Friday, 6 June 2025
กทม

'ชัชชาติ' เปิดเกณฑ์ใหม่ 'หาบเร่-แผงลอย' ในกทม. ผู้ค้าต้องเป็นคนไทย และต้องยื่นภาษีเงินได้ด้วย

(19 ก.ย.67) นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงนามในประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและการขาย หรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือสถานสาธารณะ โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดพื้นที่ทำการค้า ดังนี้

ถนนที่มีช่องทางจราจรตั้งแต่ 3 ช่องทางจราจรขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการเดินรถทางเดียวหรือสวนทาง เมื่อจัดวางแผงค้าแล้วต้องมีที่ว่างให้ประชาชนสัญจรได้ไม่น้อยกว่า 2 เมตร โดยให้สำนักงานเขตทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของการเป็นพื้นที่ทำการค้าทุก 2 ปี

ส่วนถนนที่มีช่องทางจราจรน้อยกว่า 3 ช่องทางจราจร ไม่ว่าจะเป็นการเดินรถทางเดียวหรือสวนทาง เมื่อจัดวางแผงค้าแล้วต้องมีที่ว่างให้ประชาชนสัญจรได้ไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร โดยให้เขตทบทวนความจำเป็นและความเหมาะสมของการเป็นพื้นที่ทำการค้าทุก 1 ปี แผงค้าต้องมีขนาดไม่เกิน 3 ตารางเมตร โดยมีความลึกของแผงค้าต้องไม่เกิน 1.5 เมตร ให้จัดวางแผงค้าได้เพียงฝั่งเดียว โดยให้ชิดกับด้านถนนและต้องห่างจากผิวจราจรอย่างน้อย 50 เซนติเมตร เพื่อให้มีระยะปลอดภัยด้านการจราจร

และให้เว้นระยะห่าง 3 เมตร ทุกระยะ 10 แผงค้า เพื่อเป็นทางเข้าออกและทางฉุกเฉิน รูปแบบ ลักษณะแผงค้าและสิ่งประกอบแผงค้า เช่น ร่ม หลังคาแผงค้า ต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมาะสมกับลักษณะพื้นที่นั้น ๆ

สำหรับคุณสมบัติของผู้ทำการค้าและผู้ช่วยจำหน่ายสินค้า ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย โดยมีคุณสมบัติเพิ่มเติม ดังนี้

1.เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
2.เป็นคู่สัญญาในการซื้อบ้านที่อยู่อาศัยกับการเคหะแห่งชาติในโครงการบ้านมั่นคงของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนและยังมีภาระผูกพันในการชำระหนี้
3.เป็นบุคคลที่ได้รับเงินสวัสดิการจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
4.เป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี โดยอ้างอิงจากเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายประกอบธุรกิจตามหลักฐานการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

นอกจากนี้ผู้ทำการค้าต้องลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ต่อสำนักงานเขตที่กำหนดให้มีพื้นที่ทำการค้า ไม่มีแผงค้าอื่นหรือผู้ช่วยจำหน่ายสินค้าในแผงค้าอื่นในพื้นที่ที่กรุงเทพมหานครกำหนดให้เป็นพื้นที่ทำการค้า

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการ กทม. ระดับ ผอ.สำนัก จับตาตั้ง ‘เจษฎา จันทรประภา’ เป็นแม่ทัพรับน้ำท่วม

(10 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานการเจ้าหน้าที่ กรุงเทพมหานคร ได้เผยแพร่ ‘ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ’ ความว่า

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ สังกัดกรุงเทพมหานคร ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 7 ราย ดังนี้

1.นายอาฤทธิ์ ศรีทอง รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

2.นางสาวศุภร คุ้มวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

3.นายมนูศักดิ์ บินยะฟัล รองผู้อำนวยการสำนักการโยธา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกรุงเทพมหานคร สำนักปลัดกรุงเทพมหานคร

4.นางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ รองผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา

5.นายเจษฎา จันทรประภา รองผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ

6.นายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ รองผู้อำนวยการสำนักการจราจราจรและขนส่ง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง

7.นายวิฑูรย์ อภิสิทธิ์ภูวกุล รองผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักยุทยุทธศาสตร์และประเมินผล

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2567 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ชัชชาติ ผนึกหลากภาคี ลุยมาตรการสู้ฝุ่น PM2.5 เล็ง!! สั่งแบนรถ 6 ล้อค่าฝุ่นสูงเข้าเขต กทม.

(29 ต.ค. 67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายธีระพงษ์ วิมลจิตรานนท์ ผู้อำนวยการกองควบคุมคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ และนายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยร่วมแถลงข่าวด้วย

นายธีระพงษ์ วิมลจิตรานนท์ กล่าวว่า จากการพยากรณ์คาดว่าในปีนี้ปริมาณของค่าฝุ่น PM2.5 จะมีจำนวนไม่มากเทียบเท่าปีที่ผ่าน ๆ มา 

โดยทางรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในการลดความรุนแรงในการเกิดไฟป่า พร้อมทั้งการเผาในทางเกษตร โดยเฉพาะ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าว และอ้อยโรงงาน 

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เปิดเผยว่า ในรอบปีที่ผ่านมา กทม. ทบทวนทุกอำนาจที่มีเพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ฝุ่นได้อย่างเด็ดขาด 

และหากจำกันได้ เมื่อปีที่ผ่านมาทางสภากรุงเทพมหานคร ได้มีการออกข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการให้รถโดยสารสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพมหานครต้องเป็นรถที่ไม่ปล่อยมลพิษเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายทางกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งกับกฎหมายอื่น 

ทำให้ในปีนี้ตัดสินใจที่จะใช้อำนาจตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งให้อำนาจผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในกรณีเกิดเหตุหรือใกล้เกิดเหตุสาธษรณภัย สามารถออกมาตรการเพื่อกำจัดต้นเหตุได้

โดย กทม. จึงได้ออกประกาศให้ รถบรรทุกห้ามเข้าในพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานคร โดยมีหลักการคือ ห้ามไม่ให้รถขนาดตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปเข้าในพื้นที่วงแหวนกาญจนาภิเษก หรือพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก ตามแต่ช่วงความรุนแรงของฝุ่น โดยใช้กล้อง CCTV ในการตรวจจับการกระทำความผิด นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่น ๆ เช่น การตั้งด่าน หรือ ตรวจตามไซต์งานก่อสร้าง ฯลฯ

ยกเว้น รถบรรทุก EV-NGV หรือรถบรรทุกที่มีเครื่องยนต์มาตรฐาน EURO 5 ขึ้นไป หรือรถบรรทุกที่มีการเปลี่ยนไส้กรองและน้ำมันเครื่องตั้งแต่ 1 พ.ย. 67 นี้เป็นต้นไป เนื่องจากการปล่อยมลพิษน้อย โดยจะมี Green List หรือบัญชีสีเขียว ซึ่งบันทึกข้อมูลรถดังกล่าว

นายชัชชาติยังได้ย้ำอีกว่า รถที่จะขึ้นทะเบียนคือรถที่มีขนาด 6 ล้อขึ้นไป สำหรับรถทั่วไปยังไม่ต้องลงทะเบียน 

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยว่า จากปีที่ผ่านมาที่กระทรวงพลังงาน ได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ในการรณรงค์แคมเปญ ‘รถคันนี้ลดฝุ่น’ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 2.6 แสนคัน 

ในปีนี้กระทรวงพลังงานได้ประสานงานกับผู้ประกอบการผู้ค้าน้ำมันที่มีการให้บริการทั้งการเปลี่ยนไส้กรอง และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหลายราย โดยในปีนี้จะดำเนินการต่อเนื่องผ่านการให้ส่วนลดค่าบริการ มากที่สุดถึง 40%

นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางสมาพันธ์พร้อมที่จะดำเนินการตามที่มาตรการของภาครัฐกำหนด และจะช่วยสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานของรถบรรทุกไฟฟ้าในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้นจากที่มีอยู่จำนวนประมาณ 1 หมื่นคัน

กทม. ออกข้อบัญญัติค่าธรรมเนียมเก็บขยะใหม่ ไม่แยกขยะจ่ายเพิ่ม 3 เท่า ลุ้น!! ผู้ว่าเซ็นเริ่มใช้

(30 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภากรุงเทพมหานครได้ผ่าน ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ. ...

โดยข้อบัญญัติฉบับนี้เสนอโดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยให้เหตุผลว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการคัดแยกขยะมูลฝอย 

จากการผ่านข้อบัญญัติในครั้งนี้ เมื่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมีประกาศจะเริ่มจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราใหม่ ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนค่าธรรมเนียมในการจัดเก็บ และค่าธรรมเนียมในการกำจัด 

ทำให้ครัวเรือนที่ผลิตขยะวันละ 20 ลิตร จากเดิมจ่ายค่าธรรมเนียมการจัดเก็บเดือนละ 20 บาท จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 60 บาท จากค่าเก็บขน 30 บาท และค่ากำจัด 30 บาท 

แต่หากครัวเรือนมีการแยกขยะจะจ่ายค่าธรรมเนียม 20 บาทเท่าเดิม จากค่าเก็บขน 10 บาท และค่ากำจัด 10 บาท 

รองผู้ว่าฯ กทม. ยัน ค่าเก็บขยะช่วยเพิ่มการคัดแยกต้นทาง คาด 180 วันเริ่มจัดเก็บ ทำรายรับ กทม. จากขยะพุ่งขึ้น 3 เท่า

เมื่อวานนี้ (30 ต.ค.67) ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 4) ประจำปีพุทธศักราช 2567 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง นายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก.เขตยานนาวา ในฐานะประธานกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ. .... ได้รายงานผลการพิจารณาร่างข้อบัญญัติฯ ของคณะกรรมการวิสามัญฯ ต่อที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร โดยมีนายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ประกาศใช้เป็นข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และจะมีการประกาศใช้ข้อบัญญัติในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังการประชุมว่า เดิมข้อบัญญัติฯ ปี 2562 มีการกำหนดค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ค่าเก็บขยะ) ตามครัวเรือนเดือนละ 80 บาท โดยมองว่ามีค่าธรรมเนียมสูงเกินไป ผู้ว่าฯกทม. จึงให้จัดทำข้อบัญญัติฯ ใหม่ โดยแบ่งการจัดเก็บเป็น 2 แบบ คือ 1.มีการคัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อเดือน 2.ไม่มีการคัดแยกขยะ ค่าธรรมเนียม 60 บาทต่อเดือน 

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการปรับปรุงค่าธรรมเนียมให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมมือลดและคัดแยกมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดอย่างจริงจัง และสอดคล้องกับสภาวการณ์และภาระค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน ซึ่งเนื้อหาหลักที่แตกต่างระหว่างปี พ.ศ. 2546 กับปี พ.ศ.2562 คือการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจะนำปริมาณขยะมาประกอบการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมด้วย เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ที่ทิ้งขยะจำนวนน้อย ไม่เกิน 20 ลิตรต่อวัน หรือผู้ที่คัดแยกขยะต้นทางจากครัวเรือนได้มากกว่า 

รวมถึงเก็บอัตราค่าธรรมเนียมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีจำนวนขยะมากในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอัตราดังกล่าวยังเป็นการส่งเสริมการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนให้คัดแยกขยะอีกทางด้วย ซึ่งการคาดการณ์รายได้จากการจัดเก็บอัตราค่าธรรมเนียมใหม่จะทำให้กทม.สามารถจัดเก็บรายได้จากผู้ประกอบการรายใหญ่ได้มากขึ้น จากเดิม 166 ล้านบาท เป็น 664 ล้านบาท ซึ่งหัวใจของการจัดเก็บอัตราใหม่นี้ คือจะเก็บเงินกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีขยะสู่เมืองในอัตราที่สูงขึ้น และหากใครมีการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางก็จะได้ลดอัตราค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง โดยร่างข้อบัญญัตินี้ต้องการสร้างจิตสำนึกของประชาชนอย่างต่อเนื่องและสร้างความตื่นตัวให้กับเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครในการให้บริการประชาชน

สำหรับสาระสำคัญอัตราค่าธรรมเนียมที่ปรับปรุงใหม่ แบ่งเป็นค่าเก็บและขนสิ่งปฏิกูลต่อครั้ง คิดอัตราลูกบาศก์เมตรละ 300 บาท ส่วนอัตราค่าเก็บและขนมูลฝอยทั่วไป แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ปริมาณไม่เกิน 20 ลิตรต่อวัน ค่าเก็บและขน เดือนละ 30 บาท ค่ากำจัด 30 บาท รวม 60 บาท (เดิม 20 บาท) กลุ่มที่ 2 เกิน 20 ลิตรต่อวัน แต่ไม่เกิน 500 ลิตรต่อวัน (เดิม 40 บาท/20 ลิตร) และเกิน 500 ลิตรต่อวันแต่ไม่เกิน 1 ลบ.ม. ต่อวัน (เดิม 2,000 บาท) ค่าเก็บและขน 60 บาท/20 ลิตร ค่ากำจัด 60 บาท/20 ลิตร รวม 120 บาท/20 ลิตร กลุ่มที่ 3 เกิน 1 ลบ.ม.ต่อวัน (เดิม 2,000 บาท/1 ลบ.ม.) ค่าเก็บและขน 3,250 บาท/1 ลบ.ม. ค่ากำจัด 4,750 บาท/1 ลบ.ม. รวม 8,000 บาท/1 ลบ.ม.

ปีที่ผ่านมากรุงเทพมหานครยังไม่มีการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าว แต่กรุงเทพทหานครมีโครงการ 'ไม่เทรวม' ซึ่งสามารถลดขยะได้มากกว่า 10% จากความร่วมมือของประชาชน ดังนั้นหากเริ่มการบังคับใช้ข้อบัญญัติดังกล่าว คาดการณ์ว่าจะสามารถลดขยะของกรุงเทพมหานครได้ปริมาณมหาศาลและสร้างรายได้ให้กับกรุงเทพมหานครจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมอีกทางด้วย

หลังจากนี้ กทม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบให้มากที่สุด คาดว่าข้อบัญญัติฯ จะมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน ทั้งนี้ในกรุงเทพฯ มีบ้านเรือนประชากรกว่า 2 ล้านหลังคาเรือน ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นมีประชาชนคัดแยกขยะประมาณ 50,000 ครัวเรือน โดยเบื้องต้นจะมีการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน และที่ฝ่ายรักษาความสะอาดฯ ทั้ง 50 สำนักงานเขต โดยหลังจากลงทะเบียนแล้วเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการคัดแยกขยะจริงหรือไม่ และเก็บค่าธรรมเนียม 20 บาทต่อเดือน ตามเดิม

สภา กทม.อนุมัติจ่ายหนี้บีทีเอส 1.4 หมื่นล้านแล้ว ‘ชัชชาติ’ ระบุจ่ายก่อนวันสุดท้าย ช่วยลดดอกเบี้ย

(29 พ.ย.67) ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 3) ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เข้าร่วมประชุม

นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. ได้รายงานผลการพิจารณาร่างข้อบัญญัติดังกล่าว โดยเริ่มจากชื่อร่าง หลักการ เหตุผล คําปรารภ ตัวร่างข้อบัญญัติ เรียงตามลําดับจนจบ ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญฯ ได้ร่วมกันพิจารณารายละเอียดและมีมติให้ผ่านงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ…. จำนวน 14,549,503,800 บาท โดยใช้เงินสะสมจ่ายขาดของ กทม. เนื่องจาก กทม.มีความประสงค์ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2567

ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครมีมติเห็นชอบร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. จำนวนเงิน 14,549,503,800 บาท โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม 43 คนเห็นชอบให้ประกาศใช้ 33 คน งดออกเสียง 10 คน ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณเร่งดำเนินการเบิกจ่าย เพื่อเป็นประโยชน์ในการลดภาระดอกเบี้ยของ กทม.

ด้าน นายชัชชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ภายในระยะเวลา 34 วัน หลังจากนี้ เมื่อมีการประกาศข้อบัญญัติดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา จะมีการชำระหนี้ให้กับบีทีเอส ภายในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ หรือไม่เกินต้นเดือน ม.ค. 68 โดยจะไม่มีการตั้งคณะกรรมการก่อนชำระหนี้แล้ว เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด โดยคิดคำนวณตามที่ศาลระบุ ซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายหนี้เต็มยอดเงิน 14,549,503,800 บาท เพราะตัวเลขนี้คิดในกรณีที่ต้องจ่ายวันสุดท้าย (22 มกราคม 2568) ตามคำสั่งของศาล

‘อนุ กมธ. ขับเคลื่อนนโยบายบริหารราชการรูปแบบพิเศษ’ จี้ ‘กทม.’ ทำงานเชิงรุก บังคับใช้กฎหมายเข้มแก้ฝุ่น PM 2.5

(22 ม.ค. 68) คณะอนุกรรมาธิการศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ ในคณะกรรมาธิการการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่นและการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการ

ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและรับฟังข้อมูล ความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร การจัดทำแผนลดฝุ่นและแผนบริหารจัดการฝุ่น PM 2.5 ตลอดจนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการได้เสนอกรณีศึกษาการดำเนินการของต่างประเทศเพื่อเป็นต้นแบบให้กรุงเทพมหานครพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้เป็นในเชิงรุกมากขึ้น โดยขอให้กรุงเทพมหานครยึดหลักปฏิบัติเหมือนประเทศเกาหลีใต้ "คุณภาพชีวิตของประชาชนยิ่งใหญ่กว่าเงินตราที่เสียไป (The value of human beings is far greater than that of money)" พร้อมทั้งคณะอนุกรรมาธิการได้มีข้อเสนอแนะให้พิจารณามาตรการ ปิดไซท์ก่อสร้างเพื่อเป็นการกดดันรถบรรทุกที่ปล่อยควันดำในทางอ้อม และติดตั้งป้ายเตือนค่าฝุ่น PM ในบริเวณสถานที่สาธารณะ เช่น ป้ายรถเมล์ และทางเข้าสวนสาธารณะทุกแห่งเพื่อให้เป็นมาตรการระยะสั้น และสำหรับมาตรการระยะยาว จากที่มีการประกาศกำหนดเขตมลพิษต่ำ Low Emission Zone ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 – 24 มกราคม 2568 นั้น อนุกรรมาธิการขอให้ปรับหลักเกณฑ์ ให้มีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาในเชิงรุกมากกว่านี้

สำหรับเรื่องการปิดโรงเรียน คณะอนุกรรมาธิการได้ตั้งคำถามว่าโรงเรียนที่ปิดไปแล้วมีการเรียนออนไลน์หรือไม่หรือไม่มีการเรียนการสอนเลย ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าในบางโรงเรียนมีการเรียนออนไลน์ และในบางโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนชดเชยได้ ซึ่งกรณีนี้หากกรุงเทพมหานครออกประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ จะสามารถแจ้งผู้ปกครองล่วงหน้าให้เตรียมความพร้อมและแผนรับมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการเรียน

นอกจากการพิจารณาปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครแล้ว คณะอนุกรรมาธิการยังได้มีการพิจารณาการดำเนินโครงการก่อสร้างทางยกระดับอ่อนนุช – ลาดกระบัง ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้การดำเนินโครงการยังมีความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด เนื่องจากมีการปรับแบบของโครงการใหม่ และภายหลังเหตุการณ์ทางยกระดับทรุดตัวเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างได้ดำเนินการเยียวยากลุ่มผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว เป็นเงินจำนวน 8,280,886 บาท (แปดล้านสองแสนแปดหมื่นแปดร้อยแปดสิบหกบาท) สำหรับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดำเนินการเยียวยาเสร็จสิ้นแล้ว 356 ราย คงเหลือ 25 ราย ที่อยู่ระหว่างการเจรจา

คณะอนุกรรมาธิการยังได้มีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมกรณีการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรโรยัลปาร์ควิลล์ ซึ่งเมื่อคณะอนุกรรมาธิการรับฟังข้อมูล ข้อเท็จจริงจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว ได้แนะนำให้ผู้ร้องประสานงานกับกรมที่ดินเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารประกอบการยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลให้ถูกต้อง ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แล้วจึงยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรอีกครั้ง

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งที่คณะอนุกรรมาธิการได้พิจารณาคือปัญหาที่อยู่อาศัยของข้าราชการและลูกจ้างกรุงเทพมหานคร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอาคารสงเคราะห์ไม่เคยได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมทั้งระบบ จึงเป็นเหตุให้โครงสร้างอาคารชำรุดทรุดโทรม ระบบสาธารณูปโภคเสื่อมสภาพ เกิดท่อรั่วท่อแตก ระบบความปลอดภัยใช้การไม่ได้ และมีห้องพักชำรุดไม่สามารถจัดคนเข้าพักอาศัยได้กว่าหนึ่งพันห้อง ทั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการเห็นว่าหากกรุงเทพมหานครได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อปรับปรุงอาคารสงเคราะห์ข้าราชการและลูกจ้างประจำของกรุงเทพมหานครให้ครอบคลุมทั้งระบบ จะส่งผลให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงและซ่อมแซมอาคารสงเคราะห์ สามารถนำรายรับไปปรับปรุงและพัฒนาสภาพแวดล้อม และสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้พักอาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ยังสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านที่พักอาศัยให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ขึ้นบัญชีรอเข้าพักอาศัยกว่าหนึ่งพันครอบครัว ซึ่งจะเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน มีแรงขับเคลื่อน และมุ่งมั่นในการปฏิบัติราชการให้แก่กรุงเทพมหานครอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไป

‘กรณ์’ คาใจผู้ว่าฯ กทม. พยายามแก้ กม. เอื้อสร้างตึกสูง ลั่น!! อย่าเอาใจ ‘นายทุนอสังหาฯ’ ให้มากเกินไป

(18 พ.ค. 68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

การทำงานของ กทม. แถวบ้านผม หลายวันที่ผ่านมา กทม. สร้างความประทับใจในการทำงานอยู่หลายงานครับ

1. ปรับปรุงกระจกจราจรในมุมอันตรายภายใน 2 วันจากที่ชาวบ้านแจ้งไปทาง  traffy fondue

2. มาลอกคลอง 2 วันก่อนฝนตกหนัก (โดยไม่มีใครร้องขอ) คลองนี้เป็นคลองระบายนํ้าสำคัญจากสาทรผ่านไปออกเจ้าพระยา และกลายวันที่ผ่านมาที่ฝนตกหนักมากนํ้าระบายออกอย่างดี

3. ซ่อมใหญ่ท่อระบายนํ้าในซอยเย็นอากาศ 3  ด้วยระบบการทำงานที่ดีมาก คือ ขุด-ปรับปรุงจนเสร็จทีละจุด ไล่ไปตามซอย ขณะนี้มาถึงท่อกลางซอย แต่ช่วงต้นซอยที่ขุดไปก่อนได้มีการปรับปรุงและซ่อมคืนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำงานเร็ว เท่าที่เห็น มีคนงานทำอยู่ทุกวัน

ผมไม่รู้จริงๆว่างานเหล่านี้สำนักงานเขต (ยานนาวา) เขาทำกันเอง หรือเป็นนโยบายหรือการกำกับของท่านผู้ว่าฯ แต่เมื่องานดี ผมขอชม เพราะพองานไม่ดี ทั้งผู้ว่าฯ (ทุกยุค) และเจ้าหน้าที่ กทม. จะมีคนพร้อมด่าเสมอ

อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญที่ผมยังคาใจกับท่านผู้ว่าเสมอคือเรื่องความพยายามแก้กฎหมายเพื่อเอื้อการสร้างตึกสูง และเพื่อลบล้างความผิดที่สำเร็จแล้ว

กทม. หลายยยุคที่ผ่านมาปล่อยปละละเลยเรื่องการก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย บางครั้งศาลพิพากษาแล้ว แต่ กทม. ก็ไม่มีการดำเนินการตามคำสั่งศาล ประชาชนเสียเปรียบเพราะเมื่อสร้างไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

เรื่องงานจิปาถะสำคัญ แต่เรื่องผังเมือง เรื่องกฎหมาย และเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย โดยไม่เอาใจนายทุนอสังหาเกินไปก็สำคัญมากครับ หากผู้ว่ามีความชัดเจนเรื่องนี้จะดีมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top