Tuesday, 29 April 2025
ขีปนาวุธ

ทรัมป์สั่งสร้างโล่เหล็ก 'America Iron Dome' ป้องแผ่นดินสหรัฐฯ จากขีปนาวุธตามรอยอิสราเอล

เมื่อวันที่ (27 ม.ค.68) ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในด้านการปฏิรูปกองทัพฯ หลายคำสั่ง โดยหนึ่งในคำสั่งที่ทรัมป์ลงนาม คือการริเริ่มให้มีการสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศ 'ไอรอนโดม' สำหรับสหรัฐฯ แบบเดียวกับที่อิสราเอลใช้สกัดขีปนาวุธหลายพันลูก 

“ภายใน 60 วันนับจากวันที่ออกคำสั่งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะต้อง  ส่งมอบแบบพิมพ์เขียวของระบบ ความต้องการตามขีดความสามารถ และแผนการดำเนินการสำหรับโล่ป้องกันขีปนาวุธรุ่นถัดไปให้แก่ประธานาธิบดี” คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ระบุ

ระบบ America Iron Dome จะรวมถึงแผนการป้องกันขีปนาวุธร่อนแบบวิถีโค้ง ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง และขีปนาวุธล้ำหน้า เร่งการติดตั้งเซ็นเซอร์ติดตามขีปนาวุธจากอวกาศที่มีความเร็วเหนือเสียงและแบบวิถีโค้ง และพัฒนาและติดตั้งเครื่องสกัดกั้นขีปนาวุธจากอวกาศที่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธได้ในช่วงส่งเสริมการโจมตี เอกสารระบุ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเน้นย้ำว่าภัยคุกคามจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธและการโจมตีทางอากาศขั้นสูงอื่น ๆ "ยังคงเป็นภัยคุกคามที่เลวร้ายที่สุดที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญ"

ระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบใหม่ที่คล้ายกับ Iron Dome ของอิสราเอลนี้จะใช้ชื่อว่า 'America Iron Dome' ระบบนี้จะสามารถป้องกันภัยจากขีปนาวุธทั่วไป ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค ขีปนาวุธนำวิถี และรูปแบบใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยงบประมาณหรือกรอบเวลาการพัฒนาระบบนี้

"เราจำเป็นต้องเริ่มก่อสร้างโล่ป้องกันขีปนาวุธล้ำสมัย ไอรอนโดม ซึ่งจะสามารถปกป้องชาวอเมริกัน" ทรัมป์ บอกกับที่ประชุมระดมความคิดของรีพับลิกันในไมอามี พร้อมบอกว่า 'ระบบนี้จะผลิตที่นี่ ในสหรัฐฯ'

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายให้ความเห็นว่า ระบบไอรอนโดมอาจไม่เหมาะสมกับการรับมือภัยคุกคามทางอากาศของสหรัฐฯ เนื่องจากระบบที่ใช้ในอิสราเอลซึ่งเป็นแบบที่ทรัมป์อยากได้นั้น ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามพิสัยใกล้ ทำให้มันไม่เหมาะสมสำหรับป้องกันการโจมตีใด ๆ ด้วยขีปนาวุธข้ามทวีป ที่เป็นตัวอันตรายหลักสำหรับสหรัฐฯ มากกว่า 

ทั้งนี้ นอกจากคำสั่งสร้าง America Iron Dome แล้ว ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งปฏิรูปกองทัพสหรัฐในอีกหลายคนสั่ง เช่น การสั่งห้ามบุคคลข้ามเพศ หรือทรานส์เจนเดอร์ เข้ารับราชการในกองทัพสหรัฐฯ โดยทรัมป์เรียกคำสั่งนี้ว่า "การกำจัดลัทธิหัวรุนแรงทางเพศในกองทัพ" ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายและความเท่าเทียมในกองทัพ

ก่อนหน้านี้ ในสมัยแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง เขาเคยประกาศห้ามกลุ่มทรานส์เจนเดอร์เป็นทหาร โดยให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของทหารข้ามเพศสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง จนกระทั่งปี 2021 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ขณะที่ข้อมูลจากองค์กรเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศระบุว่า ในจำนวนทหารอเมริกันทั้งหมด 1.3 ล้านคน มีทหารที่ระบุว่าตนเองเป็นทรานส์เจนเดอร์ไม่ต่ำกว่า 15,000 คน แต่ทางการสหรัฐฯ ชี้ว่ามีเพียงไม่ถึงพันคน

รู้จัก DF-21D และ YJ-21 ขีปนาวุธต่อต้านเรือรบของกองทัพจีน ที่พร้อมต่อกรกองเรือสหรัฐฯและพันธมิตรในทะเลจีนใต้

(17 มี.ค. 68) ในขณะที่กองเรือสหรัฐฯและพันธมิตรเสริมกำลังทางเรืออย่างเข้มข้นในทะเลจีนใต้ กองทัพเรือแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนก็ได้เผยแพร่ข้อมูลของขีปนาวุธต่อต้านเรือรบ 2 แบบซึ่งน่าจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อกองเรือสหรัฐฯและพันธมิตร

(1) DF-21D หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dongfeng-21D เป็นขีปนาวุธพิสัยกลางของจีนที่ออกแบบมาเพื่อปฏิบัติการต่อต้านเรือรบโดยเฉพาะ โดยมีพิสัยการโจมตีประมาณ 1,500 กิโลเมตร (ประมาณ 930 ไมล์) ขีปนาวุธรุ่นนี้ใช้ระบบนำทางขั้นสูงที่ผสมผสานระบบนำทางเฉื่อย (INS) เข้ากับระบบนำทางขั้นสุดท้ายโดยใช้เรดาร์หรือวิธีการทางแสง ทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายทางทะเลที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ ขีปนาวุธรุ่นนี้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศด้วยความเร็วประมาณ 10 มัค เช่นเดียวกับขีปนาวุธพิสัยกลางทั่วไป ความเร็วปลายทางของขีปนาวุธรุ่นนี้คาดว่าจะอยู่ระหว่างมัค 3 ถึง มัค 5 ขีปนาวุธรุ่นนี้สามารถบรรทุกหัวรบระเบิดแรงสูงแบบธรรมดาหรือหัวรบนิวเคลียร์ได้ ทำให้มีขีดความสามารถในการโจมตีที่หลากหลาย 

DF-21D ซึ่งยิงจากแท่นเคลื่อนที่สามารถนำไปใช้งานและเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีความสามารถในการเอาตัวรอดจากการถูกโจมตีตอบโต้ ขีปนาวุธรุ่นนี้ใช้งานโดยกองกำลังจรวดของกองทัพปลดปล่อยประชาชนเป็นหลัก และถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์ของจีนในการต่อต้านปฏิบัติการทางเรือของศัตรูที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ ขีปนาวุธรุ่นนี้มีการออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะในการ "ทำลายล้างเรือบรรทุกเครื่องบิน" เป็นการเฉพาะ โดยถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือรบขนาดใหญ่อื่น ๆ โดยใช้ความเร็วและความคล่องตัว โดยรวมแล้ว DF-21D ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในด้านความสามารถในการต่อต้านการเข้าถึง/ปฏิเสธพื้นที่ (A2/AD) ของจีน 

จีนมีทรัพยากรในการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองที่จำเป็น รวมถึงเรดาร์ช่องรับแสงสังเคราะห์ (SAR) บนดาวเทียมในวงโคจรแบบซิงโครนัส เพื่อระบุตำแหน่งของเป้าหมายทางทะเล ส่งต่อพิกัดไปยังเครื่องยิง เมื่อทำการยิงขีปนาวุธ และแจ้งตำแหน่งอัปเดตของขีปนาวุธจะถูกส่งต่อไปผ่านลิงก์การสื่อสารผ่านดาวเทียมในระยะกลาง ขีปนาวุธมีเรดาร์ค้นหาของตัวเองสำหรับระยะสุดท้าย ซึ่งมีไม่กี่ประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับยุทโธปกรณ์เหล่านี้

(2) YJ-21 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Yingji-21 เป็นขีปนาวุธร่อนต่อต้านเรือรบของจีนที่มีความสามารถในการโจมตีทางทะเลขั้นสูง ด้วยระยะประมาณ 1,500 กิโลเมตร (ประมาณ 930 ไมล์) ทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพจากระยะไกล ขีปนาวุธนี้ได้รับการออกแบบมาให้ยิงจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรือผิวน้ำ เรือดำน้ำ และเครื่องบิน จึงช่วยเพิ่มความหลากหลายในสถานการณ์ปฏิบัติการที่แตกต่างกัน YJ-21 ซึ่งติดตั้งระบบนำทางขั้นสูง ใช้เรดาร์และระบบนำทางเฉื่อยเพื่อกำหนดเป้าหมายเรือที่กำลังเคลื่อนที่ได้อย่างแม่นยำ การออกแบบของ YJ-21 เน้นที่ความเร็วสูงและความคล่องตัว ทำให้สามารถหลบเลี่ยงการสกัดกั้นได้ในขณะที่เข้าใกล้เป้าหมาย ขีปนาวุธรุ่นนี้สามารถบรรทุกหัวรบระเบิดแบบธรรมดาได้ จึงเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีเรือของศัตรูได้ 

ขีปนาวุธ YJ-21 (Eagle Strike 21) เป็นขีปนาวุธต่อต้านเรือรบความเร็วเหนือเสียงที่พัฒนาโดยจีน ขีปนาวุธรุ่นนี้โดดเด่นด้วยความสามารถด้านความเร็วที่น่าประทับใจ YJ-21 มีความเร็วเดินทางเกินมัค 6 ในระยะกลางของการเคลื่อนที่ในระดับความสูงมาก (~30 กม.) ที่อากาศเบาบาง ในระยะสุดท้าย ขีปนาวุธรุ่นนี้สามารถพุ่งดิ่งลงสู่พื้นด้วยความเร็วถึงมัค 10 จากพลังงานของจรวดเสริมกำลังขั้นสุดท้าย ความเร็วสูงเหล่านี้จะลดความสามารถในการติดตามและสกัดกั้นของระบบป้องกันขีปนาวุธ (BMD) AEGIS/SM-6 ของเรือรบสหรัฐฯ ลงเป็นอย่างมาก โดยการออกแบบ YJ-21 นั้นเป็นการผสมผสานระบบอากาศพลศาสตร์และระบบขับเคลื่อนขั้นสูงที่ปรับให้เหมาะสมสำหรับการบินความเร็วเหนือเสียง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการโจมตีเป้าหมายทางทะเลที่มีความสำคัญสูง

เกาหลีเหนือเตือนญี่ปุ่นอย่าติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกล มิฉะนั้นจะเจอมาตรการตอบโต้ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ร้ายแรง

(20 มี.ค. 68) เกาหลีเหนือออกแถลงการณ์เตือนรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างดุเดือด กรณีมีแผนติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นเกาะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวจะยกระดับความตึงเครียดในภูมิภาค และอาจกระตุ้นให้เกิดมาตรการตอบโต้จากเปียงยาง

สื่อของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือออกมาประณามแผนดังกล่าว โดยชี้ว่าเป็นการยั่วยุที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านความมั่นคงในเอเชียตะวันออก พร้อมเตือนว่าหากญี่ปุ่นยังเดินหน้าโครงการนี้ เปียงยางจะพิจารณามาตรการป้องกันเชิงรุกเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากโตเกียว

“การติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลในพื้นที่ที่สามารถยิงถึงเกาหลีเหนือได้ ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรง และจะผลักดันให้สถานการณ์ในภูมิภาคเข้าสู่ความไม่แน่นอนที่อันตราย” แถลงการณ์ระบุ

สำหรับปุ่นกำลังพิจารณาติดตั้งขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่น Tomahawk และขีปนาวุธของสหรัฐฯ ที่สามารถยิงโจมตีเป้าหมายได้ไกลถึงเกาหลีเหนือ บนเกาะคิวชู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนเสริมขีดความสามารถป้องกันประเทศท่ามกลางภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและจีน

แผนดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านกลาโหมใหม่ของญี่ปุ่นที่มุ่งเพิ่มศักยภาพการโจมตีตอบโต้ (counterstrike capability) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากแนวทางการป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

เกาหลีเหนือและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่เป็นปฏิปักษ์มาอย่างยาวนาน โดยญี่ปุ่นมักแสดงความกังวลเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ขณะที่เปียงยางมองว่าการที่ญี่ปุ่นเพิ่มศักยภาพทางทหารเป็นภัยคุกคามโดยตรง

ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบขีปนาวุธหลายครั้ง ซึ่งบางครั้งได้ยิงข้ามน่านฟ้าของญี่ปุ่น ทำให้โตเกียวต้องยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางอากาศ และพิจารณาปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้น

ด้านรัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคำเตือนจากเกาหลีเหนือ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่าประเทศมีสิทธิ์ดำเนินมาตรการด้านความมั่นคงเพื่อปกป้องตนเองจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

สถานการณ์นี้นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจเพิ่มความร้อนแรงให้กับความขัดแย้งในเอเชียตะวันออก ซึ่งยังคงเป็นจุดสนใจของประชาคมระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top