Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48981 ที่เกี่ยวข้อง

ประธานาธิบดีบูร์กินาฟาโซจี้ถามโลกตะวันตก เหตุใดสันติภาพต้องมากับการใช้ความรุนแรง

(23 มิ.ย. 68) อิบราฮิม ตราโอเร (Ibrahim Traoré) วัย 37 ปี ประธานาธิบดีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งบูร์กินาฟาโซ กล่าวตั้งคำถามต่อโลกว่า ทำไมบางประเทศจึงใช้ความรุนแรง เช่น การทิ้งระเบิดใส่ชาติอื่น แล้วอ้างว่ากระทำเพื่อสันติภาพ ซึ่งเขามองว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่ชอบธรรม และเป็นการเชิดชูการใช้อาวุธรุนแรงอย่างผิดหลักมนุษยธรรม

เขาระบุว่าในโลกปัจจุบันมีบทเรียนสำคัญที่สอนให้รู้ว่า ความเป็นมหาอำนาจทางทหารอาจต้องพึ่งพาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งถือเป็น “เครื่องมือที่ต้องมีไว้ในครอบครอง” เพื่อสร้างความเคารพและความมั่นคงให้แก่ประเทศ

ก่อนหน้านี้ หลังการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนในปี 2022 ตราโอเรพยายามยกระดับความร่วมมือทางทหาร ทั้งกับรัสเซียและชาติชั้นนำระดับภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อเสริมความเข้มแข็งให้กองทัพบูร์กินาฟาโซ ซึ่งถือเป็นการปรับนโยบายด้านความมั่นคงให้มุ่งเน้นอาวุธเทคโนโลยีขั้นสูง และการสร้างพันธมิตรทางยุทธศาสตร์

แนวทางของตราโอเรไม่เพียงสะท้อนถึงความไม่พอใจต่ออิทธิพลตะวันตก แต่ยังชี้ให้เห็นถึงการพลิกบทบาทของชาติแอฟริกาที่พร้อมพึ่งพาอำนาจทางทหารระดับสูงเพื่อรักษาเอกราช 

‘SPR’ คือ คำตอบรับมือวิกฤตพลังงาน หากอิหร่าน ตัดสินใจปิดช่องแคบ ‘ฮอร์มุซ’

(23 มิ.ย. 68) จากผลพวงสหรัฐ อเมริกา ปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่าน ทำให้สภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน เตรียมตัดสินใจตอบโต้ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ หลังจากมีรายงานว่ารัฐสภาของประเทศได้ยกมือสนับสนุนมาตรการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามรายงานของสำนักข่าวเพรส ทีวี ของอิหร่าน เมื่อวันอาทิตย์(22มิ.ย.68)

แน่นอนว่า หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซขึ้นมาจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชั่วคราว หรือ ยืดเยื้อระยะยาว นั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะระดับโลก เพราะช่องแคบฮอร์มุซ นับเป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมันที่มีปริมาณถึง 20% ของการบริโภคทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าพลังงานโลก โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของยุโรปและเอเชีย นั่นและนั่นจะเป็นสาเหตุให้ราคาพลังงานพุ่งทะยานและต้นทุนการดำรงชีวิตของประชาชนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ในการรับมือกับวิกฤตพลังงานน้ำมันในส่วนของประเทศไทยนั้น ทางนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีแนวคิดที่จะดำเนินนโยบายการสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) เพื่อให้ประเทศมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองเพียงพอต่อการใช้งานได้ถึง 90 วัน เช่นเดียวกับประเทศใหญ่หลายประเทศที่มีน้ำมันสำรองเพียงพอ 90 วัน ทำให้มีเวลาแก้ไขปัญหาและสามารถเตรียมการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นได้นานขึ้น

เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยมีปริมาณน้ำมันสำรองที่เอกชนจัดเก็บเพียงพอต่อการบริโภค 25-36 วัน นั่นหมายความว่า หากปัญหาวิกฤตน้ำมันในประเทศไม่สามารถแก้ไขได้แล้วเสร็จภายในเวลา 1 เดือน ย่อมจะเกิดผลกระทบที่จะสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงต่อประเทศในภาพรวม ไม่ว่าในด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การเงิน และการคลัง ฯลฯ อย่างแน่นอน ดังนั้น SPR ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่กำลังผลักดันและร่างกฎหมายอยู่ในขณะนี้ คือ คำตอบที่จะทำให้ประเทศสามารถรับมือวิกฤตพลังงานโลกที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งเร็วๆ นี้

‘ทหารไทย’ รับศึกรอบด้านปกป้องอธิปไตยชาติ หมดยุคพูดถึงการยึดอำนาจรัฐประหาร

(23 มิ.ย. 68) ในขณะที่ข่าวการเมืองของพรรคเพื่อเขมรกำลังร้อนแรงฝั่งพรรคประชาชนพม่าก็ไม่น้อยหน้า  เดินหน้าสร้างคอนเนคชั่นร่วมกับพวกอินฟลูสายรักประชาชนพม่าแถวแม่สอดจนชาวกะเหรี่ยงและพม่าที่ดีๆโทรมาบ่นกับเอย่าว่ามาทำไมก็ไม่รู้มาแล้วสร้างความขัดแย้งระหว่างคนไทยกับกลุ่มพม่า กะเหรี่ยงที่เขาทำมาหากินอย่างสงบให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก

แต่เรื่องที่น่าสนใจที่สุดของเอย่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องของ 2 พรรคนั้นแต่เป็นการได้ไปสัมภาษณ์กลุ่มนายทหารใหญ่ของไทยถึงสภาวะการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ว่าจนถึงวันนี้ทหารมีแนวคิดจะยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลไหม 

ทราบหรือไม่นายทหารทุกท่านส่ายหัวบอกเป็นประโยคและเหตุผลเดียวกันว่า จากนี้ทหารจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว

เอย่าจึงถามต่อว่าทำไม

1 ในนายทหารใหญ่กล่าวว่าจากที่ผ่านมาคนไทยคิดมาตลอดว่าทหารมากอบโกย โกงกิน  และโยนความผิดอะไรก็ตามให้ทหาร  ขนาดเรื่องตึก สตง. ถล่มยังบอกทหารโกงทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับทหารเลย ทำไมประชาชนไม่โทษวิศวกรโครงสร้างตอนตรวจรับว่าให้สร้างต่อได้  สมมุติตอนนี้ปฏิวัติไปเศรษฐกิจตกต่ำก็โทษทหารอีก ไม่โทษว่ามันเป็นมาก่อนแล้วละ  ทหารเข้ามาช่วยแก้อะไรแบบนี้

ท่านบอกว่า ความคิดแบบนี้แสดงถึงความอคติที่ไม่ได้แยกแยะแล้ว จากนี้ทหารจะไม่ทำอะไรอีก ก็ในเมื่ออำนาจอยู่ในมือประชาชน เลือกมาเอง..จะสุข...จะทุกข์ จะขัดแย้งก็ดีกันเองละกัน  ทหารจะไม่ยุ่งอีก  แค่งานรักษาอธิปไตยที่ฝ่ายการเมืองพยายามเข้ามาแทรกแซงการทำงานของทหาร  ฝ่ายกลาโหมก็ลำบากอยู่แล้ว  แต่ที่ไม่เคยมีข่าวออกเพราะพวกเราเป็นทหารไง  เราคือผู้กระทำไม่ใช่ผู้พูด ดังนั้นทหารจึงเลือกจะทำมากกว่าจะพูด

ทหารอีกท่านกล่าวต่อแค่ปัญหารอบประเทศตอนนี้ก็เยอะมากแล้วไหนจะยา จะผู้อพยพผิดกฎหมาย ไหนจะก่อการร้ายขอแบ่งแยกดินแดน ไหนจะเรื่องสิ่งแวดล้อมสารพิษที่มาจากเหมืองในจีนและพม่า กองทัพเข้าไปช่วยคุยระหว่างประเทศ ช่วยแก้ปัญหา แต่ไม่เคยมีใครรู้ นี่อีกไม่กี่เดือนน้ำเหนือก็จะบ่าแล้วทหารเราก็เตรียมการเหมือนทุกครั้งถามว่ามีใครเคยเห็นไหม  เห็นว่ามันคือหน้าที่

ทหารไม่ได้ถูกฝึกมาให้พูดแต่ถูกฝึกมาให้รับคำสั่งเพื่อปฏิบัติเพื่อชาติ  นายทหารอีกท่านกล่าวเสริม

เอย่าก็หวังว่าคนไทยคงตาสว่างขึ้นนะคะหลังจากคิดแต่ว่ากลัวทหารมาเล่นการเมือง  สิ่งที่พวกพรรคการเมืองกลัวทหารมาเล่นการเมือง ไม่ใช่กลัวทหารโกงกินหรอกเอย่าว่า เพราะต่อให้ไม่ใช่ทหารพวกเขาก็ทำกันอยู่แล้วเผลอๆหนักกว่ายุคทหารด้วย  แต่ที่กลัวทหารมาเล่นการเมืองเพราะคนพวกนั้นสั่งทหารไม่ได้ตะหากเพราะทหารถูกฝึกมาให้รับคำสั่งและทำเพื่อบ้านเมืองให้ดีที่สุดนั่นเอง

โฆษกฮุนเซน หยามไทยไม่กล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ชี้ไทยจองหอง-ดื้อดึง จะยิ่งเจ็บทั้งเศรษฐกิจและการเมือง

(23 มิ.ย. 68) เพ็ญ โบนา โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ออกแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ตอบโต้ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มกดดันก่อน ทั้งปิดชายแดนฝ่ายเดียวและขู่ตัดการเชื่อมต่อด้านพลังงานและเศรษฐกิจ จนทำให้กัมพูชาต้องตอบโต้กลับอย่างจริงจัง

โฆษกกัมพูชา เปิดเผยว่า กองทัพไทยและนักการเมืองบางกลุ่ม รวมถึงฝ่ายหัวรุนแรง มีทัศนคติล้าหลัง มองกัมพูชาอย่างดูแคลน คิดว่าประเทศเพื่อนบ้านยังพึ่งพาไทยเหมือนในอดีต ทั้งที่ปัจจุบันกัมพูชาแข็งแกร่งขึ้นและไม่ยอมถูกกดดันอีกต่อไป

หนึ่งในมาตรการตอบโต้ที่ถูกนำมาใช้คือ การระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทย ซึ่งโฆษกระบุว่าไทยเริ่มรู้แล้วว่าแรงกดดันไม่ได้ผล และกัมพูชาคือฝ่ายที่เคลื่อนไหวก่อนด้วยซ้ำ ทำให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับย้อนคืนสู่ไทยเอง

เพ็ญ โบนา ยังเผยอีกว่าไทยพยายามติดต่อผู้นำกัมพูชาทั้งฮุน มาเน็ต และฮุน เซน เพื่อเจรจาอย่างลับ ๆ แต่กัมพูชาไม่หลงกล เพราะมองว่าเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการทูตที่แฝงเจตนาอย่างไม่จริงใจ ภายใต้ฉากหน้าว่าเป็นมิตร

ทั้งนี้  โฆษกรัฐบาลกัมพูชายืนยันไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่จะไม่ยอมถูกมองข้ามอีกต่อไป พร้อมเตือนว่าหากไทยยังยึดถือความหยิ่งผยอง สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความรู้สึกของประชาชนภายในประเทศเอง

‘กัมพูชา’ เผชิญ 3 วิกฤตหลังปิดด่านประชดไทย โรคระบาด – พลังงาน - เสื่อมศรัทธาทางการทูต

(23 มิ.ย. 68) กัมพูชากำลังเข้าสู่ “สามวิกฤต” ซ้อน - สุขภาพ พลังงาน และศรัทธาระหว่างประเทศ หลังปิดด่านประชดไทย

ณ เวลานี้ กัมพูชากำลังเผชิญกับวิกฤตหลายด้านพร้อมกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน จนอาจกล่าวได้ว่าประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ “สามวิกฤตรุมเร้า” ซึ่งประกอบด้วยภัยสาธารณสุข ภัยเศรษฐกิจ และภัยทางการทูตอย่างรุนแรง

1. ไข้หวัดนกระบาดหนัก – ชายแดนไทย–กัมพูชาส่อปิดยาว
สถานการณ์ไข้หวัดนกในกัมพูชากำลังทวีความรุนแรง โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ติดต่อสู่คนได้ ทำให้อัตราการตายสูงเกิน 50% ในหลายกรณี (เช่น H5N1)มีความเป็นไปได้สูงครับว่า ภาครัฐของไทยมีแนวโน้มจะพิจารณาปิดด่านชายแดนเพื่อจำกัดการแพร่ระบาด ถ้าเกิดขึ้นไม่เพียงแต่กระทบแรงงานข้ามชาติ แต่ยังทำให้เศรษฐกิจชายแดนของกัมพูชาแทบหยุดชะงักไปยาวๆอีกสักพักนึงเลยครับ

2. วิกฤตน้ำมัน – ราคาพุ่งจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซ
จากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้ช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงแบบฉับพลัน กัมพูชาในฐานะประเทศที่พึ่งพาน้ำมันนำเข้าเกือบทั้งหมดต้องรับผลเต็ม ๆ โดยเฉพาะเมื่อชายแดนไทยที่เคยเป็นเส้นทางลำเลียงพลังงานทางบกกลับมีแนวโน้มจะปิดตามมาตรการสาธารณสุข วิกฤตพลังงานจึงกลายเป็นวิกฤตต้นทุนชีวิตของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้เนี่ยมือถือเป็นนโยบายที่ผิดพลาดโดยกัมพูชาโดยตรงเพราะว่าคนที่ออกนโยบายสกัดกั้นน้ำเป็นน้ำมันจากไทยนั้นก็ไม่ออกเลยรัฐบาลกัมพูชาซึ่งเพิ่งประกาศใช้ไปเมื่อวานนี้เอง

3. เสียหน้าในเวทีระหว่างประเทศ – พฤติกรรมทางการทูตสะท้อนความไม่เป็นมืออาชีพ
แม้รัฐบาลกัมพูชาจะพยายามใช้การเปิดคลิปเสียงโจมตีผู้นำไทยเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง แต่ผลที่ตามมากลับกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ตกต่ำในสายตานานาชาติ การนำข้อมูลลับทางการทูตออกมาเปิดเผยเพื่อหวังผลทางการเมืองภายใน ถือเป็นการทำลายความเชื่อถือของระบบการทูตระหว่างประเทศโดยตรง ประเทศใดที่ไม่เคารพหลักการพื้นฐานของการทูต ย่อมถูกมองว่า “ไม่สามารถไว้วางใจได้”

เรื่องนี้อย่าทำให้เห็นภาพชัดว่าฮุนเซนกำลังเผชิญกับการสูญเสียภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะการทำลายมิตรภาพที่ยาวนานกว่าหลาย 10 ปีเพียงเพื่อการเอาชนะในสรภูมิการเมืองเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง

บทสรุป
ในขณะที่ประชาคมโลกเผชิญกับความผันผวนจากภูมิรัฐศาสตร์ กัมพูชากลับเผชิญ “ไฟสามด้าน” พร้อมกัน ทั้งโรคระบาด วิกฤตพลังงาน และความเสื่อมศรัทธาทางการทูต

คำถามสำคัญคือ—ผู้นำกัมพูชาจะรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร โดยไม่ยิ่งซ้ำเติมประชาชน และไม่พาประเทศให้ถลำลึกสู่ความโดดเดี่ยวทางการเมืองมากไปกว่านี้?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top