Friday, 3 May 2024
ทนายตั้ม

‘เสี่ยหนู’ ชี้ ถือเป็นเรื่องดีหลัง ‘ทนายตั้ม’ ตรวจสอบ ‘ชูวิทย์’ ขออย่าข่มขู่-บ่ายเบี่ยง ต้องมีน้ำใจนักกีฬา ยอมให้ตรวจสอบ

(24 มี.ค. 66) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ‘ทนายตั้ม’ ออกมาแฉว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รับเงินสีเทาภายใต้หัวข้อแฉไปไถมา ว่า ส่วนตัวยังไม่ได้ติดตาม พอดีมีภารกิจส่วนตัวลาราชการมา 2 วัน ได้แต่อ่านข่าวเห็นว่ามีการเปิดเผยกันบางอย่าง ซึ่งก็ดีเป็นสังคมแห่งการเปิดเผย ใครที่ชอบเปิดเผยอะไรของแต่ละคนไว้ เมื่อถูกเปิดเผยบ้างก็ขอให้มีน้ำใจนักกีฬาเพียงพอที่จะให้ตรวจสอบ อย่าไปข่มขู่ อย่าไปขออะไรใคร อย่าไปบิดเบือน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่พี่น้องประชาชนจะได้เห็นว่าที่จริงแล้วเป็นเช่นไร

‘ทนายตั้ม’ แถลงโต้หลัง ‘ชูวิทย์’ เปิดหลักฐานแฉ ชี้!! เก็บ 3 แสนคือค่าเสี่ยงภัย ไม่ใช่ค่าแถลงข่าว

(27 มี.ค. 66) ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวนัดเปิดหลักฐานเด็ด มัดนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ รับมาจากสารวัตรซัว โดยทนายตั้มขอแบ่งการแถลงข่าวออกเป็น 2 ช่วง โดยจะเริ่มต้นแถลงชี้แจงเรื่องเรียกเก็บค่าแถลงข่าว 3 แสนบาท

ทนายตั้ม ระบุว่า ปีนี้ตนแถลงแค่ 2 ครั้ง เหตุผลที่เก็บค่าแถลงข่าว เพราะเรื่องดังกล่าวถูกฟ้องแน่นอน ไม่ใช่ค่าแถลงข่าวแต่เป็นค่าเสี่ยงภัย เพราะผมต้องมีต้นทุนในการดำเนินคดี ไม่เคยไถเพื่อจัดแถลงข่าว ปีนี้ที่เก็บเงินมีเคสรองนายกฯ กับเคสพี่ช่อ ซึ่งก็ถูกฟ้องและถูกดำเนินคดีมรรยาท 

“ผมยอมรับว่ามาปรึกษาคดีกับผม ผมคิดแพง ปีที่แล้วรับปรึกษาคดี 1,500 เคส ซึ่งผมรับคดีไม่ถึง 10% ค่าปรึกษาคดีผมคิดเงิน ถ้าคุยกับลูกน้องผม 20 นาที คิด 1,000 บาท คุยกับผม 20 นาทีเท่ากัน คิด 1,500 บาท ถ้ามาหาที่สำนักงาน มาเจอผมครึ่ง ชม. ผมคิด 3,000 บาท อันนี้เป็นวิชาชีพ ผมไม่ทำสีเทา ไม่ได้เปิดอาบอบนวด” ทนายตั้ม กล่าว

'ทนายนิด้า' ซัด 'ทนายตั้ม' แถลงโยนขี้ให้คนอื่น  ยัน!! ไม่ใช่ทนายหญิงเรียก 3 แสน พาออกรายการดัง

‘ทนายนิด้า’ ซัด ‘ทนายตั้ม’ แถลงโยนขี้คนอื่น ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย ท้าตีนถีบหน้า ยัน ไม่ใช่ทนายหญิงเรียก 3 แสน พาออกรายการดัง

จากกรณี ที่สำนักงาน sittra law firm ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ แถลงเปิดโปง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ว่ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์จากอดีตข้าราชการตำรวจ

นอกจากนี้ บางช่วงของการชี้แจงได้มีการพูดถึงการเรียกเก็บเงิน 3 แสน เป็นค่าแถลงข่าว ของ ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โดยในช่วงหนึ่งของการแถลง ทนายตั้ม มีการอ้างว่ามี ‘ทนายหญิงคนหนึ่ง’ เรียกเก็บเงิน 3 แสน เป็นค่าพาออกรายการดัง

ล่าสุด วันนี้ (27 มี.ค.) เพจ ‘ทนายนิด้า’ หรือ ศรันยา หวังสุขเจริญ ทนายหญิงชื่อดัง ออกมาเคลื่อนไหวโพสต์ข้อความ หลังโดนพาดพิง โดยได้ระบุข้อความว่า

“หลังบ้าน (พยานบอกเล่า) แจ้งนิด้ามา ว่าพี่เขาหมายถึงหนูนี่แหละ ที่เป็นทนายผู้หญิงเรียกเก็บค่าออกโหนกระแสครั้งละ 300,000 บาท งื้อออออออ!!! ไตล้าย

เน้นเปิด ไม่เน้นปิด เน้นทิ้งบอมบ์ เน้นฟังเขาเล่ามา เน้นผมได้ยินมาว่า (หลายเคสละนะ)

‘ชูวิทย์’ แจง เหตุร้องเรียนมรรยาท ‘ทนายตั้ม’ ลั่น!! เพื่อไม่ให้ทนายอื่นทำตาม หาเรื่องให้เกิดคดี-ออกสื่อหาแสง

(11 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 10 เม.ย.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืน เขียนบทความ “ทนาย กับ ช่างทาสี” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ดังนี้

“ทนาย กับ ช่างทาสี อาชีพที่เปลี่ยนขาวเป็นดำได้ วันนี้ไปสภาทนายความร้องเรียน “มรรยาททนายความ” การมีวิชาชีพทนายต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม เพราะเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนต้องพึ่งพาเมื่อมีคดีความ

ผมไม่เคยมีเรื่องบาดหมางโกธรเคืองกับทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม มาก่อน อีกทั้ง ทนายตั้มก็ไม่เคยเป็นทนายฝั่งตรงข้าม หรือแม้กระทั่งขัดใจกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่จู่ๆ ทนายตั้มก็ออกมาโจมตีผมโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย จัดแถลงข่าวกล่าวหาผมสารพัด ลามไปถึงลูกชายผมว่าได้รับเงิน 50 ล้าน เป็นเงินดิจิตอล รวมทั้งพฤติกรรมหลายอย่างที่ทนายตั้มได้รับฟังเพียงการบอกเล่ามา ไม่มีหลักฐานใดๆ และตัวทนายตั้มเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ การเป็นทนายแล้วกระทำการแบบนี้ จึงเสมือนหาเรื่องให้มีคดีความเกิดขึ้น

ผมรู้จักทนายมามาก และรู้ว่าคุณค่าของทนายสำคัญแค่ไหน หากเลือกทนายผิด ผลจะเป็นอย่างไร การที่ทนายมานั่งแถลงข่าวซัดใครที่ไม่ได้รู้จัก ไม่ได้มีเรื่องโกธรเคืองกันมาก่อน ย่อมมีเจตนาอะไรอยู่เบื้องหลังแน่นอน ไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ทนายจะมากล่าวหาผู้อื่น แล้วอ้างทำเพื่อสังคม โดยไม่หวังผล หรือนัยยะใดแอบแฝง มีเพียงทนายตั้มเท่านั้นที่จะทราบได้ ว่ามีใครสั่งการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งผมเชื่อว่ามีแน่ หากทนายตั้มมีคุณธรรม ควรจะสอบถามผมก่อน ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แทนที่จะจัดแถลงข่าวโจมตี

เป็นผู้รู้กฎหมาย ใช้เป็นวิชาชีพหาเลี้ยงตน และครอบครัว ย่อมทราบดีว่าการฟังความข้างเดียว ทั้งที่มีข้อสงสัยคลุมเครือ สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ความเป็นธรรม และมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่นึกถึงแต่ความดังจากการโจมตี เพื่อประโยชน์ในการหาทางได้ของตนเอง ทนายตั้มยังอายุไม่มาก การถูกหลอกใช้ หรือเต็มใจให้ใช้จึงเกิดขึ้นได้ เพราะความต้องการให้คนยอมรับนับถือ มีเรื่องโด่งดังฮือฮา ย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง

ผมเป็นคนที่ขึ้นมาแทบทุกศาล จะมากสุดก็ว่าได้ ตั้งแต่ศาลแพ่ง ศาลอาญาทุกศาล (อาญารัชดา อาญาใต้ อาญาสนามหลวงปัจจุบันรื้อไปแล้ว) อีกทั้งศาลแขวง ศาลปกครอง ศาลแรงงาน ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปจนถึงศาลรัฐธรรมนูญ (คดีถูกปลดจาก ส.ส. ขณะสังกัดพรรคชาติไทยปี 2548) จึงรู้ซึ้งเข้าใจคนเป็นทนายดี

‘ทนายตั้ม’ เปิดอกเคลียร์ใจ ปมชีวิตหรูหรา ยัน!! บินฝรั่งเศสไปทำงาน-ไม่เอี่ยวเว็บพนัน

(3 พ.ค. 66) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความชื่อดัง เปิดแถลงข่าวชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่ถูกกล่าวหา ที่สำนักงาน Sittra Law Firm โดย นายษิทรา กล่าวว่า ที่ผ่านมามีข้อสงสัยการใช้ชีวิตที่ดูหรูหราของตนในขณะที่งบการเงินของสำนักงานดูเหมือนจะขาดทุนหรือมีกำไรไม่มากนัก ซึ่งตนยืนยันยังชี้แจงเหมือนครั้งก่อน ๆ ว่าตนเปิดบริษัท Sittra Law Firm ในปี 2565 แต่ก่อนหน้านั้น ตนเคยเปิดบริษัทชื่อ Wisdom Law Firm และทำเหมือนทนายความทั่วไปคนหนึ่ง รายได้เข้าบริษัทบ้าง เข้าตนเองบ้าง แต่รับคดีไม่มีค่าใช้จ่ายก็เยอะ

กระทั่งตามทำคดีลุงพล จึงได้มาเปิดบริษัท Sittra Law Firm โดยหนังสือของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุชัดว่าบริษัท Sittra Law Firm เดิมชื่อ Wisdom Law Firm กระทั่งเปลี่ยนชื่อในวันที่ 25 ม.ค. 2565 จากนั้นจึงเริ่มทำธุรกิจจริง ๆ ในเดือน เม.ย. 2565 ดังนั้นอย่าไปดูงบการเงินปีเก่า ๆ เพราะตอนนั้นไม่ค่อยมีรายได้ โดยสามารถไปขุดภาพเก่า ๆ จากอินสตาแกรมของตนได้ ตนเพิ่งจะมามีรายได้มากในปี 2565 นี่เอง

“งบการเงินของ Sittra Law Firm ปี 2565 ที่ผ่านมา ผมมีรายได้ทั้งหมด 22 ล้าน เป็นรายได้ของบริษัท แต่ตอนนี้งบเขายังทำไม่เสร็จ ผมก็เลยยังไม่รู้ว่าจะต้องเสียภาษีเท่าไร แต่ผมเสียภาษีทุกเดือนเยอะอยู่แล้ว เพราะมีทั้งภาษี VAT ภาษีอะไร 2-3 ตัวที่ผมจะต้องโอนจ่ายอยู่ทุกเดือน แล้วของ Sittra Law Firm เรามีผู้ตรวจบัญชีแล้วก็ส่งสรรพากร อันนี้เราก็ยินดีให้ตรวจสอบได้” นายษิทรา กล่าว

นายษิทรา กล่าวต่อไปว่า ตนทำธุรกิจด้านกฎหมาย เป็นที่ปรึกษาให้หลายบริษัท รวมถึงรับว่าความ ซึ่งในปี 2565 ที่ผ่านมา ตนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปประมาณ 1 ล้านบาท ยังไม่รวมกับทางบริษัท Sittra Law Firm ดังนั้นรายได้ทุกบาททุกสตางค์ที่เข้ามาตนยื่นภาษีถูกต้อง นี่จึงเป็นเหตุที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไม่รับคดีของตนแต่ส่งเรื่องให้กรมสรรพากรตรวจสอบตามกระบวนการ ใครจะไปร้องเรียนอะไรตนไม่กังวล เพียงแต่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ออกมาตอบโต้เพราะรอบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 

ส่วนประเด็นการทำคดีลุงพลในเวลานั้น ยอมรับว่าเคยเจอกระทั่งรอ 6 เดือนกว่าเงินจะเข้า เพราะเมื่อไปทำคดีลุงพล ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นจึงไม่มีใครจ้างตน เวลานั้นจึงใช้เงินเก่าไปก่อนในช่วงที่ไม่มีงาน ส่วนการเปิดมูลนิธิทนายประชาชน ก่อนหน้านี้ที่มีบุคคลอ้างว่ามีการโอนเงินให้ตนหลักหมื่นถึงหลักล้าน บอกได้เลยว่าไม่เป็นความจริง เรื่องนี้ค้นหาข่าวเก่า ๆ ได้ ตนก็เคยตอบไปแล้วว่าแฟนคลับลุงพลชอบสร้างเรื่อง 

โดยสามารถตรวจสอบจากเอกสารเส้นทางเงินเข้า-ออกบัญชี หรือสเตทเม้นของมูลนิธิ ช่วงเดือน ม.ค.-พ.ย. 2564 ที่ตนรับทำคดีลุงพลได้ ยอดโอนเข้ามามีเพียงหลักสิบ หลักร้อย อย่างมากก็หลักพันบาท และล่าสุดที่เพิ่งปรับสมุดบัญชีมา เพราะสเตทเม้นยังไม่ออก พบมูลนิธิมีเงินเหลือประมาณ 2 แสนบาท ส่วนประเด็นคำถามว่าเหตุใดตนต้องเดินทางไปประเทศฝรั่งเศสบ่อยครั้ง เรื่องนี้ด้านหนึ่งคือการไปเที่ยว แต่อีกด้านก็ไปทำงานด้วย เพราะตนก็มีลูกความเป็นเศรษฐีชาวไทยที่ไปอยู่กับสามีที่ฝรั่งเศส 

จากนั้น นายษิทรา ได้เชิญลูกความคนดังกล่าวมาร่วมแถลงข่าวด้วย โดยขอไม่เปิดเผยชื่อ-นามสกุลจริง เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว โดยขอเรียกว่า 'พี่อ้อย' ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยากมาออกสื่อ แม้ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะเคยสมทบทุน 20 ล้านบาทเพื่อจัดซื้อวัคซีน แต่ที่ผ่านมามีการนำคลิปวิดีโอไปเผยแพร่แล้วทำให้ได้รับความเสียหาย ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันคือ 'พี่น้อย' เป็นเลขาของพี่อ้อย ซึ่งเหตุที่บินกลับมาเมืองไทย เพราะวันที่ 5 พ.ค. 2566 ต้องไปทำพิธีส่งมอบอาคารเรียนที่ ร.ร.วัดขนงพระเหนือ ที่บริจาคเงิน 84 ล้านบาทเพื่อก่อสร้าง

โดย อ้อย เล่าว่า คลิปที่มีตำรวจยกกระเป๋า วันนั้นนายษิทราไปส่งตนที่สนามบิน แล้วมีตำรวจ 2 นาย เห็นตนยกกระเป๋าอยู่ และเห็นนายษิทรา ด้วยความที่รู้จักกับนายษิทราจึงเข้ามาทักทายสอบถามว่าจะไปไหน นายษิทราก็ตอบไปว่ามาส่งตนไปต่างประเทศ ตำรวจ 2 นายนั้นก็เข้ามาช่วยยกกระเป๋า แต่ตนก็ไม่ทราบว่าทั้ง 2 นายเป็นใคร ส่วนตอนไปเช็กอินแล้วมีพนักงานยกมือไหว้ อันนี้เป็น Service Mind ของพนักงานอยู่แล้ว ก็ต้องไปถามสายการบิน

'ทนายตั้ม' โพสต์!! หลายปีมานี้ หลงแสงสี-ชื่อเสียง จนลืมบทบาทหลัก ลั่น!! ขอกลับมาเป็นทนายประชาชน กลับมาเป็นไอ้ตั้มคนเดิม

(26 มี.ค. 67) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมรู้สึกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมหลงแสงสีและชื่อเสียง จนหลงลืมว่า ผมเกิดมาจากการเป็นทนายประชาชน ผมเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าราคาแพง ใช้ของราคาสูง เพราะรู้สึกว่ามันก็แค่เรื่องของรสนิยม จนทำให้หลายคนรู้สึกต่อต้านและเกิดคำถามมากมาย

วันนี้ผมคิดได้แล้วครับ และจะกลับมาเป็นไอ้ตั้มคนเดิม ใส่เสื้อยืดทนายประชาชนตัวเดิม ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบบ้ายี่ห้อจนหลงลืม ปากท้องและชาวบ้าน 

วันนี้ผมเลยเลือกที่จะเปิดโปงส่วยตำรวจ ที่มีความเสี่ยงกับชีวิตตนเองและครอบครัว เพื่อพิสูจน์ว่าผมเปลี่ยนไป และผมไม่ใช่เด็กใคร 

ไม่ต้องเชื่อผมวันนี้ แต่ดูกันไปนานๆ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังและเสียความรู้สึกนะครับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top