Saturday, 7 June 2025
กระทรวงศึกษาธิการ

‘ครม.’ ไฟเขียว!! อนุมัติงบ 2,739 ลบ. จ้าง ‘ภารโรง’ เข้าเวรแทนครู หวังแบ่งเบาภาระ ให้ครูได้โฟกัสการเรียนการสอนอย่างเต็มที่

(26 มี.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณวงเงิน 2,739.96 ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ เพื่อจ้างภารโรงเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณปี 2568 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระครู ซึ่งไม่ใช่ทำหน้าที่เฉพาะการอยู่เวรยาม แต่ต้องทำหน้าที่ดูแลโรงเรียนในส่วนอื่น ๆ ด้วย เพื่อที่ครูจะได้โฟกัสการทำหน้าที่การเรียนการสอนเท่านั้น

ทั้งนี้ การเสนอของบประมาณดังกล่าวของกระทรวงศึกษาการ สืบเนื่องจากกรณีครูสาวถูกบุกทำร้ายในโรงเรียนขณะอยู่เวร ทำให้เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ครม.มีมติยกเลิกครูเวร ซึ่งการประชุมครม.ในวันนี้ (26 มี.ค.) กระทรวงศึกษาธิการได้ขออนุมัติงบประมาณในการจ้างภารโรง เป็นเวลา 3 ปี คือ ปี 2568 - 2570 แต่ ครม.อนุมัติเฉพาะปี 2568 ก่อน ส่วนปี 2569 และ 2570 ครม.มอบหมายให้กระทรวงศึกษา ไปหาวิธีการทางเทคโนโลยีทดแทนเพื่อลดการจ้างภารโรงและเพื่อประหยัดงบประมาณ

สวนนงนุชพัทยา ต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดการประชุมประจำปี “สพฐ. โปร่งใส ร่วมใจต้านทุจริต” ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ (NICE)

วันนี้สวนนงนุชพัทยาโดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ  และบุคลากรที่เข้ามาจัดประชุมอบรม บุคลากร สังกัด สพฐ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โครงการ “สพฐ. โปร่งใส ร่วมใจต้านทุจริต” จำนวน 1,050 ท่าน ระหว่างวันที่ 19-20 เมษายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาตินงนุชพัทยา(NICE)   สวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี  

หลังพิธีเปิดการอบรม ทางคณะร่วมปลูกต้นไม้ ที่สวนรุกขชาติ บริเวณเขาบันไดกฤษ ซึ่งเป็นโครงการรวบรวมพันธุ์ไม้และปลูกไม้ยืนต้นชนิดต่างๆที่มีมูลค่าและหายากจากทั่วทุกมุมโลกมาปลูกไว้ ต้นไม้ที่นำมาปลูกในวันนี้คือต้นไทรนิโครธ และการอนุรักษ์พันธุ์ไม้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทางสวนนงนุชพัทยาดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นได้นำท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคณะเยี่ยมชมสวนสวยมากกว่า 50 สวน บนพื้นที่ 1,700 ไร่ โดยเฉพาะศูนย์เรียนรู้ในสวนนงนุชพัทยาเด็กจะได้สัมผัสแหล่งเรียนรู้ในเรื่องต้นไม้ เรื่องสัตว์ วัฒนธรรม ศาสนา และอาหารไทย จะทำให้ในอนาคตเด็กๆจะรู้สึกชอบสิ่งต่าง ๆเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว จึงเป็นสถานที่เหมาะกับเด็ก นักเรียน และนักท่องเที่ยวทั่วไป

‘กระทรวงศึกษาฯ’ จัดโครงการ ‘อาชีวะล้างแอร์’ ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ประหยัดค่าไฟ ลดภาระค่าใช้จ่ายของ ปชช.

(11 พ.ค.67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ดำเนินโครงการอาชีวะล้างแอร์ เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินกิจกรรมล้างแอร์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงฤดูร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และประหยัดพลังงานไฟฟ้าของประเทศ

นายคารม กล่าวว่า โครงการดังกล่าว มีนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ออกให้บริการในพื้นที่สาธารณะ เช่น วัด โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ต่าง ๆ ที่ประชาชนขอรับบริการ พร้อมให้ข้อมูลความรู้พื้นฐาน แนะนำการดูแล บำรุงรักษา 

“ขอเชิญชวนประชาชนลงทะเบียนใช้บริการล้างแอร์ ในกิจกรรมอาชีวะคลายร้อนทั่วไทย ร่วมใจล้างแอร์ฟรี สามารถลงทะเบียนล้างแอร์ฟรีได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 2567 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา www.vec.go.th หรือทางFacebook ประชาสัมพันธ์สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา” นายคารม กล่าว

‘จีน’ ผุดโครงการส่งเสริม ‘สุขภาพจิต’ นักเรียนทั่วประเทศ เล็งใส่ใจเด็กที่ถูกทิ้งตามลำพัง เหตุผู้ปกครองต้องไปทำงาน

(14 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หนังสือเวียนจากกระทรวงศึกษาธิการของจีน เปิดเผยการดำเนินโครงการรณรงค์ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้และการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตของนักเรียน โดยจะจัดต่อเนื่องตลอดเดือนพฤษภาคม และเป็นโครงการระยะหนึ่งเดือนโครงการแรกของจีนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้

หนังสือเวียนกำหนดให้หน่วยงานด้านการศึกษาท้องถิ่น จัดการศึกษาด้านสุขภาพจิตและโครงการแนะแนวสำหรับเด็กและนักเรียนในหลายระดับการศึกษา โดยหน่วยงานควรมุ่งให้ความใส่ใจกับสภาพจิตใจของเด็กที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังในพื้นที่ชนบทเนื่องจากผู้ปกครองต้องทำงานอยู่ในเมือง รวมถึงลูก ๆ ของแรงงานต่างถิ่น และจัดการให้คำปรึกษาและการบำบัดทางจิตวิทยากับเด็กกลุ่มดังกล่าวเมื่อจำเป็น

ด้านคณะครูควรเข้าร่วมการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ด้านจิตวิทยา และช่วยดูแลสุขภาพจิตของนักเรียนผ่านงานสอนหนังสือ

ทั้งนี้ หน่วยงานด้านการศึกษาและโรงเรียนควรจัดการบรรยายและให้บริการคำปรึกษาแก่ผู้ปกครองเพื่อให้คำแนะนำเชิงวิชาการแก่พวกเขาเกี่ยวกับประเด็นนี้

‘เพชรมงคล’ คนรุ่นใหม่ ปชป.แนะ!! ศธ.จัดตั้งศูนย์ ‘Drop Out’ ดึงเด็กไทยที่หลุดระบบให้จบการศึกษา แบบไม่ต้องเริ่มเรียนใหม่

(2 ส.ค.67) นายเพชรมงคล วัสสุวรรณ ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอนและคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษาเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องการแก้ไข เพราะในปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มการ Drop out สูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างยิ่ง

การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและตรงจุดไม่ใช่การนำเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง แต่ต้องนำระบบการศึกษาที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับผู้เรียนไปรองรับผู้ที่หลุดจากระบบการศึกษา

สาเหตุที่เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษามีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คุณแม่วัยใส, ยาเสพติด, เกเร รวมถึงปัญหาความยากจนของครอบครัว ที่ทำให้ผู้ปกครองไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนได้ ปัญหาครอบครัวที่ซับซ้อน สภาพแวดล้อมทางสังคมที่ไม่เอื้ออำนวย และรวมไปถึงระบบการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์หรือรองรับกับความแตกต่างหลากหลาย

วันนี้เราต้องยอมรับว่าการศึกษาในปัจจุบันมีต้นทุนสูงมาก และมีหลักเกณฑ์ตัวชี้วัดเยอะเกินความจำเป็น ซึ่งไม่ตอบโจทย์ เกิดประโยชน์กับตัวผู้เรียนจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็ก หันหลังให้กับการศึกษา หรือหลุดระบบการศึกษาออกไป

จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ ตนเคยให้สัมภาษณ์และเสนอกระทรวงศึกษาธิการไปหลายปีแล้วเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ ‘Drop out’ แก้ไขปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษาก็เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยใช้กลไกธนาคารหน่วยกิต สำหรับเด็กที่หลุดระบบการมีต้นทุนเดิม เช่น เวลาศึกษาเดิม หน่วยกิตเดิม นำมาเทียบโอนให้สามารถจบการศึกษาได้ โดยไม่ต้องเริ่มเรียนใหม่ ดังนั้นควรมีโรงเรียนนำร่องทั้งการศึกษาภาคบังคับ ขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และสถาบันฝึกอบรมวิชาชีพเฉพาะทางมาเป็นศูนย์นำร่องในการแก้ไขปัญหานี้

ดังนั้น ควรจัดระบบการศึกษาทางเลือกให้เป็นรูปธรรมและสามารถรองรับนักเรียนที่มีความหลากหลาย ให้ ผู้เรียนได้มีทางเลือกในการเข้าถึงการศึกษาได้ ในความเป็นจริงแล้วระบบการศึกษาต้องตอบโจทย์ผู้เรียน เข้าถึงตัวผู้เรียนมากกว่าการให้ผู้เรียนเข้าถึงเอง ที่สำคัญต้องสอดคล้องกับยุคสมัยและสภาพเศรษฐกิจด้วย 

สุดท้ายนี้ ตนเชื่ออย่างยิ่งว่ารัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ คนปัจจุบันให้ความสำคัญกับปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษา และควรยกขึ้นเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งแก้ไข แม้ว่าปัญหาเด็กหลุดระบบการศึกษาจะยังคงเป็นความท้าทายใหญ่ แต่ความพยายามของทุกฝ่ายจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้ และสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเยาวชนต่อไป

ข่าวดี MOU สกสค.-ธอส.จัดใหญ่ ปรับลดดอกเบี้ยพัฒนาคุณภาพชีวิตครู จากร้อยละ 6-7 บาท/ปี เหลือ 1.71 บาท/ปี

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ร่วมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดแชมเปญใหญ่ โครงการสวัสดิการเพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ปรับลดดอกเบี้ย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากอัตราร้อยละ  6-7 บาทต่อปี เหลือเพียง 1.71 บาทต่อปี

ที่ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ดร.พีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยนายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ในการร่วมกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหาร หรือวางแผนทางการเงินและการออม 

เพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อ เพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ คณะที่ปรึกษา รมว.กระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกประจำกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา และผู้บริหารจากทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมพิธี

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้หารือกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ จนมีความเห็นและแนวทางร่วมกันในการจัดสวัสดิการการออม สวัสดิการผู้เกษียณอายุ และแก้ไขปัญหาหนี้สินด้วยการลดดอกเบี้ยสูงจากอัตราร้อยละ  6 - 7  บาทต่อปี เหลือ 1.71 บาทต่อปี เพื่อให้ครูมีเงินได้รายเดือนเหลือมากขึ้น จนมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้มีสวัสดิการ รวมทั้งมีบริการผลิตภัณฑ์ด้านการเงินต่างๆ ทั้งด้านการออมและสินเชื่อที่มีคุณภาพเป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ครอบครัวครูและบุคลากรทางการศึกษา ส่งผลให้สามารถพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของครูและนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า สกสค. และ ธอส. ร่วมมือกันให้บริการทางวิชาการด้านการบริหารหรือวางแผนทางการเงิน และการออมเพื่อการมีบ้านตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาทางการเงินและกฎหมายแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา 

ซึ่งมีภาระผูกพันกับสถาบันการเงินอื่น และมีความประสงค์ปรับโครงสร้างหนี้กับทางธนาคาร และความร่วมมือในการการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ เงินฝาก สินเชื่อเพื่อส่งเสริมสวัสดิการและลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ประกอบด้วย

1)โครงการโรงเรียนการเงิน เงินฝากประจำสะสมทรัพย์ 24 เดือน เพื่อส่งเสริมการออมอย่างยั่งยืน สม่ำเสมอ ในวงเงินตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 25,000 บาทต่อเดือน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.7% ต่อปี เมื่อฝากครบ 24 เดือนติดต่อกันจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1% ตั้งแต่ต้น, 

2) โครงการสวัสดิการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา Refinance In เพื่อลดค่าครองชีพจากอัตราดอกเบี้ยสูง 6 – 7 % เหลือ 1.71 % โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงินอื่นมา Refinance ปรับโครงสร้างหนี้กับ ธอส. ซึ่งจะทำให้มีรายได้ต่อเดือนคงเหลือเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และ 3) โครงการสวัสดิการเกษียณสุขสำราญ Reverse Mortgage ให้ผู้เกษียณได้มีรายได้เพิ่มเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยให้ผู้เกษียณแล้วอายุระหว่าง 60 – 75 ปี ที่มีบ้านปลอดภาระจำนอง ได้เข้าโครงการกู้เงินในอัตราครึ่งหนึ่งของราคาประเมินทรัพย์สินแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท รับเงินกู้เป็นรายเดือนโดยไม่ชำระดอกเบี้ยได้ถึงอายุ 85 ปี”

ด้าน ดร. พีระพันธ์  เหมะรัต เลขาธิการ สำนักงาน สกสค. กล่าวว่า “ทั้ง 3 โครงการข้างต้นจะเป็นการลดภาระและแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ Line OA : สกสค. 'ศูนย์ปรึกษาทางการเงิน' ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ขณะที่ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรงศึกษาธิการมีนโยบาย 'เรียนดี มีความสุข' เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถพัฒนาการศึกษาของชาติให้บรรลุเป้าหมาย  การจัดให้มีสวัสดิการต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูเป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่ง ที่กระทรวงศึกษาธิการต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศ ดังนั้นการลงนามความร่วมมือ MOU ระหว่าง สกสค. กับ ธอส. จัดใหญ่ลดดอกเบี้ยเหลือ 1.71 บาทต่อปี จึงถือได้ว่าเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตครู และบุคลากรให้ดีขึ้น ที่จะเป็นการหนุนเสริมให้การพัฒนาศักยภาพการเรียนการสอน และการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น

‘เนเน่ รัดเกล้า’ เตรียมบุกเข้า!! กระทรวงศึกษาธิการ 12 ธ.ค.นี้ เพื่อหารือ กรณีการปิดตัวของ โรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา

(10 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 12 ธ.ค. 2567 เวลา 12:30 น. เนเน่ รัดเกล้า อดีตผู้สมัคร กทม. เขตบางพลัด บางกอกน้อย จะนำตัวแทนผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวอย่างกระทันหันของ โรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด เข้าหารือ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ ณ กระทรวงศึกษาธิการ 

ประเด็นการหารือมี 4 ข้อดังต่อไปนี้

1. บทบาทและหน้าที่ของ สำนักงาน คณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในการช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้

2. ปัญหาค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องแบกรับ เช่น ค่าแรกเข้าโรงเรียนใหม่ เป็นต้น

3. ความเป็นธรรมในการรับเอกสารของบุตรหลาน เพื่อนำไปสมัครที่โรงเรียนใหม่ ในขณะที่ผู้ปกครองยังมีสภาพเป็นหนี้ ค่าเทอมของโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา 

4. เรียกร้องการแก้กฏหมาย เพื่อบังคับให้การปิดกิจการโรงเรียน ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและแจ้งผู้ปกครองให้ทราบเรื่อง นานกว่า 1 เดือน

'รัดเกล้า' นำผู้ปกครองหารือกระทรวงศึกษา เหตุโรงเรียนในเขตบางพลัดปิดตัวกะทันหัน

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.67) นางรัดเกล้า สุวรรณคีรี รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้นำตัวแทนผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวอย่างกะทันหันของโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด เข้าพบนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ โดยมีประเด็นการหารือมี 4 ข้อ คือ 1. บทบาทและหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในการช่วยเหลือผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ 2. ปัญหาค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองต้องแบกรับ เช่น ค่าแรกเข้าโรงเรียนใหม่ เป็นต้น 3. ความเป็นธรรมในการรับเอกสารของบุตรหลาน เพื่อนำไปสมัครที่โรงเรียนใหม่ ในขณะที่ผู้ปกครองยังมีสภาพเป็นหนี้ค่าเทอมของโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชา และ 4. เรียกร้องการแก้กฎหมาย เพื่อบังคับให้การปิดกิจการโรงเรียน ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าและแจ้งผู้ปกครองให้ทราบเรื่องนานกว่านี้

ในประเด็นแรก นางรัดเกล้าเป็นผู้แทนผู้ปกครองที่เดือดร้อน แจ้งว่าการประกาศปิดกิจการของโรงเรียนดังกล่าวส่งผลกระทบให้ผู้ปกครองอีกทั้งก่อให้เกิดข้อกังวลใจและข้อสงสัยในบทบาทการทำงานของหน่วยงาน สช. ภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยนายสิริพงศ์ ได้แจ้งระเบียบการปิดกิจการของโรงเรียนเอกชนให้กลุ่มผู้ปกครองได้รับทราบว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เช่น โรงเรียนแจ้งปิดกิจการในวันที่ 18 พ.ย. ก่อนจะปิดภาคเรียนที่ 1 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการขออนุญาตเลิกกิจการโรงเรียนเอกชนในระบบที่กำหนดให้แจ้งการปิดกิจการก่อนล่วงหน้าประมาณ 120 วันก่อนปิดภาคเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองได้เตรียมตัว อีกทั้งตอกย้ำว่า การทำงานของ สช. ยึดเกณฑ์ของกฎและระเบียบเป็นหลักเพื่อความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

อย่างไรก็ดี นางรัดเกล้าเป็นตัวแทนบอกเล่าเสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้ปกครองที่ได้รับผลกระทบครั้งนี้ ที่มองว่าการแจ้งปิดกิจการล่วงหน้า 120 วัน อาจเป็นระยะเวลาที่น้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง แม้ในครั้งนี้โรงเรียนได้ดำเนินการภายใต้ระเบียบ แต่ผู้ปกครองเรียกร้องขอให้มีการปรับแก้ไขระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นอีก โดยเสนอให้มีการยืดระยะเวลาออกไปให้มากกว่า 120 วัน เป็น 1 ปีการศึกษาแทน อีกทั้ง ผู้ปกครองที่มาร่วมหารือด้วย เสริมว่าควรมีระเบียบบังคับให้โรงเรียนที่จะทำการปิดตัวต้องจัดทำแผนรองรับการปิดกิจการของโรงเรียนเอกชน โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น คณะผู้สอน ผู้ปกครอง ฯลฯ มีส่วนร่วมในการออกความเห็นในการวางแผน  ซึ่งในประเด็นนี้ นายสิริพงศ์ เห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี พร้อมรับไปศึกษาความเป็นไปได้เพื่อปรับแก้ระเบียบดังกล่าวให้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่เยาวชนที่เป็นนักเรียน 

นอกจากนี้ นางรัดเกล้าและคณะยังหารือในประเด็นการจัดหาสถานศึกษาใหม่ให้แก่นักเรียน ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาได้เสนอโรงเรียน 33 แห่งที่สามารถรองรับนักเรียนได้ แต่บางแห่งรับได้จำนวนจำกัด และบางแห่งมีค่าใช้จ่ายแรกเข้าสูง จึงสร้างความกังวลและภาระทางการเงินให้ผู้ปกครอง นายสิริพงศ์ ได้กำชับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ให้ไปชี้แจงกับโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาว่าจะต้องจัดหาโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนเพิ่มเติมจากในจำนวน 33 แห่งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้แก่ผู้ปกครอง โดยให้ดูแลติดตามว่าโรงเรียนต่าง ๆ ที่ได้คัดเลือกมา สามารถรองรับนักเรียนจากโรงเรียนธรรมภีรักษ์รุ่งประชาได้ครบถ้วน เด็กนักเรียนที่ได้รับผลกระทบได้เข้าเรียนอย่างแน่นอน 100%

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนประเด็นเรื่องการออกใบรายงานผลการศึกษา หรือใบเกรดของนักเรียนนั้น เนื่องจากกลุ่มผู้ปกครองมีความกังวลว่า หากมีกรณีที่ผู้ปกครองยังไม่ได้ชำระค่าเล่าเรียนอาจทำให้ถูกยึดใบเกรด ซึ่งขอยืนยันว่าใบเกรดไม่สามารถเป็นหลักประกันสร้างเงื่อนไขให้จ่ายค่าเล่าเรียน แต่ในฐานะที่ ศธ.เป็นคนกลางยังยืนยันว่าเป็นหนี้ก็ต้องชำระ ดังนั้นจึงมีแนวทางร่วมกันว่าให้มีการเจรจาระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียนในการรับสภาพหนี้ เพื่อหาทางออกให้แก่กลุ่มผู้ปกครองในการแบ่งจ่ายชำระหนี้ แต่จะไม่มีกรณีว่าต้องชำระค่าเล่าเรียนเป็นเงินก้อนถึงจะได้ใบเกรด ซึ่งกรณีแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นางรัดเกล้าปิดท้ายการหารือด้วยการขอบคุณนายสิริพงศ์ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และยืนยันว่าตนพร้อมช่วยติดตาม และช่วยเหลือผู้ปกครองจนกว่าปัญหาจะคลี่คลาย ในฐานะของคนที่มีลูกเช่นเดียวกัน ตนเข้าใจในความหนักใจของผู้ปกครอง สิ่งสำคัญที่สุดคือ 'นักเรียนต้องมาก่อน' เยาวชนที่ได้รับผลกระทบต้องได้รับการดูแลให้มีโอกาสศึกษาต่ออย่างต่อเนื่อง

‘กระทรวงศึกษาฯ’ เผยรายชื่อ!! ‘เด็ก - เยาวชน’ ที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ‘อริณชย์ - อริสา’ ทายาทนักธุรกิจใหญ่ ‘วิชัย ทองแตง’ ได้รับรางวัลนี้ด้วย

(28 ธ.ค. 67) ประกาศผลการคัดเลือกเด็กและเยาวชนดีเด่น เด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ประจำปี 2568

เด็กและเยาวชนดีเด่น เด็กและเยาวชนที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติ ที่มีผลงานโดดเด่นและได้รับการคัดเลือกตามประกาศฯ ของกระทรวงศึกษาธิการนี้ จะได้เข้าเยี่ยมคารวะรับโอวาทจากนายกรัฐมนตรี และรับโล่เกียรติคุณจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในวันพุธที่ 8 มกราคม 2568 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

ในรายชื่อของเด็กและเยาวชนดีเด่น ที่ได้รับรางวัล เนื่องจากสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยนั้น ได้ปรากฏรายชื่อ 

นายอริณชย์ ทองแตง จากโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพมหานคร ในลำดับที่ 423

และ นางสาวอริสา ทองแตง จากโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพมหานคร ในลำดับที่ 424

ซึ่งเยาวชนดีเด่น ทั้งสองคนนี้ เป็นหลานชาย และหลานสาว ของ นายวิชัย ทองแตง นักธุรกิจรุ่นใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งภายหลังนั้นได้วางมือทางด้านธุรกิจ และได้หันไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม รวมทั้งได้ปั้นสตาร์ตอัป นักธุรกิจรุ่นใหม่เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทยต่อไป

‘ไอติม’ อัด!! ก.ศึกษาฯ แก้ ‘ทรงผมนักเรียน’ ไม่ตรงจุด แนะส่วนกลางชี้ขาด!! ทุกโรงเรียน หยุดบังคับเด็ก

(4 ม.ค. 68) จากกรณีที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวยืนยันว่า กระทรวงมีหนังสือยกเลิกระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2566 ดังนั้น ‘ทรงติ่งหู’ หรือ ‘ทรงขาว 3 ด้าน’ จะไม่ถูกเรียกว่า ‘ทรงผมนักเรียน’ อีกต่อไป เพราะไม่มีการระบุความสั้น/ยาวของทรงผมนักเรียนชายและนักเรียนหญิงแล้ว ส่วนการจะกำหนดให้ผู้เรียนไว้ทรงผม แต่งกายแบบไหน ให้เป็นไปตามวิจารณญาณของสถานศึกษา โดยให้โรงเรียนเปิดช่องทางให้ผู้เรียนพูดคุยเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดนั้น

เรื่องนี้ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน แสดงความเห็นผ่าน X เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ระบุว่า หาก ศธ. ตั้งเป้าว่าไม่ควรมีนักเรียนคนไหนที่ต้องถูกบังคับเรื่องทรงผม ผมเห็นว่าสิ่งที่กระทรวงทำอยู่ ยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุดครับ

สิ่งที่กระทรวงทำ = ยกเลิกการบังคับจากส่วนกลางว่านักเรียนจะต้องมีทรงผมแบบไหน แต่เปิดช่องให้แต่ละโรงเรียนตัดสินใจเองได้ที่จะบังคับนักเรียนในโรงเรียนนั้นๆ เรื่องทรงผม

สิ่งที่กระทรวงควรทำ = ออกมาตรฐานจากส่วนกลาง เพื่อกำหนดว่าทุกโรงเรียนจะต้องหยุดการบังคับนักเรียนเรื่องทรงผม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top