Saturday, 21 June 2025
ค้นหา พบ 48936 ที่เกี่ยวข้อง

‘อัครเดช’ ประสานความร่วมมือทูตพาณิชย์รัสเซีย เร่งดัน FTA ไทย-รัสเซีย เชื่อสร้างประโยชน์การค้า 2 ประเทศ

(11 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า จากการที่ตนได้หารือกับนาย Yuri Lyzhin ทูตพาณิชย์ของกระทรวงพาณิชย์รัสเซีย และตัวแทนผู้ประกอบการของรัสเซีย เช่น นาย Ivan D. Ignatov จากบริษัท RUSAL และนาย Artem Asatur จากบริษัท Aluminium Association ที่ฝ่ายรัสเซียมีข้อเสนอในการจัดทำเขตการค้าเสรี(Free Trade Area) กับทางรัฐบาลไทย เพื่อส่งเสริมและยกระดับเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนในไทยของนักธุรกิจชาวรัสเซียให้มากขึ้น เนื่องด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของประเทศไทย ซึ่งตนเห็นด้วยและได้ตอบรับกับแนวคิดดังกล่าว พร้อมตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อศึกษาร่างกฎระเบียบและข้อตกลง FTA ไทย-รัสเซียด้านอุตสาหกรรมโลหะโดยเฉพาะอลูมิเนียมเพื่อยกระดับการค้าการลงทุนของทั้ง 2 ประเทศโดยนำเสนอรัฐบาลผ่านสภาผู้แทนราษฎร

“ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ไทยกับรัสเซียจะร่วมกันเจรจาผลักดัน FTA ไทย-รัสเซีย ให้ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรม หลังทั้งคู่เคยพยายามผลักดันร่วมกันมาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้จนถึงปัจจุบัน โดยในครั้งนี้ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมสภาผู้แทนราษฎรจะเข้ามาร่วมสนับสนุน เพื่อดำเนินการจัดทำข้อตกลง FTA ไทย-รัสเซีย ให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ อันจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจและสร้างผลประโยชน์อันมหาศาลให้กับทุกภาคส่วนในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการและภาคแรงงาน เพราะถ้า FTA ดำเนินการแล้วเสร็จจนมีผลบังคับใช้ ตนเชื่อว่ารัสเซียจะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน ในทางเดียวกันผู้ประกอบการไทยก็จะสามารถส่งสินค้าไปขายในรัสเซียได้ปริมาณมากขึ้น เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับไทยได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 วันมาฆบูชา หนึ่งในวันสำคัญของชาวพุทธ ที่เกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการ หรือ จาตุรงคสันนิบาต

วันมาฆบูชา ย่อมาจาก “มาฆปูรณมีบูชา” หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 3) ซึ่งวันมาฆบูชาปี 2568 ตรงกับวันที่ 12 ก.พ.

วันมาฆบูชา เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน คือ พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา คัมภีร์ปปัญจสูทนีระบุว่าครั้งนั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระภิกษุ 1,250 รูป ได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระภิกษุทั้งหมดนั้นเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระภิกษุทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4

เดิมนั้นไม่มีพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น การประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือ มีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น ในช่วงแรก พิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป ต่อมา ความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

ทรัมป์เปิดปาก!! บอกบางส่วนของยูเครนอาจรวมกับรัสเซีย มอสโกชี้ช่องประชาชนลงประชามติหนุนเข้าร่วม

(11 ก.พ.68) โฆษกของเครมลิน ดมิทรี เปสคอฟ กล่าวเมื่อวันอังคารว่า พื้นที่ส่วนสำคัญของยูเครนต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย และเป็นข้อเท็จจริงที่ประวัติศาสตร์ได้ยืนยันแล้ว

คำพูดของโฆษกรัสเซียมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวว่า ยูเครนควรรับประกันความปลอดภัยของเงินทุนจากสหรัฐฯ ที่ได้ลงทุนในประเทศนี้ เพราะบางส่วนอาจจะกลายเป็นรัสเซียในอนาคต หรืออาจจะไม่เป็นรัสเซียในวันข้างหน้าก็ย่อมได้

เรื่องดังกล่าวทางด้านโฆษกรัสเซียออกมาแถลงว่า "มันเป็นข้อเท็จจริงที่ส่วนสำคัญของยูเครนต้องการที่จะเป็นรัสเซีย และได้กลายเป็นรัสเซียแล้ว นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงบนโลกนี้ ด้วยการที่มีการเข้าร่วมในสหพันธรัฐรัสเซียในสี่ภูมิภาคใหม่ ซึ่งประชาชนที่แม้จะต้องเผชิญกับอันตรายมากมายก็ยังยืนเข้าแถวและลงประชามติในการเข้าร่วมสหพันธรัฐรัสเซีย คำพูดดังกล่าวสอดคล้องกับคำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นอย่างมาก"

เปสคอฟยังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีการลงประชามติ ปรากฏการณ์ใด ๆ อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความน่าจะเป็น 50/50

"คุณรู้ไหมว่า ปรากฏการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นได้ด้วยความน่าจะเป็น 50% อาจเป็นใช่หรือไม่ใช่ ผมไม่สามารถบอกอะไรได้มากกว่านี้" เปสคอฟกล่าว

13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 ไทยเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้ ฝรั่งเศส แลกกับเมืองจันทบุรี ที่ถูกยึดไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ ร.ศ. 112

วันนี้ เมื่อ 122 ปีก่อน ไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ตรงข้ามเมืองจำปาศักดิ์ และเมืองมโนไพรฝั่งให้ฝรั่งเศส แลกกับเมืองจันทบุรี ที่ฝรั่งเศสยึดไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2437)

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411-2453) การแผ่อิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกรุนแรง และแข็งกล้า ยิ่งกว่าสมัยใด ๆ..... มหาอำนาจตะวันตกที่คอยคุกคามไทยทางด้านตะวันออกคือ.....ฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสได้ขยายอำนาจมาทางตะวันออกของแหลมอินโดจีน จนครอบครองญวนทั้งประเทศ รวมทั้งเขมรส่วนนอก ทั้งหมดด้วย แต่ความต้องการของฝรั่งเศสไม่ได้หยุดนิ่งแค่นั้น ยังมีความต้องการที่จะครอบครองดินแดนที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงทั้งหมด ซึ่งขณะนั้นมีดินแดนบางส่วนที่อยู่ภายใต้ครอบครองของไทย การขยายตัวของฝรั่งเศส จึงสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยเรื่อยมา.......โดยเฉพาะ.. ความพยายามที่จะ แทรกแซงในดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำ โขง ในระยะแรกฝรั่งเศสได้แทรกแซงโดยวิธีการทูต แต่เมื่อเห็นว่าไม่ประสบผลสำเร็จจึงใช้นโยบายเรือปืนข่มขู่ไทย บริเวณปากแม่น้ำ ในที่สุดก็นำไปสู่วิกฤตกาลที่เรียกว่า "วิกฤตกาล ร.ศ. 112" เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2536 ผลของการรบปรากฏว่าฝ่ายไทยยอมจำนน และทำสัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2436

ตามสัญญาและอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2436 นี้นอกจากจะทำให้ไทยจะต้องเสียดินแดนริมฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเสียค่าปรับเป็นจำนวนมากแล้ว ฝรั่งเศสยังยึดจันทบุรีไว้เป็นหลักค้ำประกัน ตามสัญญาข้อ 6 ซึ่งระบุไว้ว่า "ฝรั่งเศสจะยึดจันทบุรีไว้จนกว่าไทยจะปฏิบัติตาม สัญญา ดังกล่าวครบถ้วน และจนกว่าจะเกิดความสงบเรียบร้อยทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำโขงในระยะ 25 กิโลเมตร"

การยึดครองจันทบุรีของกองทหารฝรั่งเศสนั้นไม่ได้ยึดทั้งเมือง แต่จะยึดเฉพาะบริเวณอันเป็นที่ตั้งของกองทหารคือค่ายทหารในเมืองจันทบุรี กับค่ายทหารที่ปากน้ำแหลมสิงห์ โดยได้เข้ายึดตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2436 เป็นต้นมา จนกระทั่งได้ถอนออกไปเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2447 ภายหลังจากการได้ลงนามในอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2446 .........ผลของสนธิสัญญาฉบับนี้..............ฝรั่งเศสจะยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี แต่จะไปยึดตราดและด้านซ้ายแทนตามพิธีสารฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2447

ฝรั่งเศส...ได้เข้าปกครองจังหวัดตราดตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2447 แต่เป็นการปกครองดินแดนแต่เพียงบางส่วนเท่านั้น ปรากฏว่าฝรั่งเศสปกครองเมืองตราดมาถึง วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2450 จึงถอนทหารออกไป ทั้งนี้ หลังจากที่ไทยทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ (ลงวันที่ 23 มีนาคม 2450) ได้มีการตกลงในหลักการสำคัญคือ แลกเปลี่ยนพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ กับด่านซ้าย และตราดรวมทั้งหมู่เกาะที่อยู่ภายใต้แหลมลิง (ในตำบลบางปิด อำเภอแหลมงอบในปัจจุบัน) ลงไทย อย่างไรก็ดีไทยไม่ได้รับมอบดินแดนคืนทั้งหมด เพราะเมืองประจันตคีรีเขตร (เกาะกง)ไม่ได้รับกล่าวถึงในสนธิสัญญา รวมเวลาที่เมืองตราดอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ประมาณ 3 ปี....

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (10) : ‘การปล่อยให้เอกชนผลิตไฟฟ้ามากขึ้น’ ทำให้ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ จริงหรือไม่!!!

(11 ก.พ. 68) “การปล่อยให้การผลิตไฟฟ้าไปอยู่ในมือของภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ” เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ นักวิชาการ NGO และสื่อบางสำนัก มักหยิบยกมากล่าวอ้างว่า มีส่วนสำคัญที่ทำให้ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ซึ่งกลับกลายเป็นความย้อนแย้งกับการเรียกร้องให้ “เพิ่มการใช้กลไกตลาดเข้าไปในระบบไฟฟ้า เพื่อทำให้เกิด ‘ตลาดซื้อขายไฟฟ้า’ อย่างเสรี” ขึ้นในประเทศไทย เพราะ ‘ตลาดซื้อขายไฟฟ้า’ อย่างเสรี ย่อมหมายถึงผู้ประกอบการเอกชนสามารถที่จะเข้ามามีบทบาทใน ‘กิจการไฟฟ้า’ มากขึ้นทั้งระบบตั้งแต่ ‘ต้นน้ำ’ ไปจนกระทั่งถึง ‘ปลายน้ำ’ 

โดยที่ มาตรา 56 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ได้ระบุเอาไว้ว่า “รัฐต้องจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามรัฐธรรมนูญ และในวรรคสอง ได้ระบุว่า “โครงสร้างหรือโครงข่ายพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ อันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ โดยความมั่นคงของรัฐนั้นจะให้เอกชนเป็นเจ้าของเกิน 51 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้” ดังนั้น แม้ว่า เอกชนจะเข้ามามีบทบาทในกิจการไฟฟ้า โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น แต่คงอยู่ในกรอบกติกาภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งมีการวางแผนและกำหนดนโยบายโดย กพช. และกำกับดูแลการประกอบกิจการโดย กกพ. มี กฟผ. ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการในส่วนของการซื้อและขายไฟฟ้า จากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 กำลังผลิตตามสัญญาของระบบที่กฟผ. รับผิดชอบดูแลบริหารจัดการคือ 51,414.30 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็นของ กฟผ. 31.62% เอกชนรายใหญ่ (IPP) 38.12% เอกชนรายเล็ก (IPP) 18.13% และนำเข้าจากต่างประเทศอีก 12.13% (ในส่วนของเอกชนรายใหญ่ (IPP) รายหนึ่งคือ RATCH มีกฟผ. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่หนึ่ง (45%)

การที่ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามามีส่วนในการผลิตไฟฟ้าเกิดจากรัฐบาลในปี พ.ศ. 2533 ได้ให้การส่งเสริมเอกชนได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้า เพื่อจะเป็นการเพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงานไฟฟ้า ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและผู้บริโภคมีพลังงานไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังจะเป็นการลดภาระการลงทุนของรัฐและลดภาระหนี้สินของประเทศ ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กรณีของโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ซึ่งใช้ระบบพลังงานความร้อนร่วม เป็นต้น ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับบริการและคุณภาพไฟฟ้าที่ดีขึ้น เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการด้านพลังงานของประเทศ และเป็นส่วนในการช่วยพัฒนาตลาดทุนของประเทศอีกด้วย

ด้วย นโยบายลดภาระการลงทุนภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าของรัฐบาลในปี พ.ศ. 2535 ทำให้มีมติ ครม. เห็นชอบเรื่องแนวทางในการดำเนินงานในอนาคตของ กฟผ. โดยกำหนดขั้นตอนและแนวทางให้เอกชนมีบทบาทมากขึ้นในกิจการไฟฟ้าของไทย ให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้ารูปแบบของผู้ผลิตไฟฟ้าฟ้าอิสระหรือรายใหญ่ (IPP) ต้องขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. เท่านั้น และให้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ซึ่งใช้พลังงานนอกรูปแบบ เป็นการแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าด้วย โดย กฟผ. ได้ประกาศรับซื้อไฟจากเอกชนรายใหญ่เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจะอยู่ภายใต้มติเห็นชอบของ ‘คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)’ มาจนถึงปัจจุบัน และ ‘คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)’ ทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน อันหมายถึง กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการระบบโครงข่ายพลังงาน

สภาพการณ์ที่เป็นอยู่ของ ‘กิจการไฟฟ้า’ ทั้งระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ น่าจะมีความเหมาะสมที่สุดกับบริบทของประเทศไทยแล้ว ด้วย ‘กิจการไฟฟ้า’ ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ ด้วยความเป็นกิจการรัฐวิสาหกิจจึงคงวัตถุประสงค์และความมุ่งหมายในการเป็นกิจการที่ดำเนินงานเพื่อบริการสาธารณะสำหรับประชาชนคนไทย ในอีกมิติหนึ่งที่มีความสำคัญคือ ความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งปรากฏให้เห็นในหลาย ๆ ประเทศ อาทิ ประเทศเพื่อนบ้านด้านตะวันตก ซึ่งมีปัญหาไฟฟ้าดับเป็นประจำ จนกิจการธุรกิจต่าง ๆ ต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไว้ใช้เอง หรือหลาย ๆ ประเทศในละตินอเมริกา ซึ่งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ทั้งนี้ จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการที่จำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น ความต้องการไฟฟ้าในภูมิภาคอเมริกากลางและใต้จึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลให้เกิดความขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าไปทั่วทั้งภูมิภาค ตั้งแต่บราซิลที่ขาดแคลนทรัพยากรไปจนถึงเวเนซุเอลาซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันเอง ท่ามกลางความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ภูมิภาคนี้ต้องดิ้นรนกับปัญหาต่าง ๆ มากมายในการสร้างกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ บราซิลและชิลีได้ชะลอแผนการสร้างเขื่อนพลังงานน้ำแห่งใหม่เมื่อไม่นานนี้ อันเนื่องจากปัญหาสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม จนทำให้ทั้งสองประเทศต้องมองหาแหล่งพลังงานอื่นเพื่อตอบสนองความต้องการที่คาดการณ์ไว้ ในโคลอมเบียการก่อการร้ายภายในประเทศส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานการส่งและจำหน่ายไฟฟ้าในเขตชนบทหลายแห่งต้องถูกทำลายลง ภูมิภาคนี้โดยรวมจึงมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าที่สูงมาก 

ในตอนต่อไปจะได้อธิบายถึงข้อเท็จจริงในรายละเอียดให้ผู้อ่าน TST ได้พอรู้และเข้าใจในเรื่องของ “การมี ‘ไฟฟ้าสำรอง’ มากจนเกินความต้องการ จนทำให้ ‘ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment หรือ ค่า AP)’ อันเป็นต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่กฟผ. ต้องจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าเอกชน เป็นค่าความพร้อมในการเดินเครื่องเพื่อจ่ายไฟฟ้า ไม่ว่าโรงไฟฟ้าจะผลิตหรือไม่ก็ตาม ซึ่งถือเป็นเป้าหลักที่สำคัญและใหญ่ที่สุดที่นักวิชาการ NGO และสื่อบางสำนัก ได้ระบุเอาไว้ว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ว่าเป็นจริงดังที่มีการนำมาหยิบยกกล่าวอ้างหรือไม่ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top