Saturday, 7 June 2025
กระทรวงศึกษาธิการ

นายกฯ เปิดงาน!! 'วันเด็ก' ที่กระทรวงศึกษาฯ แนะน้องๆ ต้องเรียนรู้ เพื่อปรับตัวสู่อนาคต

(11 ม.ค. 68) เมื่อเวลา 08.30 น. ที่กระทรวงศึกษาธิการ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด ‘เรียนดี มีความสุข Smart Kids ,Happy Future’ โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และคณะผู้บริหารเข้าร่วม

เมื่อมาถึงตัวแทนเด็กและเยาวชนมอบพวงมาลัยให้นายกฯ จากนั้นนายกฯสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ก่อนเดินมาที่เวทีจัดงาน โดยนายกฯมอบของขวัญให้กับเด็กซึ่งเป็นตัวแทนจากทั่วประเทศ ของขวัญเช่น ตุ๊กตาหมี ลูกฟุตบอล

จากนั้นนายกฯ กล่าวเปิดงานว่า วันนี้ถือว่าเป็นปีแรกของตนในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานวันเด็กที่กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก รมว.ศึกษาธิการ เตรียมงานไว้ดีมาก และเมื่อสักครู่ได้เห็นน้อง ๆ มาแสดงบนเวที เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ รู้สึกว่าน่ารักมาก เก่งมากจำบทได้และสามารถพูดได้ ตนประทับใจ ถือเป็นการเริ่มวันเด็กที่สดชื่นและสดใส ลีลาการเต้น สไตล์การเต้นต้องผ่านการฝึกฝน ความชอบ ความตั้งใจ และความสามัคคีในหมู่คณะ รวมถึงต้องอาศัยทุกอย่างให้โชว์ออกมาได้ดี และน่าประทับใจ ซึ่งพี่ขอชื่นชมและขอสนับสนุนให้น้องๆไปทางด้านนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะมันไม่ใช่การที่เราซ้อมวันสองวันแล้วได้เลยน้อง ๆ ต้องซ้อมเป็นเดือนหรือเป็นปีไปชิงแชมป์โลก นำชื่อเสียงกลับมาให้กับประเทศได้มากขนาดนี้ ก็ขอชื่นชมจากใจจริง

นายกฯ กล่าวต่อว่า เรามีครอบครัวมีพ่อ แม่ พี่ น้อง เราเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ สมัยใหม่ได้เรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง โดยมีผู้ใหญ่คอยอยู่ข้าง ๆ คอยแนะนำและบอกเล่าประสบการณ์ที่ผู้ใหญ่เจอมาเพื่อให้เด็กมีความรู้ มีข้อมูลที่มากพอ พร้อมที่จะตัดสินใจ และทำไมคำขวัญปีนี้ถึงพูดว่า ทุกโอกาส คือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง

ซึ่งทุกโอกาส คือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตเราสามารถเรียนรู้ได้ทุกรุ่น ทุกวัยไม่จำเป็นว่าผู้ใหญ่โตแล้วไม่ต้องเรียนรู้ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ ทุกคนหันหน้าเข้าหากันเปิดใจ พร้อมเรียนรู้พร้อมรับฟังซึ่งกันและกัน นั่นคือโอกาสแห่งการเรียนรู้ นี่คือที่มาของคำขวัญวันเด็กในปีนี้ และแน่นอนว่าอยากให้น้อง ๆ ได้รู้ว่าโลกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เทคโนโลยีเข้ามามาก แต่ทุกคนต้องพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลก และยุคสมัยให้เรารู้คุณค่าของตัวเรา พร้อมที่จะปรับตัวสู่อนาคต

“ในโอกาสวันเด็กปีนี้ ขอให้น้องๆทุกคนได้มีโอกาสในการเรียนรู้เยอะๆ วันนี้กระทรวงศึกษาธิการ สร้างสิ่งน่าเรียนรู้ไว้รอบตัวเราและสร้างสิ่งที่สนุก ต้องขอขอบคุณทางกระทรวงศึกษาธิการมาก วันนี้น้องๆเรียนรู้ให้เต็มที่มีอนาคตที่สดใส เพื่อพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต” นายกฯ กล่าว

จากนั้นนายกฯเดินทักทายเด็ก ๆ เยาวชน และเยี่ยมชมบูธภาครัฐและเอกชนภายในกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้เยี่ยมบูธของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ถ่ายภาพเซลฟี่กับเด็ก ๆ พร้อมแจกลายเซ็นข้อความว่า “เป็นกำลังใจให้น้องต้องตา” นายกฯยังได้อุ้มเด็กน้อย ซึ่งเด็กได้ร้องไห้หลังนายกฯอุ้ม จากนั้นนายกฯเดินมายังซุ้มของคิงพาวเวอร์เพื่อแจกลูกบอลให้กับเด็ก ๆ และได้ถ่ายภาพร่วมกับลูกเสือเนตรนารี

ทั้งนี้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีเด็กๆ และผู้ปกครองสนใจขอถ่ายภาพร่วมกับนายกฯเป็นจำนวนมาก

16 มกราคม ของทุกปี วันครูแห่งชาติ กับคำขวัญประจำปี 68 'ครูจุดประกายความฝัน ผลักดันให้กล้าคิด สร้างโอกาสในชีวิตให้เด็กไทย'

วันครูมีความสำคัญเพื่อให้นักเรียนได้ระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่เป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์ของชาติ ซึ่งได้อบรมสั่งสอนเรามาตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้เราเติบโตขึ้นเป็นคนดีและมีความรู้ ดังนั้น ครูจึงเป็นบุคคลสำคัญในวงการการศึกษาทั้งด้านวิชาการและประสบการณ์ และถือเป็นอาชีพที่เต็มไปด้วยความเสียสละเพื่อส่วนรวม

การกำหนดวันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็นวันครูมีที่มาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในปี พ.ศ. 2488 ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ทำให้มีการกำหนดให้วันที่ 16 มกราคมเป็นวันครูตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ในวันนี้จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อระลึกถึงพระคุณของครูอาจารย์

สำหรับคำขวัญวันครูในประจำปี 2568 นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้มอบคำขวัญไว้ว่า “ครูจุดประกายความฝัน ผลักดันให้กล้าคิด สร้างโอกาสในชีวิตให้เด็กไทย”

‘รมว.ศธ. เพิ่มพูน’ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้น้องนักเรียนไทย!! ผู้ชนะโอลิมปิควิชาการ

(16 ก.พ. 68) พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่นักเรียนผู้แทนประเทศไทย ที่เข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ ภายใต้โครงการ ASMOPSS Thailand เพื่อไปแข่งขันต่อระดับนานาชาติใน โครงการ Asian Science & Mathematics Olympiad for Primary and Secondary School (ASMOPSS) รวมทั้งผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอน ณ หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ

รมว.ศธ. กล่าวว่า “นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ เรียนดี มีความสุข มีเป้าหมายการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ และการศึกษาเพื่อความมั่นคงของชีวิต การส่งเสริมให้นักเรียนมีความเป็นเลิศด้านวิชาการ มีศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จนสามารถร่วมการแข่งขันและได้รับการรางวัลการันตีในระดับนานาชาตินั้น แสดงว่านักเรียนแต่ละคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจพยายามฝึกฝนเรียนรู้และมีความสุขกับสิ่งที่ทำ และยังได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากผู้ปกครอง ครูผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน สิ่งที่อยากฝากให้ทุกคนนำไปปรับใช้นั่นคือ ความฉลาดรู้ ฉลาดคิด และฉลาดทำ”

นางสาวพรพัชร แผลงเดช ประธานโครงการ ASMOPSS THAILAND กล่าวว่า “ถือเป็นปีที่เราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะนักเรียนผู้แทนที่เข้าแข่งขันได้รับรางวัลกลับมาให้คนไทยชื่นชมทุกคน รู้สึกภูมิใจมากเพราะเราคัดเลือกกันอย่างเข้มข้นเพื่อให้ได้นักเรียนที่มีความสามารถมากที่สุดมาเป็นตัวแทนประเทศไทย และนอกจากนี้ทาง บริษัท ไมราห์ อินเตอร์ กรุ๊ป ได้รับสิทธิ์และความไว้วางใจในการจัดสอบแข่งขันระดับนานาชาติในปีนี้หลายรายการอีกด้วย

นายธนากร แผลงเดช นายกสมาคมผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนนอกระบบ กล่าวถึงการสนับสนุนและผลักดันโรงเรียนเอกชนนอกระบบว่า “เราพร้อมที่จะสนับสนุน ผลักดันทั้งโรงเรียนกวดวิชา สอนภาษา ดนตรี กีฬา เสริมทักษะชีวิต บริบาล และโรงเรียนสอนอาชีพ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ ศธ. เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเยาวชนของชาติให้มีคุณภาพ ตลอดจนส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทยทุกช่วงวัยและพร้อมที่จะเติบโตไปเป็นพลังที่สร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับสังคมต่อไป”

สำหรับโครงการ ASMOPSS THAILAND เป็นความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกวดวิชาเอซายน์ และ บริษัท ไมราห์ อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ได้รับสิทธิ์ให้จัดการแข่งขันเพื่อคัดเลือกนักเรียน ผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ระดับนานาชาติ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา

และยังเป็นการสนับสนุนเวทีให้เด็กไทยแสดงความสามารถด้านวิชาการ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สะท้อนความสำเร็จของเด็กไทยใน Gen นี้ เน้นทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นฐาน โดยมีประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม ทาจิกิสถาน กัมพูชา ปากีสถานชาอุดิอาระเบีย และเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ให้ความร่วมมือ

ทั้งนี้ มีนักเรียนผู้แทนจากประเทศไทยได้รับรางวัลทั้งหมด 36 รางวัล แบ่งเป็น รางวัลประเภทบุคคล 28 รางวัล (10 เหรียญทอง, 12 เหรียญเงิน, 6 เหรียญทองแดง) และ รางวัลประเภททีม 8 รางวัล (รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 1รางวัล , รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จำนวน 4 รางวัล , รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จำนวน 3 รางวัล) โดยมีนักเรียนจากทั่วประเทศผ่านการคัดเลือกจากโครงการ ASMOPSS THAILAND เข้าร่วมแข่งขัน ASMOPSS 14 จำนวน 28 คน จากผู้เข้าแข่งขันประเภทบุคคลซึ่งเป็นผู้แทนจากประเทศอื่นทั้งหมด 136 คน และประเภท ทีมทั้งหมด 37 ทีม จาก 10 ประเทศ

นอกจากนี้ภายในงานยังได้รับความร่วมมือจากสถานศึกษาเอกชนนอกระบบ เปิดบูธให้ความรู้และแนะนำหลักสูตรต่างๆเพื่อเป็นทางเลือกในการศึกษาเพิ่มเติม และสร้างพลังสนับสนุนเยาวชนไทยใส่ใจการศึกษา อาทิ บูธ Coaching English การใช้ Smart Learning App สอนภาษาอังกฤษ, บูธ Talent Detective โปรแกรมค้นหาตัวตนจากลายนิ้วมือด้วยเทคโนโลยีสุดทันสมัย, บูธ JCS แนะนำการเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่อทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น และบูธสมาคมผู้บริหารสถานศึกษาเอกขนนอกระบบ (APANE) เป็นต้นการแข่งขันวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ASMOPSS (แอสมอพส์) จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยโครงการ ASMOPSS THAILAND เป็นผู้จัดสอบเพื่อคัดเลือกนักเรียน จัดสอบรอบแรก (รอบประเทศ) ในเดือนสิงหาคม ส่วนรอบสอง (รอบคัดเลือกผู้แทนประเทศ) ช่วงต้นเดือนตุลาคม จะคัดเลือกนักเรียนที่ผ่านเข้ารอบตามเกณฑ์มาตรฐานระดับนานาชาติของ ASMOPSS เท่านั้น เพื่อคัดเลือกเป็นผู้แทนของประเทศไทย

‘ทรัมป์’ ลงนาม ปูทางยุบกระทรวงศึกษาฯ ฝ่ายค้านเตือนเตรียมรับผลกระทบที่ร้ายแรง

(21 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหารที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของประเทศไปตลอดกาล โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การยุบกระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักของรัฐบาลกลาง

คำสั่งดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คำสั่งปรับปรุงผลลัพธ์ทางการศึกษา ด้วยการส่งเสริมผู้ปกครอง รัฐ และชุมชน” โดยทรัมป์ย้ำว่า การปิดกระทรวงศึกษาธิการเป็น “สิ่งที่ถูกต้อง” และรัฐบาลจะดำเนินการให้เร็วที่สุด

ภายใต้คำสั่งนี้ รัฐบาลกลางจะ ลดบทบาทของตนในด้านการศึกษา และ กระจายอำนาจ ไปยังระดับรัฐและท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งทรัมป์เชื่อว่า รัฐและผู้ปกครองควรเป็นผู้กำหนดแนวทางการศึกษาเอง มากกว่าถูกกำกับโดยรัฐบาลกลาง

“เราต้องให้พ่อแม่ ชุมชน และรัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กๆ ไม่ใช่ข้าราชการในวอชิงตัน” ทรัมป์กล่าวระหว่างการลงนาม

แผนการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มองว่า กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ มีบทบาทมากเกินไปและไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการเรียนการสอน 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามรวมถึงพรรคเดโมแครต และองค์กรด้านการศึกษาออกมาคัดค้านอย่างหนัก โดยเตือนว่า การยุบกระทรวงอาจส่งผลให้การศึกษาขาดมาตรฐานและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา

สหพันธ์ครูแห่งอเมริกาออกแถลงการณ์ว่า “ไม่มีใครชอบระบบราชการ และทุกคนก็เห็นด้วยกับประสิทธิภาพที่มากขึ้น ดังนั้นเรามาหาวิธีการทำให้สำเร็จกันดีกว่า แต่อย่าใช้การ 'ทำสงครามกับคนตื่นรู้' เพื่อโจมตีเด็กที่อาศัยอยู่ในความยากจนและเด็กพิการ”

เบ็ตซี่ เดวอส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดการกระจายอำนาจทางการศึกษา กล่าวว่าการยุบกระทรวงเป็น 'ก้าวที่กล้าหาญ' ที่จะคืนอำนาจให้กับประชาชน ขณะที่นักวิจารณ์มองว่า อาจทำให้โครงการช่วยเหลือนักเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสได้รับผลกระทบ

แม้ว่าคำสั่งบริหารฉบับนี้จะเป็นก้าวแรกสู่การปิดกระทรวงศึกษาธิการ แต่การดำเนินการจริงจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'สภาคองเกรส' ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อแผนของทรัมป์

ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปิดกระทรวง แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยืนยันว่าจะผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางเสียงถกเถียงที่ร้อนแรงในวงการการศึกษาและการเมืองของสหรัฐฯ

4 มิถุนายน พ.ศ. 2461 รัชกาลที่ 6 วางรากฐานโรงเรียนเอกชน ตรากฎหมายควบคุมคุณภาพการศึกษา

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา ‘พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์’ พุทธศักราช 2461 ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่ควบคุมดูแลการจัดตั้งและดำเนินงานของโรงเรียนเอกชน ซึ่งในขณะนั้นเริ่มมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

พระราชบัญญัติดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อ ควบคุมมาตรฐานการศึกษานอกภาครัฐ โดยกำหนดให้โรงเรียนราษฎร์ต้องขออนุญาตจัดตั้งจากกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) และต้องดำเนินการภายใต้หลักสูตรและข้อบังคับที่ทางราชการกำหนด เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ

นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติของครู ผู้บริหาร และการตรวจสอบจากทางราชการ ตลอดจนบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน จึงนับว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการจัดระบบการศึกษาเอกชนให้เข้าสู่ระเบียบแบบแผนเดียวกับการศึกษาในภาครัฐ

พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ฉบับนี้ ได้กลายเป็นรากฐานของการพัฒนาโรงเรียนเอกชนในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน และสะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัชกาลที่ 6 ที่ทรงตระหนักถึงบทบาทของการศึกษาเอกชนในการเสริมสร้างความรู้และพัฒนาประเทศในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top