ปัญหาชายแดน ‘ไทย-กัมพูชา’ ที่รัฐบาลทำงานไม่คืบหน้า นี่คือกุญแจที่ไขคำตอบว่า กองทัพรัฐประหารทำไม
(15 มิ.ย. 68) สุดท้ายการประชุม JBC ไทย-กัมพูชาก็เป็นอย่างที่เอย่าคาด คือฝ่ายกัมพูชาจะตีกินเพื่อล่มการประชุมนี้และจะพยายามดึงให้ไทยเข้าสู่ศาลโลก
เอาเป็นว่าก่อนมาถึงตรงนี้เอย่ามาย้อนความกันก่อนดีกว่าว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง
ทุกอย่างเริ่มจากทหารกัมพูชารุกล้ำชายแดนไทยแล้วอ้างว่าปราสาทตาเมืองธมและปราสาทตาควายเป็นของกัมพูชา ทางกองทัพไทยก็ไม่รอช้าส่งกองทัพเข้าประชิดชายแดนส่งทหารพรานปักธงชัยลงพื้นที่ทันที
ฝั่งกัมพูชาเห็นท่าไม่ดีก็เลยสั่งให้กองทัพตนเองร่นลงมา สุดท้ายพยายามดิ้นว่าจะฟ้องศาลโลก
ฝั่งไทยกร้าวขึ้นประกาศปิดด่านชายแดน ฝั่งกัมพูชาเริ่มปล่อยข่าวแบนสินค้าไทย แต่ไม่เป็นผลจึงเปลี่ยนมาใช้มาตรการตัดเนตตัดไฟที่เคยซื้อจากฝั่งไทย
ดูฝั่งรัฐบาลไทยก็พยายามจะกีดกันกองทัพไม่ให้เข้ามายุ่งโดยอ้างว่าจะไปตกลงกันในที่ประชุม JBC และสุดท้ายเป็นอย่างไรละก็ตามที่นักวิเคราะห์คาดเลยว่าฝั่งกัมพูชาจะล้มโต๊ะการประชุม JBC
ถามว่างานนี้ผู้นำไทยรู้เห็นไหมคงไม่อาจทราบได้ แต่มีนักวิเคราะห์หลายคนบอกว่าเรื่องราวนี้ถ้าไม่มีการผลักจากฝั่งรัฐบาลไทย เราก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปรับอำนาจศาลโลกเหมือนที่เคยเสียเปรียบและเสียดินแดนมาแล้วในอดีต
ความไม่ไว้วางใจก่อปัญหารุนแรงมากขึ้นเพราะทุกคนในประเทศไทยนี้รู้ดีถึงสายสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างผู้นำของไทยและกัมพูชา จนเรียกได้ว่าปัญหานี้แก้ง่ายมากแค่บินไปกินข้าวบ้านญาติสักมื้อก็น่าจะจบ
แต่หากคิดอีกมุมว่านี่คือแผนฮุบแผ่นดินของครอบครัวนี้ โดยสุดท้ายหากมีการขึ้นศาลโลกและตัดสินแบ่งดินแดนไปคนละครึ่ง บ้านฝั่งกัมพูชาก็จะได้อวดว่านี่ไงฉันไปเอาแผ่นดินที่เคยเป็นของเรามาได้ตั้ง 500,000 ตารางกิโลเมตร ในขณะครอบครัวฝั่งไทยจะอ้างว่านี่ฉันหยุดความสูญเสียทั้งสงคราม เศรษฐกิจระหว่างประเทศไว้เชียวนะ
ถามว่ามาแนวนี้นักวิเคราะห์หลายคน ประชาชนหลายกลุ่มก็ดูออกเพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นรัฐบาลนี้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักเรื่อง
เผลอๆเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะเป็นคำตอบให้ประชาชนหลายคนที่อาจจะลืมไปแล้วว่าตอนนั้นลุงตู่ต้องทำรัฐประหารเพราะอะไร ให้กลับมาเห็นก็ได้ว่าการรัฐประหารมันไม่ได้แย่หากทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
