Saturday, 19 April 2025
พิมพ์ภัทราวิชัยกุล

'รมว.ปุ้ย' เสนอบังคับ 'มาตรฐานเหล็กเคลือบ' ผ่าน ครม. ฉลุย หลังประชาชนร้อง!! 'เหล็กเคลือบห่วย' เต็มท้องตลาด

(31 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ผลักดันให้มีการบังคับใช้มาตรฐานเหล็กเคลือบ ทั้งเคลือบสังกะสี อะลูมิเนียม แมกนีเซียม และเคลือบสี หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า มีการจำหน่ายเหล็กเคลือบไม่ได้มาตรฐานในท้องตลาด จึงได้เร่งรัดให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ดำเนินการบังคับใช้มาตรฐานโดยเร็ว เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าเหล็กเคลือบคุณภาพต่ำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่นำเหล็กเคลือบไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นอย่างมาก 

โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ครม. ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. … ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนพฤษภาคม 2568  

นอกจากนี้ ครม. ยังได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยประกายไฟ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขปัญหามลภาวะด้านฝุ่นละออง และควบคุมการระบายมลพิษจากแหล่งกำเนิด โดยใช้กลไกของกฎหมายในการควบคุมและกำกับดูแล เพื่อยกระดับมาตรฐานมลพิษทางอากาศที่เกิดจากยานยนต์ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับสากล (ยูโร 6) และพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ให้มีศักยภาพสูงขึ้น รวมทั้งเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนในด้านสุขภาพการได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ โดยมาตรฐานดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจาก ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับแล้ว สมอ. จะเร่งจัดทำกฎกระทรวง เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงนาม และนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ทั้งนี้ ผู้ทำ ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กเคลือบและรถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินดังกล่าว จะต้องขอรับใบอนุญาตทำ นำเข้าจาก สมอ. ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ สำหรับความคืบหน้าของการบังคับใช้มาตรฐานยูโร 6 ของรถยนต์ประเภทอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ สมอ. ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ และหน่วยงานภาครัฐ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์เตรียมความพร้อมและวางแผนการผลิตรถยนต์ตามกรอบระยะเวลาต่อไป  

'รมว.ปุ้ย' อัดฉีดสินเชื่อสีเขียว 15,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ 3% ด้าน SME D Bank ขานรับนโยบาย ดันเอสเอ็มอีมุ่งสู่อุตฯ สีเขียว

(6 ส.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในการเป็นประธานเปิด 'โครงการสินเชื่อ SME Green Productivity ยกระดับเพิ่มผลิตภาพเอสเอ็มอีสู่อุตสาหกรรมสีเขียว' ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนนโยบายด้านการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สานต่อนโยบาย Carbon Neutrality เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ 

ทางกระทรวงฯ จึงมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ยกระดับเพิ่มผลิตภาพเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ 'Green Industry' ซึ่งจะสร้างประโยชน์ช่วยให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพการแข่งขันสูงขึ้น ลดต้นทุนธุรกิจ และสามารถปรับตัวเข้ากับกฎกติกาการค้าใหม่ระดับสากลได้ ควบคู่กับเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ธรรมชาติ ภาคอุตสาหกรรมอยู่คู่ชุมชน เกิดการสร้างงาน กระจายรายได้ นำไปสู่สังคมแห่งความสุข สร้างรากฐานแข็งแรงอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย 

ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียว จำเป็นต้องใช้ความรู้ควบคู่เงินทุน เพื่อปรับเปลี่ยนระบบ อุปกรณ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ทว่า ปัจจุบัน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระบบที่มีกว่า 3.2 ล้านราย มากกว่าครึ่งเข้าไม่ถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงินในระบบ จำเป็นที่รัฐบาลต้องมาช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งทุน ผ่านโครงการ 'สินเชื่อ SME Green Productivity' วงเงิน 15,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ รมว.อุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เป็นหน่วยงานหลัก ทำงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ ภาครัฐและเอกชน สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีจุดเด่นเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพียง 3% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 10 ปี แถมปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือนแรก อีกทั้ง ผ่อนปรนเงื่อนไขและหลักทรัพย์ค้ำประกัน ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และมีระยะผ่อนชำระนานเพียงพอที่จะสามารถพัฒนายกระดับเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้อย่างราบรื่น

ตั้งเป้าจะสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนและเพิ่มผลิตภาพได้กว่า 1,500 ราย อีกทั้ง สร้างประโยชน์ เกิดการจ้างงานกว่า 24,000 อัตรา สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 68,700 ล้านบาท อีกทั้ง ช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในธุรกิจเอสเอ็มอีได้ประมาณ 345,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

ด้าน นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล ในการยกระดับเพิ่มผลิตภาพแก่เอสเอ็มอีให้เข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry ผ่านโครงการสินเชื่อ 'SME Green Productivity' โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เบื้องต้น 11 แห่ง ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, สถาบันยานยนต์, สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึง 'การพัฒนา' เติมทักษะความรู้ควบคู่กับพาเข้าถึง 'แหล่งทุน' ดอกเบี้ยต่ำ นำไปพัฒนา ปรับเปลี่ยนระบบ อุปกรณ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีผลิตภาพสูงขึ้น พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรมสีเขียว สร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนให้ประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายของรัฐบาล  

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ 'สินเชื่อ SME Green Productivity' แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ สาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

‘รมว.ปุ้ย’ ออกกฎเหล็ก คุมเข้ม!! ‘ไซยาไนด์’ ตามโรงงาน พร้อมกำชับต้องรายงานทุก 6 เดือน ป้องกันใช้ผิดวัตถุประสงค์

(13 ส.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล  น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว. อุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกรมโรงงานอุตสาหกรรมออกกฎ เข้มงวดกับโพแทสเซียมไซยาไนด์ ต้องได้รับการพิจารณาขออนุญาต ได้มีการพูดคุยกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือไม่ เพราะมีการซื้อซ้ำนำไปก่อเหตุในหลายคดี ว่า ตนได้สั่งการกรมโรงงานอุตสาหกรรมไปแล้วตั้งแต่คดีแอมไซยาไนด์ว่าให้มีการเคร่งครัด ซึ่งเรามีลิสต์รายชื่อโรงงานอยู่แล้ว ว่ามีโรงงานไหนบ้างที่ไซยาไนด์ไปประกอบกิจการ โดยให้เร่งรายงานมาจากที่ให้รายงานทุก ๆ 6 เดือน ก็ให้เร่งรายงานถี่ขึ้น เพื่อป้องกันการนำเอาไซยาไนด์ ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

เมื่อถามว่าล่าสุดมีการซื้อขายไซยาไนด์ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ น.ส.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ในส่วนนี้อยู่นอกเหนือกรมโรงงานอุตสาหกรรม แต่ความรับผิดชอบของตนคือการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมรายงานตัวเลขไซยาไนด์ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพื่อจะได้รู้ว่าปริมาณที่หายไปเป็นปริมาณที่เอากลับไปใช้จริงหรือลักลอบหายไป

'รมว.ปุ้ย' สั่ง สมอ.คุมเข้ม 'สินค้าด้อยคุณภาพ-ราคาถูก' แพลตฟอร์มข้ามชาติ พร้อมเดินหน้าจัดเก็บภาษี 'อีคอมเมิร์ซ' สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน

(14 ส.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติได้เข้ามาบุกตลาดสินค้าไทย ได้ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อธุรกิจ SME รวมถึงความไม่ปลอดภัยของประชาชนจากการใช้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน กระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินการตามภารกิจ 'Quick win' เพื่อสกัดกั้นสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่ สมอ. ควบคุม ทั้ง 144 รายการ ที่ สมอ. สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายเพื่อความปลอดภัยของประชาชน 

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรม ยังไม่ครอบคลุมสินค้าที่มีการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีจำนวนกว่า 1,000 รายการ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนร่วมดำเนินการควบคุมและกำกับติดตาม ทั้งกระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงดิจิทัลฯ,  กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค รวมทั้ง พิจารณาให้มีการจัดเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน โดยการกำหนดนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้เสียภาษีอย่างถูกต้องและไม่เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สมอ. ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งภารกิจ 'Quick win' กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด และทางออนไลน์ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 จนถึง เดือนกรกฎาคม 2567 ได้ยึดอายัดสินค้าไม่ได้มาตรฐานเป็นมูลค่า 322,420,097 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ เป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐานที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน มูลค่า 92,767,374 บาท คิดเป็น 29% จากทั้งหมด

นอกจากนี้ สมอ. ยังได้กำหนดมาตรฐานสินค้าเพิ่มในปีนี้อีกจำนวนกว่า 1,400 มาตรฐาน จากเดิมที่ประกาศใช้แล้วจำนวน 2,722 มาตรฐาน และอยู่ระหว่างดำเนินการประกาศเป็นสินค้าควบคุมอีกจำนวน 52 มาตรฐาน เพิ่มเติมจากเดิมจำนวน 144 มาตรฐาน ครอบคลุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เช่น ภาชนะและเครื่องใช้สแตนเลส กระทะ/ตะหลิว/หม้อ/ช้อน/ส้อม/ปิ่นโต/ถาดหลุม/ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุอาหาร/ถุงพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ/เตาหุงต้มในครัวเรือนใช้กับก๊าซปิโตรเลียมเหลว/ท่อยางและท่อพลาสติกสำหรับใช้กับก๊าซหุงต้ม/ฟิล์มติดกระจกสำหรับรถยนต์/ภาชนะพลาสติกสำหรับบรรจุน้ำบริโภค/ที่รองนั่งไฟฟ้าสำหรับโถส้วมนั่งราบ/ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก และแผงโซลาร์เซลล์ เป็นต้น 

นอกจากการดำเนินการข้างต้น สมอ. ยังมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อป้องกันการเข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์รายใหม่เพิ่มเติม ดังนี้...

1) เร่งทำความเข้าใจและชี้แจงข้อกฎหมายกับผู้ประกอบการที่ให้บริการขนส่งสินค้า และให้บริการดำเนินพิธีการศุลกากร (Shipping) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน 
2) สร้างความตระหนักให้ประชาชนเลือกซื้อสินค้าที่มีเครื่องหมายมาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์ 
3) บูรณาการการทำงานร่วมกับกรมศุลกากร เพื่อการนำเข้าสินค้าที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานจากแพลตฟอร์มออนไลน์ 
4) บูรณาการการทำงานร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เกี่ยวกับการควบคุมแพลตฟอร์มออนไลน์  
และ 5) บูรณาการการทำงานกับสภาองค์กรของผู้บริโภค เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างยั่งยืน

'รมว.ปุ้ย' เร่งต่อยอดความร่วมมือญี่ปุ่น เกื้อหนุน 'สตาร์ทอัป-อุตฯ สีเขียว' พร้อมส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทย

(22 ส.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หารือผู้ว่าราชการจังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น พร้อมด้วยเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่อต่อยอดความร่วมมือ ที่มีต่อกันมายาวนานกว่า 1 ทศวรรษ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และการส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ตอัปสู่เวทีสากล รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการเข้าร่วมงานนิทรรศการที่ประเทศญี่ปุ่น การส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทย และการจัดงานเจรจาจับคู่ธุรกิจไทย - ญี่ปุ่น เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการและขยายช่องทางดำเนินธุรกิจร่วมกัน

รมว.พิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายในการเพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาทักษะแรงงานและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับการผลิตและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ รวมถึงรณรงค์ให้ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เพื่อสนับสนุนการเติบโตแบบสมดุลและยั่งยืน อีกทั้งยังเน้นเรื่องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพและแนวโน้มการเติบโตสูง เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ รวมถึงรถพลังงานไฟฟ้า (EV) และอากาศยาน อุตสาหกรรมดิจิทัล - สตาร์ตอัป, อุตสาหกรรมการแพทย์ และอุตสาหกรรม BCG โดยเฉพาะการรีไซเคิลและพลังงานทางเลือก จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นจะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีอากาศยานร่วมกันได้ในอนาคต

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวอีกว่า ความก้าวหน้าด้านการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของจังหวัดไอจิ ที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งด้านเทคโนโลยีอากาศยาน พลังงานทดแทน และสตาร์ตอัป ดังนั้นกระทรวงอุตสาหกรรม จึงต้องการเร่งต่อยอดและขยายความร่วมมือไปสู่การร่วมคิดและร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับภาคอุตสาหกรรม ผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการของ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัปไทยแบบครบวงจรเข้าร่วมศูนย์สนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัป STATION Ai ของจังหวัดไอจิ เพื่อสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีระหว่างกัน 

นอกจากนี้ ทางจังหวัดไอจิ ยังได้กล่าวถึงการจัดงานนิทรรศการ AXIA EXPO 2025 (Aichi Transformation International Asia) และ Smart Manufacturing Summit 2025 ที่จังหวัดไอจิ ในเดือนมิถุนายนปี 2568 ภายใต้ธีมงานเมืองอัจฉริยะแห่งอนาคต (Smart Future Cities) นวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรม 5.0 (Innovation for Industry 5.0) และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Transformation) พร้อมทั้งข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ประกอบการไทยในการออกบูธ และเข้าร่วมกิจกรรมย่อยในงานฯ 

ทั้งนี้ งานนิทรรศการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย ที่ได้มีการกำหนดไว้ภายในปี 2593 (Carbon Neutrality 2050) นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้มีการนำแนวคิดการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) มาเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยเพื่อให้ภาคการผลิตมีความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ก่อนแล้ว 

ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยได้เข้าร่วมเพื่อแสดงผลงานและศักยภาพ ตลอดจนเชื่อมโยงเครือข่ายกับผู้ประกอบการต่างชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และสร้างเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากลต่อไป

“ตั้งแต่ปี 2557 ที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และจังหวัดไอจิ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกันเพื่อร่วมกันสนับสนุนและยกระดับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมไทย - ญี่ปุ่นนั้น ทั้งสองหน่วยงานได้มีการประสานความร่วมมือและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันเป็นอย่างดี โดยปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 10 ปี สำหรับความร่วมมือระหว่างกัน ดิฉันจึงขอใช้โอกาสนี้ในการขอบคุณ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดไอจิ สำหรับความร่วมมือที่ดีมาโดยตลอด และขอให้ท่านยังคงที่จะสนับสนุนและสานต่อความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายให้เติบโตยิ่งขึ้น ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของกันและกัน” 

"ทั้งนี้ นโยบายของรัฐบาลยังคงมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาทักษะแรงงาน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการสร้างสตาร์ตอัป ผ่านการบ่มเพาะและสนับสนุนแบบครบวงจรด้วยระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เหมาะสมเพื่อเอื้อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยมั่นใจได้ว่า ศูนย์สนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัป STATION Ai ของจังหวัดไอจิ จะเป็นส่วนสนับสนุนในการพัฒนาอุตสาหกรรมสตาร์ตอัป ของทั้ง 2 ประเทศ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังหวังว่าสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม และจังหวัดไอจิ ที่ดำเนินมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 1 ทศวรรษนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลไทยตั้งเป้าพัฒนาศักยภาพ ให้เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ยกตัวอย่าง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอากาศยาน และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับอุตสาหกรรมหลักของจังหวัดไอจิ เพื่อให้เกิดเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ที่จะเติบโตและก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน" รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวทิ้งท้าย

'รมว.ปุ้ย' อำลากระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการแห่ส่งแน่น ยกเป็นผู้นำที่ดีมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม

(6 ก.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ เดินทางเข้ากระทรวงฯ ในโอกาสอำลาตำแหน่ง โดยได้กล่าวขอบคุณข้าราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ทำงานร่วมกันตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็ม โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ให้การต้อนรับกันอย่างเนืองแน่นด้วยรอยยิ้มและเสียงปรบมือ 

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ตนมีความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับทุกท่าน ขอบคุณจากหัวใจ ที่ได้สร้างภาพจำที่ดีให้กับกระทรวงฯ ทั้งนี้ ความสำเร็จต่าง ๆ จะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลยหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากชาวกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีความรู้ความสามารถ และได้ส่งพลังงานดี ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ทุกคนมีรอยยิ้มที่กว้างกว่าวันแรกที่เข้ามาทำงาน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าทุกท่านจะร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านและครอบครัวของพวกเราต่อไป 

ด้านนายณัฐพล กล่าวว่า 1 ปี ที่ผ่านมา รัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา เป็นผู้นำที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม สามารถทำงานร่วมกับข้าราชการในทุกระดับเป็นอย่างดี ขอบคุณท่านที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ช่วยเหลือชุมชน ผู้ประกอบการ และได้ผลักดันนโยบาย รื้อ ลด ปลดสร้าง ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตนในฐานะตัวแทนของผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขอกราบขอบพระคุณ และพร้อมที่จะสานต่อนโยบายต่อไป 

จากนั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ พระภูมิ และองค์พระนารายณ์ ก่อนเดินทางออกจากกระทรวงอุตสาหกรรมไปในช่วงเช้า

‘สส. ปุ้ย พิมพ์ภัทรา’ ย้ำ “ทำหน้าที่ เจ้าบ้านที่ดี” หลังถูก ‘สนธิญาณ’ โพสต์โจมตี ด้านอินฟลูฯ เดือด! อัดคลิปแจงแทน

(3 มี.ค. 68) จากกรณีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย อดีตแกนนำ กปปส. ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘สนธิญาณ story’ กรณีปรากฏภาพ สส.ปุ้ย นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส. นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ ยกมือไหว้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในงานทำบุญที่อ.สิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุข้อความว่า อุดมการณ์ กปปส. รวมไทยสร้างชาติ เลขาพรรค เป็น พยาน คดี ๑๑๒ ส.ส.อดีตรัฐมนตรี ไหว้ทักษิณ อย่างนอบน้อม

ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย - ไม่เหมาะสม แต่บางส่วนก็มองว่า สส.ปุ้ย อยู่ในฐานะเจ้าบ้าน และปัจจุบัน พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ อีกทั้งตัว สส.ปุ้ยเอง ก็เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อีกด้วย จึงไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะสมแต่อย่างใด

ขณะที่ ทางด้าน นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ได้โพสต์ข้อความสั้น ๆ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า ทำหน้าที่ เจ้าบ้านที่ดี

นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้ Tiktok ชื่อบัญชี djchangtiktok ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมโพสต์คลิปบรรยากาศช่วงที่ สส.ปุ้ย ซึ่งถูกนายนัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เรียกหา เพื่อขึ้นเวทีมาทักทายพี่น้องประชาชนที่มาร่วมในงานบุญ เมื่อขึ้นมาถึง สส.ปุ้ย ก็ได้ยกมือไหว้ซ้ายทีขวาที แต่ทางด้านซ้ายมีนายทักษิณ ยืนอยู่พอดี และก็มีการยกมือรับไหว้ ทำให้เกิดการนำภาพนิ่งไปปั่นกระแสจนเป็นประเด็นขึ้นมา โดยเจ้าของบัญชี djchangtiktok ยังได้กล่าวด้วยว่า มีคนพยายามนำภาพดังกล่าวไปสร้างกระแสเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดในตัว สส. ปุ้ย พร้อมกล่าวถึงคนที่พยายามทำเรื่องนี้ว่า ให้นำความจริงไปทำคอนเทนต์ อย่านำเรื่องที่ไม่จริงไปปั่นกระแส เพราะคนเค้ากินข้าวไปไม่ได้กินหญ้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top