Tuesday, 22 April 2025
กัญชา

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าโต้หมอ กัญชาไทยไร้กฎหมายควบคุม แต่กลับแบนบุหรี่ไฟฟ้า ชี้เห็นด้วยกับก้องห้วยไร่ แนะผู้ใช้เคารพสิทธิคนอื่น หนุนรัฐเร่งออกกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) โต้กลับกรณีกรมควบคุมโรคแจงบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงพฤติกรรมเสพติดกัญชา โวยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมควบคุมโรคและกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงเครือข่ายแพทย์ควรรื้อตรรกะใหม่ ยันไทยเป็นประเทศเดียวที่ปล่อยให้กัญชาไร้กฎหมายควบคุม ขายเกลื่อนเมือง แต่กลับแบนบุหรี่ไฟฟ้ายาวนานถึงเก้าปี ชี้เห็นด้วยนักร้องดัง ก้องห้วยไร่ ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าควรเคารพสิทธิผู้อื่น ใช้ให้เป็นที่เป็นทาง แนะรัฐถึงเวลาออกกฎหมายควบคุมแล้ว

หลังกรมควบคุมโรคอ้าง “การสูบบุหรี่ไฟฟ้า” เพิ่มความเสี่ยงต่อการใช้ “กัญชา” สูง 4 เท่า เพจเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “ECST บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร?” ที่มีผู้ติดตามกว่าแสนราย ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านโพสต์ใจความว่า “บอกบุหรี่ไฟฟ้านำไปสู่สารเสพติดอื่น อ้าว ไปไงมาไง มาคิดถึงกูหล่ะเนี่ย” โดยโพสต์ดังกล่าวมีผู้ถูกใจกว่าสี่ร้อยราย

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ ตัวแทนจากเพจลาขาดควันยาสูบ เปิดเผยว่า “เรื่องของบุหรี่ไฟฟ้ากับกัญชานั้นถูกโยงมาพักใหญ่ ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องที่สะท้อนความบิดเบี้ยวของตรรกะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงเครือข่ายแพทย์ที่ออกมาโจมตีผู้บริโภคด้วย ไม่มีหรอกครับประเทศไหนที่จะให้กัญชาขายเกลื่อนไร้การควบคุม เปิดหน้าร้านค้าขายกันยิ่งใหญ่ แต่กลับแบนบุหรี่ไฟฟ้ายาวนานเกือบสิบปี”

“จริงๆ หากจะให้ลองคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการใช้กัญชาได้อย่างไร ก็คงต้องย้อนกลับไปเรื่องการแบน พอบุหรี่ไฟฟ้าถูกแบน การซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าเกิดขึ้นผ่านตลาดใต้ดินที่ผิดกฎหมาย ก็ยากที่จะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในมือผู้บริโภคตอนนี้มีมาตรฐานอย่างไร ส่วนประกอบมีอะไรบ้าง อย่างที่เคยออกข่าวว่ามีการระบาดของน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่มีส่วนผสมของน้ำมันกัญชา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคปอด EVALI” นายมาริษเสริม

“ล่าสุดมีดราม่านักร้องดังขอให้หยุดใช้บุหรี่ไฟฟ้าในคอนเสิร์ต ซึ่งผมเชื่อว่าผู้ใช้ควรให้ความร่วมมือ เคารพสิทธิผู้อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกเพจของเราช่วยกันรณรงค์อยู่แล้ว แต่พอไม่มีกฎหมายมาควบคุม ผลที่ออกมาเลยเป็นอย่างนี้ ปัจจุบันมีการจัดตั้งคณะกรรมการวิสามัญฯ เพื่อศึกษาถึงประโยชน์ของการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เราในฐานะตัวแทนผู้บริโภคก็คาดหวังว่าคณะกรรมการวิสามัญฯนี้จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง และวอนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มองโลกผ่านความเป็นจริงให้มากขึ้น”

นอกจากนี้ นายมาริษยังได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน อายุเฉลี่ยของเด็กและเยาวชนที่พบว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้านั้นเด็กลงเรื่อยๆ จนแม้กระทั่งเด็กประถมก็ยังถูกพบว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าเถื่อน ซึ่งหาซื้อได้ง่ายผ่านช่องทางที่หลากหลาย จึงเป็นเรื่องที่ทางเครือข่ายฯดำเนินการเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีอำนาจในหน่วยงานสาธารณสุข และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้ามาดำเนินการเพื่อมอบทางเลือกให้แก่ผู้สูบบุหรี่ไทยกว่า 9.9 ล้านคน รวมถึงคนในสังคมที่ได้รับผลกระทบจากบุหรี่ไฟฟ้าที่ไร้ซึ่งการควบคุมของรัฐ

‘ไมค์ ไทสัน’ อดีตกำปั้นโลก เตรียมเปิดตัวแบรนด์กัญชาในไทย เดินหน้าเจาะตลาดกลุ่มสายเขียวเป็นประเทศแรกในเอเชีย

(17 ก.พ.67) ‘ไมค์ ไทสัน’ (Mike Tyson) นักมวยชื่อดังระดับตำนานชาวอเมริกัน เตรียมเปิดตัวแบรนด์กัญชา ‘Tyson 2.0’ ในประเทศไทย หลังเคยเกือบจะถูกจับจากการเสพกัญชา เพื่อสันทนาการในไทยมาแล้วครั้งหนึ่ง

Tyson 2.0 ระบุในจดหมายข่าวที่เผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า บริษัทได้เซ็นสัญญาเป็นหุ้นส่วนกับ Medican หรือ ‘Frost’ ผู้ปลูกและจำหน่ายกัญชาระดับโลก เพื่อที่จะเข้ามาดำเนินการปลูก ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์กัญชา เพื่อการแพทย์และสันทนาการในประเทศไทย

ไทยยังถือเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ Tyson 2.0 ตัดสินใจเข้ามาบุกเบิกทำการตลาด และถือเป็นทวีปที่ 3 ต่อจากอเมริกาเหนือและยุโรป โดยก่อนหน้านี้ Tyson 2.0 เพิ่งจะเปิดตัวร้านกาแฟที่จำหน่ายเมนูกัญชา ในกรุงอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์

ไทสัน ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Forbes เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเล่าประสบการณ์เฉียดคุกในเมืองไทยระหว่างที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ เขาเล่าว่าตอนนั้นพกกัญชา “ถุงใหญ่” น้ำหนักราว 5-10 ปอนด์ จนถูกตำรวจเรียก แต่พอเจ้าหน้าที่เห็นว่าตนเป็นใคร ก็เดินกลับไปที่รถทันที

“ผมได้ยินมาว่า ถ้าคุณยอมรับ (ว่ามีกัญชา) จะต้องโทษจำคุก 99 ปี และหากคุณไม่ยอมรับพวกเขาจะฆ่าคุณ” ไทสัน วัย 57 ปี บอกกับ Forbes “มันเป็นกฎหมายที่แปลกมากเลย และตอนนั้นผมคิดว่า พระเจ้าช่วย! ดีนะที่พวกเขาไม่สั่งให้เราลงจากรถ ความมีชื่อเสียงช่วยผมไว้แท้ๆ ตอนนั้นผมต้องการความดังมาก ขอบคุณพระเจ้า”

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอร่างกฎหมายแบนการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ เพียง 2 ปี หลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศปลดล็อกกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติด

ร่างกฎหมายนี้ถูกเสนอขึ้นท่ามกลางเสียงร้องเรียนเรื่องมาตรการควบคุมที่หละหลวม จนทำให้ความรุนแรงจากการใช้ยาเสพติดเพิ่มขึ้น และเยาวชนเข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้น

‘แอดัม วิลก์ส’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Carma HoldCo ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Tyson 2.0 ยืนยันว่า ทางแบรนด์จะเดินหน้าขยายธุรกิจเข้ามาในไทยแน่นอน ไม่ว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะตัดสินใจดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับกฎหมายกัญชาเพื่อสันทนาการก็ตาม

“ทุกตลาดล้วนเริ่มต้นจากการใช้เพื่อการแพทย์ทั้งสิ้น ฉะนั้นเราคุ้นเคยอยู่แล้ว เรามีประสบการณ์ทำธุรกิจภายใต้บริบทที่มีกฎหมายควบคุม” วิลก์ส บอกกับ Forbes

‘เศรษฐา’ จ้อสื่อนอกปมนำ ‘กัญชา’ กลับบัญชียาเสพติด ลั่น!! หากปล่อยถูก กม. จะส่งผลเสียหายอย่างใหญ่หลวง

(1 เม.ย. 67) จากกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษผ่านสำนักข่าว FRANCE 24 ของประเทศฝรั่งเศส ตอนหนึ่งถึงการจะนำกัญชาให้กลับมาอยู่ในบัญชียาเสพติด เนื่องจากสร้างความเสียหายให้กับคนไทยมากกว่าจะมีผลดีทางเศรษฐกิจ ว่า ตนยังไม่ได้อ่านแต่มีคนส่งไลน์มาให้ดู ซึ่งตนคิดว่าการรายงานข่าวครั้งนี้อาจจะต้องมีการถอดเทปดูอีกครั้ง 

จากการตรวจสอบพบว่า ทางสถานีโทรทัศน์ France24 ของฝรั่งเศส ได้โพสต์คลิปการสัมภาษณ์ดังกล่าวทาง YouTube พร้อมกับที่ผู้สื่อข่าว คือ ‘แมทท์ ฮันท์’ (Matt Hunt) ซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์นายเศรษฐา และได้โพสต์คลิปเช่นกันผ่านทางทวิตเตอร์ (X) ส่วนตัว เมื่อวันที่ 29 มี.ค.67 โดยเป็นคลิปวิดีโอความยาว 10 นาที และมีช่วงหนึ่ง (นาทีที่ 08.49-09.56) ที่มีการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นกัญชา ดังนี้…

แมทท์ ฮันท์: การประกาศให้กัญชาถูกกฎหมายในปี 2565 เป็นสิ่งที่สร้างความประหลาดใจมาก แต่เร็ว ๆ นี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้คำมั่นว่า จะเปลี่ยนให้การใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงกลับมาผิดกฎหมายอีกครั้ง แม้ว่าปัจจุบันกัญชาจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ก็ตาม คุณคิดว่าทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหานี้ได้โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับภาคเศรษฐกิจ? 

เศรษฐา ทวีสิน: สร้างความเสียหายให้กับภาคเศรษฐกิจ ฟังดูเป็นคำที่รุนแรงอยู่นะ ผมไม่คิดว่ามันจะสร้างความเสียหายให้กับภาคเศรษฐกิจ เพราะการประกาศให้กัญชาถูกกฎหมาย ผมว่านั่นแหละคือ การสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ผมคิดว่ารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขคิดถูกแล้วที่ทำแบบนั้น

แมทท์ ฮันท์: คุณคิดว่าประชาชนมีโอกาสเข้าคุกเพราะครอบครองกัญชาไหม?

เศรษฐา ทวีสิน: ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ถือครองแล้วก็ช่วงของการเปลี่ยนผ่าน จากผิดกฎหมายเป็นถูกกฎหมาย และกลับมาผิดกฎหมายอีกครั้ง คุณต้องให้ทางเดินกับพวกเขา

เศรษฐา ทวีสิน: ผมไม่คิดว่ามันเป็นธุรกิจขนาดใหญ่อะไรนะ ณ ตอนนี้ ผมว่าผลลัพธ์มหาศาลจากการทำให้กัญชาถูกกฎหมายมีผลในทางลบ รวมถึงส่งผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อคนไทยมากกว่า 

สำหรับ นโยบายปลดกัญชาพ้นจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งขณะนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเป็นผู้ผลักดันเรื่องดังกล่าว ขณะที่รัฐบาลปัจจุบันของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีแนวคิดนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง

'นักพี้เยอรมัน' เฮสนั่น!! รัฐบาลผ่านกฎหมายกัญชาเสรี 'ปลูก-เสพ' ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ชี้!! ปลอดภัยกว่าก๊งเหล้า

นักพี้ชาวเยอรมันหลายพันคนเฮสนั่น เมื่อรัฐบาลผ่านร่างกฎหมายกัญชาถูกกฎหมายอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา และได้มารวมตัวสูบกัญชาฉลองชัยกันอย่างเอร็ดอร่อยที่หน้าประตูบรันเดินบวร์ค สถานที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลิน

ตำรวจเบอร์ลินประเมินว่า มีผู้มาร่วมงานบริเวณหน้าประตูบรันเดินบวร์ก ราว 4,000 คน เพื่อมาสูบกัญชา ณ ใจกลางเมืองหลวงร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม 'Smoke-In' เพื่อฉลองชัยที่สามารถผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมายในเยอรมัน ซึ่งนอกจากจะนัดมาสูบกัญชาร่วมกันแล้ว ยังมีงานแสดงคอนเสิร์ต และการกล่าวปราศรัยของนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งด้วย

ในความเห็นของผู้ที่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้มองว่า การเสพกัญชา เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการดื่มสุราหลายเท่า โดยอ้างอิงจากข้อมูลทางสถิติของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราเกินขนาด หรือ คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการดื่มสุรา ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับจำนวนคนที่สูบกัญชา จึงมีผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยชูป้ายว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการดื่ม’ หากมีกัญชาเป็นตัวเลือกในวงปาร์ตี้ สันทนาการ ที่ดีกว่า

จากร่างกฎหมายใหม่นี้ ชาวเยอรมันมีสิทธิ์ครอบครองกัญชาสดได้ไม่เกิน 25 กรัม หรือในรูปกัญชาตากแห้งไม่เกิน 50 กรัมต่อคน และสามารถปลูกเองที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น แต่ต้องอยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะในเยอรมัน หรือ 18 ปีขึ้นไป  

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการเสพคือ ห้ามสูบบนทางเท้า และบริเวณใกล้โรงเรียน หรือ สนามเด็กเล่นในช่วงกลางวัน และยังห้ามสูบกัญชาในบริเวณสถานีรถไฟทั่วประเทศ เพื่อปกป้องผู้โดยสารคนอื่น โดยเฉพาะ เด็ก และเยาวชน ที่สัญจรโดยรถไฟ 

แต่ถึงแม้จะมีชาติตะวันตกอย่างเยอรมัน แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส และ หลายรัฐในสหรัฐอเมริกา ที่รับรองการสูบกัญชาอย่างถูกกฎหมาย แต่การใช้กัญชายังเป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่า อาจนำไปสู่การเสพสารเสพติดที่มีฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น อาทิ โคเคน หรือ เฮโรอีน หรือไม่ 

ด้าน ดร.สเตฟาน ทอนเนส หัวหน้าแผนกพิษวิทยาทางนิติเวชที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต กล่าวว่า จากข้อมูลของผู้ติดยาในเยอรมันพบว่า ผู้ที่ติดเฮโรอีน มักใช้เสพสารเสพติดชนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ที่เสพกัญชาจำนวนน้อยมากที่จะขยับขึ้นในเสพเฮโรอีน แม้จะมีความเชื่อมโยงระหว่างการเสพกัญชา ที่จะกระตุ้นความต้องการในการเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆได้ในอนาคต แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่สามารถระบุว่าเป็นสาเหตุโดยตรงของการติดสารเสพติด อย่างโคเคน หรือ เฮโรอีนได้

เช่นเดียวกันกับการสำรวจข้อมูผลกระทบของกัญชาต่อสุขภาพ และการทำลายสมอง หรือคำกล่าวอ้างที่ว่าการเลือกเสพกัญชา มีอันตรายน้อยกว่าการดื่มเหล้า ก็ยังไม่มีผลงานวิจัยมายืนยันได้อย่างชัดเจนถึงข้อสรุปเหล่านี้ เพราะทั้งสุรา และกัญชา ต่างมีสารที่เป็นอันตรายในตัวเอง และมีฤทธิ์ถึงตายได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับปริมาณการเสพ  

ดังนั้น รัฐบาลเยอรมันจึงยกให้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนบุคคล หากเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลือกที่จะเสพกัญชา ก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย หากสูบในพื้นที่ ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด แต่ถ้าเสพหนักจนไปก่ออาชญากรรม หรือ กลายเป็นผลเสียต่อร่างกายก็เป็นเรื่องของกรรมต่างวาระ ที่ผู้เสพต้องรับผิดชอบในทุกๆการกระทำของตนเอง 

เพราะฉะนั้น นักพี้ก็ต้องเสพอย่างมีสติ แต่เกรงว่าจะมีสติได้แค่มวนแรก มวนต่อ ๆ ไป สติสตังชักไม่รู้ว่าทิ้งไว้ตรงไหนแล้วนะซี 

'บีม พลังใบ' ประกาศเลิกกัญชาถาวร พร้อมเผยอุทาหรณ์ สมองรวน น้ำลายไหลไม่รู้ตัว 'จำเรื่องที่พูด-จับใจความไม่ได้'

เมื่อวานนี้ (23 เม.ย. 67) หลังสงกรานต์ หลายคนที่ติดตามเฟซบุ๊กของพิธีกรหนุ่ม ‘บีม ศรัณยู ประชากริช’ หรือ ‘บีม พลังใบ’ ออกมาโพสต์ข้อความดูดรามา ๆ ขึ้นรูปจอดำ จนล่าสุดเจ้าตัวก็ได้โพสต์ความในใจออกมาชัดเจนว่าจากนี้ ขอเลิกกัญชาถาวรแล้ว เพราะมีผลต่อการหลั่งสารเคมีในสมอง จนมีภาวะซึมเศร้า โดยบีมได้โพสต์ข้อความใจความว่า...

“I’ll be back Now I’m lost. Lead me the right pathways. I will just follow. (ฉันจะกลับมา ตอนนี้ฉันหลงทางแล้ว นำฉันไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ฉันจะทำตามเท่านั้น)

ผมเลิกกัญชาอย่างถาวรครับ เพราะสารเคมีในสมองผมหลั่งเพี้ยน ผมใช้กัญชาเพื่อความชิล ชิลกับทุกปัญหาจนปัญหาพอกหางหมู ผมใช้มันมากเกินไป บางทีผมสุขมาก(ล้นๆ) บางทีจมทุกข์(down) มันมากเกินคนปกติ อารมณ์สวิง บวกกับ ‘ภาวะโรคซึมเศร้า’ ทำให้ระบบประมวลผลในสมองผมรวนไปหมด พูดวนไปมา น้ำลายไหลไม่รู้ตัว จำเรื่องที่พูดไปไม่ได้เลย จับใจความไม่ได้

… ผมเขียนไว้เพื่ออุทาหรณ์ เพื่อป้องกันคนซ้ำรอยแบบผม… ไม่มีความสุขในชีวิตเลย

ขอบคุณช่า (ภรรยา) ที่มาดึงผมขึ้นจากหลุม หลุมที่ไม่ลึกมากแต่ผมลุกขึ้นเองไม่ไหว เห็นทางออกแต่มันทำไม่ได้ ผมจะหายขาดและมีสติในการใช้ชีวิตตลอดเวลาครับ จากคนเคยคม แต่วันนี้มันทู่ไปหมด I’ll be back.”

งานนี้มีแฟน ๆ เข้ามาให้กำลังใจ บีม ศรัณยู มากมาย และก็มีชาวเน็ตไม่น้อยเลยที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกับบีม ทั้งต้องพบจิตแพทย์ กำลังรักษา และรักษาจนหายเลยลาขาดกับกัญชา

'อนุทิน' โวย!! ถูกหักหลัง ทำกฎหมายกัญชาไม่ผ่าน ยัน!! ถูกดึงกลับบัญชียาเสพติด ไม่กระทบ 'ภท.'

(9 พ.ค. 67) ที่ จ.ภูเก็ต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี และกระทรวงสาธารณสุข เตรียมจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขต้องไปหาข้อมูลมา เพราะที่ผ่านมาการประกาศให้กัญชาเป็นยาเสพติดหรือพ้นจากการเป็นยาเสพติด เป็นการประกาศโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบยาเสพติดแห่งชาติชุดใหญ่ แต่ก่อนที่จะมาถึงตรงนั้น ก็มีคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานอยู่ ซึ่งตอนที่ปลดกัญชาก็มีความชัดเจนว่าเหตุใดถึงปลดได้ แต่ปัญหาของมันตอนนี้ คือ ‘กฎหมายไม่มี’ เราเคยเสนอกฎหมายเข้าไป ผ่านวาระแรกแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่ผ่านวาระสอง ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องของการเมืองไม่ใช่เรื่องของเหตุผล

ดังนั้น เราต้องยืนยันเจตนารมณ์​ต่อไปว่ามันพิสูจน์ได้ วิทยาศาสตร์ ไม่ใช้อารมณ์ใช้ความรู้สึก และนโยบายต่าง ๆ ก็ต้องมีข้อมูลมาสนับสนุน ตรงนี้ไม่กังวลและที่ผ่านมาก็อยู่ในนโยบายรัฐบาล ที่แถลงต่อรัฐสภาจึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการป้องกันและปราบยาเสพติดแห่งชาติ วันนี้ตนย้ายมากระทรวงมหาดไทยแล้ว แต่ก็เป็นคณะกรรมการด้วย เราก็ต้องให้ข้อมูลในส่วนของเรา ส่วนจากมติจะออกมาอย่างไร ก็เป็นไปตามกฏหมาย

เมื่อถามว่า ต้องมีการเยียวยาหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ตอนที่เราประกาศให้กัญชา ออกจากยาเสพติด นักโทษ 6-7 พันคน ได้รับการปล่อยตัวทันที บางทีเขารักษาตัว บางทีพวกเขาเป็นแพทย์ประจำบ้าน แพทย์แผนโบราณ ถูกตัดสินจำคุก เขาก็ได้รับการปล่อยตัว

“ส่วนตัวไม่ได้บอกว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ถ้าวันนี้มีข้อมูลใหม่มา กัญชาอันตรายเป็นยาเสพติดแน่นอน ถ้ามีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ผมต้องรับฟังและพิจารณา แต่ในปัจจุบันเราก็ต้องรอข้อมูลเหล่านั้นมาก่อน วันนี้ที่ยังปลูก 6 ต้นได้หรือพวกที่เอามาทำเป็นสินค้าเขาแค่จดแจ้งหรือทำรายงานว่า เขาจะเอาไปขาย วันนี้เราจะทำอย่างไรถ้าเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดจะต้องมีบทเฉพาะกาลคุ้มครองคนเหล่านี้หรือไม่ จะต้องมีการดูทุกอย่าง” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถามว่าเป็นเหมือนโครงการเรือธงของพรรคภูมิใจไทย จะกระทบอะไรหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ในขณะที่ประชาชนให้ความไว้วางใจ ให้เราเข้าไปกำกับกระทรวงสาธารณสุข เราก็เดินหน้าตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้ทุกอย่าง มีการปลดกัญชาจากยาเสพติดเรียบร้อย แต่พอมาถึงรัฐบาลนี้ พรรคภูมิใจไทย เสียงไม่พอที่จะเข้าไปกำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข เราต้องให้รัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้กำหนดนโยบาย แต่เราต้องให้ข้อมูลว่าเหตุใดกัญชาจึงมีประโยชน์มากกว่าโทษ เราให้ข้อมูลเข้าไปเต็มที่ ก็โหวตกันในที่ประชุม ผลออกมาเป็นอย่างไร ก็ต้องยอมรับ เราจะยืนยันไปโดยที่ไม่รู้ว่าเขามีข้อมูลอย่างไรก็คงไม่ได้ ตอนนี้เราไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่เราจะยืนยันในข้อมูลที่เรามี หากใครมีข้อมูลที่ดีกว่าก็มาหักล้าง

“ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อมูลตอนที่ทำให้ปรับจากยาเสพติด เรามีข้อมูลอย่างไรบ้างตรงนี้เป็นข้อมูลของผม เป็นเหตุผลที่เราเห็นว่าทำแล้วมีประโยชน์ทางการแพทย์ ขึ้นบัญชียาหลักของชาติ แต่ถ้าบอกเป็นยาเสพติด ก็ต้องมานั่งถามกันว่า จะเอาขึ้นเป็นบัญชียาได้หรือไม่ ตอนนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าข้อมูล” นายอนุทินระบุ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะกระทบฐานเสียงพรรคภูมิใจหรือไม่ เพราะเขาอาจจะเลือกพรรคเพราะนโยบายนี้ นายอนุทินกล่าวว่า วันนี้เสียงเราไม่พอที่จะเข้าไปกำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุขได้ แต่ตอนที่เรากำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข เราก็ทำทุกอย่างเช่นเดียวกับกฎหมายที่เราส่งเข้าสภา แต่เราก็ถูกหักหลัง คนที่รับโทษก็คือประชาชนไม่ใช่ พรรคภูมิใจไทย ตอนนี้ไม่ได้ดูกระทรวงสาธารณสุขแล้ว เราต้องให้เกียรติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบันที่จะต้องไปดำเนินการ

นายอนุทินยังกล่าวถึงร้านกัญชาที่ชาวต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของจำนวนมาก ว่า ต้องถูกจับ คนที่จะเปิดร้านกัญชาได้ต้องอยู่ภายใต้ประกาศของสาธารณสุข กฎระเบียบ มีหมดอยู่แล้วถ้าเราทำตามกฎระเบียบจะไม่มีปัญหา

‘อนุทิน’ ยัน!! พรรคร่วมฯ ไม่ขัดแย้ง ปม ‘กัญชา’ ยกคำนายกฯ “ทุกฝ่ายต้องทำเพื่อ ปชช.”

(10 พ.ค. 67) ที่ จ.ภูเก็ต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ทำให้กลุ่มที่สนับสนุนกัญชาออกมาคัดค้าน ทั้งที่สภาและจะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบด้วย ว่า คนกลุ่มนี้พยายามที่จะรักษาผลประโยชน์ให้พวกพ้อง เพราะลงทุนธุรกิจมากพอสมควร ถ้าการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ต้องให้โอกาสพวกเขาชี้แจงข้อมูลไว้ตัดสินใจ เป็นเรื่องปกติ

เมื่อถามว่า จะมีปัญหาหรือไม่ ที่มีกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วย นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องมีกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กลุ่มที่เห็นด้วยกับกัญชา ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีข้อมูล ทำการศึกษา และไปรวมกลุ่มกับประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ มาร่วมพัฒนากัญชาให้เป็นผลิตภัณฑ์ ที่มีมาตรฐาน ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่าย

เมื่อถามว่า จะถึงขั้นสร้างความขัดแย้งหรือไม่ นายอนุทิน ย้ำว่า ความขัดแย้งไม่ควรจะมี นโยบายกัญชาอยู่ในนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เน้นใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อสุขภาพ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในทางปฏิบัติก็อยู่ในกรอบมาตลอด ทุกอย่างต้องมีการควบคุมตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แล้วหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างมีขั้นตอน จะเปลี่ยนกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ต้องผ่านคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด และคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ เราต้องมีข้อมูลใหม่ ๆ 

“ตอนที่เราปลดกัญชาออกจากยาเสพติด นายสมศักดิ์กับตน อยู่ในกรรมการชุดนี้ มีมติในที่ประชุมเป็นเอกสาร ไม่ใช่มีมติเสียงข้างมาก-ข้างน้อย ตนก็ได้เรียนกับนายสมศักดิ์ไปว่า คงต้องรื้อรายงานการประชุม และมาดูว่าทำไมวันนั้นตัวท่านเอง ตน และกรรมการอีกหลายคน ถอดกัญชาออกจากยาเสพติด"

เมื่อถามว่า นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ลักษณะที่ว่าอาจจะยังมีความเห็นไม่ตรงกัน นายอนุทิน เผยว่า นั่นคือพาดหัวข่าว แต่ในเนื้อข่าวไม่ใช่ ได้คุยกับนายสมศักดิ์แล้ว มีหลายเรื่องที่เห็นตรงกันและไม่ตรงกัน ไม่ได้หมายความว่าขัดแย้งกัน ท่านเข้ามาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขได้สัปดาห์เดียว เรื่องกัญชาตนทำมา 4 ปี ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว 

“มั่นใจว่าวินาทีนี้ ตนน่าจะมีข้อมูลที่ต้องให้ นายสมศักดิ์ นำไปประกอบพิจารณา ซึ่งต้องเป็นข้อมูลที่ดีและมีประโยชน์ ไม่ได้ทำด้วยทิฐิ นโยบายของพรรคภูมิใจไทยใครจะมายุ่งเกี่ยวไม่ได้ก็ไม่ใช่ ต้องดูประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก" 

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า ทำไมคิดว่าเหตุการณ์นี้จะกระทบกับพรรคภูมิใจไทย เพราะเรายึดประโยชน์ของประชาชน นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกพรรคการเมืองต้องมองประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก พรรคการเมืองมีนายคือประชาชน นายกฯ พูดไม่ผิด เราต้องมองประโยชน์ประชาชน แต่เรื่องนโยบายของแต่ละพรรค เราอยู่รัฐบาลเดียวกัน ต้องพยายามผลักดันเกื้อกูลกันให้มากที่สุด ให้นโยบายของแต่ละพรรคไปถึงฝั่งฝัน ได้ก็จะวินวินกับทุกคน พรรคภูมิใจไทย ก็มีนโยบายกัญชา ตอนที่มาร่วมรัฐบาลถึงได้ถูกบรรจุไว้ในนั้น หลายคนมีความเห็นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกันแล้ว ต้องเคารพนโยบายของแต่ละพรรค พรรคภูมิใจไทยก็ทำมาตลอด

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะสร้างความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีหรอกครับ เป็นเรื่องความคิดฐานข้อมูลไม่เท่ากัน ใครมีข้อมูลมากกว่าต้องทำให้เกิดความเข้าใจ จะนำกัญชาไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ ถ้าอะไรที่เปลี่ยนแปลงจากประกาศปัจจุบัน ต้องเข้าคณะกรรมการยาเสพติดแห่งชาติ ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน 

“หากไปถึงจุดนั้น ตนในฐานะที่เป็นหนึ่งในกรรมการ หากฟังข้อมูลในที่ประชุมนำเสนอไม่ครบ ก็อาจจะต้องชี้แจง แต่ถ้าไปถึงขั้นลงคะแนนเสียง ทุกฝ่ายต้องยอมรับในมติของคณะกรรมการ พรรคภูมิใจไทยพูดได้ชัดเจนว่า เราจะยอมรับในมติของคณะกรรมการ แต่ขอให้เราได้ทำงานของเราก่อน" 

‘นิด้าโพล’ ชี้ ปชช. หนุนกัญชาเป็น ‘ยาเสพติด’ ย้ำ!! ควรใช้เพื่อ ‘การแพทย์-รักษาโรค’ เท่านั้น

(19 พ.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กัญชาเป็นยาเสพติด?” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดของรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 53.74 ระบุว่า เป็นยาเสพติดแต่ก็มีประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 33.59 ระบุว่า เป็นยาเสพติดและไม่มีประโยชน์ใด ๆ ร้อยละ 11.60 ระบุว่า ไม่เป็นยาเสพติด และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการกำหนดนโยบายกัญชาของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.58 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาโรค รองลงมา ร้อยละ 19.39 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรออกนโยบายใด ๆ เพื่อสนับสนุนกัญชา/ผลิตภัณฑ์กัญชา ร้อยละ 10.53 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนการสร้างผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมาย ร้อยละ 7.40 ระบุว่า เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 3.21 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนความบันเทิงในสังคม เช่น การเสพกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย การมีบุหรี่กัญชา เป็นต้น และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.38 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.27 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 14.50 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 8.93 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาหรือนักธุรกิจกัญชา หากรัฐบาลนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.95 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ใดเลย รองลงมา ร้อยละ 35.03 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาและนักธุรกิจกัญชา ร้อยละ 10.08 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาเท่านั้น ร้อยละ 2.06 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับนักธุรกิจกัญชาเท่านั้น และร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชาของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 68.93 ระบุว่า ไม่เคยมีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับกัญชา ขณะที่ ร้อยละ 31.07 ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา เมื่อพิจารณาตัวอย่างที่ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา (จำนวน 407 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.58 เคยมีประสบการณ์การใช้กัญชาเพื่อประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม รองลงมา ร้อยละ 34.64 ระบุว่า การเสพหรือสูบกัญชา ร้อยละ 22.36 ระบุว่า การใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ร้อยละ 15.97 ระบุว่า การปลูกกัญชา และร้อยละ 0.98 ระบุว่า การแปรรูปผลิตภัณฑ์กัญชาในเชิงพาณิชย์ และการค้ากัญชา ในสัดส่วนที่เท่ากัน

‘กลุ่มสมาพันธ์กัญชาฯ’ ค้าน!! ดึง ‘กัญชา’ กลับเป็นยาเสพติด ชี้!! มีการลงทุนแล้วจำนวนมาก อาจกระทบถึงการท่องเที่ยว

(21 พ.ค. 67) ที่พรรคเพื่อไทย นายชัชปัฐวี อัฏฐพรเมธา ตัวแทนสมาพันธ์กัญชาเพื่อประชาชน พร้อมผู้ประกอบการร้านค้า และผู้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับกัญชา เดินทางมายื่นหนังสือคัดค้าน ‘กัญชา ไม่ใช่ยาเสพติดประเภท 5’ โดยมี น.ส.กิตธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย พร้อม สส.พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนรับฟังปัญหาและข้อเรียกร้องต่าง ๆ พร้อมรับหนังสือคัดค้านการออกกฎหมายให้กัญชาเป็นยาเสพติด

ตัวแทนสมาพันธ์กัญชาเพื่อประชาชน แสดงความคิดเห็นและผลกระทบ ว่า ขณะนี้มีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบอาชีพตามที่กฎหมายอนุญาตประมาณกว่า 1 หมื่นร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละร้านมีการลงทุนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้รวมแล้วนับหมื่นล้านบาท และแต่ละร้านค้ามีการจ้างงาน ยังมีงานที่ผลิตและแปรรูป ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกมากมาย รวม ๆ แล้วมีคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ประมาณ 6 หมื่นคน ดังนั้นหากรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด ก็จะเกิดผลกระทบ มีคนตกงานและส่งผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จึงได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือเรียกร้องและคัดค้านการพิจารณาให้กัญชาเป็นยาเสพติด

น.ส.กิตธัญญา วาจาดี สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในนามของ สส.พรรคเพื่อไทย ขอรับหนังสือข้อเรียกร้องนี้ไว้ เพื่อนำเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อไทยพิจารณาว่าจะแก้ไขสนับสนุนข้อเรียกร้องนี้ได้อย่างไรต่อไป เราจะพยายามช่วยกันแก้ไขให้อยู่ตรงกลางและเป็นประโยชน์ต่อประเทศให้ได้มากที่สุด

ด้านนายชัชปัฐวี กล่าวว่า จากที่ได้เข้าไปพบและพูดคุยชี้แจงทำความเข้าใจกับ สส.พรรคเพื่อไทย ถึงกรณีประชาชนไม่เห็นด้วยที่จะนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด เพราะถ้านำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดอีก จะทำให้ประเทศไทยตามหลังอีกหลายประเทศอย่างแน่นอน ที่สำคัญปัจจุบันมีผู้ปลูก ผู้ใช้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมกัญชาค่อนข้างมาก หากนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แม้กระทั่งผู้ปลูกใช้ตามบ้าน หรือในเรื่องผลประโยชน์ของทางการแพทย์ และคนที่ใช้เพื่อรักษาตนเองก็ไม่สามารถปลูกได้ ที่สำคัญจะทำให้ธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกัญชาไม่สามารถดำเนินการต่อได้

“จากที่ได้พูดคุยเบื้องต้นกับ สส.พรรคเพื่อไทย ก็มีการตอบรับที่ดีว่าจะนำข้อเรียกร้องคัดค้านการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดไปพิจารณาในที่ประชุมของพรรค เพื่อหาทางออกให้ดีที่สุด ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอย่างไร หากพรรคเพื่อไทยยังไม่ดำเนินการใดๆ เราก็จะมาชุมนุมใหญ่ต่อไป ซึ่งวางไทม์ไลน์ไว้ก่อนถึงวันที่ 9 มิ.ย.นี้ เพราะมีคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับกัญชามีค่อนข้างมาก และมีผู้ป่วยที่ต้องอาศัยกัญชาในการรักษาตนเองจะได้รับผลกระทบด้วย” นายชัชปัฐวี กล่าว

นายชัชปัฐวี กล่าวว่า หลังจากยื่นข้อเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยแล้ว จะเดินทางไปประชุมร่วมกับพรรคภูมิใจไทย และยื่นหนังสือคัดค้านกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดประเภท 5 ต่อไปด้วย

‘หมอเดชา’ สูญที่ดิน 6 ไร่ ดับฝัน!! รพ.ทางเลือก ถาม ‘แอ๊ด คาราบาว’ เงินบริจาค 5 ล้าน อยู่ไหน

(23 มี.ค. 68)  เฟซบุ๊ก Deycha Siripatra ของ อาจารย์เดชา ศิริภัทร หมอพื้นบ้านจังหวัดสุพรรณบุรี ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เจ้าของสูตรน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอเดชา) เพื่อใช้ทางการแพทย์ โพสต์ข้อความระบุว่า เมื่อวันที่ 21 มี.ค. ผมและตัวแทนผู้บริจาคฯ ได้ไปทำพิธีอำลา ที่ดิน 6 ไร่ ที่ดินผืนนี้ (มีรั้ว ระบบน้ำ อาคารสำนักงาน) ใช้เงินบริจาค 5 ล้านบาท แต่ถูกยืดครองไปโดยใช้กระบวนการกฏหมาย และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น จนกลายเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล ผมทำได้เพียงแจ้งความจริงให้ผู้บริจาค ผู้ป่วย และผู้รอคอยโรงพยาบาลฯ ได้รับทราบ และขอโทษที่มีส่วนทำให้ผู้บริจาคคาดหวัง และเชื่อมั่นว่าเงินบริจาคจะใช้เป็นประโยชน์ แต่กลับถูกคนกลุ่มหนึ่งยักย้ายเอาสิ่งที่เกิดจากเงินบริจาคไปเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล จึงต้องยอมรับถึงความไม่รู้เท่าทัน ความไว้วางใจนำคนกลุ่มนี้มาร่วมงานด้วยตั้งแต่แรก

วันนี้ ผมขอแสดงความเสียใจ และขอโทษเป็นอย่างยิ่ง ต่อคุณ สมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอเชี่ยน ซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้บริจาคเงินร่วมสร้างโรงพยาบาลทางเลือก ที่อำเภอด่านช้าง จำนวนเงิน 5 ล้านบาท คุณรสนา โตสิตระกูล ได้แนะนำให้คุณสมศักดิ์ฯ บริจาคในครั้งนี้ และร่วมกันถ่ายภาพไว้ ในภาพจะเห็นคุณ รสนาฯ ผม คุณสมศักดิ์ฯ และคุณแอ๊ดฯ (นายยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว) ยืนอยู่ด้วยกัน โดยคุณสมศักดิ์ฯ ได้ให้สัมภาษณ์ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ

ที่ผมต้องแสดงความเสียใจ และขอโทษคุณสมศักดิ์ฯ (และคุณรสนาฯ) เป็นอย่างยิ่ง เพราะเงินบริจาคของคุณสมศักดิ์ฯ 5 ล้านบาทนั้น ผมนำมาใช้ตามความประสงค์ฯ ไม่ได้ เนื่องจากเงินบริจาคนี้ คุณสมศักดิ์ฯ ได้มอบให้คุณแอ๊ดฯ โดยตรง ผมไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด อาจจะไม่ได้นำเข้าบัญชีธนาคารฯ ที่ผมเปิดร่วมกับคุณแอ๊ดฯ ก็ได้ (ยังตรวจสอบไม่ได้) หรือนำเข้าบัญชีธนาคารฯ นั้นจริง ก็ถูกนำมาใช้ในที่ดิน 6 ไร่ (ที่ถูกยึดครอง) ไปหมดแล้ว เงินบริจาคที่คุณสมศักดิ์ฯ ตั้งใจมอบให้ใช้สร้างโรงพยาบาลทางเลือกจึงไม่เกิดขึ้นจริง

ผมคงไม่ทราบได้เลยว่า เงินบริจาค 5 ล้านบาทของคุณสมศักดิ์ฯ นั้น ไปอยู่ที่ใหนกันแน่ ผู้ที่จะให้คำตอบได้ คือ คุณแอ๊ด คาราบาว ผู้รับมอบเงินก้อนนี้ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งผมพยายามติดต่ออย่างไรก็ไม่สำเร็จ (เช่น ขอให้มาปิดบัญชีธนาคารฯ ที่เปิดร่วมกัน) ดังนั้น คุณสมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ในฐานะผู้บริจาคเงิน 5 ล้านบาทนี้ จึงควรเป็นผู้ถาม หรือ คุณรสนา โตสิตระกูล ผู้แนะนำให้คุณสมศักดิ์ฯ บริจาคเงินครั้งนี้ ก็มีสิทธิ์เป็นผู้ถาม เชื่อว่าผู้บริจาครายอื่นๆ อีกนับหมื่นราย คงอยากทราบคำตอบนี้ ... จากคุณ แอ็ดฯ ด้วย"

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2567 อาจารย์เดชาโพสต์ข้อความพาดพิงถึงนายยืนยง โอภากุล หรือแอ๊ด คาราบาว นักร้องเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง ว่า ขาดการติดต่อจากแอ๊ด คาราบาว หลังจากมีข่าวว่านายยืนยงไม่สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ และไม่สนับสนุนการสร้างโรงพยาบาลทางเลือก ที่ทำร่วมกันตั้งแต่ปี 2562 โดยยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยและโปร่งใสอยู่อีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องบัญชีธนาคารที่เปิดร่วมกันกับอาจารย์เดชาเพื่อรับเงินบริจาค (ในลักษณะบัญชี "และ") โดยได้เรียกร้องให้นายยืนยงไปปิดบัญชี และนำเงินทั้งหมดมอบให้คณะกรรมการฯ แต่ถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top