้ จะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปแนวทางอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

Volkswagen และ Audi สั่งเก็บรถยนต์ไว้ที่ท่าเรือสหรัฐฯ หลัง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประกาศเก็บภาษี 25% รถนำเข้าจากยุโรปและเม็กซิโก

(8 เม.ย. 68) บริษัท Audi ในเครือ Volkswagen กำลังเก็บรถยนต์ที่เดินทางมาถึงท่าเรือสหรัฐฯ หลังวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษี 25% กับรถยนต์ที่นำเข้า จากยุโรปและเม็กซิโก หลังการประกาศดังกล่าว บริษัทต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและพยายามหาทางออกเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเก็บภาษีนี้

Audi ระบุเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่ามีรถยนต์จำนวนหนึ่งถูกเก็บไว้ที่ท่าเรือของสหรัฐฯ เนื่องจากการนำเข้ารถยนต์ต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้องพิจารณาถึงผลกระทบในระยะยาวต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท ขณะที่หลายบริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังพยายามหาทางออกว่าจะตอบสนองต่อภาษีใหม่อย่างไร

ส่วนของ Volkswagen แบรนด์อื่นๆ ในกลุ่มบริษัทได้แจ้งว่า มีรถยนต์กว่า 37,000 คัน อยู่ในคลังสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพียงพอสำหรับการขายในตลาดประมาณ 2 เดือน ตามที่โฆษกของบริษัทกล่าว โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทในระยะเวลาอันใกล้ และยังต้องรอดูว่าจะมีมาตรการปรับตัวหรือการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การจัดจำหน่ายอย่างไรในอนาคต

โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ผลิตรถยนต์จะมีสินค้าคงคลังในสหรัฐอเมริกาประมาณ 3 เดือน ตามข้อมูลจาก Cox Automotive ผู้ให้บริการด้านยานยนต์ ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตมีเวลาหายใจและรักษาอุปทานไว้จนกว่าจะกำหนดกลยุทธ์ในระยะยาวสำหรับการรับมือกับภาษีศุลกากร

ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารระดับสูงของอุตสาหกรรมยานยนต์จะเข้าพบกับ เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานสหภาพยุโรปในช่วงบ่ายวันจันทร์เพื่อหารือถึงวิธีการตอบสนองต่อภาษีนำเข้า ขณะที่ หุ้นในยุโรป ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน เนื่องจากนักลงทุนหวั่นเกรงว่าราคาสินค้าจะสูงขึ้น ความต้องลดลง และอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก

ทั้งนี้ มาตรการเก็บภาษี 25% ของทรัมป์ เป็นการเพิ่มภาษีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการผลิตนอกสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการค้าที่ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในเวทีการค้าโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top