Saturday, 19 April 2025
พิจิตร

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ส่งต่อเครื่องผลิตออกซิเจน รักษาผู้ป่วย รพ.สมเด็จพระยุพราชตะพานหิน จ.พิจิตร

5 สิงหาคม เวลา 10.00 น. นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ มอบเครื่องผลิตออกซิเจน ขนาด 5 ลิตร จำนวน 9 เครื่อง มูลค่าเครื่องละ 27,900 บาท เป็นเงิน 251,100 บาท ให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ตะพานหิน จ.พิจิตรเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมี นายแพทย์สุธน  ชินวุฒิ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลและคณะ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน จ.พิจิตร

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า สำหรับเครื่องผลิตออกซิเจนที่นำมามอบให้กับโรงพยาบาลในวันนี้ เป็นเครื่องมือบริการทางการแพทย์ ที่ทางมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ร่วมกับคณะกรรมการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา นำไปมอบให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเพื่อไว้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ  ทั้งนี้ การมอบเครื่องผลิตออกซิเจน จำนวน 9 เครื่อง ให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน  ถือว่าเป็นกิจกรรมตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์  ที่สนับสนุนงานด้านสาธารณสุขของประเทศ

ด้าน นายแพทย์สุธน  ชินวุฒิ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน กล่าวว่า ในนามโรงพยาบาล ขอขอบคุณ คุณเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์เป็นอย่างสูงที่ได้มอบเครื่องผลิตออกซิเจนให้ในวันนี้  โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสะพานหิน จังหวัดพิจิตร  เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 90 เตียง ให้บริการผู้ป่วยในอำเภอตะพานหินและอำเภอใกล้เคียง ในปี 2566 มีผู้รับบริการรวมเกือบ 200,000 คน โดยการได้รับเครื่องผลิตออกซิเจน ในครั้งนี้ ทางโรงพยาบาลจะนำไปให้บริการ สำหรับผู้ป่วยที่มารับบริการต่อไป

'มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์' จับมือ 'มูลนิธิยังมีเรา' สถานีท็อปนิวส์ และ 'ไทยสมายล์กรุ๊ป' ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยผู้ประสบอุทกภัย จ.พิจิตร

(6 ก.ย.67) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย นายประวิทย์ สุขนิมิต ผู้จัดการมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อป นิวส์ กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป และพลังภาคีเครือข่ายลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ จำนวน 211 ชุด เพื่อช่วยเหลือและเยี่ยมขวัญกำลังใจแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพิจิตร โดยมี ชาวบ้านในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ ณ วัดรังนก ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ มูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อป นิวส์ กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป และพลังภาคีเครือข่าย มีความห่วงใยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย 

ในวันนี้หน่วยงานดังกล่าวจึงได้พร้อมใจกันนำถุงยังชีพซึ่งเป็นสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง มามอบให้แก่ชาวบ้านผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านรังนก หมู่ที่ 4 บ้านเกาะสาลิกา หมู่ที่ 11 บ้านปากคลอง และหมู่ที่ 12 บ้านย่านยาว อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ซึ่งสิ่งของที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้รับบริจาคมาจากบริษัท ไบ่ ลี่ เอ็นเตอร์ไพร์ส จํากัด กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป และเครือข่ายภาคเอกชน รวมทั้งมูลนิธิยังได้มอบเรือไฟเบอร์กลาส จำนวน 2 ลำ ที่ได้รับบริจาคมาจากกลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป เพื่อมอบให้กับทางจังหวัดพิจิตรไว้ใช้ประโยชน์ในการนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 

นางเธียรรัตน์ กล่าวต่อว่า การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมกับมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อป นิวส์ กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป ผู้ให้บริการรถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้นำถุงยังชีพมามอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยและนำเรือไฟเบอร์กลาสมามอบให้จังหวัดพิจิตรในครั้งนี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน เติมกำลังใจ ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย 

ที่สำคัญมูลนิธิหัวใจบริสุทธ์เรามีความห่วงใยและให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และกลุ่มเปราะบางในแต่ละพื้นที่ เช่นเดียวกับการลงพื้นที่มายังจังหวัดพิจิตรในครั้งนี้ เพื่อให้ได้เข้าถึงการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ อย่างทั่วถึง และสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหลักที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ ต่อชุมชน สังคม ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ยังคงเดินหน้าส่งต่อธารน้ำใจร่วมกับพลังเครือข่ายภาคเอกชนถึงผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่ต้องการขอรับความช่วยเหลือต่อไป

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ลงพื้นที่พิษณุโลก-พิจิตร ให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย สั่งเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูเยียวยาให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว กำชับบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม พร้อมเตรียมวางแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน 

เมื่อวันที่ (13 ต.ค. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดพิจิตร เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมว่า ตนพร้อมด้วย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดพิจิตร เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน พร้อมพบปะและให้กำลังใจประชาชน โดยได้เข้ารับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหา พร้อมมอบนโยบายให้กับหัวหน้าส่วนราชการ จากนั้นลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ทุ่งบางระกำ ณ  วัดพรหมเกษร อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดพิจิตร พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบอุทกภัย และลงเรือมอบถุงยังชีพให้กับพี่น้องประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่บ้านเกาะสาริกา อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร  

นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ และได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือและเยียวยาผลกระทบ เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเร็วที่สุด การลงพื้นที่ในวันนี้ ได้รับทราบสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน และได้เห็นสภาพปัญหาความเดือดร้อนจาก อุทกภัยที่เกิดขึ้น จึงได้สั่งการให้วางแผนการเร่งระบายน้ำท่วมขังโดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งวางแผนบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อของปลายฤดูฝนเข้าสู่ฤดูแล้ง จึงต้อง รอบคอบรัดกุมในการบริหารจัดการน้ำ พร้อมเร่งสำรวจและเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำสำรองไว้เพื่อใช้ในช่วงฤดูแล้งนี้ด้วย นอกจากนี้ ให้เร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนให้มีความมั่นคงแข็งแรง 
.
นายประเสริฐ กล่าวว่า ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว จะต้องเร่งทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้สอดคล้อง กับสถานการณ์และบริบทเชิงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาวางแผนการพัฒนาโครงการที่สามารถรองรับ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่ต้องครอบคลุมพื้นที่แบบรายลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำรวมทั้งต้องสอดรับกับการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเกิดประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน สำหรับโครงการบางระกำโมเดลถือว่าเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการน้ำ เป็นแก้มลิงธรรมชาติที่สามารถรองรับน้ำหลากในช่วงฤดูฝน ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี 

“จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่านและรับฟังสภาพปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการบริหาร จัดการน้ำในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และปริมาณน้ำที่ยังท่วมขังลดลงโดยเร็วที่สุด จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ 1. เร่งระบายน้ำท่วมในพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัยให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว , 2. เร่งดำเนินการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ ให้แข็งแรง รวมทั้งตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยเขื่อนให้มีความมั่นคงแข็งแรง , 3. ทบทวนเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ , 4 กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว พร้อมวางแผนการพัฒนาโครงการที่สามารถรองรับการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 5. สำรวจและพิจารณาแหล่งเก็บกักน้ำสำรองไว้เพื่อใช้ในช่วงฤดูแล้งปี 2567/68” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าวย้ำ 

ชณะที่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช.กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย 19 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ สุโขทัย อุดรธานี กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มหาสารคาม อุบลราชธานี ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และนครปฐม ซึ่ง สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินติดตามคาดการณ์การเกิดพายุที่จะ ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสที่จะเกิดพายุได้อีก 1 ลูก อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนี้ – 20 ต.ค. 67 ยังไม่พบความเสี่ยงในการก่อตัวของพายุที่จะเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศไทย ส่วนสถานการณ์น้ำของแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จำนวน 3,857 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 452 ล้าน ลบ.ม. หรือ 87% โดยมีอ่างฯขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว คือ อ่างฯแม่มอก มีปริมาตรน้ำ 105 ล้าน ลบ.ม. หรือ 96% ส่วนแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน จำนวน 4,334 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 10,051 ล้าน ลบ.ม. หรือ 94% โดยมีอ่างฯขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ อ่างฯสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำ 8,965 ล้าน ลบ.ม. หรือ 94% และ อ่างเก็บน้ำแควน้อยบำรุงแดน มีปริมาตรน้ำ 746 ล้าน ลบ.ม. หรือ 79% 

สำหรับแผนงานโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของจังหวัดพิษณุโลก ได้รับอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อ กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2567 จำนวน 30 รายการ ประกอบด้วยกิจกรรม ก่อสร้างใหม่ (ระบบกระจายน้ำและระบบประปา) / ซ่อมแซมและบำรุงรักษา และปรับปรุง (คุณภาพน้ำ ระบบกระจายน้ำ ระบบประปา ระบบระบายน้ำ และสระเก็บน้ำเพื่อ การเกษตรและอุตสาหกรรม) สามารถเพิ่มปริมาณน้ำได้0.37 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 449 ครัวเรือน พื้นที่รับ ประโยชน์ 10,843 ไร่ เช่น การปรับปรุงดาดคอนกรีตคลองส่งน้ำ P.R.-64.0R.(C-32) โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาพลายชุมพล ตำบลบ้านไร่ อำเภอบางกระทุ่ม, การก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สนับสนุนพื้นที่โครงการจัดทำที่ดินทำกินให้ ชุมชนตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย, การปรับปรุงพนังกั้นน้ำฝั่งขวาแม่น้ำ แคววังทอง ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง เป็นต้น 

ในส่วน จังหวัดพิจิตร ได้รับอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2567 จำนวน 18 รายการ ประกอบด้วยกิจกรรม ก่อสร้างใหม่ (น้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภค ระบบกระจายน้ำ และระบบประปา) และขุดลอก (ระบบ กระจายน้ำ) มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 0.35 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ 780 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 661 ไร่ เช่น อาคารบังคับน้ำบ้านทุ่งใหญ่ ตำบลบ้านทุ่งใหญ่ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง, โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบกระจายน้ำประปาชุมชน รูปแบบที่1 หมู่ที่ 2 บ้านบึงบัวใน อบต.บึงบัว อำเภอวชิรบารมี, เพิ่มประสิทธิภาพระบบผลิตน้ำประปาขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 10 ลบ.ม.ต่อชั่วโมง บ้านหนองปรือ หมู่ที่ 4 อบต.ดงเสือเหลือง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง เป็นต้น

พิจิตรรับสมัคร นายก อบจ.พิจิตร เจ้าสัวประดิษฐ์ปั่นหลานชายลงแข่งกับญาติผู้น้องชิงเก้าอี้ นายก เมืองชาละวัน

(23 ธ.ค.67) ที่สนามฟุตซอล ภายในสนามกีฬาจังหวัดพิจิตร ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร  คณะกรรมการการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร  ได้จัดให้มีการรับสมัคร นายก อบจ.พิจิตร และ สมาชิกสภา อบจ.พิจิตร หรือ สจ. บรรยากาศของผู้สมัครทั้ง 2 ทีม คือ ทีมของ พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ 'ผู้กำกับกบ' อดีตนายก อบจ.พิจิตร ที่สวมเสื้อยืดสีเหลืองคอปกสีเขียว และทีมของ นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา ซึ่งเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งมาในทีม บ้านเขียว ที่สวมเสื้อยืดสีเขียว แจ๊คเก็ตสีขาว มาแสดงตนในคูหารับสมัครก่อนเวลา 08.30 น. คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงให้จับสลากผลปรากฏว่า  พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ 'ผู้กำกับกบ' อดีตนายก อบจ.พิจิตร ได้เบอร์ 1, นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา ได้เบอร์ 2 นอกจากนี้ก็มี นายประชา โพธิ์ศรี ซึ่งเป็นผู้สมัครอิสระ แต่สวมเสื้อพรรคประชาชน มาสมัครและ ได้เบอร์ 3

จากนั้นบรรดาผู้สมัคร สจ.เขต ของแต่ละทีม ซึ่งจังหวัดพิจิตร มี สจ.เขต ได้ 30 คน/ 30 เขต  ซึ่งทั้ง 2 ทีม ต่างส่งครบเพื่อแข่งขันกันยึดพื้นที่และหาคะแนนเสียงในแต่ละเขตเพื่อจะได้หนุนหัวหน้าทีม ส่วนผู้สมัครเบอร์ 3 ที่ลงอิสระบินเดี่ยวมาคนเดียวไม่มีทีม สจ.เขต ดังนั้นเมื่อถึงเวลาคณะกรรมการการเลือกตั้งก็เรียกผู้สมัคร สจ.ของแต่ละเขต ทีละเขตเพื่อให้ตกลงกันว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ ว่าจะเอาเบอร์อะไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีผู้ลงสมัครแค่ 2 คน ในแต่ละเขตจะมี 3 คน แค่เพียง 2-3 เขต เท่านั้น แต่ปรากฏว่าสิ่งที่ทำให้คอการเมืองวิพากษ์วิจารณ์ก็คือ ลูกหาบของผู้สมัคร นายก เบอร์ 2 กลับไม่ยอมที่จะใช้เบอร์ 2 แต่ขอเสี่ยงดวงจับสลากแย่งชิงเบอร์ 1 ทำให้ในหลายเขตหัวหน้าทีมกับลูกทีมต่างได้เบอร์ไปคนละทิศละทางจึงทำให้บรรดากองเชียร์ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆกัน ว่าสุดท้ายเค้าแข่งกันแบบไหนกันแน่ 

สำหรับบรรยากาศก่อนการสมัครในทีมของ พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ 'ผู้กำกับกบ' อดีตนายก อบจ.พิจิตร เบอร์ 1 ต่างเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ ไม่มีการส่งเสียงเชียร์ สุภาพเรียบร้อย ซึ่งเป็นสไตล์ของ 'ผู้กำกับกบ' ในเอกลักษณ์ของ Police Man     

ซึ่งแตกต่างกับทีมของบ้านเขียวที่ส่ง นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา เบอร์ 2 ซึ่งเป็นหลานชายของ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เจ้าสัวหมื่นล้านพี่ใหญ่ของตระกูลภัทรประสิทธิ์ ที่ก่อนหน้านั้นเคยเชียร์ญาติผู้น้อง คือ พ.ต.อ. กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ 'ผู้กำกับกบ' แต่เที่ยวนี้กลับใจปั่นหลานชายมาแข่งกับญาติผู้น้อง โดย นายประดิษฐ์ พาแกนนำหัวคะแนนตะโกนเสียงดังเป็นการข่มขวัญตัดไม้ข่มนาม 'ผู้กำกับกบ' ซึ่งเป็นญาติผู้น้อง แบบสิ้นเยื่อใยความเป็นญาติพี่น้อง รวมถึง นายวินัย ภัทรประสิทธิ์ ส.ส.พิจิตร เขต 2 , นายภัทรพงศ์  ภัทรประสิทธิ์ ส.ส.พิจิตร เขต 1 ที่ก้าวขึ้นมาเป็น สส.พิจิตร ในช่วงที่ 'ผู้กำกับกบ' ดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.พิจิตร ก็เอา สจ.ในทีมช่วยหนุนช่วยดัน นายวินัยญาติผู้พี่ และ นายภัทรพงศ์  หลานชายให้ได้เป็น สส.พิจิตร 

แต่มาในสนาม อบจ.พิจิตร ครั้งนี้ญาติผู้พี่และหลานชายต่างย้ายค่ายจะมาล้ม “ผู้กำกับกบ” เสียเอง ในส่วนของ สจ.ทั้ง 30 เขต ที่ในอดีตรวมกันเป็นหนึ่งเดียว พอถึงวันนี้ก็เหมือนสถานการณ์ 'ตกปลาในบ่อเพื่อน' ทีมบ้านเขียวก็ตกปลาจากบ่อของ “ผู้กำกับกบ” ไปเกือบครึ่ง แต่กลุ่ม สจ.หน้าเก่าที่มีดีกรีเป็น สจ.หลายสมัย หลายท่าน ต่างปักหลักขออยู่ทีม “ผู้กำกับกบ” แต่ สจ.หน้าใหม่แค่พรรษาเดียวต่างย้ายค่ายไปอยู่กับทีมบ้านเขียวกันเป็นแถว

ดังนั้นศึกครั้งนี้จึงนับได้ว่าเป็นศึกสายเลือดของครอบครัว “ตระกูลภัทรประสิทธิ์” ที่ลงสนามแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองกันเอง ในส่วนของพรรคการเมืองอื่นๆ อย่างเช่น สจ.ในมุ้งของเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย ต่างมาลง สจ.เขต อยู่กับทีม “ผู้กำกับกบ” ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่มี นายไพฑูรย์ แก้วทอง ราษฎรอาวุโส และเป็นบิดาของ นายนราพัฒน์ แก้วทอง ปัจจุบันเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ส่ง สจ.เขต แต่ก็มีนัยยะว่าสนับสนุนทีม “ผู้กำกับกบ” ดังนั้นศึกการเลือกตั้ง นายก – สจ. เมืองชาละวันคงต้องรอดูว่าละครดัง หนังยาว เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไรต่อไป
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top