Thursday, 10 April 2025
ประวัติศาสตร์

ย้อนประวัติโหด 2 คู่หูนักปล้น ในเขต North Hollywood สู่การยิงปะทะกับตำรวจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

สวัสดีนักอ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมหยิบยกเรื่องราวการยิงปะทะกันระหว่างคนร้ายและตำรวจสหรัฐฯ มาเล่าสู่กันฟังครับ หลายๆ ท่านคงคุ้นชินกับเรื่องการพกพาปืนของชาวสหรัฐฯ กันมาพอสมควร เนื่องด้วยมักจะมีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่าเกิดเหตุกราดยิงระทึกขวัญตามสถานที่ต่างๆ สุดท้ายมักจบลงด้วยคราบน้ำตาของผู้สูญเสีย ทว่า ปัญหากราดยิงของสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขจนเป็นที่น่าพอใจของคนในประเทศ

เรื่องที่ผมยกมาเล่านี้ ต้องกล่าวย้อนกลับไปเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 เกิดเหตุการปล้นในนครลอสแองเจลลิส และต่อมาก็กลายเป็นการยิงปะทะกันต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างตำรวจกับผู้ร้าย และถือเป็นการยิงปะทะที่ดุเดือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของกรมตำรวจแห่งนครลอสแองเจลลิส (LAPD)

เหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายสาดกระสุนใส่กันเกือบสองพันนัด โดยฝ่ายตำรวจยิงไปราว 650 นัด และคนร้ายยิงอีกราว 1,100 นัด มีผู้เสียชีวิต 2 คน เป็นคนร้ายทั้งคู่ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 20 คน

นับเป็นเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจการยิงที่ด้อยกว่าคนร้าย

คนร้ายทั้งสองคือ Larry Eugene Phillips Jr. และ Ștefan Emilian ‘Emil’ Mătăsăreanu (เกิดที่ประเทศโรมาเนีย) พบกันครั้งแรกที่โรงยิม Gold เมืองเวนิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1989 พวกเขามีความสนใจร่วมกันในเรื่องการยกน้ำหนัก การเพาะกาย และอาวุธปืน

แต่ก่อนรู้จักกัน ‘Phillips’ เป็นผู้ที่พฤติกรรมเป็นคนร้ายเกี่ยวข้องกับการต้มตุ๋นด้านอสังหาริมทรัพย์ และการโจรกรรมในร้านค้า ส่วน Emil เป็นวิศวกรไฟฟ้าและทำธุรกิจซ่อมคอมพิวเตอร์ที่ค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จ

20 กรกฎาคม ค.ศ. 1993 Phillips และ Emil ได้ปล้นรถหุ้มเกราะซึ่งจอดอยู่นอกธนาคาร First Bank ในเมือง Littleton มลรัฐโคโลราโด

วันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1993 ทั้งสองถูกจับที่เมือง Glendale ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครลอสแองเจลิสในข้อหาขับรถเร็วเกินกำหนด จากการค้นรถ หลังจากที่ Phillips ยอมจำนนพร้อมอาวุธปืนที่พกติดตัว ตำรวจพบปืน AK-47 กึ่งอัตโนมัติ 2 กระบอก, ปืนพก 2 กระบอก, กระสุนปืนขนาด 7.62 × 39 มม. มากกว่า 1,600 นัด, กระสุนขนาด 9 × 19 มม. และ .45 ACP อีก 1,200 นัด, วิทยุรับฟังความถี่ตำรวจ, ระเบิดควัน, อุปกรณ์ประกอบระเบิด, เสื้อเกราะ, และป้ายทะเบียนของรัฐแคลิฟอร์เนีย 3 แผ่นที่เลขแตกต่างกัน

ในขั้นต้นทั้งสองถูกข้อหาสมรู้ร่วมคิดที่จะก่อการปล้น ทั้งสองติดคุก 100 วัน และถูกคุมประพฤติ 3 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัวทั้งสองได้รับคืนทรัพย์สินส่วนใหญ่ ยกเว้นอาวุธปืนและวัตถุระเบิด

14 มิถุนายน ค.ศ. 1995 ทั้งคู่ได้ปล้นรถหุ้มเกราะของบริษัท Brinks ในเมือง Winnetka มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยได้สังหาร Herman Cook พนักงานรักษาความปลอดภัย และพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกคนถูกยิงบาดเจ็บสาหัส

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1996 ได้ปล้นธนาคารแห่งอเมริกา 2 สาขาในพื้นที่ San Fernando Valley ในนครลอสแองเจลิสได้เงินไปประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

Phillips และ Emil ถูกขนานนามว่าเป็น ‘จอมโจรอุบัติการณ์สูง (High Incident Bandits)’ โดยเจ้าหน้าที่สอบสวน จากอาวุธที่ใช้ในการปล้น 3 ครั้งก่อนที่จะเกิดเหตุการยิงกันที่เขต North Hollywood

วันเกิดเหตุ Phillips และ Emil ขับรถ Chevrolet Celebrity สีขาว ปี ค.ศ.1987 มาถึงธนาคารแห่งอเมริกาสาขาแยกถนน Laurel Canyon และถนน Archwood ในเขต North Hollywood ราว 09.17 น. และได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แปดนาที เป็นการประมาณเวลาที่ตำรวจจะมาถึงหลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุ

ในช่วงเวลานี้ Phillips ใช้วิทยุรับฟังความถี่ตำรวจ เพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของตำรวจก่อนการปล้น ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปยังธนาคารก็ถูกพบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ LAPD 2 นาย Loren Farrell และ Martin Perello ที่กำลังขับรถสายตรวจเพื่อตรวจตราตามถนน Laurel Canyon เจ้าหน้าที่ Perello แจ้งวิทยุขอความช่วยเหลือ ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุ 211 ที่ธนาคารแห่งอเมริกา ‘211’ คือรหัสแจ้งว่ามีการปล้น

ขณะที่ Phillips และ Emil เข้าไปในธนาคาร พวกเขาอาวุธประกอบด้วย ปืนไรเฟิล Norinco Type 56 S-1 Phillips และ Emil สั่งให้ลูกค้าออกจากโถงที่มี ATM ใกล้กับทางเข้าธนาคารและนอนลงกับพื้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของธนาคารเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว และเห็นโจร 2 คนพร้อมอาวุธหนัก จึงวิทยุเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ที่ลานจอดรถให้เรียกตำรวจ แต่ไม่มีการตอบรับ

Phillips ตะโกนว่า "ชูมือขึ้น! ก่อนที่จะเปิดฉากยิงเพดานเพื่อข่มขู่พนักงานธนาคารและลูกค้าประมาณ 30 คน เพื่อไม่ให้ขัดขืน Phillips ยิงเพื่อเปิดประตูกันกระสุน (ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันกระสุนความเร็วต่ำเท่านั้น) และสามารถเข้าถึงเคาเตอร์และตู้นิรภัย ได้บังคับให้ John Villigrana ผู้ช่วยผู้จัดการ เปิดตู้นิรภัย Villigrana จึงจำเป็นต้องเปิดและเริ่มนำเงินใส่ถุงเงิน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลารับมอบของธนาคารห้องนิรภัยจึงมีเงินน้อยกว่า 750,000 ดอลลาร์ตามที่ Phillips และ Emil คาดเอาไว้ ทำให้ Phillips โกรธจนเกิดการโต้เถียงกับ Villigrana และเรียกให้ Villigrana หาเงินให้มากขึ้น และแสดงความหงุดหงิดที่ชัดเจนด้วยการยิงปืนเข้าไปในตู้เซฟของธนาคารถึง 75 นัด ทำลายเงินที่เหลืออยู่ 

Phillips พยายามที่จะเปิดตู้ ATM ของธนาคาร แต่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายผู้จัดการสาขาไม่สามารถเข้าถึงเงิน ATM ได้อีก

ก่อนจะหนี Phillips และ Emil ได้ขังตัวประกันในห้องนิรภัยของธนาคาร ท้ายที่สุดทั้งสองก็เหลือเงินสด 303,305 ดอลลาร์ ซึ่งมีสีระเบิดสามซองซึ่งต่อมาก็เกิดระเบิดทำให้เกิดตำหนิบนเงินที่พึ่งปล้นมาทั้งหมด

ด้านนอกเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดแรกได้ยินเสียงปืนจากธนาคาร และวิทยุเรียกกำลังเสริม ก่อนที่จะหลบเข้าหลังรถสายตรวจเล็งปืนไปยังประตูธนาคาร ในขณะที่โจรยังคงอยู่ข้างใน ตำรวจสายตรวจและสายสืบมาถึง และเข้าประจำตำแหน่งกำบังที่เหมาะสมทั้งสี่มุมรอบ ๆ ธนาคารอย่างมีประสิทธิภาพ

เวลาประมาณ 9:24 น. Phillips เดินออกทางประตูทางเหนือ และพบกับตำรวจห่างราว 200 ฟุต (60 ม.) จึงเปิดฉากยิงเป็นเวลาหลายนาที ทำให้ตำรวจบาดเจ็บ 7 นาย และพลเรือนอีก 3 คน

นอกจากนี้ Phillips ยังยิงเข้าใส่เฮลิคอปเตอร์ตำรวจซึ่งบินตรวจการณ์ด้านบน จนต้องบินห่างออกมาในระยะปลอดภัย Phillips ถอยกลับเข้ามาข้างในสักพัก ก่อนโผล่ออกทางประตูด้านเหนือ ขณะที่ Emil เดินออกจากประตูทางทิศใต้

Phillips และ Emil เริ่มยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ โดยยิงไปยังรถสายตรวจที่จอดอยู่ตามถนน Laurel Canyon หน้าธนาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอาวุธปืนมาตรฐาน ได้แก่ ปืนพกแบบ Beretta 92F/FS ขนาด 9 มม. ปืนพกลูกโม่ S&W Model 15 ขนาด .38 และปืนลูกซอง Ithaca แบบโยนลำ (Pump action) Model 37 ขนาด 12 ทันทีที่เจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้กระสุนของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเจาะผ่านชุดเกราะที่ Phillips และ Emil สวมใส่ได้ ด้วยปืนพกของเจ้าหน้าที่ LAPD ส่วนใหญ่ไม่มีอานุภาพเพียงพอ และในระยะไกลมีความแม่นยำต่ำ มีเสียงตำรวจ LAPD เตือนเจ้าหน้าที่คนอื่นว่า "อย่าหยุดยานพาหนะหลบหนี เพราะพวกเขามีอาวุธปืนอัตโนมัติ ไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้" 

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังถูกตรึงไว้ด้วยห่ากระสุนจาก Phillips และ Emil ทำให้ยากต่อการพยายามยิงตรงศีรษะ (ซึ่งไม่มีเกราะป้องกัน) เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายจึงได้ไปขอยืมปืน AR-15 จำนวน 5 กระบอกจากร้านขายปืนใกล้เคียงเพื่อนำมาใช้ยิงต่อสู้กับ Phillips และ Emil

มีสองตำแหน่งที่อยู่ติดกับลานจอดรถด้านทิศเหนือที่เหมาะจะกำบังเจ้าหน้าที่ และสามารถยิง Phillips ด้วยปืนพก ขณะที่ Phillips กำลังยิง และหลบใกล้กับรถ 4 คันที่จอดอยู่ติดกับกำแพงด้านเหนือของธนาคาร และสถานที่แห่งหนึ่งที่ เจ้าหน้าที่ Zielenski กองตำรวจจราจร Valley ใช้เป็นที่กำบังคือ ร้านอาหาร Del Taco สาขา West wall ห่างจาก Phillips ราว 351 ฟุต เจ้าหน้าที่ Zielenski ยิง Phillips ไป 86 นัด และอาจยิงถูกอย่างน้อยหนึ่งนัด ตำแหน่งอื่นที่เป็นประโยชน์เจ้าหน้าที่ LAPD คือสนามหลังบ้านเลขที่ 6641 ถนน Agnes ผนังบล็อกช่วยกำบังเจ้าหน้าที่ที่ทำการยิงต่อสู้ และอาจยิงถูก Phillips ด้วยกระสุน 9 มม. จากปืนพกของนักสืบ Bancroft ซึ่งยิงไป 17 นัด และนักสืบ Harley ยิงไปอีกราว 15 ถึง 24 นัด ถูก Phillips ในระยะประมาณ 55 ฟุต

หลังจากที่ Emil เคลื่อนรถ Chevrolet Celebrity ออกจากพื้นที่จอดรถคนพิการในลานจอดรถทางตอนเหนือ Phillips อาจถูกยิงที่มือซ้าย (อ้างอิงจากภาพข่าวเฮลิคอปเตอร์ที่แสดงให้เห็นว่า เขามีอาการบาดเจ็บ) ในเวลาเดียวกันกระสุนปืนจากเจ้าหน้าที่ LAPD ยิงถูกปืน H&K 91 ที่ Phillips ใช้ยิงจนขัดข้องและใช้งานไม่ได้ เจ้าหน้าที่ LAPD ยิง Phillips บาดเจ็บจากสองจุดกำบังและป้องกันไม่ให้ Phillips สามารถหลบหนีได้ง่าย ๆ

๓ ข้าหลวงต่างพระองค์ ดูแลบ้านเมืองต่างพระเนตร พระกรรณ สมัยรัชกาลที่ ๕ | THE STATES TIMES STORY EP.115

THE STATES TIMES STORY เรื่องจริง ฟังเพลิน EP.115 นี้ นำเสนอเรื่องราวของ “ข้าหลวงต่างพระองค์” กับคำถามที่ว่าข้าหลวงต่างพระองค์ คือตำแหน่งอะไร สำคัญอย่างไร ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงแต่งตั้งเพียง 3 ข้าหลวงต่างพระองค์เท่านั้น ซึ่งจะมีพระองค์ใดบ้างที่เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ ติดตามพระประวัติได้ใน EP นี้

รับชม THE STATES TIMES STORY ตอนอื่นๆ ได้ที่ : https://youtube.com/playlist?list=PL60bae1syuyLbSZPZIUmXvd6NiToeX5qW

 

ทหารเป็นตัวการปฏิวัติ ล้มราชบัลลังก์จริงหรือ ? | THE STATES TIMES STORY EP.116

ทหารเป็นตัวการปฏิวัติ ล้มราชบัลลังก์ จริงหรือไม่? ลองฟัง THE STATES TIMES STORY เรื่องจริง ฟังเพลิน EP นี้ แล้วคุณจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ตัวการปฏิวัติ ล้มราชบัลลังก์ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักการเมือง ติดตามรายละเอียดกันในคลิปนี้ได้เลย

รับชม THE STATES TIMES STORY ตอนอื่นๆ ได้ที่ : https://youtube.com/playlist?list=PL60bae1syuyLbSZPZIUmXvd6NiToeX5qW

🎥 ช่องทางรับชม
Facebook: THE STATES TIMES PODCAST
YouTube: THE STATES TIMES PODCAST
TikTok: THE STATES TIMES PODCAST

‘ไอซ์-ก้าวไกล’ ยกประวัติศาสตร์ไทยโต้โซเชียล ปม 'ล้มเจ้า' ชี้!! ไม่มีใครล้มเจ้าได้ นอกจากทหารและเจ้าด้วยกันเอง

ไม่นานมานี้ น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือ ‘ไอซ์’ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 28 (บางขุนเทียน หนองแขม บางบอน บางบอนเหนือ คลองบางพราน) พรรคก้าวไกล ได้ออกมาโพสต์คลิปผ่านทางติ๊กต็อกส่วนตัว ‘nanaicez’ กรณีมีชาวเน็ตคอมเมนต์ว่า “ล้มเจ้าไม่เอา” โดย น.ส.รักชนก เผย..."ตนจะเอาอะไรไปล้มเจ้าได้" และได้อธิบายเพิ่มเติมว่า...

"การล้มเจ้าในประวัติศาสตร์โลก รวมถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากเจ้าด้วยกันเองทั้งนั้น และมีส่วนน้อยที่เกิดจากการรัฐประหาร เนื่องจากต้องมีกองกำลัง มีทหาร เพื่อไปล้มล้างระบบการปกครอง และสถาปนาตนเอง หรืออาจเปลี่ยนแปลงเป็นระบบสาธารณรัฐฯ ก็ได้ แต่ว่าอย่างตนนั้น ไม่สามารถไปล้มเจ้าได้"

นอกจากนี้ น.ส.รักชนกยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ตามประวัติศาสตร์ชาติไทย ประชาชนไม่สามารถล้มได้ คนที่ล้มเจ้านั้นมีแต่เจ้าด้วยกันเองทั้งนั้น หากลองไปศึกษาตามประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย, อยุธยา, รัตนโกสินทร์ การสถาปนาราชวงศ์ใหม่ ก็ล้วนเกิดจากเจ้าที่ล้มเจ้าด้วยกันเองทั้งสิ้น"

5 ประเทศที่ใช้เวลาจัดตั้งรัฐบาล ‘นานที่สุดในโลก’

ช่วงนี้การเมืองไทยร้อนระอุ และถูกพูดถึงอย่างหนักหน่วงทั้งในโลกออนไลน์ ออฟไลน์ และสื่อต่างชาติก็ให้ความสนใจอย่างยิ่ง หลายคนเกิดความกังวลว่าการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้จะใช้เวลานานและส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน 

วันนี้ THE STATES TIME ได้รวบรวม 5 ประเทศที่ใช้เวลาจัดตั้งรัฐบาล ‘นานที่สุดในโลก’ มาให้ดูกัน จะมีประเทศอะไรบ้างมาดูกัน

1. เบลเยียม ใช้เวลา 541 วัน การเลือกตั้งในปี 2010 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะความแตกต่างทางนโยบาย จากฝ่ายการเมืองอย่าง ‘พรรคการเมืองฝ่ายเฟลมมิช’ และ ‘ฝ่ายฟรองโคโฟน’ โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปประเทศ ไม่มีรัฐบาลกลางเกือบ 2 ปี จนถูกบันทึกลงสถิติโลก

2. สเปน ใช้เวลา 315 วัน ในปี 2015 การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่อาจทำให้สเปนพ้นจากทางตันได้ เพราะถึงแม้พรรคสายอนุรักษ์นิยมจะชนะ แต่ไม่สามารถคุมเสียงข้างมากในสภาที่จำนวน 176 ที่นั่งเอาไว้ได้ จากทั้งหมด 350 ที่นั่ง อีกทั้งพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็มีท่าทีต่อต้านการเมืองรูปแบบเดิม ๆ โดยพรรคประชาชนสเปนพยายามเจรจากับกลุ่มพรรคการเมืองอื่นหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลว กว่าจะตั้งรัฐบาลได้สำเร็จก็กินเวลาเกือบ 1 ปี

3. เนเธอร์แลนด์ ใช้เวลา 225 วัน หลังการเลือกตั้งในปี 2017 รัฐบาล 4 พรรคผสมของเนเธอร์แลนด์ ที่มีทั้งสายเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม โดยมีนโยบายสนับสนุนความหลากหลายทางเพศที่ต่างกัน จนต้องใช้เวลาเจรจากัน 225 วัน แถมยังมีเสียงข้างมากเกินรัฐสภาแค่ 1 เสียงเท่านั้น ขณะที่มีพรรคการเมืองอยู่ในสภาถึง 13 พรรค 

4. เยอรมนี ใช้เวลา 136 วัน เกือบจะต้องเลือกตั้งใหม่ เพราะจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เมื่อนางแองเกลา เมเคิล ผู้นำพรรค CDU ชนะการเลือกตั้งในปี 2017 ด้วยคะแนน 33% ซึ่งถือว่าต่ำมาก จึงต้องจัดตั้งรัฐบาล รวมกับพรรค SDP ซึ่งได้ที่นั่งอันดับ 2 แต่การเจรจาล้มเหลวหลายครั้ง เพราะมีนโยบายไม่ตรงกันหลายเรื่อง จนต้องใช้เวลาเจรจานาน 136 วัน ท้ายสุดต้องยอมยก ก.คลัง ก.ต่างประเทศ ก.แรงงาน ให้พรรค SDP ถือเป็นการเจรจาที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์เยอรมนี

5. สวีเดน ใช้เวลา 134 วัน ในปี 2018 พรรค Social Democrats ได้คะแนนเสียงต่ำที่สุดในรอบศตวรรษของพรรค จึงต้องรวมคะแนนเสียงกับกลุ่มพรรคฝั่งซ้ายอื่น ๆ จนอยู่ที่ 40.6% ขณะที่อันดับ 2 รวมคะแนนเสียงได้อยู่ที่ 40.3% ซึ่งนั่นก็ยังไม่พอให้ Social Democrats จัดตั้งรัฐบาลได้ ทางรัฐสภาจึงมีมติหลังการเจรจากว่า 134 วัน ให้ผู้นำพรรค Social Democrats เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตัดปัญหาการเลือกตั้งที่หาข้อสรุปไม่ได้ไป

ทัวร์ราชมรรคาพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เส้นทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์อันแนบแน่น ‘ไทย-กัมพูชา’

📌ห้ามพลาด!!
ทัวร์ราชมรรคาพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 
เส้นทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์อันแนบแน่น ‘ไทย-กัมพูชา’ 

🗓ระหว่างวันที่ 12 - 20 ตุลาคม 2566 (8 คืน 9 วัน)

จัดโดย: คณะอนุกรรมการพลังวัฒนธรรมไทย สภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

🎤คณะวิทยากร: อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม และอาจารย์กฤษณพงศ์ เกียรติศักดิ์

ประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่อดีต มีแผ่นดินเดียวกันมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ มีมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันมานานนับพันปี อีกทั้งให้อิทธิพลซึ่งกันและกันในบางยุคสมัยโดยเฉพาะ รัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้มีการสร้างเส้นทางทางการค้า ศาสนา และการเมืองที่เราเรียกว่า ‘ราชมรรคา’ ซึ่งในปัจจุบันยังปรากฏ เมือง ศาสนสถาน โรงพยาบาล ที่พักสำหรับผู้คนที่เดินทางไปจาริกแสวงบุญ อันเป็นประจักษ์ พยานหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์

ปัจจุบัน ‘ราชมรรคา’ จึงกลายเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ คณะอนุกรรมการพลังวัฒนธรรมไทย สภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ไทย ไท แชนเนล เห็นความสำคัญของเส้นทางราชมรรคา เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ทั้งทางด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรมกับประเทศกัมพูชาให้มีความแนบแน่นมากขึ้น จึงได้จัดทัศนศึกษาขึ้น โดยมีสถานที่ที่น่าสนใจดังนี้ เมืองศรีเทพ-ปราสาทพิมาย-ปราสาทพนมรุ้ง-ปราสาทเมืองต่ำ-อโรคยศาลา-ปราสาทพระวิหาร-นครธม-ตงเลสาป-นครวัด-สมโบร์ไพรกุก-พนมเปญ-พิพิธภัณฑ์-ทำเนียบรัฐบาลกัมพูชา

📌ค่าบริการ : พักคู่ ท่านละ 79,000 บาท 
พักเดี่ยวเพิ่ม ท่านละ 25,000 บาท

📌รายละเอียดกำหนดการในแต่ละวัน อ่านเพิ่มเติมในคอมเมนต์

🟢ค่าบริการดังกล่าว รวม :
✅️ค่าเดินทางรถโค้ชปรับอากาศ พร้อมคนขับ รวมค่าน้ำมัน
✅️ค่าตั๋วเครื่องบิน ขากลับ พนมเปญ-สุวรรณภูมิ ชั้นประหยัด สายการบินบางกอกแอร์เวย์
✅️ค่าอาหารที่ระบุตามรายการ
✅️ค่าที่พัก 8 คืน (พัก 2 ท่านต่อห้อง)
✅️ค่าบัตรเข้าชมสถานที่และพิพิธภัณฑ์
✅️คู่มือนำชม ราชมรรคา
✅️กิจกรรมพิเศษและค่าวิทยากรบรรยาย
✅️หัวหน้าทัวร์ คอยอำนวยความสะดวก จำนวน 1 ท่าน ทั้งในประเทศไทยและกัมพูชา
✅️ประกันการเดินทางเฉพาะอุบัติเหตุ (ไม่รวมสุขภาพ) ตามเงื่อนไขกรมธรรม์

🔴ค่าบริการดังกล่าว ไม่รวม :
❌️ค่าบริการ 30 - 5 กรณีที่ชำระค่าใช้จ่ายตอนต้นด้วยบัตรเครดิต
❌️ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% (กรณีนิติบุคคล)
❌️ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุในรายการ
❌️ค่าทิปคนขับรถ ผู้ช่วยคนขับ และหัวหน้าทัวร์ไทยและกัมพูชา

📢เงื่อนไขและความรับผิดชอบ

ทางบริษัททัวร์ฯ เป็นเพียงตัวแทนด้านการท่องเที่ยว ซึ่งไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหาย รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง 1 ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัทฯ ทั้งก่อนเดินทางและระหว่างการเดินทาง อาทิ การนัดหยุดงาน การประท้วง เหตุจลาจล การก่อการร้าย โรคระบาด การประกาศฉุกเฉิน เหตุจากภัยธรรมชาติ สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน และเหตุสุดวิสัยอื่น ๆ ที่เป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือการเลื่อน หรือต้องยกเลิกการเดินทาง รวมทั้งค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหรือการสำรองค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงทางอ้อมระหว่างการเดินทาง อาทิ การเจ็บป่วยทางสุขภาพ - โรคประจำตัว อุบัติเหตุ การสูญหายของทรัพย์สินส่วนตัว ความเสียหายที่เกิดจากความล่าช้าในการเดินทาง การถูกทำร้าย การถูกจับหรือกักตัว

ครั้งประวัติศาสตร์ TSB เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตแก่สวิตเซอร์แลนด์ จากรถเมล์พลังงานสะอาดเจ้าแรกของโลก

นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด หรือ TSB เปิดเผยว่า จากความพยายามของบริษัทในการพัฒนาขนส่งมวลชนของประเทศไทยให้เป็นรูปแบบพลังงานไฟฟ้า 100% ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ฝุ่นควันดำอันจะส่งผลต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน ทั้งยังช่วยเก็บคาร์บอนเครดิต ที่เป็นสิทธิจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น ล่าสุด ทางเครือไทยสมายล์กรุ๊ป และหน่วยงานพันธมิตร ได้เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตที่บันทึกได้จากโครงการ “Bangkok E-Bus Programme” โครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งนี้ เกิดขึ้นภายใต้ความตกลงปารีส Article 6.2  การร่วมมือกันระหว่างไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยกรอบความร่วมมือภาคสมัครใจ ทั้งยังมีการปฏิบัติตรงตามมาตรฐานด้านคุณภาพต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน โดยมี Klik Foundation เป็นผู้ซื้อ Carbon Credit ที่เกิดขึ้นและนำ Carbon Credit ดังกล่าวไปลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้

สำหรับการพัฒนาในปี 2567 นางสาวกุลพรภัสร์ ทิ้งท้ายไว้ว่า ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความภูมิใจของบริษัทกับพนักงานทุกคน ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แม้ตนเองเป็นบริษัทเอกชน 100% ก็จะขออาสาช่วยพัฒนาการคมนาคมขนส่งของไทยอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน ทั้งในเรื่องของคุณภาพการให้บริการ ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดั่งความตั้งใจที่ว่า "เดินทางด้วยรอยยิ้ม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม" โดยภายในปีนี้จะมีการทยอยนำรถเข้ามาเพิ่มเติม จากปัจจุบันมีรถพร้อมให้บริการอยู่จำนวน 2,200 คัน เป็น 3,100 คันตามเป้าหมาย ขณะเดียวกันบริษัทก็จะพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่เข้ามาให้บริการมากขึ้นควบคู่กันไปด้วย

‘รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง’ ชี้!! สอนประวัติศาสตร์ต้องไม่บิดเบือนหรือสร้างนิทานหลอกเด็กให้รังเกียจชังชาติบ้านเกิด

เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย. 67) รองศาสตราจารย์ อัศวิณีย์ หวานจริง อดีตคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

“การสอนประวัติศาสตร์…ผู้เรียนมาย่อมสอนได้…ไม่มีข้อห้าม เพียงต้องสอนตามความจริงที่เกิด ไม่บิดเบือนเรื่องราวประวัติศาสตร์ เปิดกว้างการตั้งคำถาม แล้ววิเคราะห์ด้วยเหตุและผล ไม่พยายามสร้างเรื่องใหม่ เป็นนิทานหลอกเด็ก สร้างความก้าวร้าว ให้เยาวชนรังเกียจชาติบ้านเกิด 

ตรงกันข้าม หากมองกลับกัน สังคมปัจจุบันเกิดปัญหามากมาย จากใคร? ที่พยายามสอนบิดเบือนความจริง ยุยงเยาวชนให้เกิดความก้าวร้าวจนเอาไม่อยู่ สอนไม่ได้

ใครอันตรายมากกว่ากัน ระหว่างการสอนจาก…ผู้ที่เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมประเทศชาติ กับผู้ที่บ่อนทำลายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ที่พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติให้เยาวชนเข้าใจผิด”

'หม่อมไกรสร' ไพรีผู้พินาศ ประมาทเพราะอำนาจ กำเริบน้อยไปถึงมาก พาชีวิตพลาดจนตัวตาย

หากจะพูดถึงเจ้านายที่ชีวิตขึ้นสุด ลงสุดคือ มีอำนาจวาสนาถึงสูงสุด มียศศักดิ์ได้ทรงกรมถึง 'กรมหลวง' ร่วงลงต่ำสุด จนถูกถอดยศเหลือแค่ 'หม่อม' ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว 

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร นั้นถือได้ว่าเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจบารมีมาก ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองเริ่มเข้ารูปเข้ารอย และเจ้านายเริ่มเข้ามามีบทบาทในการกำกับกิจการบ้านเมือง 

พระองค์เจ้าไกรสรเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่ได้เข้ามามีส่วนในการจัดระเบียบพระสงฆ์ ส่งเสริมกิจการของพระพุทธศาสนา ได้กำกับ 'กรมสังฆการี' ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการศึกษาและพระราชศรัทธาของพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นเจ้านายเพียงไม่กี่พระองค์ที่ได้สถาปนาให้ทรงกรม โดยแรกได้ทรงกรมที่ 'กรมหมื่นรักษ์รณเรศ' เคียงคู่กับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ของรัชกาลที่ ๒ คือ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' ซึ่งกาลต่อมาก็คือ 'พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๓ เรียกได้ว่าทรงงานคู่กันมาตลอดรัชกาล แม้จะมีศักดิ์เป็น 'พระปิตุลา' หรือ อา ของรัชกาลที่ ๓ แต่ว่าทั้งสองพระองค์มีพระชันษารุ่นราวคราวเดียวกัน ร่วมงานกันมาอย่างยาวนานต่อเนื่องเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนยากของ ร.๓ เลยก็ว่าได้ 

พระองค์เจ้าไกรสร เป็นกำลังสำคัญในการก้าวขึ้นสู่พระราชอำนาชของรัชกาลที่ ๓ เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะนอกเหนือจากบุญญาบารมีทางการเมืองของในหลวงรัชกาลที่ ๓ แล้ว พระองค์เจ้าไกรสรทรงเป็นโต้โผหลักร่วมกับเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ อาทิ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์, กรมหมื่นศักดิพลเสพ, เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค), พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค) ในการสนับสนุนให้ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และพยายามกำจัดคู่แข่งทางการเมือง โดยเฉพาะ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' ซึ่งกาลต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ให้ต้องพลาดจากราชบัลลังก์ ทั้งยังตั้งตัวเป็นศัตรูมาอย่างต่อเนื่องอย่างที่เรียกว่า 'จองเวร' ก็ว่าได้ 

เริ่มต้นความเป็น 'ไพรี' หรือ 'ศัตรู' ของพระองค์เจ้าไกรสรที่มีต่อ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' นั้นสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งเมื่อรัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะพระองค์เป็นหนึ่งในโต้โผตามที่กล่าว ทั้งยังแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากการ 'หน่วงเหนี่ยว กักขัง' 'วชิรญาณภิกขุ' ซึ่งผนวชมาก่อนสวรรคตราว ๒ สัปดาห์ 

เมื่อรัชกาลที่ ๒ สวรรคต ก็ได้ลวงว่ามีพระบรมราชโองการให้เข้าเผ้า ฯ แต่เมื่อมาถึงพระราชวังหลวงกลับถูก 'กักบริเวณ' เพื่อจัดการเรื่องผู้สืบราชสมบัติเสร็จสิ้นเสียก่อน ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว แล้วแจ้งความจริงแก่พระองค์ (ดีที่พระองค์ทรงเตรียมใจด้วยทรงปรึกษาเรื่องการขึ้นครองราชย์มาก่อนแล้ว โดยเจ้านายผู้ใหญ่ที่นับถือทรงบอกกล่าวแล้วว่ายังมิควร เรื่องนี้จึงช่วยได้เยอะ) 

จากนั้นเมื่อทรงทราบทุกเรื่องแจ้งตลอดแล้วจึงได้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ แต่ก็ทรงโดนพระองค์เจ้าไกรสรเข้าประกบพร้อมทรง 'ข่มขู่' จาก 'บันทึกความทรงจำ' พระยาสาปกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ระบุไว้ว่า “พระจอมเกล้าฯ เสด็จเข้าไป พอเห็นสวรรคตแล้วก็ทรงพระกรรแสงโฮขึ้น หม่อมไกรสรก็เข้าไปกอดไว้แล้วคลําดู ดูที่จีวรกลัวจะซ่อนพระแสงเข้าไป พระจอมเกล้าฯ ก็ตกพระทัยรับสั่งว่าขอชีวิตไว้อย่าฆ่าเสียเลย พระนั่งเกล้าฯ รับสั่งว่าท่านอย่ากลัว ไม่มีใครทําอะไรหรอกอย่าตกพระทัย พี่น้องกันทั้งนั้น ทําอย่างไรได้เวลานั้นโดยท่านตกพระทัย พระบังคลไหลออกมาเปียกสบงเป็นครึ่งผืน” 

นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอย่างยาวนานกว่า ๒๗ พรรษา

ครั้นมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 'พระองค์เจ้าไกรสร' ได้รับการสถาปนาให้เป็น 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ทรงกำกับกรมวัง มีหน้าที่ตัดสินคดีความ คุมเบี้ยหวัดของพระราชวงศ์และขุนนาง ทรงคุม 'กรมสังฆการี' อยู่ในกำมือ เรียกว่ามีอำนาจอิทธิพลมาก นั่นทำให้พระราชวงศ์หลายพระองค์ต้องทรงมีอาการหมางเมินต่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ด้วยความกริ่งเกรง 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นั่นเอง 

แต่ถึงจะครองเพศบรรพชิตก็ใช่ว่าจะแกล้งไม่ได้ 'พระวชิรญาณภิกขุ' ขึ้นชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา มีภูมิรู้ทางภาษาบาลีอย่างเอกอุ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบในด้านนี้ของพระองค์ วันหนึ่งจึงทรงอาราธนาพระองค์เข้าสอบความรู้พระปริยัติธรรมสนามหลวงโดยมีรัชกาลที่ ๓ ทรงเสด็จฯ ออกทรงฟังการสอบความรู้พระปริยัติธรรมด้วยทุกวัน ซึ่งปรากฏว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' แปลบาลีได้อย่างไม่ติดขัดจนถึงประโยคที่ ๕ เมื่อผ่านพ้นการแปลในประโยคนี้รวม ๓ วัน ก่อนจะขึ้นในวันใหม่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ก็ได้เข้ามาทรงทักท้วงกับ พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกยาราม กลางที่ประชุมกรรมการแปลโดยเสียงที่ได้ยินกันทั่วว่า...

"นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน" คืออารมณ์ว่าจะปล่อยให้แปลไปสบาย ๆ แบบนี้ได้ยังไง จน 'พระวชิรญาณภิกขุ' ต้องทูลฯ รัชกาลที่ ๓ ขอหยุดแปล ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบก็ไม่ทรงขัดศรัทธา อีกทั้งยังทรงพระราชทานพัดยศเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้สำเร็จการศึกษาพระปริยัติชั้นสูงสุดแห่งคณะสงฆ์ไทยให้ทรงถือ ก็แสดงให้เห็นชัดว่า ร.๓ ท่านไม่ได้ทรงขุ่นข้องหมองใจใด ๆ ยกเว้นเพียง พระองค์เจ้าไกรสรที่ยังทรงคิดรังควานต่อไป 

เมื่อเล่นงานตรง ๆ ไม่ได้เพราะ ร.๓ ไม่ทรงเล่นด้วย พระองค์เจ้าไกรสร ก็หันมาปล่อยข่าวปลอม สืบเนื่องจากความเป็นปราชญ์ในด้านบาลีของพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ อีกทั้งยังทรงเป็นนักศึกษา นักค้นคว้า ทำให้มีผู้คนไปนมัสการพระองค์ ณ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ซึ่งพระองค์จำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีการปล่อยข่าวว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' ซ่องสุมผู้คนเพื่อหวังผลทางการเมือง ครั้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบเข้าจึงให้ย้ายพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ ๒๓๗๙ เพื่อให้พ้นข้อครหา

ปล่อยข่าวปลอมไม่สำเร็จงั้นก็แกล้งอย่างอื่นต่อ หลังจากที่ 'พระวชิรญาณภิกขุ' มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ได้ทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้น โดยยึดพระวินัยอย่างเคร่งครัด ทั้งการนุ่งห่มก็เรียบร้อย พระภิกษุต้องสำรวมขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นจุดที่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นำมากลั่นแกล้งได้อีก โดยคราวนี้พระองค์ให้คนในสังกัดไปดักรอใส่บาตรพระธรรมยุติ โดยสิ่งที่ใส่ในบาตรคือ 'ข้าวต้ม' ร้อน ๆ คือ ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าในสมัยก่อนยังไม่มี 'ถลกบาตร' หรือ 'สลกบาตร' ซึ่งเสมือนถุงที่ใส่บาตรให้พระได้ถือกันร้อน มีแต่เชิงบาตรไว้ตั้งเมื่อรับบาตรเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อโยมในสังกัดของ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ตักบาตรข้าวต้มร้อนๆ แก่พระธรรมยุติ พระท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ แถมยังต้องสำรวม ในการรับบาตรนี้พระทั้งหลายก็มือพอง แขนพอง กลับวัดกันไป นี่ก็อีกหนึ่งวิบากที่ร่ำลือกันถึงความ 'จองเวร' จาก 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' 

แต่มีอำนาจก็เสื่อมอำนาจได้ หากมิมีคุณธรรมควบคุมตนกรณีของ พระองค์เจ้าไกรสรก็เช่นกัน พระองค์ทรงมีความหวังว่าพระองค์จะได้เป็นวังหน้าในครั้งที่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ทรงทิวงคต อีกทั้งยังทรงกระทำการด้วยอำนาจบาตรใหญ่หลายเรื่อง เช่น การตัดสินคดีความอย่างลำเอียงด้วยเห็นแก่สินบน ซ่องสุมผู้คนอย่างมิเหมาะควร กระทำตนเยี่ยงพระมหากษัตริย์ในงานลอยประทีป ณ กรุงเก่า และเมืองเขื่อนขันธ์ ซึ่งมีผู้คนเห็นกันอย่างถ้วนทั่ว หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนพระองค์ที่ทรงมิได้ร่วมหลับนอนกับพระชายาหรือหม่อมห้ามในวัง แต่กลับไปคลุกอยู่กับคนโขนละครซึ่งเป็นชายแต่โปรดฯ ให้แต่งกายเป็นหญิง ซึ่งนับว่าออกลูกมั่นใจว่าไม่มีใครกล้าเป็น 'ศัตรู' กับพระองค์มากไปสักหน่อย 

จากเหตุดังกล่าวในปี พ.ศ. ๒๓๙๑ 'ไพรี' ของพระองค์ จึงเริ่มขึ้นในรูปใบฏีกาที่ยื่นร้องทุกข์การปฏิบัติราชการและพฤติกรรมของพระองค์เป็นจำนวนมาก มากจนเกิดเป็นการจับกุมและต้องตั้งศาลเพื่อตัดสินคดีความของพระองค์ขึ้น ไล่จากเบาคือ เรื่องไม่บรรทมกับพระชายาหรือหม่อมห้าม ซึ่งเป็นเรื่องส่วนพระองค์โดยพระองค์ให้การว่า "ใช้มือกำคุยหฐาน (อวัยวะเพศ) ของกันและกันจนสุกกะ (น้ำกาม) เคลื่อนเท่านั้น" อีกทั้ง "การไม่อยู่กับลูกเมียนั้น ไม่เกี่ยวข้องแก่การแผ่นดิน" เรื่องทำตนเทียมกษัตริย์นั้น ในงานลอยประทีปนั้นก็มีมูลเพียงรับไว้บางส่วน 

แต่ก็ยังไม่ร้ายแรงที่สุด มาหนักตรงเรื่อง 'กินสินบาทคาดสินบน' ซึ่งมีการพิสูจน์ได้หลายเรื่อง โดยเรื่องที่บันทึกไว้ก็มีเรื่องของ 'พระยาธนูจักรรามัญ' ซึ่งถวายฎีกาฟ้องพระองค์ว่าตัดสินคดีไม่ชอบ เมื่อตุลาการชำระความก็ปรากฏว่าผิดจริง นำไปสู่การรื้อการพิจารณาอีกหลายคดี ส่วนเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือการซ่องสุมผู้คน ซึ่งว่ากันว่าขุนนางคนไหนที่มีไพร่พล หากยอมสวามิภักดิ์พระองค์ก็จะนับว่าเป็นพวก แต่ถ้าใครไม่ยอมก็จะจองเวรหาเรื่องเอาผิดอยู่เนือง ๆ ซึ่งเรื่องการซ่องสุมผู้คน พระองค์ทรงให้การว่า...

“พระองค์มิได้ทรงจะก่อการกบฏ แต่เป็นการเตรียมไว้หากจะมีการผลัดแผ่นดิน ก็จะไม่ยอมเป็นข้าใคร" คือถ้ารัชกาลที่ ๓ สวรรคต ใครจะครองราชย์ต่อไม่ได้หากไม่ใช่พระองค์เอง ทั้งยังให้การกับตุลาการว่าหากได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะตั้ง 'กรมขุนพิพิธโภคภูเบนทร์' เป็นวังหน้า ซึ่งคำให้การทั้งปวง ทำให้ตุลาการผู้ชำระความที่เป็นทั้งพระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ต้องประชุมกันอย่างเคร่งเครียด

ไล่ ๆ กับที่ 'พระองค์เจ้าไกรสร' กำลังเริ่มโดนไต่สวน มีเกร็ดเล่าว่ามีผู้มาถวายพระพุทธรูปองค์หนึ่งแด่ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ ครั้นเมื่อได้มาแล้วบรรดาศัตรูผู้คิดปองร้ายแก่พระองค์ล้วนแล้วแต่แพ้ภัยตนเอง พ่ายลงไปเสียสิ้น พระองค์จึงถวายนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า 'พระไพรีพินาศ' อันหมายถึงการสิ้นศัตรูในคราวแรก ทั้งยังทรงตั้งนามเจดีย์ศิลาเล็ก ๆ องค์หนึ่งว่า 'พระไพรีพินาศเจดีย์' อีกด้วย โดยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ ได้มีค้นพบว่าในพระเจดีย์มีกระดาษแผ่นหนึ่งประทับตราสีแดงและปรากฏข้อความว่า "พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์ จงมีนามว่าพระไพรีพินาศ ตตเทอญ" และอีกด้านเขียนว่า "เพราะตั้งแต่ทำมาแล้ว คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ" ซึ่งหากนับแล้วไม่เพียงแต่ พระองค์เจ้าไกรสร แต่ยังมีคณะบุคคลอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องพินาศไป ซึ่งจะนำมาเสนอในบทความต่อ ๆ ไป 

กลับมาที่พระองค์เจ้าไกรสร เมื่อตุลาการพิจารณาเป็นความสัตย์ ในหลวงรัชกาลที่ ๓ จึงทรงให้ถอด 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ให้เหลือแต่เพียง 'หม่อมไกรสร' และตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ ซึ่งส่วนหนึ่งของคำพิพากษาระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า "…การที่ตัวได้ดีมียศศักดิ์ขึ้นกว่าแต่ก่อนก็ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ยิ่งกว่าเจ้านายทุกๆ พระองค์ จึงได้คิดกำเริบใจขึ้น แต่ก่อนนั้นยังกำเริบน้อยๆ เดี๋ยวนี้มากขึ้นๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้ ๒๕ ปีแล้ว บัดนี้ก็ถึงปรารถนาจะเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้ตัวรำลึกถึงความหลังดู ... ความชั่วของตัวมันฟุ้งเฟื่องเลื่องฦๅไปทั่วนานาประเทศทั้งปวง หาควรไม่เลย ต่างคนต่างมีใจโกรธแค้นยิ่งนัก แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูง จะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่คนเขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน…"

แต่เรื่องความ 'จองเวร' ของ 'หม่อมไกรสร' ก็จัดว่าไม่ธรรมดา แม้จะถูกตัดสินความผิดถึงประหาร จนในวาระสุดท้าย ที่ 'วชิรญาณภิกขุ' จะขอขมาเพื่อจะทรงยกโทษกรรมเวรที่ทรงกระทำต่อกันมาด้วยดอกไม้ธูปเทียน นอกจากหม่อมไกรสรจะไม่รับแล้ว ยังกลับไปกำทรายแล้วตอบกลับว่า "จะขอผูกเวรไปทุกชาติเท่าเม็ดกรวดเม็ดทราย!!" ซึ่งเรื่องนี้ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ทรงประทานเล่าไว้ในคราหนึ่ง 

'หม่อมไกรสร' ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ณ วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำ ปีวอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ ขณะนั้นหม่อมไกรสรมีพระชันษาได้ ๕๖ ปี และนับเป็นพระราชวงศ์องค์สุดท้ายที่ถูกสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้

🔍เปิด 5 วิชาที่ 'นักเรียน' อยากให้เลิก แต่ในโลกปัจจุบัน 'หนูๆ ควรเรียนนะ'

เมื่อไม่นานมานี้ เพจ ‘Thailand FACT Today’ ได้โพสต์ข้อความถึง 5 วิชาที่ ‘นักเรียน’ อยากให้ยกเลิก โดยระบุว่า…

>>พลศึกษา ส่วนตัวแอด นี่คือวิชา Relax ที่สำคัญเลยนะ เป็นวิชาที่แอดชอบมาก หลังจากเรียนเลขมา 4 คาบติด

>>กระบี่ กระบอง รร.แอด ใช้สอนโขนแทน ส่วนตัว ก็สนุกดีนะ

>>พระพุทธศาสนา อันนี้เรียนเหอะ สังคมไทยเละมากแล้ว มีอะไรมาดึง ๆ ไว้ก็ดี แต่อาจจะเปลี่ยนเป็น ศีลธรรม จริยธรรม เพราะในไทย เราก็มีหลายศาสนาอ่ะเนอะ แต่ทุกศาสนา ก็ขอให้คนทำดี ก็ให้ไปเน้นตรงคุณค่าของการทำดีไป

>>ประวัติศาสตร์ อันนี้ แอดชอบเรียนนะ ประวัติศาสตร์คือเรื่องของเหตุผล และเป็นการปลูกฝังความรักชาติ เรามีประวัติศาสตร์ น่าภูมิใจนะ แอดว่า หลายชาติ เขาไม่มี เขาก็พยายามสร้าง ของเรามีกับตัว ดันไม่เห็นคุณค่าซะงั้น

>>วิชาลูกเสือ เนตรนารี เอาจริง ๆ ก็คล้าย ๆ พละ เป็นวิชาเบา ๆ ผ่อนจากการเรียนหนัก ๆ Fuction สำหรับแอด มันอยู่ตรงนี้แหละ

แอด ว่าทุกวิชาล้วนมีความจำเป็น โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ กับจริยธรรม ที่ควรจะเข้มกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะสังคมไทยทุกวันนี้ มันเละเทะไปมากจริง ๆ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top