Wednesday, 21 May 2025
พรรคก้าวไกล

‘ประธานวิปรัฐบาล’ ดักคอ ‘ก้าวไกล’ เสนอเพิ่มวันประชุมสภาฯ เพื่อหวังเอาคะแนน ชี้!! สส. ต้องมีเวลาลงพื้นที่ ‘รับฟัง-แก้ไขปัญหา’ ให้ประชาชน รวมทั้งประชุม กมธ.

(6 ก.ค.67) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเสนอให้เพิ่มวันประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณากฎหมายสำคัญให้มากขึ้นว่า ขณะนี้ยังไม่มีการหารือกัน แต่หากย้อนไปดูในอดีต เราจะมีการประชุมสภาฯ เริ่มในช่วงบ่ายของวันพุธและวันพฤหัสบดี พอมาถึงในยุคของนายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาฯ ก็ให้เพิ่มการประชุมมาเป็นวันพุธเต็มวันและวันพฤหัสบดี ดังนั้นหากมีความจำเป็นที่ต้องพิจารณากฎหมายสำคัญ อาจจะเพิ่มการประชุมในวันศุกร์อีกวันหนึ่งก็พอได้ แต่ถ้าจะเพิ่มวันประชุมเป็น 4-5 วันเลยคงจะไม่ไหว เพราะ สส.ก็ต้องมีการประชุมพรรคและประชุมกรรมาธิการฯ ชุดต่าง ๆ

ดังนั้นหากเป็นเรื่องเร่งด่วนจะเพิ่มการประชุมในวันศุกร์อีกหนึ่งวันอาจจะพอได้ ทั้งนี้ ขอให้มานั่งประชุมสภาฯ ให้ครบทั้งสองวัน นั่งประชุมกันให้เต็ม ๆ ก็น่าจะพอแล้ว

“ผู้แทนเขตโดยเฉพาะที่อยู่ต่างจังหวัดน่าเห็นใจ เพราะประชาชนในพื้นที่อยากเห็นหน้า ยิ่งเวลามีปัญหาทั้งน้ำท่วมน้ำแล้ง ก็อยากให้ผู้แทนเข้ามาดูและรับฟังปัญหาอย่างใกล้ชิด เข้าใจว่า สส.พรรคก้าวไกล ส่วนใหญ่เป็น สส.บัญชีรายชื่อและ สส.กทม.จึงอาจจะไม่ต้องไปลงพื้นที่เหมือนกับ สส.พรรคอื่น ๆ ดังนั้นอย่าคิดจะประชุมเพื่อหวังเอาคะแนนลอย ๆ” นายวิสุทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘โบว์ ณัฎฐา’ เผย ‘ก้าวไกล’ คุมสื่อไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ชี้นำ!! ได้ทุกประเด็น สามารถนำเสนอข่าวปั่นกระแสได้

(13 ก.ค.67) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการที่พรรคก้าวไกล เข้ามาครอบงำ การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน โดยได้ระบุว่า ...

80% ของสื่อมวลชน กระแสหลักทั้งหมด เป็นแนวร่วมของพรรคก้าวไกลไปแล้ว เราดูจากอะไรเราดูจากการนำเสนอในแต่ละประเด็น สื่อเหล่านั้นพร้อมใจนำเสนอไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่แคร์ที่มันจะซ้ำกัน ไม่ได้รู้สึกกระดากในการที่จะนำเสนอข้อมูล

ดูจากการนำเสนอข่าวสว. การเลือกตั้งที่ผ่านมา เราจะเห็นการเลือกในการนำเสนอข่าว ที่เอนเอียงไปในค่ายนี้ สัมภาษณ์ นำเสนอข่าว วนเวียนไปแค่ไม่กี่คน ไปในทิศทางเดียวกัน

หลังการเลือกตั้งสว. มีคนมาพูดถึงปัญหาต่างๆ ก็เป็นคนที่มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน

สมัยก่อนเรามีรายการดีเบตคนสองคนคนสองข้างมาดีเบตกัน แล้วให้คนฟังได้ฟังความเห็นของทั้งสองฝ่าย เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าเชิญ 2 คนแต่ไป 2 คนที่เชียร์ในพรรคเดียวกัน

แล้วถ้ามันยังเป็นอย่างนี้ต่อไป เท่ากับว่า ถ้าเขาอยากจะชี้นำสังคมไปในทิศทางไหนซึ่งมันอาจจะไม่เป็นเรื่องจริง สังคมก็จะได้รับฟังข้อมูลด้านเดียว

ทั้งนั้นไม่น่าแปลกใจ ถ้าก้าวไกลจะไม่ได้ทำอะไรใหม่ แต่คะแนนนิยมพุ่งขึ้นสูงได้ก็เพราะเขาคุมสื่อ คุมทิศทางของสื่อได้จริงๆ โบว์ ณัฎฐากล่าวทิ้งท้าย

'ครูสาว' แจ้งจับนักการเมืองพรรคก้าวไกล 'กระโดดถีบ-ด่าหยาบ-ท้าแจ้งความ' ปวดใจคดี 5 ปีไม่คืบ!! ซ้ำร้าย!! จนท.บอก "รู้ไหมคนที่คุณแจ้งความเป็นใคร"

(20 ก.ค.67) จากกรณี 'ครูเอ' (นามสมมติ) อายุ 42 ปี ครูสาวท่านหนึ่งแจ้งว่าถูกนักการเมืองดังในอยุธยา (ปัจจุบันเป็นผู้สมัครนายก อบจ.อยุธยา ในนามพรรคก้าวไกล) ทำร้ายร่างกายเมื่อหลายปีก่อน โดยมีการถ่ายคลิปหลักฐานเก็บไว้ และเคยแจ้งตำรวจไปแล้ว แต่คดีไม่คืบ จนได้เห็นนักการเมืองผู้นี้ออกสื่ออีกครั้งและจำได้ จึงต้องการทวงความเป็นธรรมที่ค้างคานานมาร่วม 5 ปี

ทั้งนี้ ครูเอ ได้เล่าว่า ต้นเรื่องวันนั้นตนได้พาเด็กไปทำกิจกรรมทางนาฏศิลป์ในงานแห่งหนึ่ง แล้วทางนักการเมืองคนนี้มาคุยใกล้ๆ เวที ซึ่งครูเอก็แนะนำว่าอย่าคุยกันตรงนี้ เพราะมีน้องๆ ผู้หญิงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวชุดไทยกันอยู่ น้องๆ กำลังโป๊ ซึ่งนักการเมืองคนดังกล่าวก็เดินหายไป แต่พักหนึ่งก็เดินกลับมาพร้อมกับพูดว่า "รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?" 

จากนั้นพอเริ่มเปิดการแสดงไปไม่ถึง 1 นาที นักการเมืองคนดังกล่าว ก็ขึ้นไปบนเวทีและสั่งหยุดการแสดง และเกิดการพูดจาโวยวายทะเลาะกัน สุดท้ายมาจบที่ครูเอไปยืนตรงหน้าศาลาที่พัก แล้วก็โดนนักการเมืองคนดังกล่าวกระโดดถีบ และท้าให้ไปแจ้งความ ซึ่งเธอก็ไปแจ้งความ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าจากตำรวจในพื้นที่ แถมยังถูกตอบกลับมาด้วยว่า "รู้ไหมคนที่คุณแจ้งความเป็นใคร"

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (19) ครูสาวคนดังกล่าวได้เข้าให้ปากคำตำรวจที่ สภ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา โดยครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากแนวร่วมทั้ง 'เค สามถุยส์' และ 'เพจวันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร' ซึ่งครูสาวยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

ด้าน เค สามถุยส์ หลังจากได้ผมพาครูสาวคนดังกล่าวไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้สมัครนายก อบจ.ท่านนี้แล้ว ก็ได้เปิดเผยว่า ตอนนี้ทาง เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ สส.ก้าวไกล ได้รีบออกมาชี้แจงว่า นักการเมืองคนดังกล่าวที่เป็นผู้สมัคร อบจ.นั้น ทางพรรคก้าวไกลไม่ได้ส่งลงสมัคร

"สรุปว่าคุณเทเขาอีกแล้วเหรอ ถ้าบอกว่าไม่ใช่ตามที่ปากพูดจริง รบกวนเพชรไปแจ้งความ เอาผิดผู้สมัครท่านนี้สิครับ ว่าจงใจให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นพรรคก้าวไกล ทั้งสี ทั้งโลโก้ ทั้งชื่อกลุ่ม รวมถึง สส.ที่มาสนับสนุนก็ก้าวไกลทั้งนั้น กล้าดำเนินคดีไหมเพชร" เค สามถุยส์ กล่าว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงอีกด้านจากคนสนิทนักการเมืองคนดังกล่าว ได้เปิดเผยกับสื่อ โดยอ้างว่าเรื่องดังกล่าวผ่านมานานแล้ว ผ่านมาตั้ง 5 ปี ทำไมเพิ่งมาเร่งคดีตอนนี้ ครูสาวไปรับงานใครมาหรือเปล่า เกมการเมืองหรือไม่

ดูคลิปต้นเรื่อง: https://www.facebook.com/share/v/quXKGCtsT8ensHft/?mibextid=oFDknk

‘สส.เท่าพิภพ’ เสนอแก้กฎหมาย เพื่อปลดล็อก ‘หนังโป๊-เซ็กซ์ทอย’ ชี้!! นำมาทำ ‘ให้ถูกต้อง-ได้มาตรฐาน’ จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.67) นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กรุงเทพมหานคร เขต 22 พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.287 เพื่อปลดล็อกสื่อผู้ใหญ่ ของเล่นผู้ใหญ่ โดยระบุว่า ...

ปลดล็อกอุตสาหกรรมผู้ใหญ่ เปิดสภาถกเถียง ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.287 ปลดล็อกสื่อผู้ใหญ่ ของเล่นผู้ใหญ่ ยันมีการควบคุมอยู่ ย้ำไม่ได้เสรี 

‘ร่างดังกล่าวมีการแก้ไขเพียงมาตรา 287 มาตราเดียว’ ซึ่งปัจจุบันห้ามสื่อลามก และของเล่นผู้ใหญ่ แบบ Total Ban ซึ่งผมได้แก้ไขใหม่ดังนี้

1. สื่อชนิดต่าง ๆ ให้กระทำได้ แต่ห้ามให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี และต้องไม่มีเนื้อหารุนแรง เช่น ฉากข่มขืน ใช้กำลัง เป็นต้น

2. ปลดล็อกของเล่นผู้ใหญ่ เพื่อที่จะให้มาตรฐานทางอุตสาหกรรม (มอก.) และองค์การอาหารและยา (อย.) สามารถออกประกาศมาควบคุมมาตรฐานได้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ และลักลอบ

ผมทราบดีคนส่วนใหญ่ในลานทัวร์ในคอมเมนต์หรือรีพลายคงไม่ได้อ่านมาถึงตรงนี้ แต่ถึงอย่างไรผมก็พร้อมน้อมรับ คำวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของเนื้อหาทางกฎหมาย และมุมมองอื่น ๆ

ส่วนตัวผมไม่ได้เป็นคนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากสิ่งที่ผมจะปลดล็อก แต่ผมเองในฐานะผู้แทนราษฎรผู้มีหน้าที่ผลักเพดาน ความคิด และขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า คิดว่าการนำเสนอประเด็นนี้เป็นการที่ทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้ซึ่งกันแล้วกัน ร่วมกันหาทางออกประเทศด้วยการถกเถียงอย่างตรงไปตรงมา ไม่ดัดจริตผ่านกลไกประชาธิปไตย และกลไกสภา

เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะอยากเห็นเหล่าเยาวชนเข้าถึงสื่อลามกง่ายขึ้น แต่อยากยกเรื่องนี้ขึ้นบนดิน เพื่อให้สิ่งนี้อยู่ในแสงสว่าง สามารถพูดถึงได้ วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบได้ตามครรลองเสียที เป็นทั้งประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจ ทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่สามารถควบคุมเนื้อหาได้ ความปลอดภัยของประชาชน

อยากเชิญชวนให้ทุกคนติดตามการพิจารณากฎหมายนี้ที่จะเข้าสภาไม่เกินสัปดาห์ สองสัปดาห์นี้ ฝากแสดงความคิดเห็นถกเถียงกันได้เต็มที่ครับ

กระตุกต่อมคิดคนไทย!! พอกันที!! วาทกรรมแบ่งแยกคนรุ่นเก่า-ใหม่ หยุดให้ค่า!! หากออกจากปลายจมูก 'นักฉวยโอกาส-สาดความรวยใส่ตัว'

(29 ก.ค. 67) ผู้ใช้ Instagram ที่ชื่อว่า ‘tthegreatboy1’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับ ‘โน๊ส อุดม’ และวาทกรรม ‘คนรุ่นเก่า-คนรุ่นใหม่’ โดยได้ระบุว่า ...

‘โน๊ส อุดม แต้พานิช’ ในทัศนะของผม แกเป็นตลกฝืดๆ คนหนึ่ง ที่ผมรู้สึกว่าทำไมเราต้องไปเสียตังค์จ่าย เพื่อจะไปดูอะไรแบบนี้ คืออันนี้เป็นทัศนคติส่วนตัว ส่วนใครจะชื่นชอบจะจ่ายเงินเพื่อไปดูก็เป็นสิทธิส่วนตัวของเขา

งานของโน๊ส อุดม เป็นงานที่ไปหยิบจับ เอาประเด็นในสังคมประเด็นทางการเมือง นำมาล้อเลียนนำมาพูดให้ขำๆ แล้วยังไงใน TikTok ก็มีถ้าจะมาพูดขำๆล้อเลียนแบบนี้ มันไม่ได้มีอะไรที่สร้างสรรค์ใหม่ๆ เลย

เมื่อก่อนนี้โน๊ส อุดม เป็นคนที่พูดถึงปัญหาในสังคมปัญหาการเมือง พูดแซวในฐานะที่ตัวเองนั้นอยู่เหนือปัญหา ตัวเราเองนั้นเยี่ยมตัวเราดีคนอื่นคือปัญหา ทำตัวเทศนาอะไรประมาณนั้น ก็เข้าใจว่าเขาเป็นอย่างนั้น ก็ต้องปล่อยเขาไป

แต่ในปัจจุบัน มันมีข้อมูลหลักฐานในโลกโซเชียล ว่าโน๊ส อุดมนั้น ชื่นชอบใน ‘พรรคก้าวไกล’ 

ฉะนั้นเวลาที่ ‘โน๊ส อุดม’ จะพูดจะแซวพรรคการเมืองมองปัญหาการเมืองโน๊ส อุดม ก็จะพูดในฐานะที่เป็นคนที่ ฝักใฝ่ไปในทาง พรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นคน ที่อยู่ตรงกลางอีกแล้ว เป็นคนที่พูดด้วยฐานะ ที่ได้เลือกข้างแล้ว ตรงนี้ก็ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจก็ต้องปล่อยเขาไป

ส่วนประเด็นที่มันเป็นดรามานั้นก็คือ วาทกรรมของคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ พี่โน๊ตอุดมได้หยิบขึ้นมาพูดในงานครั้งล่าสุด ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเขาชื่นชอบในภาคก้าวไกล เขาก็จะต้องนำวาทกรรมของ พรรคก้าวไกล นำขึ้นมาผลิตซ้ำ

แต่โดยความคิดส่วนตัวของผมแล้ว ผมมองว่า วาทกรรมนี้เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ต่อคนทุกฝ่าย คุณไปพูดเหมารวมว่าคนรุ่นเก่าทำตัวไม่น่านับถือ เข้าใจว่ามีคนรุ่นเก่าแบบที่คุณโน๊ส อุดมไม่ชอบ คนรุ่นเก่าที่ก่อปัญหาแบบที่คุณโน๊ส พูดมีอยู่จริง แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องของปัจเจกชน เป็นพฤติกรรมของแต่ละบุคคลไป แต่คุณโน๊ส อุดมใช้วาทกรรมที่เหมารวม คนรุ่นเก่าก็มีอีกมากมายที่เป็นคนดี เป็นคนดีของสังคม เป็นพ่อที่เยี่ยม เป็นแม่ที่เยี่ยม เป็นคนที่ดีต่อเพื่อน เป็นคนที่ดีต่อสังคม อีกเยอะแยะมากมาย

แต่ปัจจุบัน เมื่อเขาเดินออกไปเจอคนรุ่นใหม่ เขาต้องกลายเป็นคนที่ไม่น่าเคารพไม่น่านับถือ เพราะวาทกรรมคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ที่คุณโน๊ส อุดม พยายามจะสร้างมันขึ้น เป็นความมักง่าย ของคนที่ใช้วาทกรรมนี้ มันก็เลย กลายมาเป็นปัญหาในปัจจุบัน

ตรรกะคนรุ่นเก่าคนรุ่นใหม่ ที่พยายามจะโทษคนรุ่นเก่าว่า เป็นแบบนั้นแบบนี้ แล้วถ้าผมเอาตรรกะแบบนี้ไปใช้กับคนรุ่นใหม่บ้าง มันจะได้ไหม คนรุ่นใหม่เป็น พวกกราดยิงห้างสยามพารากอน เป็นพวกรุมโทรมหญิง คนรุ่นใหม่เป็นพวกแก๊งลูกตำรวจ คนรุ่นใหม่เป็น เด็กช่างกลตีกัน มันก็สามารถที่จะพูดได้เยอะแยะ ในข้อเท็จจริงนั้นมันก็มีคนรุ่นใหม่ ที่เป็นคนนิสัยไม่ดีแบบนี้จริงๆ

แต่ว่ามันเป็นพฤติกรรมของปัจเจกชน มันเป็นเรื่องของเฉพาะคนเฉพาะกลุ่ม มันไม่สามารถจะนำมาเหมารวมได้ว่า คนรุ่นใหม่ทั้งหมดเป็นคนที่ไม่ดี ถูกต้องไหมครับ

ในเมื่อเราเข้าใจตรรกะตรงกันแล้ว ทำไมคุณ ‘โน๊ส อุดม’ หรือ ‘พรรคก้าวไกล’ หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ฝักใฝ่ ทำไมไม่เข้าใจว่า คนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ก็มีทั้งคนดีและคนที่ไม่ดีอยู่ในทุกกลุ่ม

เพราะฉะนั้นวาทกรรมของคุณโน๊ส อุดมจึงเป็นวาทกรรมที่สร้างความแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต้องการที่จะหาผลประโยชน์ทางการเมือง

วาทกรรมคนรุ่นเก่าคนรุ่นใหม่ ถ้าเราลองคิดวิเคราะห์แล้ว เราก็จะเห็นว่ามันเป็นวาทกรรมที่มี ช่องโหว่เยอะ ไม่สามารถที่จะนำมาใช้ได้จริง มันบิดเบี้ยว 

และเมื่อเรารู้แล้วว่าวาทกรรมนี้มันไม่จริง เราก็ยังจงใจ ใช้วาทกรรมแบบนี้ สาดใส่คนอื่น ก็ต้องบอกว่า ไม่น่ารักเลย

'พิธา' ดิ้น!! ยุบพรรค อัดบางกลุ่มเอาความภักดีไปหากินทางการเมือง แค่เอื้อผลประโยชน์ส่วนตน และไว้อ้างสนับสนุนการรัฐประหาร

เมื่อวานนี้ (2 ส.ค.67) ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแถลงชี้แจงเนื้อหา และสรุปข้อต่อสู้ในเอกสารคำแถลงปิดคดียุบพรรคก้าวไกล ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้

โดยนายพิธา กล่าวในภายย่อยถึงเส้นแบ่งระหว่างคดีของพรรคก้าวไกลกับคดีของพรรคอื่น ๆ ที่ถูกยุบมาในอดีต ซึ่งคือระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เอง ที่ผ่านเป็นระเบียบกฎหมายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่, พรรคไทยรักษาชาติ, พรรคไทยรักไทย หรือย้อนไปนานกว่านั้น ซึ่งไม่มีระเบียบข้อบังคับกฎหมายของ กกต.ในการรวบรวมพยานหลักฐานของการยุบพรรค แต่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคแรกที่มีกระบวนการนี้เกิดขึ้น

นายพิธา กล่าวในภาพใหญ่ว่า เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา มีพรรคการเมืองถูกยุบไปทั้งหมด 33 พรรค มีนักการเมืองถูกตัดสิทธิ์ไปทั้งหมด 249 คนเป็นอย่างน้อย แต่มีอยู่หนึ่งพรรคที่รอดและถูกยกคำร้องเมื่อปี 2553 หรือ 14 ที่แล้ว เนื่องจากกระบวนการคำร้องมิชอบด้วยกฎหมาย นายทะเบียนพรรคการเมืองในตอนนั้นไม่ได้ทำตามสิ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ และไม่ได้ให้ความเห็นกับคณะกรรมการ

นายพิธา กล่าวต่อว่า กระบวนการในการพิจารณายุบพรรคที่ กกต. ไม่ได้ทำตาม ทำให้ตนไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อกล่าวหา ไม่มีโอกาสต่อสู้ ไม่มีโอกาสอธิบายให้ กกต.ฟัง และเป็นโอกาสที่ตนเสียไป ตนเชื่อเหลือเกินว่า ถ้า กกต. ทำตามระเบียบที่ตัวเองออกมาเอง ตนจะมีโอกาสได้อธิบายให้ กกต.เข้าใจ รวมถึงพยานหลักฐานหลาย ๆ ชิ้นที่เราได้มีโอกาสตรวจสอบร่วมกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็เห็นภาพ และบุคคลที่ปรากฏอยู่ในรูปแบบคดี ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลอยู่เป็นจำนวนมาก

นายพิธา กล่าวถึงการอ้างอิงในข้อต่อสู้ของ ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน ซึ่งถึงแม้ไม่ได้มีรูปแบบวาจาก็จริง แต่เป็นในแบบลายลักษณ์อักษร ซึ่ง ศ.ดร.สุรพล ได้เขียนในกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างอิงถึงกระบวนการคณะกรรมาธิการเวนิส (la Commission de Venise) หรือชื่อเต็มว่า ‘คณะกรรมาธิการแห่งสหภาพยุโรปเพื่อประชาธิปไตยโดยกฎหมาย’ (la Commission Européen pour la Démocratie par le Droit) ซึ่งเป็นองค์กรที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของสภายุโรป (Conseil de l’Europe) ในเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ กรณีการรับรองแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการห้ามและการยุบพรรคการเมือง ทั้ง 7 ข้อ

นายพิธา ย้ำว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น เป็นการนำองค์ประกอบที่ดูจะย้อนแย้งกัน ๒ ประการ กล่าวคือ ระบอบประชาธิปไตย กับ พระมหากษัตริย์ มาดำรงอยู่คู่กัน กลายเป็นระบอบการเมืองที่โดยหลักการแล้ว อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนย่อมได้รับความคุ้มครองจากรัฐ ขณะเดียวกันก็มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ซึ่งมีรูปแบบของรัฐเป็นราชอาณาจักร โดยพระองค์ไม่ทรงใช้อำนาจทางการเมืองและการปกครองด้วยพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ องค์พระประมุขของรัฐจึงดำรงความเป็นกลางทางการเมือง มีพระราชฐานะเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ผู้ใดจะละเมิดฟ้องร้องพระองค์มิได้

นายพิธา ชี้ว่า การประสานสถาบันพระมหากษัตริย์กับระบอบประชาธิปไตยให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยสามารถรักษาคุณค่าพื้นฐานของทั้งสององค์ประกอบได้อย่างสมดุล จึงเป็นโจทย์สำคัญของการธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นายพิธา ย้ำว่า แน่นอนว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในแต่ละประเทศย่อมมีลักษณะไม่เหมือนกัน และมิได้มีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว การจัดระเบียบสังคม การออกแบบสถาบันทางการเมือง ระบบกฎหมาย วัฒนธรรม คุณค่าพื้นฐาน ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของแต่ละประเทศนั้น ย่อมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของสังคม

นายพิธา ย้อนไปว่า ในประวัติศาสตร์ของเรา พระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาในการปรับตัวจนสามารถแผ่พระบารมีปกเกล้ามาจนถึงทุกวันนี้ แต่ความพยายามที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว แตะต้องเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครองของเรา เพราะจะทำให้สูญเสียความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับสมดุลใหม่ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และเงื่อนไขทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เสียโอกาสที่จะรักษาสิ่งเก่า และเชื่อมประสานกับสิ่งใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์แปลกแยกต่อกัน

ดังนั้น การปกปักรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจกดปราบ ไม่ว่าจะเป็นการกดปราบโดยใช้กำลัง หรือการกดปราบในนามของกฎหมาย แต่ต้องสร้างสมดุลให้ได้สัดส่วนเหมาะสมตามยุคสมัยระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ระบอบนี้มั่นคงยั่งยืนด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธา และความยินยอมพร้อมใจของประชาชน

ทว่าหลายปีที่ผ่านมา การนำประเด็นเกี่ยวกับความจงรักภักดีมากล่าวหาโจมตีกันในทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการรัฐประหาร ทั้งการรัฐประหารโดยกำลังทหารและโดยกฎหมาย รวมถึงการแสดงความจงรักภักดีอย่างล้นเกิน เพื่ออำพรางการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างฉ้อฉลของคนบางกลุ่ม ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการเมืองตามยุคสมัย ได้กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางการเมือง และความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ ซึ่งสังคมไทยในอดีตไม่คุ้นเคย

แต่แทนที่ผู้มีอำนาจจะตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และพยายามแสวงหากุศโลบายด้วยสติและปัญญา เพื่อคลี่คลายแรงตึงเครียดในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย ในการสร้างฉันทามติใหม่ที่สอดคล้องกับยุคสมัย กลับเลือกที่จะใช้อำนาจกดบังคับประชาชนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในลักษณะเข้มงวดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคผู้ถูกร้อง หรือพรรคก้าวไกล จึงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยมีเจตนาที่จะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างสมดุลใหม่ที่ได้สัดส่วนระหว่างการคุ้มครองพระเกียรติยศแห่งองค์พระประมุข กับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาดุลยภาพ และความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทย

‘ในฐานะผู้ถูกร้องขอเรียนต่อศาลว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้ มิใช่ด้วยการบ่อนทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และหลักการคุณค่าพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ในทางตรงข้ามการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะต้องโอบรับความคิดเห็นที่ดำรงอยู่หลากหลายในสังคมอย่างมีภราดรภาพ มีการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อันเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ และมีความอดทนอดกลั้นในการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง รวมทั้งใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยแก้ปัญหาความแตกต่างขัดแย้งในสังคมอย่างมีวุฒิภาวะ ด้วยวิถีทางการเสริมสร้างประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางภายใต้ร่มพระบารมีที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนโดยไม่แบ่งแยก และจักเป็นการธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้ยืนยงสถาพรเยี่ยงนานาอารยประเทศ’

‘พิธา’ หารือ ‘ทูต-อุปทูต-เจ้าหน้าที่’ จากยุโรป 18 ประเทศ กรณี ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ นัดวินิจฉัย คดียุบพรรคก้าวไกล

(3 ส.ค.67) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความใน X ว่า … 

ขอบคุณท่านทูต อุปทูตและเจ้าหน้าที่จากประเทศในยุโรป @EUinThailand ภายใต้การนำของท่านทูต @DavidDalyEUรวมทั้งหมด 18 ประเทศ ; ออสเตรีย, เบลเยียม, เช็กเกีย, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮังการี, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์,โปแลนด์, โปรตุเกส,โรมาเนีย, สโลวาเกีย, สเปนและสวีเดน  ที่ได้แลกเปลี่ยนกับผมและทีมก้าวไกลเป็นอย่างดีครับ

มีรายงานว่า เมื่อวานนี้ (2 ส.ค.67) เอกอัครราชทูตและอุปทูตจากหลายประเทศ ได้พบปะพูดคุยกับ นายพิธา และคณะจากพรรคก้าวไกล ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตเยอรมัน เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤติประชาธิปไตยในประเทศไทย และกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค.นี้

‘ดร.นิว’ ชำแหละ 9 ข้อแถโง่ๆ ที่ฟังไม่ขึ้นของ ‘พรรคก้าวไกล’ ฟาด!! เล่นแง่กฎหมายไปเรื่อย ตีความเข้าข้างตัวเองได้ ในทุกกรณี

(4 ส.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า …

ชำแหละ 9 ข้อแถโง่ๆ ที่ฟังไม่ขึ้นของพรรคก้าวไกล

ข้อ 1. ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยยุบพรรคได้อย่างไรในเมื่อมีการบัญญัติไว้ใน พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ผ่านมาก็มีการยุบพรรคที่ทำผิดให้เห็นๆ กันอยู่ แล้วถ้าพรรคก้าวไกลทำผิด ทำไมจะยุบไม่ได้?

ข้อ 2. ถ้าคิดว่าคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พรรคก้าวไกลก็ต้องดำเนินการเอาผิดกับ กกต. ซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถนำมาแถให้พรรคก้าวไกลพ้นผิดไปได้

ข้อ 3. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรและคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ก็มีความต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะสืบเนื่องมาจากการที่พรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ก็แค่นำมาวินิจฉัยต่อไปว่าสมควรยุบหรือไม่ ไม่ใช่ข้อหาที่แตกต่างกันตามที่พรรคก้าวไกลแถแบบโง่ๆ

ข้อ 4. เมื่อบุคคลทำเกินมติพรรคถ้าพรรคไม่ยอมรับก็ต้องจัดการแต่เนิ่นๆ ในทุกกรณี แต่ทว่าพรรคก้าวไกลกลับไม่เคยจัดการใดๆ การอภิปรายบิดเบือนให้ร้ายในสภาก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง แม้แต่ถวายพระพรก็ยังไม่มี แถมพรรคก้าวไกลยังออกหน้าประกันตัว สส. ผู้กระทำผิด ม.112 อย่างชัดเจนอีกด้วย

ข้อ 5. พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง ถือหลักป้องปรามในการยุบพรรค พรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองอย่างชัดเจนก็อาจเข้าข่ายโดนยุบพรรคเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคก้าวไกลยุยงปลุกปั่นมวลชนหรือใช้กำลังในการล้มล้างเสียก่อน

ข้อ 6. ยุบหรือไม่ยุบเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงแค่ผู้วินิจฉัยเท่านั้น ส่วนจะสมควรแก่เหตุหรือไม่ก็เป็นดุลพินิจของศาล หากมองว่าการที่พรรคก้าวไกลสร้างความแตกแยกทางความคิดชี้นำไปสู่บั้นปลายของการล้มล้างซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรงและการสูญเสีย เพียงแต่ยังไม่ได้ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมเท่านั้น การยุบพรรคก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยกว่าเหตุ เพื่อยับยั้งความรุนแรงก่อนที่อนาธิปไตยจะเกิดขึ้นมาทำลายประชาธิปไตย

ข้อ 7-9. พรรคก้าวไกลเล่นแง่แถกฎหมายไปเรื่อย เพราะถ้าคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่สิทธิในการเพิกถอนสิทธิจริงก็ควรจบตั้งแต่ข้อ 7. ไม่ใช่แถไปจนถึงข้อ 9. ในลักษณะต่อรองเป็นขั้นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลไม่รู้กฎหมายจริง หากแต่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองสุดๆ ในทุกกรณี

ดังนั้น หากดูเพียงผิวเผินด้วยความไม่รู้กฎหมายก็อาจมองว่าพรรคก้าวไกลเก่งฉกาจที่สามารถยกข้อต่อสู้ทางกฎหมายขึ้นมาได้ถึง 9 ข้อ แต่ทว่าความเป็นจริง พรรคก้าวไกลก็แค่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองแบบเด็กเอาแต่ใจ ไร้วุฒิภาวะ ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการและความเป็นจริงแต่อย่างใด

ดร.ศุภณัฐ

4 สิงหาคม พ.ศ. 2567

‘สรวงศ์’ เผย ‘เพื่อไทย’ ไม่มีคุยดึง ‘สส.ก้าวไกล’ ร่วมงาน หากถูกยุบพรรค ลั่น!! ไม่ขอก้าวล่วงพรรคอื่น ยัน!! ข้อตกลงเดิมที่เคยพูดคุยกัน ตอนจัดตั้งรัฐบาล

(4 ส.ค. 67) นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้วและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ออกมาระบุว่ามีความพยายามจากพรรคร่วมรัฐบาลติดต่อดึง สส.พรรค ก.ก.ไปร่วมงานด้วย หากพรรคถูกยุบ ในฐานะพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล มองเรื่องนี้อย่างไร ว่า ตนไม่ขอก้าวล่วงพรรคอื่น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน แต่ในส่วนของพรรค พท. ตนในฐานะเลขาธิการพรรคยืนยันว่าไม่มี

เมื่อถามว่า จะมีผลอะไรกับรัฐบาลหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ไม่น่ามีอะไร หากพรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงเพิ่มขึ้นก็ต้องว่าไปตามข้อตกลงที่เคยพูดคุยกันตอนร่วมตั้งรัฐบาล

เมื่อถามถึง กรณีที่หากพรรค ก.ก.ถูกยุบ อาจจะมีปรับเปลี่ยนเรื่องเก้าอี้ประธานสภา และรองประธานสภา พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมีการพูดคุยกันใหม่หรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า จะต้องมีการพูดคุยกันแน่นอน แต่เบื้องต้นตนไม่อยากให้มีข่าวร้ายในการยุบพรรคใดๆ ทั้งสิ้น

‘วิโรจน์’ ขอโทษ หลังโวยยับ กรณี กรรมการงบกทม. ถูกตัดโควตา สุดท้าย!! เข้าใจผิด สัดส่วนไม่หาย ส.ก.ก้าวไกล ได้จำนวนเท่าเดิม

(4 ส.ค. 67) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า ...

ก่อนอื่น ผมต้องขอโทษ และขอยอมรับกับการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนกรรมการพิจารณางบประมาณ กทม. 2568 สัดส่วนพรรคก้าวไกลที่ผิดพลาด

ข้อเท็จจริงคือ กรรมการงบสัดส่วนก้าวไกลมีจำนวน 6 คน ไมใช่ 4 คน โดยลำดับเหตุการณ์และข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำชี้แจงนี้ของ ส.ก.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย 

ผมยังคงรู้สึกเสียดายที่คุณอธึกกิต และคุณอาณิก ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านงบประมาณและการตรวจสอบการทุจริตจะไม่ได้เข้าไปเป็นกรรมการงบประมาณ กทม. ในปีนี้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ตามที่พรรคก้าวไกลเสนอตั้งแต่แรก

และผมยังคงไม่เห็นด้วยกับกลเกมวิธีการที่เกิดขึ้นในสภา กทม. เมื่อคืนวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ที่ประชาชนย่อมดูออกว่าเป็นความพยายามสกัดกั้นอย่างไร้เหตุผล ไม่ให้พรรคก้าวไกลเสนอชื่อบุคคลภายนอกได้สำเร็จ เป็นการอ้างหลักการเสียงข้างมากโดยไม่เคารพเสียงข้างน้อย และไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ

อย่างไรก็ตาม ผมต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะเกี่ยวกับการสื่อสารของตัวเอง นี่จะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของผมในการสื่อสารกับพี่น้องประชาชน

การพิจารณางบประมาณของ กทม. วงเงินกว่า 9 หมื่นล้านบาท เป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของพี่น้องชาว กทม. ทุกคน ผม และ ส.ก. พรรคก้าวไกลจะเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน ผลักดันให้สภา กทม. มีความโปร่งใส งบประมาณถึงมือประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยครับ

สรุปการชี้แจงของ ส.ก.ภัทราภรณ์

คณะกรรมการงบ กทม. ชุดนี้ กำหนดให้มีกรรมการ 37 คน สัดส่วน พท. 14 คน กก. 6 คน ปชป. 6 คน อิสระ 2 คน และฝ่ายบริหาร 9 คน

พรรคก้าวไกลเสนอชื่อไปทั้งหมด 6 คน (ส.ก. 4 คน+คนนอก 2 คน) ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ตาม พ.ร.บ.กทม. และข้อบังคับการประชุมสภา กทม. รวมถึงเป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรคในการเลือกคนในสัดส่วนของตัวเอง

อย่างที่ทุกท่านทราบกันมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา มีความพยายามเพื่อไม่ให้ 2 คนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญคนนอกได้เข้ามาทำหน้าที่กรรมการ เมื่อเสนอชื่อกันไปตามปกติจนครบคนแล้ว ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงเสนอชื่อขึ้นมาอีก 2 ชื่อ ให้ชื่อเกินจำนวนที่กำหนด (เดิม 37 เป็น 39)

เมื่อชื่อเกิน จึงถูกนำเข้าสู่ข้อบังคับการประชุมข้อ 87 ที่ระบุว่า หากจำนวนชื่อที่เสนอเกินกว่าจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ ให้สามารถใช้ข้อบังคับฯ ข้อ 72 ได้

ข้อบังคับฯ ข้อ 72 ระบุให้ลงคะแนนเสียงแบบเปิดเผย โดยมีทางเลือกให้ 4 วิธี และใน (4) ระบุไว้ว่า วิธีอื่นๆ

จึงมี ส.ก.ท่านหนึ่งเสนอให้ 'วิธีอื่นๆ' เป็นการโหวตลับ ซึ่งจบลงด้วยเสียงข้างมากในสภาโหวตผ่าน กลายเป็นมติในที่ประชุมให้โหวตลับ

ทาง ส.ก.ก้าวไกล รู้ว่าหากเดินหน้าต่อไป 2 คนนอกของพรรคก้าวไกลจะถูกโหวตคัดออก และทำให้ ส.ก.ก้าวไกลเหลือเพียง 4 คน

ด้วยความชุลมุนที่ต้องตัดสินใจหน้างานในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนโหวต สก.ก้าวไกลจึงได้ตัดสินใจ ณ ตรงนั้น เพิ่มเติมรายชื่อ ส.ก.ของก้าวไกล เข้าไปอีก 2 คน เพื่อเป็นแผนสำรองในการรักษาสัดส่วนกรรมการของก้าวไกลไว้ที่ 6 คนตามเดิม เพื่อให้เรามีบุคลากรเต็มจำนวนในการทำหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณ กทม.

ในระหว่างนั้น มีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายในสภา กทม. เช่น มี ส.ก.ท่านหนึ่งเสนอชื่อ ส.ก.ก้าวไกลขึ้นมาเอง 2 คน จน ส.ก.ก้าวไกลต้องลุกขึ้นขอถอนชื่อออก ส.ก.ภัทราภรณ์ก็ได้เสนอชื่อ ส.ก.ก้าวไกล 2 คน แต่มีการถอนชื่อออก 1 คน ส.ก.อภิวัฒน์จึงได้เสนอชื่อ ส.ก. ของเราเองกลับเข้าไปอีก 1 คน มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดเรื่องการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอในสภา การโพสในโซเชียลมีเดีย ทำให้ ส.ก.ภัทราภรณ์ต้องลบโพสหนึ่งในคืนนั้นออก มีการระแวงคนนอกเข้ามาในสภาอย่างผิดปกติ สุดท้ายนำไปสู่การปิดไลฟ์การถ่ายทอดสดในสภา กทม. ก่อนการประชุมจะจบลง

สุดท้ายผลการลงมติคือ 2 คนนอก หลุดจากรายชื่อกรรมการอย่างที่คาดการณ์ไว้ และ ส.ก.ก้าวไกลได้สัดส่วน 6 คนตามเดิม

ปัญหาเกิดจาก การตัดสินใจที่ต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน และการปรับเปลี่ยนแผนหน้างาน จึงทำให้การสื่อสารระหว่างหน้างาน และส่วนกลาง ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที จึงทำให้ส่วนกลางเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ว่ากรรมการในสัดส่วนพรรคก้าวไกลที่ปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการลดลงเหลือ 4 คน

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้ข้อเท็จจริงที่สำคัญด้านอื่นผิดไป และท้ายที่สุด ส.ก.พรรคก้าวไกลก็ถูกพรรคอื่นเข้ามาแทรกแซง และบีบให้เราไม่สามารถส่ง 2 คน ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญคนนอกในโควตาของก้าวไกลเองเข้าไปทำหน้าที่ตามที่เราต้องการได้

อย่างไรก็ตาม ส.ก.ก้าวไกลทุกคน จะเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อตรวจสอบงบประมาณ กทม. ปีนี้อย่างเข้มข้น และถึงจะไม่สามารถถ่ายทอดสดจากในที่ประชุมได้ แต่จะมารายงานความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top