Monday, 5 May 2025
ประหยัด

‘หนุ่มญี่ปุ่น’ ใช้ชีวิตแบบประหยัดสุดๆ มาตลอด 20 ปีเต็ม กินแต่อาหารเรียบง่าย จนมีเงินเก็บเกือบ 23 ล้านบาท!!

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 กลายเป็นข่าวร้อนฮือฮาทั้งประเทศญี่ปุ่น เมื่อชายวัย 45 ปี กินแบบประหยัดสุดๆ เป็นเวลา 20 ปี จนเก็บเงินได้เกือบ 95 ล้านเยน (23 ล้านบาท)

หลังจากจบมหาวิทยาลัยเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี การจ้างงานต่ำ เขาได้ทำงานในบริษัทสีเทาแห่งหนึ่ง เก็บหอมรอมริบตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี โดยตั้งเป้าหมายจะเกษียณอายุก่อนกำหนด

เขาตั้งเป้าเก็บให้ครบ 100 ล้านเยนภายในสิ้นปีงบประมาณนี้ (มี.ค.ปีหน้า) คำถามคือ เขาทำได้อย่างไร?

เขาบอกว่า “อาหารเย็นวันนี้เรียบๆ เหมือนเดิม แต่ไข่ก็จะแพงหน่อยนะ กว่า 20 ปีที่ใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ก็สบายดีนะ อร่อยดี”

อาหารที่เรียบง่าย บนเสื่อทาทามิ ไม่มีอะไรมากไปกว่าข้าวที่โรยด้วยสาหร่าย ไข่เจียว และบ๊วยดองชามเล็กๆ ไม่มีเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาใดๆ

ร่างกายก็แข็งแรงดี ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เขาบอกว่า “อาจเป็นเพราะอาหารธรรมดาๆ นี่แหละ แทนที่จะกินอาหารหรูหรา ผมอาจมีสุขภาพดีขึ้นด้วยอาหารง่ายๆ แบบนี้แหละ”

“สิ่งที่ผมกังวลคือ จะประหยัดเงินได้อย่างไร สิ่งที่กำลังทำอยู่คือ ลดค่าครองชีพ เรียกว่า การใช้ชีวิตแบบ 0 เยน/เดือน”

“ผมอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์เก่าๆ ค่าเช่าน้อยกว่า 30,000 เยน/เดือน แถมยังทำโอที และไปบิสเนสทริปบ่อยมาก ห้องก็เก่าๆ กับเสื่อทาทามิ ผนังโทรมๆ กำแพงเต็มไปด้วยรอยร้าว อาจพังทลายได้หากเกิดแผ่นดินไหวแรงๆ”

แม้ว่าจะมีเตาไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น แต่ก็ยังคงใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเกรดต่ำสุด หม้อหุงข้าวก็เพิ่งพังเมื่อวันก่อน

5 เหตุผลเรื่อง 'ความประหยัด' ที่ทำให้คนทัก มักถูกด่ากลับบ่อย ทั้งที่เป็น 'ก้าวแรก' ช่วยเปลี่ยนระดับฐานะของผู้ไม่มีเงินถุงเงินถัง

(23 พ.ค. 67) คุณเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

การบอกให้คน 'ประหยัด' ดูจะไม่ใช่แนวทางที่ผู้คนในยุคนี้ชื่นชอบสักเท่าไร อ้าปากพูดออกไป ก็เตรียมตัวโดนด่า

ให้คิดเหตุผลแบบไว ๆ ก็น่าจะมีหลายข้อ ได้แก่...

1. ลัทธิบริโภคนิยมทำงานได้เป็นอย่างดีในโลกนี้ ทำให้ของที่ต้องมีและเงินที่ต้องจ่ายมันเพิ่มขึ้นหลายรายการ คนเราเริ่มแยกไม่ออกระหว่างความต้องการกับความจำเป็น

2. รายได้ของคนทั่วไปเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเงินเฟ้อมาต่อเนื่องยาวนาน ทำให้การประหยัดในปัจจุบัน ยากและท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ การหารายได้เพิ่มและรายได้หลายทาง ยังจำเป็นเสมอ

3. สิ่งที่ตรงข้ามกับประหยัดคือ 'ฟุ่มเฟือย' หลายคนไม่ได้คิดว่าตัวเองฟุ่มเฟือยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ประหยัดอย่างไร ส่วนจะไม่ฟุ่มเฟือยเลยจริงไหมหรือแค่คิดไปเอง คงแล้วแต่คน ความจำเป็นของแต่ละคนต่างกัน การทำบัญชีรายรับรายจ่าย แล้วนั่งทบทวน น่าจะพอช่วยได้

4. ความเข้าใจเรื่องการเงินของคนไทยมีไม่มากพอ แค่เรื่องหนี้หลายก้อน ควรเลือกปิดอันไหนก่อน หลายคนก็อาจจะไม่รู้แล้ว

แต่เหตุหนึ่งที่สำคัญที่สุด และอาจเป็นจุดตายคือ 5. คนสมัยนี้ 'ไม่เชื่อ' ว่าการประหยัดจะทำให้รวยได้ จึงเลือกที่จะใช้เงินเพื่อหาความสุขในปัจจุบันมากกว่า

ความจริงการประหยัดก็ไม่เคยทำให้ใครรวย ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน แต่การประหยัดน่าจะเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนระดับฐานะ เมื่อประหยัดได้แล้ว หากไม่เอาเงินไปต่อยอด ก็อาจไม่ได้เกิดความแตกต่างอะไรนัก แต่ถ้าไม่มีก้าวแรก ก็คงยากที่จะมีก้าวต่อไป โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้โชคดีมีเงินถุงเงินถัง ที่พาเรากระโดดจาก 0 ไปก้าวที่ 3 ที่ 5 ได้เลยแต่แรก

แต่สุดท้าย ใครจะเลือกอย่างไรก็เป็นสิทธิส่วนตัว แค่ทุกคนมีหน้าที่รับ Consequences ที่ตามมาจากการตัดสินใจของเราเท่านั้นเอง

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2567 : ธรรมะสำหรับพนักงานบริษัท

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ธรรมะสำหรับพนักงานบริษัท’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

🎙: พนักงานออฟฟิศ พนักงานบริษัท ผู้บริหาร ควรจะใช้ธรรมะข้อไหนดี?

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): ข้อที่ 1 คือขยัน คงไม่มีนายจ้างที่ไหนอยากได้คนขี้เกียจ ข้อที่ 2 คือซื่อสัตย์ ข้อที่ 3 ประหยัด ข้อที่ 4 สามัคคี และข้อที่ 5 มีวินัย 

ความขยัน ตรงข้ามกับความขี้เกียจ ความขยันคือการเอาใจใส่ มีความเพียร มีวิริยะ อยู่ในแผนกใดก็ขยันขันแข็งกระตือรือร้น ไม่นิ่งดูดาย ไม่ใช่คนที่เช้าชาม เย็นชาม ความขยันก็คือเสน่ห์นะ เพราะคนชอบคนขยัน

🎙: หากเป็นพนักงานบริษัทระดับล่าง แล้วคิดว่า ขยันไปก็เท่านั้น เจ้าของบริษัทไม่เห็นหรอก าคิดแบบนี้ได้ไหม?

💛พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท): คิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงผู้บริหารเห็นทั้งหมด และสามารถตรวจสอบได้ และรู้ด้วยว่าใครเป็นตัวถ่วง คำโบราณคือ ม้าเทียมรถ ถ้าม้าตัวไหนพาพวกวิ่งเป๋ ก็จะรู้่ หรือม้าตัวไหนพาพวกวิ่งไปข้างหน้า ก็รู้ บ่งบอกถึงคุณภาพ

ดังนั้นต้องคิดใหม่ว่า เราจะต้องสร้างแผนกให้ชนะแผนกอื่น เช่น แผนกผลิตจะต้องผลิตให้เซลล์ขายไม่ทัน หรือฝ่ายขายก็ขายจนเกลี้ยง ต้องรักบริษัทเหมือนรักบ้าน ให้รักงานเหมือนรักครอบครัว ต้องทำแผนกให้ประสบความสำเร็จ ถ้าทำได้เงินเดือนจะขึ้นทั้งแผนกนะ แต่ในขณะเดียวกันถ้ามีใครเป็นตัวถ่วงก็จะโดนทั้งแผงเหมือนกัน ดังนั้น ‘ความขยัน’ คือธรรมะที่ทุกบริษัทต้องการ

ต่อมา ‘ซื่อสัตย์’ คือซื่อตรง จริงใจ เพราะเวลาพิจารณาขั้นเงินเดือน พวกที่ไม่ซื่อสัตย์ ซื่อตรง ก็จะไม่ได้รับ ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ตรงต่อเวลา เป็นคุณธรรมที่สำคัญ

ถัดมาคือ ‘ประหยัด’ คือการใช้ทรัพยากรของบริษัทด้วยความระมัดระวัง หลวงพ่อเคยไปบรรยายที่บริษัทแห่งหนึ่งมีพนักงาน 800 คน ลองคิดดูว่า ถ้า 800 คนนี้ล้างมือ ขณะถูสบู่ก็เปิดน้ำทิ้งกันทุกคน จะต้องใช้น้ำกี่ลิตร เช่นเดียวกับการปิดไฟ ปิดแอร์ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้แล้ว ไม่ต้องรอให้หัวหน้ามาสั่งหรอก ทำเองได้เลย ฝึกให้เป็นนิสัย อย่าไปคิดว่าทำไปก็เท่านั้น 

เรื่องกระดาษทิชชูก็เหมือนกัน ถ้าทุกคนดึงทิชชูเหมือนดึงเชือกว่าว กระดาษจะต้องหมดวันละกี่ม้วน? แล้วกระดาษนี้เป็นทรัพยากร มาจากต้นไม้ มาจากต้นไผ่ เราต้องผลิต เราต้องทำลายสิ่งแวดล้อมมากมาย ฉะนั้นเราก็ช่วยประหยัด ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ใช้ แต่ให้ฝึกความประหยัดเป็นนิสัย ซึ่งประหยัดต่างจากตระหนี่นะ ตระหนี่คือมีแล้วไม่ใช้ แต่ประหยัดคือใช้เป็น ใช้พอดี 

อีกข้อคือ ‘สามัคคี’ ก็คือการอยู่ด้วยกัน ไม่ทะเลาะกัน ต้องกลมเกลียวกัน 

ข้อสุดท้าย คือ ‘มีวินัย’ อันนี้สำคัญที่สุดเลย การมีวินัยจะทำให้องค์กรทุกองค์กร หากสังเกตองค์กรต่างชาติหรือบริษัทข้ามชาติที่เขาประสบความสำเร็จระดับโลก เพราะความมีวินัย มีมากเป็นอันดับหนึ่ง เราก็มักจะชมว่าทำไมคนยุโรป คนอเมริกา จึงมีระเบียบวินัย ก็เพราะเขาฝึกมา เขาไม่ได้คิดว่าทำให้ใคร เพื่อใคร แต่เขาฝึกทำให้ตัวเองเป็นคนมีคุณภาพ

ดังนั้นธรรมะสำหรับพนักงานบริษัททุกระดับ อย่าไปคิดว่าทำไปก็เท่านั้นแหละ บริษัทเขารวย

หลวงพ่อเคยพูดว่า ทำไมคุณไม่คิดใหม่ ถ้าเจ้าของบริษัทปิดบริษัท (เจ้าของ) เขาอยู่ได้ร้อยปี ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าบริษัทปิด เราในฐานะลูกจ้าง จะเอาเงินจากไหนมาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ถ้าหางานใหม่ ก็อาจจะต้องย้ายโรงเรียนลูกอีก หรือเสียค่าเดินทาง ค่าน้ำมันเพิ่มอีก 

ดังนั้นต้องทำบริษัทนี้ให้อยู่ยั่งยืน ไม่ย้ายไปไหน เราจะได้วางแผนซื้อบ้านใกล้บริษัท หาโรงเรียนลูกใกล้บริษัท เมื่ออยู่ใกล้บริษัทเดินมาก็ได้ ปั่นจักรยานมาก็ได้ ไม่ต้องใช้วินมอเตอร์ไซค์ปากซอย เห็นไหม? มันเป็นเรื่องดี ก็ต้องทำให้บริษัทรวยที่สุดเท่าที่จะรวยได้

ส่วนเรื่องเงินเดือน หลวงพ่อมั่นใจว่าไม่ต้องไปบอกให้เขาขึ้น หลวงพ่อเห็นข่าวนะบริษัทข้ามชาติมาอยู่ในไทย ขนาดตอนโควิดยังมีโบนัส 7 เดือน นั่นก็แสดงว่าพนักงานเขากลมเกลียว มีคุณภาพ ฝ่ายขายก็ขายอย่างมีคุณภาพ ฝ่ายผลิตก็ผลิตอย่างมีคุณภาพ แต่หากคิดว่า อย่าไปทำเลย ทำไปก็เท่านั้น ฝ่ายขายก็ขายแบบเนือยๆ ฝ่ายผลิตก็เนือยๆ ทุกแผนกเนือยกันหมด หากเป็นอย่างนี้ก็เตรียมจดบริษัทใหม่เลย ชื่อบริษัทเจ๊งจำกัด ไปไม่รอดแน่

ดังนั้นของฝากไว้ ‘ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด สามัคคี มีวินัย’ ทำได้แล้วเจริญแน่นอน 

‘บิณฑ์’ ปลื้มใจ!! ดญ. 8 ขวบยอมอดขนม เอาเงินช่วยตาจ่ายค่าไฟ อาสามอบเงินสมทบช่วยเหลือ เพื่อเป็นกำลังใจให้เด็กกตัญญู

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 67) นับเป็นเรื่องราวที่แสนประทับใจให้กับทาง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ และ เกศรา น้องสาว พร้อมชาวคณะที่ได้รับรู้จากปากของเด็กหญิง ป.2 คนหนึ่งที่มาเข้าแถวต่อคิวรอรับค่าขนมจาก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ หลังจากที่เด็กนักเรียนของโรงเรียนบ้านคลองบง ในตำบลวังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เลิกเรียนและกำลังพากันกลับบ้าน 

แต่ในระหว่างทางที่ บิณฑ์ ผ่านทางมาเจอเด็ก ๆ จึงจอดรถเรียกเด็กนักเรียนทั้งหมดมาต่อแถวรับค่าขนมคนละ 100 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเด็ก ๆ รวมถึงการแบ่งเบาภาระค่าขนมแก่ผู้ปกครอง

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ถามเด็ก ๆ ที่ได้รับเงินว่าจะเอาเงินไปทำอะไรกัน บางคนบอกไปซื้อขนม บางคนบอกไปให้พ่อแม่ แต่มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อว่า ‘น้องโยโย่’ อายุ 8 ขวบ นักเรียน ป.2 ของโรงเรียนแห่งนี้ น้องตอบด้วยเสียงและสีหน้าดีใจว่า "จะเอาเงิน 100 บาทที่ได้จากคุณบิณฑ์ ไปให้กับคุณตาคุณยายที่บ้าน เพื่อเอาไว้จ่ายค่าไฟของทางบ้าน" 

ซึ่งคำตอบของน้อง ทำให้หลายคนถึงกับอึ้งในความคิดที่เด็กหญิงคนนี้ จึงเอ่ยปากถามกลับน้องว่า "ค่าไฟที่บ้านกี่บาท" น้องตอบว่า "ไม่รู้ แต่รู้ว่า ตากับยายกำลังเดือดร้อนจากค่าไฟที่ไม่มีจ่ายจึงจะเอาเงิน 100 บาทไปช่วยตากับยายจ่ายค่าไฟ"  

พอ บิณฑ์ ได้ฟังแบบนั้นก็ควักเงินเพิ่มให้ค่าไฟไป 600 บาท และให้ค่าขนมกับน้องอีก 100 แยกจากค่าไฟ สร้างความดีใจให้กับเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก

ต่อมาทีมข่าวได้พบกับคุณตาของ น้องโยโย่ ซึ่งคุณตา ได้มารับน้องกลับบ้านพอดี คุณตาชื่อว่า นายแฉล้ม จงรวยกลาง อายุ 62 ปี มีอาชีพรับจ้างทำสวนทั่วไปในพื้นที่ ยอมรับว่าที่ผ่านมามีความเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านเพราะรับจ้างรายวัน เงินที่ได้มาก็ใช้จ่ายในบ้านรายวันรวมถึงค่าขนมน้องไปเรียน ทำให้ที่ผ่านมาจะเกิดความทุกข์ใจเรื่องค่าไฟในบ้านบ่อยครั้ง ซึ่งน้องโยโย่ ก็ทราบดีและจะคอยประหยัดค่าขนมเพื่อเก็บเงินช่วยค่าไฟ เช่นกัน พอน้องได้เงินครั้งนี้ก็รีบมาบอกตนว่าได้เงินค่าไฟแล้ว เอาเงินมาให้ตน ทางตนก็ดีใจที่มีเงินจ่ายค่าไฟแล้ว ส่วนค่าไฟที่ใช้ก็ตกเดือนละประมาณ 5-6 ร้อยบาท

ด้าน บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ บอกว่า สำหรับการมอบเงินค่าขนมให้กับเด็ก ๆ แบบนี้ ตนชอบให้และให้เป็นประจำเวลาไปต่างจังหวัด พอเจอเด็ก ๆ ระหว่างทางก็จะจอดรถมอบเงินไว้ให้ค่าขนม ซึ่งครั้งนี้ระหว่างทางที่กลับมาจากวัดที่ตนและมูลนิธิร่วมกตัญญูไปถวายเทียนพรรษา ก็เห็นว่าเด็กนักเรียนเลิกเรียนกำลังพากันกลับบ้าน จึงจอดรถลงมาพูดคุยและมอบเงินค่าขนามให้กว่า 30 คน แต่มีคนหนึ่งที่ตนรู้สึกอึ้งในความกตัญญูและความคิดของน้องโยโย่ ที่มีความคิดว่าจะเอาเงินค่าขนมนี้ไปช่วยตาจ่ายค่าไฟ ซึ่งถือว่าเด็กในวัย 8 ขวบนี้มีความคิดกตัญญูและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเยาวชน ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน 

"อันนี้ขอชื่นชมน้องโยโย่จากใจ ซึ่งนอกจากจะมอบเงินค่าขนมให้กับเด็กแล้ว ผมยังมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับสองตายายที่บ้านอยู่ข้างโรงเรียนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับคุณตาและคุณยายทั้งสองท่านอีกด้วย" บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top