Monday, 16 June 2025
ค้นหา พบ 48843 ที่เกี่ยวข้อง

‘โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี’ นำร่องโมเดล ‘หนอนแม่โจ้’ ช่วยจัดการขยะอินทรีย์ – ลดการฝังกลบ 20 ตัน/ปี

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพีสร้างปรากฏการณ์ นำนวัตกรรมการเลี้ยง 'หนอนแม่โจ้' (Black Soldier Fly - BSF) มาใช้จัดการขยะอินทรีย์จากโรงอาหาร โดยหนอนแม่โจ้สามารถย่อยสลายขยะได้ภายใน 12 ชั่วโมง ทำให้ในปี 2024 ลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบได้มากถึง 20 ตันต่อปี โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นต้นแบบให้องค์กรอื่น ๆ หันมาจัดการขยะอินทรีย์อย่างยั่งยืน

ระบบครบวงจร เปลี่ยนขยะเป็นโปรตีน
โครงการเริ่มต้นในปี 2024 ด้วยการคัดแยกขยะจากโรงอาหาร นำขยะอินทรีย์มาเพาะเลี้ยงหนอนแม่โจ้ในระบบปิด ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่เลี้ยงตัวอ่อนและพื้นที่สำหรับแมลงวันตัวเต็มวัยวางไข่ ระบบนี้ได้รับการออกแบบให้เหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม หนอนแม่โจ้มีประสิทธิภาพสูงกว่าไส้เดือนถึง 5 เท่า ย่อยสลายขยะอินทรีย์ได้ถึง 70% และตัวหนอนมีโปรตีนสูง สามารถนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ ช่วยลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ได้ถึง 50% และทำให้สัตว์เติบโตได้ดีขึ้น

มุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและเป้าหมาย SDGs
โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และสร้างจิตสำนึกให้พนักงานมีส่วนร่วมในการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ผู้บริหารโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีกล่าวว่า "โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเราในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เราหวังว่าจะเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่น ๆ ในการจัดการขยะอินทรีย์อย่างครบวงจร"

หนอนแม่โจ้ ผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม
หนอนแม่โจ้ หรือ Black Soldier Fly (BSF) เป็นแมลงที่มีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายขยะอินทรีย์ ด้วยความสามารถในการกินและย่อยสลายเศษอาหารและขยะอินทรีย์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หนอนแม่โจ้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการจัดการขยะอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ หนอนแม่โจ้ยังมีโปรตีนสูง จึงสามารถนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ ลดการพึ่งพาอาหารสัตว์สำเร็จรูปที่มีต้นทุนสูง และส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อนาคตที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม
โครงการของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้หนอนแม่โจ้ในการย่อยสลายขยะอินทรีย์ ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยการนำหนอนแม่โจ้ไปใช้เป็นอาหารสัตว์ โครงการนี้แสดงให้เห็นว่า การจัดการขยะอย่างยั่งยืนสามารถทำได้จริง และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน

บีโอไอ ผนึก Omoda & Jaecoo จับคู่ธุรกิจผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย ยกระดับฐานการผลิต EV สร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 2 พันล้านบาท

(26 ก.พ. 68) บีโอไอจับมือ โอโมดา แอนด์ เจคู ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ในเครือ Chery Automobile จากจีน จัดงาน “OMODA & JAECOO Sourcing Day” เชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ซัพพลายเชนของ EV และยกระดับไทยก้าวสู่ฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก เผยยอดเจรจาธุรกิจ 50 บริษัท คาดเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 2,100 ล้านบาท 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 บีโอไอ ร่วมกับ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) บริษัทในเครือของ Chery Automobile ผู้นำด้านยานยนต์พลังงานใหม่ระดับโลกจากประเทศจีน และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ร่วมจัดงาน “OMODA & JAECOO Sourcing Day” ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เพื่อจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์จากผู้ผลิตในประเทศ สำหรับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลังจากที่กลุ่ม Chery Automobile เลือกไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชนิดพวงมาลัยขวา เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง 

Chery เป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์พลังงานใหม่ที่มีการเติบโตของยอดขายและยอดส่งออกสูงที่สุดจากประเทศจีน มีผู้ใช้งานกว่า 14 ล้านคน ในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก สำหรับแผนธุรกิจในประเทศไทย จะดำเนินการภายใต้บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด โดยได้ตัดสินใจใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV พวงมาลัยขวาแห่งเดียวในอาเซียน เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั้งในประเทศไทยและเป็นฐานในการส่งออก ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมติดตั้งสายการผลิตที่โรงงานในจังหวัดระยอง โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้ในเดือนสิงหาคม 2568 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV สูงสุดในเฟสแรก 50,000 คันต่อปี และมีแผนจะลงทุนผลิตแบตเตอรี่ในขั้น Pack Assembly ในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ด้วย 

โอโมดา แอนด์ เจคู มีความตั้งใจที่จะช่วยสร้างซัพพลายเชนในไทยให้มีความพร้อมรองรับการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ของบริษัทอย่างครบวงจร โดยตั้งเป้าใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศร้อยละ 45-50 ภายในปีนี้ และเพิ่มเป็นร้อยละ 70 - 80 ภายใน 5 ปีข้างหน้า การจัดงาน “OMODA & JAECOO Sourcing Day” ในครั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าจัดซื้อชิ้นส่วนรถยนต์จำนวนมากจากผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะใน 6 กลุ่มชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Interior, Exterior, Electrical, Chassis, New Energy และ Powertrain โดยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศเข้าร่วมงาน 370 คน จาก 200 บริษัท และมีการเจรจาจับคู่ธุรกิจเป็นรายบริษัทกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ จำนวน 50 บริษัท คาดว่าจะเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนกว่า 2,100 ล้านบาท

“กิจกรรม Sourcing Day เป็นงานที่บีโอไอให้ความสำคัญ เพื่อผลักดันการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ผ่านการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยกับบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงซัพพลายเชนระดับโลก และเกิดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการผลิต การจัดการ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และอาจนำไปสู่การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจหรือการร่วมทุนกันในอนาคต การร่วมมือกับบริษัทระดับโลกอย่าง Chery Automobile (OMODA & JAECOO) ในวันนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย และช่วยยกระดับผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก” นายนฤตม์ กล่าว

นายฉี เจี๋ย ประธานบริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) กล่าวว่า “OMODA & JAECOO รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้จัดงาน Sourcing day ร่วมกับบีโอไอในครั้งนี้ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งผ่านการเจรจาธุรกิจในงาน Sourcing Day นี้ เนื่องจากเราเห็นว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยมีศักยภาพและนวัตกรรม ทำให้เรามองเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการร่วมงานกับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนของไทย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดภายในประเทศและระดับสากล ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสำคัญกับงานนี้ และเราหวังว่าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล”

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บีโอไอได้จัดกิจกรรม Sourcing Day ร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว 6 ราย ได้แก่ BYD, NETA, MG, CHANGAN, GAC AION และ Foton คาดว่าจะเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 48,000 ล้านบาท สำหรับปี 2568 นี้ บีโอไอมีแผนจัดกิจกรรมดังกล่าวให้กับกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนอีกหลายราย เช่น ZF AUTOMOTIVE และ PACCAR เป็นต้น

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี “สร้างชีวิต” แก่ชาวหนองบัวลำภู อย่างยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (25 ก.พ.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู (จังหวัดที่ 18 ของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่ครัวเรือนยากจน จำนวน 21 ครัวเรือน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว และมอบรถจักรยานแก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน 

เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวหนองบัวลำภูในครั้งนี้ทั้งสิ้น 523,160 บาท (ห้าแสนสองหมื่นสามพันหนึ่งร้อยหกสิบบาทถ้วน) นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้จัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยมี นายสุรศักดิ์ อักษรกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู พร้อมด้วย นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี และคณะมูลนิธิรวมใจหนองบัวลำภู เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี รวมทั้ง อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายภัทรพล แก้วสกุณี (เค-ภัทรพล) นางสาวพัชรมัย บุญเลิศกุล (แพรว-พัชรมัย) ร่วมในพิธี โดยมี ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ ณ บริเวณหอประชุมที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม ซึ่งปัจจุบันทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่มอบอุปกรณ์ฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปแล้วทั้งสิ้น 18 จังหวัด 431 ครัวเรือน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 9,598,554 บาท (เก้าล้านห้าแสนเก้าหมื่นแปดพันห้าร้อยห้าสิบสี่บาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

เชียงใหม่-เปิดเวทีสร้างการรับรู้และส่งเสริมเครือข่ายองค์กร“การตอบแทนคุณระบบนิเวศ (PES)”เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการไฟป่า

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ร่วมกับ มูลนิธิรักษ์ไทย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จัดเวทีสัมมนา เพื่อสร้างการรับรู้และขยายเครือข่ายองค์กร การตอบแทนคุณระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem Services - PES) เพื่อส่งเสริมความร่วม ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการไฟป่า ระหว่างวันที่ 26 - 27 กุมภาพันธ์ 2568  โดยในวันที่ 26 กุมภาพันธ์  2568 กิจกรรมการสัมมนา ณ โรงแรมอโมร่า ท่าแพ จ.เชียงใหม่ และวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 กิจกรรมร่วมจัดทำแนวป้องกันไฟป่า บ้านขุนช่างเคี่ยน และติดตั้งกล้องวงจรปิดติดตามและเฝ้าระวังไฟป่า บ้านดอยปุย อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ- ปุย 

การสัมมนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 90 คน จากชุมชน 17 แห่ง ภาคธุรกิจ 22 องค์กร และผู้เข้าร่วมจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และสื่อมวลชน โดยเวทีสัมมนา นี้มีเป้าหมายในการ "สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ PES (Payment for Ecosystem Services) และขยายเครือข่ายความร่วมมือในการอนุรักษ์ป่า" ซึ่งเป็นแนวทางในการให้ผู้ได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศ มีส่วนร่วมในการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผู้ทำหน้าที่อนุรักษ์ เพื่อสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ 

สร้างความเข้าใจ PES เพื่อความร่วมมือในการอนุรักษ์ป่า Payment forEcosystem Services-PES คือ การสร้างกลไกให้ผู้ได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศ มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดูแล และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนโดยการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผู้ ปกป้อง ดูแล รักษาทรัพยากรธรรมชาติ โดยเวทีสัมมนาครั้งนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์ และแนวทางความ ร่วมมือ  จากหลากหลายภาคส่วนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นรูปธรรมและยั่งยั่งยืนร่วมกัน ความร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรม ผสานจุดแข็งและศักยภาพของแต่ละภาคส่วนคือ หนทางสู่การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่ยั่งยืน

สำหรับกิจกรรมในเวทีสัมมนาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษ เรื่อง "สานพลังภาคี กุญแจสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการไฟป่า" และบรรยายพิเศษเกี่ยวกับการสร้างความร่วมมือในการหนุนเสริมชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ตามหลักการ PES โดย นายสุวิร์ งานดี รองผู้ อำนวยการสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) นายพร้อมบุญ พานิชภักดิ์  เลขาธิการมูลนิธิรักษ์ไทย อาจารย์ไพสิฐ  พาณิชย์กุล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกฎหมาย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

และบทบาทภาคธุรกิจเอกชนกับการหนุนเสริมชุมชุมชนท้องถิ่น โดย นายอโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ และผู้บริหารส่วน งานเทคโนโลยี บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย และเวทีเสวนาแลก เปลี่ยนประสบการณ์ และบทเรียนการทำงานด้านการอนุรักษ์ความหลากหลากยทางชีวภาพและการจัดการไฟป่า โดยวิทยากรจากชุมชนท้องถิ่น นักวิชาการ ภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชา
สังคม และสื่อมวลชน

ผบ.ตร. สั่งระดมกวาดล้างต่างด้าวกระทำผิดกฎหมายทั่วประเทศ 18 – 24 กุมภาพันธ์ 2568 จับกุมกว่า 9,500 ราย กำชับปฏิบัติการต่อเนื่อง

(26 ก.พ.68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปชก.ตร.) โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่รับผิดชอบ ในห้วงระหว่างวันที่ 18 – 24 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมุ่งเน้นจับกุมการกระทำความผิดของคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ นั้น 

ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปชก.ตร.) สรุปผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศระหว่างวันที่ 18 – 24 กุมภาพันธ์ 2568 มีการจับกุมรวมทั้งสิ้น 9,532 ราย แบ่งเป็น จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 207 ราย , ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 6,239 ราย , Over stay 875 ราย , เพิกถอนการอนุญาต 120 ราย , ทำงานโดยผิดกฎหมาย 463 ราย และอื่นๆ 1,628 ราย โดยผู้ต้องหาเป็นสัญชาติไทย 564 ราย , เมียนมา 4,879 ราย , ลาว 1,699 ราย , กัมพูชา 1,376 ราย เวียดนาม 103 ราย และอื่นๆ 911 ราย  

โดยในจำนวนนี้มีการจับกุมรายสำคัญหลายราย อาทิ การสกัดจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซุกระเบิดสังหารชนิดขว้างและคีตามีน กว่า 1 กิโลกรัม และยาเสพติดชนิดอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นปฏิบัติการร่วมระหว่างตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจท่องเที่ยว จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 4 ราย เป็นสัญชาติไทย ไต้หวัน และ ฟิลิปปินส์ จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาชาวไต้หวันที่ถูกจับกุม เป็นบุคคลที่ทางการไต้หวันได้ออกหมายจับ จำนวน 5 คดี และชาวฟิลิปปินส์ จำนวน 2 คน เชื่อว่าน่าจะถูกหลอกลวงไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศเมียนมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสิงห์บุรี คัดกรองเพื่อหาข้อบ่งชี้จากการค้ามนุษย์ตามกลไกส่งต่อระดับชาติ (NRM) 

อีกคดี ได้แก่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ให้ความช่วยเหลือบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งให้การว่าถูกกลุ่มขบวนการนำพาตนกับพวกรวมสัญชาติจีน รวม 6 คน เดินทางด้วยรถยนต์กระบะจากพื้นที่ชายแดนมายังจุดเกิดเหตุ เมื่อมีโอกาสจึงกระโดดรถหลบหนีออกมา จากนั้นได้ขยายผลตรวจสอบบ้านเช่าและอาคารพาณิชย์ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ที่สืบทราบว่ามีการนำพาคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และเป็นสถานที่ปลอมพาสปอร์ตคนจีนที่กลุ่มขบวนการขนคนได้ลักลอบพาเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่หากถูกเรียกตรวจ จึงได้จับกุมผู้ต้องหา จำนวน  13 ราย ดำเนินการตามกฎหมายทั้งขบวนการ รวมทั้งดำเนินการสืบสวนขยายผลต่อไป

ทั้งนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้กำชับศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการกวดขัน สืบสวน ป้องกัน ปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชน สอดรับตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top