Friday, 6 June 2025
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ

ผบ.ตร.สั่งย้ำทุกหน่วยคงเข้มเร่งช่วยเหลือประชาชนเหตุแผ่นดินไหวต่อเนื่อง ระดมตำรวจดูแลมิติจราจร งานอาชญากรรมป้องกันมิจฉาชีพซ้ำเติมประชาชนทุกรูปแบบ พร้อมส่งชุดปฏิบัติการพิเศษร่วมค้นหาผู้รอดชีวิต เปิดหน่วยนิติเวช ตรวจDNA เปรียบเทียบ 

(30 มี.ค. 568) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการดูแลพี่น้องประชาชนหลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหว ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการทุกหน่วยยังคงความเข้มในการดำเนินการบูรณาการร่วมหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกการจราจร ตลอดจนการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน หลังเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่ผ่านมา โดยให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) และศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า (ศปก.สน.) ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อบริหารจัดการร่วมกับหน่วยต่างๆ  ดังนี้

1) การช่วยค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหตุตึกถล่ม และการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล : ได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ส่งกำลังพลชุดปฏิบัติการเข้าร่วมช่วยเหลือ ทั้งในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , ตำรวจภูธร รวมทั้งมีสุนัขตำรวจ และโดรนตรวจจับความร้อน ร่วมหน่วยเกี่ยวข้องสำรวจช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในภายในตึก ซึ่งขณะนี้ยังร่วมทำงานเข้มข้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสั่งการให้สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ทำการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล พร้อมขอฝากประชาสัมพันธ์ญาติผู้ได้รับผลกระทบสูญหายจากเหตุอาคารถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว ให้มาตรวจเก็บ DNA เพื่อตรวจเปรียบเทียบได้ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ  

2) การดูแลอำนวยการจราจร : ได้สั่งระดมตำรวจจราจรทุกพื้นที่ออกให้การจราจรดูแลพี่น้องประชาชน มีกองบังคับการตำรวจจราจรเป็นหน่วยงานในการบริหารจัดการจราจร  มีการจัดกำลังเป็นชุดปฏิบัติรถนำรถพยาบาล ขนย้ายผู้ป่วย ขนย้ายเครื่องมือ กำลังพล เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเหตุได้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ขณะนี้ภาพรวมการจราจรเริ่มสู่สถานการณ์ปกติ เหลือเพียงจุดด่วนดินแดงที่ยังปิดให้บริการ ซึ่งได้ประสานงานกับเอกชน เพื่อให้สามารถเปิดการจราจรให้เร็วที่สุดและต้องปลอดภัยที่สุดด้วย 

3) การดูแลความปลอดภัย : ได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจนครบาลที่มีการเปิดสวนสาธารณะ หรือสถานที่อื่นๆ ให้เป็นที่พักชั่วคราวของประชาชน ต้องจัดสายตรวจดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งการเพิ่มความเข้มป้องกันมิจฉาชีพที่จะฉวยโอกาสซ้ำเติมพี่น้องประชาชน โดยจะต้องเพิ่มวงรอบตรวจตรามากขึ้น รวมทั้งการปฏิบัติการทางสื่อโซเชียล ออนไลน์ โดยมอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์เฝ้าระวังการส่ง SMS หรือกลลวงต่างๆ ที่จะไปหลอกหลวงประชาชน หากพบให้รีบดำเนินการจับกุม มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง 

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกับกำลังพลทุกภาคส่วน “ทุกวินาทีมีค่า” ตำรวจจะต้องทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องในห้วงนี้ ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เร่งสนับสนุน ช่วยเหลือค้นหาผู้ประสบภัย รักษาชีวิต จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย รวมทั้งการปกป้องรักษาความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน การดูแลอำนวยความสะดวกการจราจรอย่างเต็มกำลัง รวมทั้งได้สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ลงไปตรวจสอบดูแลอาคาร ที่พัก ความปลอดภัยของข้าราชการตำรวจ ดูแลสวัสดิการความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชา และช่วยเหลือทุกด้าน

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการความเหลือสามารถติดต่อที่หมายเลข 191 หรือ 1599 หรือติดต่อสอบถามการจราจรที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจรกลาง 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือน เด็ดขาด รุกปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ พร้อมเสริมสวัสดิการ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับตำรวจและครอบครัว

(23 เม.ย. 68) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ และ พล.ต.ต.วรศักดิ์                 พิสิษฐบรรณกร รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รอบ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 มีนาคม 2568 ณ สารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

1. ผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรม 4 กลุ่ม 
- คดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ : จับกุม 9,183 คดี ผู้ต้องหา 12,329 คน 
- คดีชีวิต ร่างกายและเพศ : จับกุม 29,213 คดีผู้ต้องหา 34,876 คน 
- คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ : จับกุม 6,924 คดี ผู้ต้องหา 8,380 คน 
- คดีที่น่าสนใจหรือรัฐเป็นผู้เสียหาย : จับกุม 263,731 คดี ผู้ต้องหา 275,514 คน

2. ผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน 
2.1 มาตรการปราบปรามยาเสพติด 
- ผลการปราบปรามยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 123,910 คน , ข้อหาฟอกเงิน 146 คดี ของกลางยาบ้า 510,211,182 เม็ด , ไอซ์ 29,604.74 กิโลกรัม , เคตามีน 3,926.78 กิโลกรัม , เฮโรอีน 880.20 กิโลกรัม , ยาอี 118,230 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์สิน 4,986,222,913 บาท
- มาตรการสกัดกั้นและปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดตามแนวชายแดนและพื้นที่ตอนในของประเทศ Seal Stop Safe ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2568 จับกุมข้อหาร้ายแรง 23,270 คดี ของกลางยาบ้าและยาอี รวม 200.64 ล้านเม็ด และไอซ์ , เคตามีน , เฮโรอีน รวม 11 ตัน ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,414.66 ล้านบาท โดยมีการจับกุมและการยึดทรัพย์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19 - 79 เมื่อเทียบจากปี 2567
- ผลการจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 3 เมษายน 2568 จับกุมผู้ต้องหา 2,260 คน ของกลาง 1,106,936 ชิ้น มูลค่า 218,499,239 บาท , การจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ หรือมูลค่าของกลาง 5 แสนบาทขึ้นไป และแก๊สหัวเราะ (รวมยอดของกรมศุลกากร) จำนวน 26 คดี ผู้ต้องหา 27 คน ของกลาง 1,297,111 ชิ้น มูลค่า 264,492,100 บาท , คดีฟอกเงิน 22 คดี ของกลาง 839,948 ชิ้น มูลค่าของกลาง 202,863,310 บาท , ระงับ/ปิดกั้น URL ที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า 11,106 URL และปิดกั้นเพจเฟซบุ๊กตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 1,687 เพจ 

2.2 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 
จำนวนคดีที่รับแจ้งความในระบบแจ้งความออนไลน์ 126,400 คดี ออกหมายจับ 327 คดี มีผลการจับกุม 152 คดี พนักงานอัยการสั่งฟ้องคดี จำนวน 125 คดี 
ผลการจับกุมอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกประเภท 22,551 ราย บัญชีม้า 4,558 ราย การพนันออนไลน์ 35,174 ราย

การช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างไทยและกัมพูชา อีกทั้งนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบในส่วนของ ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) ส่งผลให้สามารถปราบปรามขบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทางการกัมพูชาได้ควบคุมตัวคนไทย ผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองปอยเปต และส่งตัวกลับมายังประเทศไทย เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ทางการกัมพูชาได้ควบคุมตัวคนไทยจำนวน 119 ราย  ซึ่งผลการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพและพนักงานสอบสวน พบว่า ผู้ต้องหา 100 รายมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อีก 15 รายอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยศาลได้อนุมัติหมายจับรวมทั้งสิ้น 102 ราย รวมถึงหัวหน้าแก๊งชาวจีนจำนวน 2 ราย 

ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 ครั้งที่ 1 ทางการกัมพูชาได้ควบคุมตัวคนไทยจำนวน 56 ราย  ซึ่งผลการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพและพนักงานสอบสวน พบว่า ผู้ต้องหา 49 รายมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อีก 17 รายอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ในข้อหาสำคัญ ได้แก่ ร่วมกันเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, อั้งยี่, ซ่องโจร, ฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ขบวนการดังกล่าวมีพฤติการณ์ในการหลอกลวงประชาชนรูปแบบต่าง ๆ เช่น การหลอกลงทุนเทรดหุ้น โรแมนซ์สแกม การพนันออนไลน์ และการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง

2.3 ค้ามนุษย์ อาวุธปืน อาวุธสงคราม หนี้นอกระบบ ผู้มีอิทธิพล คนต่างด้าวผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ 1) ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงป้องกันการค้ามนุษย์ 1,263 ครั้ง ดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์และความผิดที่เกี่ยวข้อง จำนวน 116 คดี จับกุมผู้ต้องหา 150 คน , คัดกรอง (NRM) 15,819 คน พบข้อบ่งชี้อาจเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ 1,543 คน , ตรวจเรือประมง 1,128 ลำ จับกุมเรือประมง 19 คดี ผู้ต้องหา 20 คน ,  สถิติ CyberTip 142,015 เรื่อง และจับกุมคดีล่วงละเมิดเด็กทางอินเตอร์เน็ต 43 คดี 
2) เปิดยุทธการกวาดล้างผู้มีอิทธิพล 
- “CIB ขยี้อิทธิพล” เป้าหมายผู้มีอิทธิพล 47 เป้าหมาย กลุ่มแก๊งอาชญากรรม 74 เป้าหมาย จับกุม 109 คน ตรวจยึดยานพาหนะ 168 คัน อาวุธปืน 18 กระบอก เครื่องกระสุน 252 นัด , ยาเสพติด และอื่นๆ 
- “ธรณีนี้ มีขื่อ มีแป” เป้าหมายตรวจค้น 667 จุด 89 หมายจับ จับกุม 218 คน ตรวจยึดรถยนต์ 64 คัน รถจักรยานยนต์ 250 คัน อาวุธปืน 266 กระบอก พร้อมกระสุน 5,743 นัด , ระเบิด และยาเสพติด 
3) กำหนดพื้นที่แก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดน หมู่บ้านเป้าหมายหลัก 4,639 หมู่บ้าน หมู่บ้านเป้าหมายรอง     (เฝ้าระวัง) 21,669 หมู่บ้าน ดำเนินการผลักดันส่งกลับคนต่างด้าว 50,918 ราย ลงข้อมูลบัญชีบุคคลต้องห้าม 1,330 ราย

3. การดำเนินการที่สำคัญ 
3.1 มาตรการ 7 ขั้นตอน ป้องกันคนต่างด้าวถูกหลอกลวงหรือเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 
สรุปผลการปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2568 มีการตั้งจุดตรวจ 17,908 จุด , ตรวจสอบยานพาหนะ 806,952 คัน , มีการตรวจสอบป้ายทะเบียนรถและใบหน้าบุคคล 22,828 ข้อมูล , ตรวจสอบสถานที่พัก สถานีขนส่ง จุดพัก ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่าง ๆ 20,482 แห่ง จำนวน 24,537 ครั้ง , จับกุมคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย 1,962 ราย , ปฏิเสธการเข้าเมือง 2,367 ราย เพิกถอนการอนุญาต 202 ราย , ประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ ผ่านทุกช่องทาง , ดำเนินการทางปกครอง รวมจำนวน 7 ราย และการประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การเดินทางข้ามแดนโดยผิดกฎหมายและการกระทำความผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

3.2 แนวทางการบริหารจัดการคดีสำคัญต่าง ๆ  มีการบริหารจัดการคดีสำคัญต่างๆ อาทิ กรณีเพลิงไหม้รถนักเรียน มีการตั้ง ศปก.ส่วนหน้า บริหารเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมดำเนินคดีทุกข้อหากับคนขับและผู้ที่เกี่ยวข้อง , คดีไอคอนกรุ๊ป มีการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งความทั่วประเทศ , กรณีคดีห้างเพชรทองเคทูเอ็น (ตั๊ก-เบียร์) และห้างเพชรทองธาดาโกลด์ (ใบหนาด) มีการเปิดช่องทางสายด่วน 1599 เพื่อเป็นศูนย์รับแจ้งเหตุให้กับผู้เสียหาย , กรณีคดีนายแพทย์บุญ วนาสิน ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 16 ราย จับกุมแล้ว 15 ราย คงเหลือ 1 ราย คือ นายแพทย์บุญฯ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหนังสือแจ้งไปยังองค์กรตำรวจสากล (Interpol) และได้ประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) เรียบร้อยแล้ว

3.3 การบริหารจัดการภัยเหตุตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม และการรับมือภัยธรรมชาติ พายุฤดูร้อน
ดำเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นในการบริหารจัดการพื้นที่ ปิดล้อมที่เกิดเหตุ อพยพ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การนำส่งสายการแพทย์ การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลและการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี

4. การขับเคลื่อนนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 15 ข้อ และนโยบายรัฐบาล 
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายและขับเคลื่อนโครงการ/กิจกรรม ที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล จำนวน 32 โครงการ/กิจกรรม โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการ Digital Police Station,         การปรับปรุงแก้ไขคำสั่ง ตร. ที่ 419/2556 เรื่อง การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวนและ มาตรการควบคุม ตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา , โครงการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาข่าวกรองเชิงยุทธศาสตร์และข่าวเชิงรุก, จัดทำแผนแม่บทด้านงบประมาณ การเงิน บัญชี การส่งกำลังบำรุงและเทคโนโลยีสารสนเทศ, โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ สวัสดิการบ้านพัก บ้านพักน่าอยู่ อาหารกลางวัน 

5. สวัสดิการและความเป็นอยู่
มีการดูแลสวัสดิการในด้านต่างๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจและครอบครัว อาทิ เบี้ยเลี้ยง , การช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ , สวัสดิการด้านอาหารกลางวันหน่วยในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , การอบรม Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงิน , โครงการ “เสริมสร้างทักษะดนตรี กีฬา ช่วงปิดภาคการศึกษาแก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ” เป็นต้น 

และเน้นการเปลี่ยนแนวคิด Mindset 6 ด้าน 1. ปกป้องพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน 2. การดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา 3. แก้ไขสิ่งที่ผิดและทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม 4. อุดมคติตำรวจ 5. เป็นต้นแบบและเป็นแบบอย่างที่ดี 6. การพัฒนาและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝากเพิ่มเติมว่า ห้วงที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคดีผู้เสียหายมีจำนวนมากที่จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา เพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ รวมถึงการบริหารจัดการคดีสำคัญ ช่วงการจัดงานเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ที่ตำรวจได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ จึงขอขอบคุณตำรวจทุกนายที่ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ มีการขับเคลื่อนและเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องขับเคลื่อนและกำหนดมาตรการเข้มข้น การปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ปัญหาคนต่างด้าวผิดกฎหมาย/นอมินี จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ต่อเนื่อง จริงจัง เพื่อให้อาชญากรรมดังกล่าวลดลง และแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน ในบางโครงการเป็นโครงการระยะยาว จะต้องเร่งรัดให้สำเร็จผลและปรับแผนการปราบปรามอาชญากรรมให้ทันต่อสภาพอาชญากรรม และการสร้างวินัยจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุและ  จะได้สรุปผลการดำเนินการในรายไตรมาสต่อไป

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจต่อครอบครัวตำรวจที่เสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก สั่งให้ความช่วยเหลือและตรวจสอบสาเหตุเร่งด่วน

(24 พ.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์เมื่อ เวลา 13.10 น. ที่ผ่านมา เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รุ่น BELL 212 ตกบริเวณพื้นที่บ้านหนองกก ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เบื้องต้นได้รับรายงานมีข้าราชการตำรวจเสียชีวิต จำนวน 3 ราย ได้แก่ พ.ต.ต.ประเทือง ชูเลิศ นักบิน , ร.ต.อ.ทรงพล บุญชัย นักบิน และ ร.ต.ท.ทินกฤต สุวรรณน้อย ช่างเครื่อง

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการด่วนไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเหตุการณ์โดยด่วน และช่วยเหลือเยียวยาให้กำลังครอบครัวผู้เสียชีวิต และในนามสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอไว้อาลัยและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียในครั้งนี้ 

ผบ.ตร.เป็นประธานพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพข้าราชการตำรวจกองบินตำรวจ ที่เสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ยืนยันดูแลสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

(25 พ.ค.68) เวลา 17.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ “ร.ต.อ.ทรงพล บุญชัย” นักบิน (สบ 1) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจ และ “ร.ต.ท.ทินกฤต สุวรรณน้อย” รอง สว.(อก.) กลุ่มงานช่างอากาศยาน กองบินตำรวจ ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่เหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รุ่น BELL 212 ตกบริเวณพื้นที่บ้านหนองกก ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร , พล.ต.ต.อำนาจ เดชบุณเหลือง ผู้บังคับการกองบินตำรวจ , ข้าราชการตำรวจ และครอบครัว ร่วมพิธีฯ ณ วัดนวลจันทร์ แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร สำหรับ พ.ต.ต.ประเทือง ชูเลิศ นักบิน (สบ 2) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจ บำเพ็ญกุศลที่ศาลาวัชโรทัย วัดทองผาภูมิ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี

ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้มอบเงินกองทุนสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมได้สั่งการกำชับให้ดูแลสวัสดิการและสิทธิประโยชน์กับครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ โดยเบื้องต้นสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับมีดังนี้

- พ.ต.ต.ประเทือง ชูเลิศ นักบิน (สบ 2) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจ ได้รับเงินช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ จำนวน 1,434,560 บาท ได้รับความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 4 ขั้น และเลื่อนยศสูงขึ้นเป็น พล.ต.ต. 

- ร.ต.อ.ทรงพล บุญชัย นักบิน (สบ 1) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจ ได้รับเงินช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ จำนวน 1,424,870 บาท ได้รับความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 4 ขั้น และเลื่อนยศสูงขึ้นเป็น พ.ต.อ.

- ร.ต.ท.ทินกฤต สุวรรณน้อย รอง สว.(อก.) กลุ่มงานช่างอากาศยาน กองบินตำรวจ ได้รับเงินช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ จำนวน 1,970,400 บาท ได้รับความชอบพิเศษ เลื่อนเงินเดือนไม่เกิน 4 ขั้น และเลื่อนยศสูงขึ้นเป็น พ.ต.ท.

ผบ.ตร.เปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ เพิ่มประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ 

(27 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รุ่นที่ 1 และ 2 โดยมี พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 , พล.ต.ต.กันตพัฒน์ ศรีอมรรัตน์ ผู้บังคับการกองแผนงานอาชญากรรม , พล.ต.ต.ชัยกฤต โพธิ์อ๊ะ ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน , พล.ต.ต.วรวิทย์ ญาณจินดา ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ , คณะวิทยากร และผู้เข้ารับการฝึกอบรม ประกอบด้วย ข้าราชการตำรวจระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศ สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 รวมจำนวน 104 นาย ร่วมพิธี ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผบ.ตร. กล่าวว่า จากสภาพปัญหาการก่ออาชญากรรมที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปในหลายรูปแบบ เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ อันเป็นเหตุการณ์ที่ตำรวจ โดยเฉพาะสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในฐานะผู้เผชิญเหตุคนแรก ต้องมีทักษะที่ถูกต้องในการรับแจ้งเหตุ ประเมินสถานการณ์ และผู้บังคับบัญชาในฐานะผู้ควบคุมเหตุการณ์พื้นที่ที่จะต้องเข้าไประงับยับยั้งเหตุ บริหารเหตุการณ์ ตามหลักกฎหมาย ยุทธวิธีตำรวจ หลักสิทธิมนุษยชน และหลักการใช้กำลังตามความจำเป็น เหมาะสม ได้สัดส่วนตามแต่ละสถานการณ์ ป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดแผนการปฏิบัติในการรักษาความสงบไว้แล้ว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติหน้าที่ จึงได้จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ขึ้น เพื่อให้ข้าราชการตำรวจทุกนายเกิดความเข้าใจ ดำเนินการในขั้นเตรียมการรองรับสถานการณ์ในแต่ละสภาพพื้นที่ เพื่อนำไปกำหนดแผน ซักซ้อมการปฏิบัติ จัดเตรียมกำลังพล เครื่องมือ อุปกรณ์ และสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนไปในระดับพื้นที่ และการปฏิบัติตามหลักกฎหมาย หลักยุทธวิธี และหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อลดปัญหาและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติ

ทั้งนี้ โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ สายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รุ่นที่ 1 ฝึกอบรมวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2568 และรุ่นที่ 2 ฝึกอบรมวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2568


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top