Sunday, 28 April 2024
ชูวิทย์

‘อนุทิน’ เย้ย ‘ชูวิทย์’ จะตั้งศูนย์ต้านกัญชาจนกว่า ‘ภท.’ จะเป็นฝ่ายค้าน สวนกลับ!! คงอีกหลายปี ชี้ กัญชาใช้เพื่อ ศก.-การแพทย์ ใครก็ต้านไม่ได้

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 66 ที่จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เห็นด้วยกับนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ออกมาโจมตีนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ว่า…

“ผมได้ติดตามดูแล้ว เขาไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่อง ซึ่งเป็นการพูดถึงการจับขั้วรัฐบาล 2 พรรค เรื่องนี้เราอย่าพึ่งไปผูกมัด ผมไม่ได้มีปัญหากับ น.ส.แพทองธาร ยังแสดงความยินดีด้วยซ้ำที่ได้ลูกชาย ‘น้องธาษิณ’ จึงไม่ใช่เวลาที่เราจะมาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร แข็งแรงมาก แค่วันสองวันก็ออกมาแล้ว ออกมากอบกู้พรรคเพื่อไทย”

ส่วนที่โซเชียลเผยแพร่ศึกวิวาทะหนู-นิด นายอนุทิน ระบุ จะหนู-นิด, หนู-หน่อย, หนู-อี๊ด, หนู-แอ๊ด ก็ไม่มีปัญหา ส่วนจะมีปัญหาในการจับคู่รัฐบาลในอนาคตหรือไม่ ตนขอย้ำว่า เคยบอกไปแล้วว่าแต่ละพรรค เขารู้ว่าคนไหนคือคนที่เคาะ เราจบประเด็นนี้ได้แล้ว เพราะการที่ตนตอบโต้นายเศรษฐา เพราะเขามาโจมตีพรรคภูมิใจไทยก่อนในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง สิ่งที่เป็นเท็จเราก็ต้องออกมาตอบโต้

'ชูวิทย์' บุกเมืองเพชรต้านกัญชาเสรีไล่บี้ซื้อเสียง ประกาศเชียร์ 'อลงกรณ์' เต็มคาราเบล ขอคนเพชรเลือกพรรคประชาธิปัตย์และผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 7 ทั้ง 3 เขต

วันนี้ เวลา16.30 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เดินทางมา รณรงค์ต่อต้านกัญชาเสรีและการซื้อเสียงในตลาดเทศบาลเมืองเพชรบุรีท่ามกลางประชาชนให้ความสนใจคับคั่งพร้อมกับแจกสติกเกอร์ไม่เอากัญชาเสรี จนมาพบ นายอลงกรณ์ พลบุตร ผู้สมัคร ส.ส. เบอร์ 7 เขต 1 เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์กำลังปราศรัยบนรถกระจายเสียงบนถนน28เมตร จึงขึ้นรถกล่าวปราศรัยขอให้คนเพชรบุรีร่วมกันต่อต้านกัญชาเสรีเพราะเป็นภัยต่อลูกหลานทุกครอบครัวและขอให้ช่วยกันต่อต้านการซื้อเสียงเพราะเป็นต้นเหตุการณ์ทุจริตคอรัปชั่น โดยนายชูวิทย์กล่าวตอนหนึ่งว่าตนไม่มีเบอร์ไม่ได้ลงเลือกตั้งแต่เลือกสนับสนุนนักการเมืองน้ำดีเฉพาะบางคนบางพรรคเท่านั้น ตนรู้จักนายอลงกรณ์มา20ปีเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์ทำงานเพื่อประชาชนมาตลอด 

'ชูวิทย์' ลั่น!! การเมืองปทุมธานีเเตกเเยก ผู้มีอิทธิพลครองเมือง ชาวบ้านหวาดกลัว

(12 พ.ค. 66) จากกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงพื้นที่ช่วยนางสาวณัฐธิดา เกียรติพัฒนาชัยผู้สมัครเขต 4 ปทุมธานีหาเสียง เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 แล้วมีกรณีภาพปรากฏร่วมกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกอบจ.ปทุมธานี จนทำให้หลายคนจับตาไปที่กระแสข่าวลือการย้ายพรรคของ 'บิ๊กแจ๊ส' แต่หลังจากนั้นไม่นานบิ๊กแจ๊สได้ออกมาตอบชัดว่าไม่ทิ้งพี่ทักษิณไปไหนแน่นอนนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STATES TIME ว่า ตนรู้เรื่องปทุมธานีดี มีนักการเมืองพยายามทุ่มเงินซื้อเสียงที่ปทุมธานี เพราะต้องการวางรากฐานที่จะเข้ามายึดพื้นที่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากการที่จะเข้ามายึดพื้นที่ในกรุงเทพฯ ได้นั้น จะต้องไปตรึงพื้นที่เขตปริมณฑลก่อน ซึ่งได้แก่ ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแผนการของพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งเขาไม่เคยมีฐานเสียงมาก่อน ไม่เคยมาปักหลักที่กรุงเทพฯ และปทุมธานี จึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้ามาปักหลักให้ได้ แต่วิธีการที่จะเข้ามา เขามาด้วยวิธีการซื้อเสียง ไม่ได้มาด้วยการเข้ามาดูแลพื้นที่ โดยการซื้อเสียงของคนพวกนี้ได้ทำการซื้อผ่านนักการเมืองท้องถิ่นให้เป็นหัวคะแนน

นายชูวิทย์ กล่าวย้ำอีกด้วยว่า นี่เป็นเรื่องจริงที่ได้มีพรรคการเมืองเข้าไปซื้อนักการเมืองท้องถิ่นจริง ซึ่งตนอยากจะฝากเตือนว่า ท่านจะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน ถ้าท่านไปเอาพรรคบางพรรค ซึ่งไม่ได้วางรากฐานแบบจริงๆ ใช้วิธีการซื้อหรือกว้านซื้อ ท้ายที่สุดแล้วถ้าเป็นแบบนี้ประชาชนในพื้นที่จะไม่เลือกท่าน

เนื่องจากพอมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเข้าไปเปิดดีลลับกับนักการเมืองท้องถิ่น ก็จะเห็นได้ว่าการเมืองในจังหวัดปทุมธานีนั้นกลับมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นจนเห็นได้ชัด ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ตนไม่อยากจะเปิดข้อมูลการซื้อเสียงของจังหวัดปทุมธานีให้สื่อมวลชนดูว่ามันมีการซื้อเสียงที่เยอะมากขนาดไหน

การที่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตอนนี้ ตนอยากจะบอกว่าปทุมธานีเป็นจังหวัดที่มีอิทธิพลเยอะมาก โดยเฉพาะอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นชาวบ้านในพื้นที่กลัวมาก ถึงขนาดเวลาที่ชาวบ้านจะส่งข้อมูลมาให้ตนยังย้ำแล้วย้ำอีกให้ตนปิดข้อมูล ปิดชื่อ ปิดที่อยู่ให้ด้วย เพราะชาวบ้านที่ปทุมธานีกลัวมาก เนื่องจากชาวบ้านเขาสู้นักการเมืองท้องถิ่นไม่ได้ ไม่เชื่อลองไปสืบประวัตินักการเมืองท้องถิ่นดูแต่ละคนดูประวัติไม่ธรรมดาทั้งนั้น ตนบอกได้เลยว่าการที่จะให้ชาวบ้านแจ้งข้อมูลเบาะแส กตต.จะต้องคุ้มครองชาวบ้าน ชาวบ้านถึงจะกล้าให้ข้อมูล แต่ถ้าไม่คุ้มครองพวกเขาไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าให้ข้อมูลแน่นอน เพราะทุกคนกลัวโดนอุ้ม

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้จังหวัดปทุมธานีมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ระหว่าง ส.ส. กลุ่มเดิม กับนักการเมืองท้องถิ่นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติเวลาเลือกตั้งก็จะมีการแข่งขันกันอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับครั้งนี้ มันเหมือนการย้อนยุคไปในอดีต 20 - 30 ปีก่อน ตนฟันธงได้เลยว่าการเมืองในครั้งนี้ทำให้การเมืองท้องถิ่นในปทุมธานีแตกแยก

ก่อนที่นายชูวิทย์จะทิ้งท้ายถึงพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ว่า ตนเข้าใจบิ๊กแจ๊สที่ทำตัวเป็นพ่อพระ เลือกทุกพรรครักทุกคน เนื่องจากอยู่ในสภาวะกล้ำกลืนฝืนทนซ้ายก็พวกขวาก็พวก ตนขอเตือนบิ๊กแจ๊สอย่าได้สนับสนุนใคร เพราะจะทำให้ปทุมธานีแตกเป็นเสี่ยง ๆ 

‘อดิศร’ เตือน!! ‘รุ่นน้องชูวิทย์’ อย่าแฉ 'เศรษฐา' ตามใบสั่ง ฝากกลอนสอนใจ 'ชนะอยู่ที่พวก สะดวกอยู่ที่เงิน ฉิบหายอยู่ที่ปาก'

(27 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย​ (พท.) นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีวิดีโอคอลมายังที่ประชุม สส.พรรค ระบุว่า ให้นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ อยู่ทำเนียบรัฐบาล และ น.ส.แพทองธารอยู่พรรค ว่าเป็นการพูดติดตลก สิ่งนายทักษิณ บอกว่า นายเศรษฐาก็ไปอยู่ทำเนียบรัฐบาล เพราะนายกฯ มีคนเดียว ดังนั้นอีกหนึ่งคนก็ต้องดูพรรค

ถามย้ำว่า แสดงว่าเป็นที่ชัดเจนว่าให้นายเศรษฐาเป็นนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ชัดเจนมานานแล้ว

เมื่อถามว่าพูด แบบนี้แสดงว่าการจัดตั้งรัฐบาลราบรื่นแล้วใช่หรือไม่ นายอดิศร กล่าวว่า ไม่มีส่วนในเรื่องนี้ ยืนยันว่าพรรค พท.​ อ่อนน้อมถ่อมตน มีมิตรมีเพื่อนอยู่ทุกที่ และชี้ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อทุกฝ่าย มีศักดิ์ศรี เพื่อให้ชาติบ้านเมืองฝ่าวิกฤตตรงนี้ไปได้ ส่วนการรักษาการนายกฯ อีก 10 เดือนคนก็ไม่เอา เพราะรัฐบาลจำเป็นต้องมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ

เมื่อถามว่า กรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เตรียมแถลงข่าวว่าการกลับมาของนายทักษิณ มีเอี่ยวเรื่องการเมืองนั้น นายอดิศร กล่าวว่า ไม่ทราบกับนายชูวิทย์ และไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นน้องรุ่นน้องที่ รร.เทพศิรินทร์

เมื่อถามว่า กรณีที่นายชูวิทย์ จะมีการเปิดเผยหลักฐานบางอย่างที่เกี่ยวกับนายเศรษฐา นายอดิศร กล่าวว่า เปิดให้ดีก็แล้วกัน ถ้าเปิดตามอำเภอใจ หรือเปิดตามใบสั่ง จะมีทั้งเท็จและจริง ขอฝากไปยังรุ่นน้อง รร.เทพศิรินทร์ ชนะอยู่ที่พวก สะดวกอยู่ที่เงิน เจริญอยู่ที่ไหน ฉิบหายอยู่ที่ปาก

เมื่อถามว่า กรณีที่มีกระแสข่าวดีลลับฮ่องกง นายอดิศร กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ได้เดินทางไป และไม่เดินทางออกนอกประเทศอย่างแน่นอน เนื่องจากจะต้องมีการขออนุญาตศาล เพราะมีคดีความอยู่

‘อนุสรณ์’ ถาม ‘ชูวิทย์’ ล้มนิด หวังชุบชีวิตใคร? ยัน!! ‘เศรษฐา’ บริสุทธิ์ สามารถตรวจสอบได้

(4 ส.ค.66) ที่รัฐสภา นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เปิดข้อมูลกล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ทำนิติกรรมอำพราง เลี่ยงภาษี ว่า นายชูวิทย์ จะตรวจสอบเรื่องอะไรก็เป็นสิทธิ แต่เท่าที่จำได้นายชูวิทย์ แหย่เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก แต่ไม่ลงมือเปิดข้อมูล มาเลือกลงมือในจังหวะเวลานาทีสำคัญก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี 

คำถามคือถ้าทำกันจนการโหวตนายเศรษฐา มีปัญหา ใครคือผู้ได้ประโยชน์ เพราะอาชญากร ย่อมได้ประโยชน์จากอาชญากรรมที่ตัวเองก่อขึ้น ความพยายามในการดิสเครดิตแคนดิเดตนายกฯ รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เป็นไปเพื่อเปิดทางไปสู่ปฏิบัติการ ‘ล้มนิด ชุบชีวิตใคร’ หรือไม่ นายเศรษฐา ชื่อเล่นชื่อนิด ปฏิบัติการนี้หวังล้มนายเศรษฐา เพื่อชุบชีวิตคนที่หมดโอกาสไปแล้ว ให้ฟื้นคืนชีพกลับสู่เส้นทางลุ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พรรคเพื่อไทยยืนยันว่านายเศรษฐา มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ละเมิดกฎหมาย ไม่ได้ฝ่าฝืนจริยธรรมใด ๆ ตามที่กล่าวอ้าง ถ้านายชูวิทย์ ติดใจสงสัยในกรณีดังกล่าวสามารถตรวจสอบได้ที่กรมสรรพากร

“ประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาสไปมากแล้ว ปล่อยให้ประเทศไทยได้ไปต่อ ประเทศไม่ควรขาดรัฐบาลนานเกินไป” นายอนุสรณ์ กล่าว

เมื่อถามว่ามีความกังวลหรือไม่ว่าจะมีการนำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียน นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การตรวจสอบเรื่องใด ฝ่ายใดเป็นสิทธิ์โดยชอบ ตราบที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้และเราเคารพทุกการตรวจสอบ เพียงแต่ตั้งข้อสังเกต ว่ามีเวลาตั้งนานแต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลออกมา แต่เลือกเวลาช่วงที่กำลังจะโหวตให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี เราจึงบอกว่าแผนปฏิบัติการดังกล่าวคือหวังผลเพื่อจะล้มเศรษฐา ล้มพรรคเพื่อไทย และจะไปชุบชีวิตใครกลับมาเข้าสู่เส้นทางนายกรัฐมนตรีหรือไม่

เมื่อถามว่า กลัวว่ากรณีดังกล่าวจะซ้ำนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การนำประเด็น แต่ละประเด็นไปพิจารณามีความแตกต่างกัน เราไม่สามารถนำไปเทียบได้ว่าใครเคยโดนแล้วคนอื่นจะต้องโดนเช่นกัน ถึงตอนนี้ก็ยังยืนยันว่านายเศรษฐา มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสามารถที่จะสามารถเข้าสู่การโหวตนายกรัฐมนตรีได้

เมื่อถามว่า เอกสารที่นายชูวิทย์เปิดเผยออกมาไม่น่าเชื่อถือใช่หรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมใด ๆ ของแสนสิริ เพราะฉะนั้นเอกสารที่นายชูวิทย์ต้องไปตรวจสอบ และไปวัดกับทีมกฎหมายของแสนสิริ รวมถึงไปตรวจสอบกับกรมสรรพากร เราไม่ได้อยู่ในฐานะที่บอกได้ว่าเอกสารของนายชูวิทย์เชื่อถือได้หรือไม่ได้

เมื่อถามว่า เรื่องที่นายชูวิทย์เปิดเผยเป็นเรื่องของการเลี่ยงภาษีหากเป็นความจริงจะกระทบต่อพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เท่าที่ตนติดตามการแถลงของกฎหมายแสนสิริ ก็ไม่ได้มีความหนักใจในเรื่องนี้ สิ่งที่นายชูวิทย์เปิดเผยออกมาก็สามารถคาดการณ์ได้อยู่แล้ว เราต้องคิดตามว่าบริษัทชั้นนำ การทำธุรกรรมต้องสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว ดังนั้นการร้องเรียนจึงเป็นสิทธิ์ สิ่งของกฎหมายแต่ก็จะต้องไปว่ากันตามข้อเท็จจริงทางกฎหมาย ขณะเดียวกันก็จะมีหน่วยงานรัฐเข้าไปตรวจสอบ ถ่วงดุล เพื่อที่จะสามารถพิจารณาข้อมูลของแต่ละฝ่าย

เมื่อถามว่าจะกระทบต่อการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า หากไม่มีปรากฏการณ์โรคเลื่อน วันนี้ก็คงจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี แต่การที่นายชูวิทย์ นำข้อมูลมาเปิดเผยในช่วงเวลานี้ ทั้งที่เจ้าตัวเคยพูดว่ามีหลักฐานมานานแล้ว เราจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของแผน ‘ล้มนิด ชุบชีวิตใคร’ หรือไม่ ซึ่งพรรคการเมืองอื่นก็ไม่มีใครติดใจในประเด็นดังกล่าว

‘ชูวิทย์’ ลั่น!! นายกฯ คนที่ 30 ส่อแววชื่อ ‘ประวิตร’ คาดโหวตอีก 2 ครั้ง ปัดแฉ ‘เศรษฐา’ เอื้อประโยชน์ ‘ลุงป้อม’

(6 ส.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง ให้สัมภาษณ์พิเศษรายการ ‘ชั่วโมงข่าวเสาร์อาทิตย์’ ทางช่องไทยพีบีเอส ระบุว่า ไม่แปลกใจกับการประกาศเลื่อนกลับประเทศของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่แล้วเสร็จ จึงยังไม่มีหลักประกันที่จะเดินทางกลับ

นายชูวิทย์ คาดการณ์ว่า รัฐสภาจะต้องลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีอีกอย่างน้อยๆ 2 ครั้ง จึงจะได้นายกรัฐมนตรี และเชื่อว่าน่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จากการเสนอโดยพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 3 เนื่องจากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ไม่น่าจะผ่านความเห็นชอบในการโหวตครั้งต่อไป เนื่องจาก สว.อาจอ้างเหตุผลเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต

“คาดว่าจะได้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ และถึงแม้จะได้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่ ก็ไม่ได้หมายความว่านายทักษิณ จะได้กลับประเทศทันทีหลังจากนั้น โดยเงื่อนไขสำคัญ คือ ต้องได้รับไฟเขียว” นายชูวิทย์ กล่าว

นายชูวิทย์ ยืนยันว่า การออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนายเศรษฐา ไม่ได้โกรธแค้นเป็นการส่วนตัว หรือทำเพื่อประโยชน์กับบุคคลใด แต่ย้ำว่า ไม่ต้องการได้นายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม โดยในวันที่ 7 ส.ค. จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินเพิ่มเติม เป็นหนังสือราชการสำคัญ และจะไปยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบต่อไป

‘เด็กเพื่อไทย’ ไว้อาลัยให้ความน่าเชื่อถือของ ‘ชูวิทย์’ หลังพาดพิง ‘เศรษฐา’ ปมดรามาซื้อขายที่ดินแสนสิริ

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 66 ดร.กฤชนนท์ อัยยปัญญา ผู้สมัคร สส.กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้แชร์ข่าวกรมที่ดินได้ออกมาชี้แจง กรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง พาดพิงนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดและกรรมการของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีส่วนร่วมในการหลีกเลี่ยงภาษีในการซื้อขายที่ดินของแสนสิริ เป็นเหตุให้รัฐต้องสูญเสียรายได้เป็นเงินหลายร้อยล้านบาท พร้อมโพสต์ข้อความผ่านเพจ ‘ดร.ตั้น กฤชนนท์ อัยยปัญญา’ ระบุว่า…

“RIP ความน่าเชื่อถือท่านชูวิทย์ เมื่อวานนี้ผมได้ทราบข่าวที่น่าเศร้า เพราะท่านชูวิทย์ฮีโร่นักแฉในดวงใจของผมได้ประกาศว่า ท่านป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ จึงถือโอกาสแสดงความเสียใจและเป็นห่วงมา ณ ที่นี้

นอกจากนี้แล้ว ผมยังได้ทราบถึงความไม่สบายใจของท่านชูวิทย์เกี่ยวกับประเด็นของท่านเศรษฐา เรื่องการซื้อที่ดินของบริษัทแสนสิริที่ท่านชูวิทย์ไม่สบายใจ ว่าเป็นกระทำโดยมิชอบหรือไม่ และจะส่งผลถึงภาพลักษณ์ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ต้อง ‘ซื่อสัตย์สุจริต’ หรือไม่ ผมขออธิบายดังนี้ครับ

ในประเด็นแรกเรื่องการเสียภาษีซื้อขายที่ดินนั้น กรมที่ดินได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า ‘เป็นภาระโดยตรงของผู้ขาย’ และโดยที่ผู้ซื้อไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และวิธีปฏิบัติดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะได้มีการเสียภาษีต่างๆ ในวันโอนที่ดินครบถ้วน ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของแต่ละคน เป็นสิ่งที่ผู้ขายแต่ละคนต้องรับผิดชอบในรอบปีภาษีของแต่ละคน ซึ่งหากมีการไม่ชำระก็เป็นเรื่องที่กรมสรรพากรต้องจัดการ ผู้ซื้อไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ครับ

ประเด็นถัดมาในส่วนของราคาซื้อขายที่ดินนั้น ทุกๆ ท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ราคาซื้อขายที่ดินนั้นเป็นความพึงพอใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่ได้จำเป็นต้องซื้อขายกันตามราคาประเมินแต่อย่างใด ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้ว บริษัทแสนสิริจำเป็นต้องซื้อในราคาที่ผู้ขายพึงพอใจ ไม่ได้เป็นการทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด ท่านชูวิทย์สบายใจได้ครับ

ประเด็นสุดท้าย ที่ท่านชูวิทย์ได้แสดงความห่วงใยถึงผู้ถือหุ้นบริษัทแสนสิริว่า ‘ผู้ถือหุ้นเจ๊ง’ นั้น ตามข้อมูลงบการเงินจาก ตลท.ในปี 2562 ที่มีการซื้อขายที่ดินนั้น บริษัทแสนสิริมีกำไรสุทธิ 2,392.44 ล้านบาท ท่านชูวิทย์สบายใจได้ครับ

สุดท้ายนี้ หวังว่าท่านชูวิทย์คงสบายใจได้ในทุกๆ ประเด็น หากท่านจะจากไปในอีกแปดเดือนก็คงจะจากไปอย่างหมดห่วง ด้วยความห่วงใยครับ

‘เศรษฐา’ มอบทนาย ยื่นฟ้อง ‘ชูวิทย์’ ปมแฉซื้อขายที่ดิน ชี้ เป็นการใส่ความ-มีวาระซ่อนเร้น เรียกค่าเสียหาย 500 ลบ.

(7 ส.ค. 66) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณียื่นฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาในกรณีที่นายชูวิทย์กล่าวหาว่า บ.แสนสิริ โดยนายเศรษฐาซื้อที่ดินและมีการหลีกเลี่ยงภาษีว่า นายเศรษฐาได้มอบอำนาจให้ตนฟ้องและดำเนินคดีกับนายชูวิทย์ โดยมีสาระสำคัญว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค.จำเลยทราบอยู่แล้วว่า ในวันที่ 4 ส.ค. จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา และในวันประชุมรัฐสภาดังกล่าว คาดหมายว่าจะมีการเสนอชื่อในฐานะเป็นบุคคลที่สมควรจะได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยต่อที่ประชุมรัฐสภา

ทั้งนี้ จำเลยจัดแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนและสาธารณชนที่ รร.เดอะเดวิส สุขุมวิท 24 โดยใช้ชื่อว่า ‘แฉเพื่อชาติ EP 1’ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ โดยการป่าวประกาศ ใส่ความโจทก์ต่อหน้าสื่อมวลชวนที่ไปทำข่าว และมีการถ่ายทอดสดเผยแพร่ต่อสื่อออนไลน์ ทั้งสื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์แพลตฟอร์มต่าง ๆ ในลักษณะใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม เพื่อให้ประชาชนบุคคลทั่วไป รวมทั้งสมาชิกรัฐสภา ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ที่จะต้องลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบให้โจทก์เป็นนายกฯ

นายวิญญัติ กล่าวว่า รวมทั้งบุคคลทั่วไปที่ได้รับฟังรับชมการแถลงข่าวของจำเลย หลงเชื่อและเข้าใจว่าโจทก์เป็นบุคคลไม่ดี เป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่สมควรที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกฯ ทั้งนี้ ก่อนการแถลงข่าว บ.แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้เผยแพร่แถลงการณ์ต่อสาธารณะ หัวข้อ ‘แสนสิริ ชี้แจงซื้อที่ดินถูกต้องตามหลักกฎหมายและธรรมาภิบาล’ ยืนยันว่าบริษัทฯ ยืนยันได้ดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใสและตรอจสอบได้ จำเลยสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงตามความจริงที่ถูกต้องได้ ทั้งต้องใช้ความระมัดระวังในการเสนอข้อเท็จจริง แต่จำเลยกลับไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนมีการแถลงดังกล่าว แต่ยืนยันข้อเท็จจริงและมีเจตนาที่จะไม่ให้สมาชิกรัฐสภาทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ที่จะต้องลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบให้โจทก์เป็นนายกฯ นั้น และจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนบุคคลทั่วไปที่ได้รับชมรับฟังการแถลงข่าวของจำเลยดังกล่าว หลงเชื่อ และเข้าใจทันทีว่าโจทก์เป็นบุคคลไม่ดี โกงภาษี ไม่มีธรรมาภิบาล เป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า ความจริงผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการโอนแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน จึงไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมกัน ต่อมาเมื่อมีการขายให้ บ.แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บริษัทเดียวโดยต่างคนต่างขายคนละวัน หรือแม้ว่าจะขายในวันเดียวกัน ผู้ขายทั้งหมดก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ตามมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 100/2543 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 ข้อ 4 (2) เนื่องจากข้อเท็จจริงกรณีนี้ไม่ได้มีการเข้าถือกรรมสิทธิ์รวมพร้อมกัน จึงให้บุคคลแต่ละคนที่ถือกรรมสิทธิ์รวม เสียภาษีเงินได้ในฐานะบุคคลธรรมดา โดยแยกเงินได้ตามส่วนของแต่ละคนที่มีส่วนอยู่ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถือกรรมสิทธิ์รวม

จำเลยยังเป็นการทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจ เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายข้อความ ซึ่งฝ่าฝืนความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดความน่าเชื่อถือจากประชาชน เนื่องจากโจทก์เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและเป็นบุคคลที่พรรคเพื่อไทยมีมติให้ส่งชื่อกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้สภาฯ ให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกฯ

”ผมขอตั้งข้อสังเกตว่านายชูวิทย์มีเจตนาพูดไม่ครบถ้วน ให้ข้อเท็จจริงในลักษณะให้เกิดความเข้าใจผิด มีวาระซ่อนเร้นที่จะกลั่นแกล้งโจทก์หรือไม่ การใส่ความนายเศรษฐาให้ประชาชน และสมาชิกรัฐสภาเชื่อว่านายเศรษฐากระทำผิดกฎหมาย ขัดธรรมาภิบาล เพื่อหวังผลทางการเมือง และไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างที่นายชูวิทย์กล่าว ซึ่งทางโจทก์ได้ยื่นฟ้องพร้อมเรียกค่าเสียหายจากนายชูวิทย์จากการกระทำละเมิดต่อโจทก์ดังกล่าวเป็นเงินจำนวนห้าร้อยล้านบาทถ้วน พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์” นายวิญญัติ กล่าว

นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนทราบว่านายชูวิทย์กำลังป่วย ตนจึงให้กำลังใจในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่ที่ต้องฟ้องไม่ใช่การรังแกคนป่วย เป็นคนละเรื่อง เพราะการกระทำของคุณชูวิทย์ เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดกฎหมาย จะใช้สิทธิละเมิดผู้อื่นมิได้ เราทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน หากโดนละเมิดสิทธิ คุณเศรษฐาก็ต้องปกป้องสิทธิของตัวเอง ไม่เช่นนั้นคนทั่วไปและสมาชิกรัฐสภาหรือวิญญูชนย่อมเข้าใจในทางไม่ดีต่อคุณเศรษฐา และยังมีการกล่าวหรือกระทำการให้ร้ายอยู่ต่อไป

แม้คุณชูวิทย์จะบอกว่าตัวเองป่วย ใกล้ตาย มีเวลาไม่นาน แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่พูดจะต้องจริง ทางกฎหมายคือเจตนาใส่ความนั่นเอง เมื่อตนยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาแล้ว อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่าคดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรนำไปขยายประเด็นหรือใส่ความอีก เพราะจำเป็นต้องมีการฟ้องดำเนินคดีตามสิทธิ์ กล่าวโดยสรุปนายเศรษฐาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ย่อมอาจถูกตรวจสอบได้ แต่ประชาชนที่รับข้อมูลข่าวสารต้องพึงระวังว่าในข้อมูลนั้นและต้องรอบด้าน ไม่ใช่รีบตัดสินเพื่อเชื่อเลยทีเดียว เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องภาษีและเป็นการดำเนินการตามมาตรการการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรไม่ใช่เรื่องเลี่ยงภาษีหรือทำให้รัฐเสียหาย

‘เด็จพี่’ แฉ!! ‘ชูวิทย์’ โกรธแสนสิริปฏิเสธซื้อที่ดิน ชี้!! ไฟแค้นสุมอก จึงรับงานดิสเครดิต ‘เศรษฐา’

(7 ส.ค. 66) ที่โรงแรมดิเอ็มเมอรัลด์ กรุงเทพฯ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ คณะทำงานด้านกฎหมายที่ได้รับมอบอำนาจจาก นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง ระบุที่นายเศรษฐา มอบอำนาจให้ทนายความฟ้องดำเนินคดีกับนายชูวิทย์นั้น เป็นการฟ้องปิดปากว่า ขอชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่มีใครไปปิดปากคนอย่างนายชูวิทย์ได้ หากนายชูวิทย์ตรวจสอบนายเศรษฐาอย่างบริสุทธิ์ใจ

ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า นายชูวิทย์มีข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้ว แต่เหตุใดจึงไม่ตรวจสอบตั้งแต่ได้รับข้อมูลมา หรือก่อนที่นายเศรษฐา จะถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ตนเองในฐานะเป็นนักการเมือง และเคยตรวจสอบในคดีสำคัญ หากไม่มีวาระซ่อนเร้นเราต้องตรวจสอบอย่างนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่นายชูวิทย์ แถลงเมื่อวันที่ 3 ส.ค. กล่าวหานายเศรษฐาว่าทำนิติกรรมอำพราง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต รู้เห็นเป็นใจกับบริษัทที่ขายที่ดินให้กับ บ.แสนสิริ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 500 ล้านบาท เรื่องนี้ตนขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่าไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรเลย เป็นการจับแพะชนแกะ พูดความจริงครึ่งเดียวของนายชูวิทย์ คือผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการโอนแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน จึงไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมกัน ในทางกฎหมายอนุญาตให้ทำได้

ต่อมาเมื่อมีการขายให้บ.แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบของกรมที่ดินและระเบียบของกรมสรรพากร ซึ่งถ้าไม่ถูกระเบียบกรมที่ดินก็ไม่สามารถให้ผู้ขายโอนให้ได้ และกรมสรรพากรคงฟ้องร้องผู้ขายไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เนิ่นนานขนาดนี้ ใครก็รู้ว่ากรมที่ดินและกรมสรรพากรล้วนมีระเบียบที่เคร่งครัด ไม่ถึงมือนายชูวิทย์หรอก

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 100/2543 ลงวันที่ 24 พ.ย. 2543 ข้อ 4 (2)

นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่านายชูวิทย์ซึ่งเป็นนักธุรกิจอสังหาฯ มีทีมกฎหมายเป็นที่ปรึกษา ก่อนมาแถลงข่าวกล่าวหานายเศรษฐาคงจะต้องศึกษารายละเอียดมาหมดแล้ว ว่าผู้ขายทั้ง 12 คนนี้ได้ที่ดินมาไม่พร้อมกัน นายชูวิทย์ก็รู้ แต่จงใจพูดข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าได้ที่ดินมาพร้อมกันในวันที่แถลงข่าว เหมือนพูดความจริงครึ่งเดียว เหตุใดนายชูวิทย์จึงไม่พูดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าที่ดินได้มาไม่พร้อมกัน นายชูวิทย์ปกปิดความจริงข้อนี้ เพื่อใช้เป็นช่องกล่าวหานายเศรษฐาใช่หรือไม่ เพราะหากนายชูวิทย์พูดความจริงตรงนี้ให้หมด ตัวเองจะกล่าวหานายเศรษฐาไม่ได้เลย

นอกจากนี้ขอตั้งข้อสังเกตต่อว่าผู้ซื้อเป็นนิติบุคคล เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีผู้บริหารหลายคน แต่เหตุใดนายชูวิทย์ จึงตั้งใจโจมตี ดิสเครดิตนายเศรษฐาเพียงคนเดียว ถามว่าหากไม่มีวาระซ่อนเร้นทำไมช่างบังเอิญเช่นนี้ ต่อมาก็กล่าวหานายเศรษฐา มีเงินทอน เป็นตัวการร่วมหรือรู้เห็นเป็นใจ

เรื่องนี้ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย ตนได้รับเอกสารข้อหารือลงวันที่ 9 มี.ค.58 ระหว่างกรมที่ดินกับกรมสรรพากรกรณีนี้ ซึ่งมีข้อสรุปออกมาเป็นไปตามคำสั่งกรมสรรพากรข้างต้น ดังนั้น การกล่าวหาว่านายเศรษฐารู้เห็นเป็นใจ หรือสมคบกับผู้ขายในการหลีกเลี่ยงภาษี มีเจตนากลั่นแกล้งและหวังผลทางการเมืองต่อตัวนายเศรษฐา

นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่กล่าวหาว่านายเศรษฐาไม่ซื่อสัตย์ กระทำผิดกฎหมาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินทอนในการซื้อขายที่ดินแปลงนี้โดยนายชูวิทย์อ้างถึงราคาที่ดินตารางวาละเกือบ 4 ล้านบาทนั้น ข้อเท็จจริงราคาที่ดินบริเวณดังกล่าวที่ บ.แสนสิริ ซื้อจากเอกชนนั้น ตั้งอยู่ที่ถ.สารสิน ตรงข้ามกับสวนลุมพินี เป็นทำเลทอง ซึ่งเป็นไปตามราคาตลาด นักธุรกิจที่อยู่ในแวดวงอสังหาฯ รู้ว่าเป็นราคาปกติ

เมื่อเปรียบเทียบกับที่ดินของนายชูวิทย์ ที่ขายในเดือนเดียวกันให้แก่ บ.ไรมอนแลนด์ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่นายชูวิทย์อ้างผ่านสื่อว่าขายไป 2,000 ล้านบาท ราคาตารางวาละเกือบ 3.6 ล้านบาท ทั้งที่ที่ดินนายชูวิทย์ อยู่ในซอยสุขุมวิท 24 ที่ดินของนายชูวิทย์ก็ราคาไม่ต่างกับราคาที่ บ.แสนสิริ ซื้อ ฉะนั้น ข้อกล่าวหาใด ๆ ทั้งหมดที่นายชูวิทย์ได้แถลงมา จึงน่าจะเป็นความเท็จ ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ตนขอยืนยันว่านายเศรษฐาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้ทำผิดจริยธรรมตามที่นายชูวิทย์กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ขอตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมของนายชูวิทย์ ที่ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีความเจ็บแค้น ไม่มีปัญหา และไม่ได้ขายที่ดินของนายชูวิทย์ ให้บ.แสนสิริ รวมถึงไม่มีวาระซ่อนเร้นใด ๆ นั้น นายชูวิทย์อาจความจำสั้น วันนี้ผมจะมาจับโกหกนายชูวิทย์ ซึ่งผมมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายว่านายชูวิทย์ เคยไปพบผู้บริหาร บ.แสนสิริ พร้อมนายเศรษฐา เมื่อวันที่ 8 ก.ย.65 ภาพจากกล้องวงจรปิดก็มี เพื่อเสนอขายที่ดินแปลงของตนเองให้ บ.แสนสิริ

แต่ท้ายที่สุดทางแสนสิริปฏิเสธซื้อที่ดินของนายชูวิทย์ เป็นเหตุให้นายชูวิทย์โกรธ และดำเนินการในลักษณะนี้ใช่หรือไม่ ถามว่าจริงหรือไม่ที่ก่อนที่นายชูวิทย์จะมาแถลงข่าว ได้พยายามเสนอขายที่ดินให้ บ.แสนสิริ อีกครั้งหนึ่ง โดยเสนอราคาเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทแต่ถูกปฏิเสธอีกครั้ง เรื่องนี้คือประเด็นที่ทำให้นายชูวิทย์ไม่พอใจใช่หรือไม่

“ภาพทั้งหมดเกิดขึ้นที่ บ.แสนสิริ เท่าที่ผมทราบนายชูวิทย์ ไม่ได้มีความสนิทสนมกับนายเศรษฐาถึงขนาดเข้าไปเยี่ยมกันถึงที่บริษัทได้ แต่ในภาพกลับจับมือ ดูสนิทสนม นี่คือพฤติกรรมของนายชูวิทย์ที่ตรงข้ามกับคำพูดที่ว่าแฉเพื่อชาติ” นายพร้อมพงศ์ กล่าว

นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ตนอยากถามว่าวันนี้นายชูวิทย์ แฉเพื่อใครกันแน่ นายชูวิทย์ในฐานะที่เป็นคนมีความกว้างขวาง มีเพื่อนอยู่ทั้งในวงการทหาร และนักการเมือง ใคร ๆ ก็รู้ว่านายชูวิทย์ สนิทกับใคร ผู้มีอำนาจกลุ่มไหน อยากถามว่าที่นายชูวิทย์ ออกมาเป็นหัวขบวนเปิดเกมเขี่ยบอลสาดโคลนเป็นคนแรก เพื่อดิสเคดิตนายเศรษฐา ก่อนการโหวตนายกฯ เพียงไม่กี่วันว่าไม่มีความเหมาะสม

ถามว่า เป้าหมายของนายชูวิทย์เพื่อทำให้นายเศรษฐาขาดคุณสมบัติ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 160(4) เรื่องจริยธรรม ถามว่านายชูวิทย์รับงานใครมา หวังผลทางการเมืองเพื่อให้ใครกลับมาเป็นนายกฯ อีกหรือไม่ นี่เป็นคำถามให้นายชูวิทย์ต้องตอบ

นายชูวิทย์กล่าวหานายเศรษฐาว่ามีพฤติกรรมอำพราง แต่ตนเห็นว่าคนที่มีพฤติกรรมอำพรางน่าจะเป็นนายชูวิทย์มากกว่า เพราะเวลานี้มีประเด็นที่ กทม. ร่วมกับอัยการต้องมานั่งประชุมกันในสิ่งที่นายชูวิทย์อำพรางไว้กรณีที่จะต้องติดคุก 5 ปี แลกกับการยกที่ดินเป็นสวนสาธารณะ แต่นายชูวิทย์กลับสู้กับ กทม.และอัยการว่าเป็นที่ของบริษัท ตัวเองจะไปยกให้สาธารณะได้อย่างไร และยังเสียภาษีอยู่ตลอด แถมกำหนดเวลาเปิด-ปิดสวนจน กทม.เข้าไปดำเนินการอะไรไม่ได้เลย

ขอถามว่าใครมีพฤติกรรมอำพรางกันแน่ สังคมสงสัยว่านายชูวิทย์ ลักษณะน่าจะเป็นโมฆบุรุษใช่หรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการแถลงข่าว นายพร้อมพงศ์ได้เรียกพนักงานจัดส่งเอกสาร ส่งภาพวันที่นายชูวิทย์ เข้าเจรจาขายที่ดินต่อ บ.แสนสิริ ซึ่งขณะนั้นมีนายเศรษฐา เป็นประธาน เป็นภาพที่ทั้ง 2 จับมือกันอย่างชื่นมื่น ไปให้นายชูวิทย์ถึงที่รร.เดวิสเพื่อทวนความจำของนายชูวิทย์ด้วย

‘เศรษฐา’ โต้ ‘ชูวิทย์’ บิดเบือนปมซื้อที่ดิน เล็งฟ้องถึงที่สุด ย้ำ!! ‘แสนสิริ’ ยึดมั่นในธรรมาภิบาลจนนำพาบริษัทเติบโต

‘เศรษฐา’ โพสต์เฟซบุ๊กโต้ ‘ชูวิทย์’ ยันซื้อที่ดินตามราคาตลาดปกติ ยกผลงาน ‘แสนสิริ’ เติบโตมีทรัพย์สิน 130,000 ล้าน กำไรปีที่ผ่านมา 4,000 ล้าน การันตีบริหารมีธรรมาภิบาล ยืนยันพร้อมให้ตรวจสอบ แต่การบิดเบือนปลุกปั่นโดยมีเป้าหมายบางประการ ต้องถูกดำเนินการทางกฎหมายจนถึงที่สุด

(16 ส.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin’ ว่า…

“ตามที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินแปลง สุขุมวิท 55 ที่ปัจจุบันคือโครงการ คุณ บาย ยู (KHUN by YOO) และทางบริษัทแสนสิริได้ออกแถลงการณ์ข้อเท็จจริงแล้วนั้น

ผม นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตเคยบริหารแสนสิริมากว่า 30 ปี บริษัทฯ ผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง โดยที่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจนเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์แนวหน้าของประเทศ เติบโตมาจนมีทรัพย์สินรวมเกือบ 130,000 ล้านบาท และมีกำไรมากกว่า 4,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ได้รับการยอมรับ เชื่อถือ จากทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น และสังคมทั่วไป น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ระดับหนึ่งว่าบริษัทแสนสิริได้ถูกบริหารอย่างมีธรรมาภิบาล”

“การตรวจสอบจากทุกฝ่ายนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และพร้อมให้ตรวจสอบ แต่การตรวจสอบจะต้องสร้างสรรค์ และทำด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ มีข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และไม่บิดเบือน หรือนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จ ในขณะที่ผมเป็นผู้บริหารบริษัทฯ ที่ดินแปลงสารสินซื้อมาตามราคาตลาดที่เหมาะสม ส่วนที่ดินแปลงทองหล่อซื้อมาในราคา ตารางวาละ 1,100,000 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาดตามปกติในขณะนั้น

การกระทำใดๆ ที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริง ฝ่ายกฎหมายจะรวบรวมข้อมูลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง และต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน การที่ฝ่ายกฎหมายของบ้านเมืองเข้ามาตรวจสอบ เป็นเรื่องที่ถูกต้องและพึงกระทำ แต่การที่บุคคลหนึ่งปลุกปั่น ตั้งสมมติฐานขึ้นมาเอง โดยมีเป้าหมายบางประการ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง” นายเศรษฐาระบุ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top