Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48981 ที่เกี่ยวข้อง

‘อัครเดช’ ขอบคุณ!! ปชช. ที่เลือก ‘ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ’ ให้นั่งนายกฯ อบจ. ย้ำ!! ประสาน ‘การเมืองท้องถิ่น’ สู่ ‘การเมืองระดับประเทศ’ เพื่อประโยชน์ของคนไทย

(2 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สมาชิกอบจ.) ซึ่งถือเป็น การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่มีความสำคัญอย่างมาก

โดยการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีบุคลากรของพรรครวมไทยสร้างชาติ และผู้สมัครที่เป็นกลุ่มแนวร่วมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สมาชิกอบจ.) ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น สุราษฎร์ธานี, พัทลุง, สมุทรสงคราม, ภูเก็ต และนราธิวาส ในศึกการเลือกตั้งนายก อบจ. 2568  และพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงความยินดีกับผู้สมัครของพรรคทุกคนที่ได้รับการเลือกตั้งให้เข้าไปทำหน้าที่ในนามสมาชิกอบจ. ซึ่งพรรคยืนยันว่า บุคลากรในนามตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมุ่งมั่นทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตนเองอย่างเต็มที่ ให้เกิดการพัฒนา อันมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่พ่อแม่พี่น้องทุกคนในจังหวัด

ทั้งนี้ การทำงานจะประสานการทำงานเชื่อมโยงการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับประเทศในทุกมิติ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพ เกิดความต่อเนื่องและสอดคล้องร่วมกัน เพื่อให้สามารถพัฒนาทั้งจังหวัดและประเทศไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยพัฒนาอย่างมีระบบตามความต้องการของพ่อแม่พี่น้องประชาชน

“พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่น้องที่มอบให้กับผู้แทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการเลือกตั้งนายก อบจ.  ที่ทำให้บุคลากรของพรรคได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่พี่น้องในหลายพื้นที่ และพรรคขอให้คำมั่นว่าจะประสานการทำงานระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมือง" นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

ขั้วอำนาจโลกเปลี่ยน ไทยต้องเลือกจุดยืนให้มั่น กับความสัมพันธ์ ‘จีน-อเมริกา’ ทิศทางการพัฒนา ‘พลังงาน-ปัญญาประดิษฐ์ AI’ เพื่อรองรับการเติบโต ในอนาคต

(2 ก.พ. 68) เมื่อขั้วอำนาจโลกเปลี่ยน ไทยต้องเลือกจุดยืนให้มั่น 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ระบบขั้วอำนาจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ไม่ต่างจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้แผ่นดินโลกเป็นผืนเดียวกัน ก่อนที่จะแตกออกเป็นทวีปต่างๆ ในปัจจุบัน เมื่อแผ่นดินแยกจากกัน มนุษย์ก็เริ่มสร้างเส้นแบ่งเขตแดน เกิดเป็นรัฐชาติ อารยธรรม และมหาอำนาจที่แย่งชิงอิทธิพลกันเรื่อยมา

โลกเปลี่ยน: จากแผ่นดินเดียวสู่ขั้วอำนาจที่พลิกผัน

เมื่อย้อนมองประวัติศาสตร์ โลกเคยถูกแบ่งออกเป็น "แผ่นดินโลกเก่า" (ยุโรป เอเชีย แอฟริกา) และ "โลกใหม่" (อเมริกา) พร้อมกับการขยายอาณานิคมในศตวรรษที่ 15-19 โลกถูกจัดลำดับใหม่ตามความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ การทหาร และการปกครอง โลกเก่าถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางอารยธรรม แต่เมื่อโลกใหม่พัฒนา อเมริกากลายเป็นขั้วอำนาจหลักในศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ทว่าทุกยุคย่อมมีจุดพลิกผัน วันนี้สิ่งที่เคยเป็นโลกใหม่อย่างอเมริกา กำลังเผชิญความท้าทายที่บั่นทอนอำนาจของตน ขณะที่โลกเก่าอย่างจีนและอินเดียกำลังกลับมาโดดเด่น เอเชียกำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจและการเมืองโลก อารยธรรมที่มีรากฐานยาวนานกว่า 4,000 ปี กำลังแสดงให้เห็นถึงพลังแฝงที่อาจพลิกขั้วอำนาจโลกในศตวรรษที่ 21

ไทยอยู่ตรงไหนในจังหวะเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก??

เมื่อมหาอำนาจเดิมเริ่มถดถอย และมหาอำนาจใหม่กำลังผงาดขึ้น ประเทศไทยในฐานะที่ตั้งอยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำเป็นต้องกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน การเป็นรัฐขนาดกลางที่มีความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับทั้งจีน อเมริกา และประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ไทยอยู่ในจุดที่ต้องเลือกทางเดินอย่างรอบคอบ

1. ความเป็นกลางที่แท้จริงหรือเพียงแค่คำพูด??
ไทยมักใช้ยุทธศาสตร์ "ความเป็นกลาง" ในการรักษาผลประโยชน์ของตน แต่ในโลกที่แบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ไทยจะสามารถรักษาสถานะนี้ได้จริงหรือไม่? หรือสุดท้ายจะถูกบีบให้เลือกข้าง??

2. โอกาสในโลกที่เอเชียกำลังนำ
หากเอเชียก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเมืองโลก ไทยจะใช้โอกาสนี้อย่างไร? จะกลายเป็นแค่ลูกค้าทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย หรือจะสามารถสร้างความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นมา??

3. ภัยคุกคามจากขั้วอำนาจที่ถดถอย
เมื่ออเมริกาและยุโรปเห็นว่าขั้วอำนาจกำลังเปลี่ยนไป พวกเขาอาจใช้มาตรการกดดันประเทศในเอเชียให้อยู่ในกรอบที่ตนต้องการ ไทยจะรับมือกับแรงกดดันนี้อย่างไร??

การเลือกที่สำคัญ: ไทยต้องเตรียมพร้อม

เมื่อโลกเปลี่ยน ไทยจะไม่สามารถยืนอยู่ตรงกลางได้ตลอดไป การตัดสินใจในวันนี้จะกำหนดอนาคตของประเทศไปอีกหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเสริมสร้างความสัมพันธ์กับขั้วอำนาจใหม่ หรือการปรับยุทธศาสตร์เพื่อรักษาสมดุล ไทยต้องมี "ยุทธศาสตร์ชาติ" ที่ไม่ใช่แค่การตามกระแส แต่ต้องเป็นการกำหนดอนาคตของตัวเองให้มั่นคงและแข็งแกร่งในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป

พลังงานและ AI: จุดเปลี่ยนของยุทธศาสตร์ไทยในศตวรรษที่ 21

หลังจากที่เราได้วิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก และความจำเป็นที่ไทยต้องกำหนดจุดยืนในยุทธศาสตร์โลก บทต่อไปที่เราต้องเจาะลึกคือ "พลังงาน" และ "AI" ซึ่งเป็นสองปัจจัยหลักที่จะกำหนดอนาคตเศรษฐกิจไทยและโครงสร้างแรงงานในยุคถัดไป

ในเวลานี้ ประชากรส่วนใหญ่ของโลกอยู่ภายใต้กลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งกำลังขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม พวกเขาเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคหลักของโลก โดยมีจีนเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี AI และพลังงานใหม่ ดังนั้น พลังงานและเทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญ ที่กำหนดว่าใครจะเป็นผู้นำในโลกอนาคต

AI: หัวใจของแรงงานยุคใหม่

AI และหุ่นยนต์จะไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือเสริมของมนุษย์อีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็น "แรงงานหลัก" ในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่แพทย์ ทหาร วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงศิลปิน แม้แต่นักดนตรีก็ต้องเรียนรู้การใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม เพื่อแข่งขันในโลกที่อัลกอริธึมสามารถสร้างผลงานคุณภาพสูงได้

แต่ปัญหาสำคัญที่มาพร้อมกับ AI คือ พลังงาน AI ต้องใช้พลังงานมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลข้อมูลของโมเดล AI หรือการใช้พลังงานในการขับเคลื่อนหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ หากประเทศไทยจะพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของตนเอง ไทยต้องตอบคำถามสำคัญว่า "เราจะหาพลังงานจากที่ไหน??"

พลังงาน : ปัจจัยที่ 5 ของมนุษยชาติ
ในอดีต ปัจจัยสี่ของมนุษย์ประกอบไปด้วย อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย และเครื่องนุ่งห่ม แต่ในศตวรรษที่ 21 พลังงานไฟฟ้าได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ AI และหุ่นยนต์กำลังกลายเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
เราจะพึ่งพา พลังงานฟอสซิล ต่อไปไม่ได้ เพราะทรัพยากรเหล่านี้กำลังลดลงและก่อให้เกิดวิกฤตสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ไทยต้องคิดใหม่เกี่ยวกับโครงสร้างพลังงานของตนเอง ซึ่งตัวเลือกหลักที่กำลังได้รับความสนใจคือ พลังงานนิวเคลียร์

นิวเคลียร์ : พระอาทิตย์เทียมแห่งอนาคตไทย?

ปัจจุบันจีนได้พัฒนาเทคโนโลยี "พระอาทิตย์เทียม" (Artificial Sun) หรือเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันที่สามารถผลิตพลังงานได้มหาศาลโดยไม่ทิ้งกากกัมมันตรังสีแบบพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชันแบบเก่า หากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ มันจะเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของโลก อย่างสิ้นเชิง และหากไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ เราจะสามารถสร้างพลังงานสะอาดในปริมาณที่มหาศาลเพื่อรองรับเศรษฐกิจ AI ได้อย่างมั่นคง แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่นิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องง่าย การลงทุนต้องอาศัยวิสัยทัศน์ทางการเมือง และต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษาควบคู่กันไป

พลังงานสะอาด : เสริมทัพนิวเคลียร์
นอกจากนิวเคลียร์ ไทยควรเสริมด้วย พลังงานขยะ เช่นเดียวกับที่ประเทศสวีเดนทำ การแปลงขยะเป็นพลังงาน ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ซึ่งมีปริมาณขยะมหาศาลแต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์เต็มที่
หากไทยสามารถสร้างระบบ บูรณาการพลังงาน ที่มีทั้ง พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานขยะ และพลังงานลม ไทยจะสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของตนเอง

การปฏิรูปหน่วยงานรัฐ: กุญแจสู่ยุคพลังงานใหม่
ปัญหาของไทยไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือ "ระบบรัฐที่ล้าหลัง" ทุกวันนี้ หน่วยงานพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ยังทำงานแบบแยกส่วน ซึ่งทำให้การพัฒนาพลังงานล่าช้า ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ การออกแบบระบบรัฐใหม่ ที่สามารถ บูรณาการพลังงานและเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้นำรัฐบาลในอนาคตจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจทั้ง AI และพลังงาน ไม่ใช่แค่การบริหารแบบเดิมๆ เพราะพลังงานคือรากฐานของเศรษฐกิจใหม่ และ AI คือแรงขับเคลื่อนของโลกอนาคต หากไม่มีพลังงานที่เพียงพอ AI ก็ไม่มีทางเติบโต และหากไม่มี AI แรงงานมนุษย์ไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ไทยต้องเลือก : จะเป็นศูนย์กลาง AI หรือเพียงผู้ตาม?
ในช่วงปี 2570 เป็นต้นไป ประเทศที่สามารถ จัดการเรื่องพลังงานได้ดี จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก ไทยจะต้องตัดสินใจว่าจะเป็น ‘ศูนย์กลางอุตสาหกรรม AI ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ หรือจะปล่อยให้ประเทศอื่นแซงหน้าไป

1. เราจะพัฒนานิวเคลียร์หรือไม่??

2. จะใช้พลังงานสะอาดอย่างไรให้คุ้มค่า??

3. ระบบรัฐจะปรับตัวได้ทันหรือไม่??

4. แรงงานไทยพร้อมสำหรับ AI หรือไม่??

คำถามเหล่านี้ต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากทุกภาคส่วน เพราะโลกกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และไทยจะไม่มีเวลารออีกต่อไป

‘สาธิต’ โพสต์เฟซ!! ขอบคุณทุกคะแนนเสียง ที่สนับสนุน ‘อาช้าง ปิยะ ปิตุเตชะ’ ลั่น!! เดินหน้าทำงาน ให้เป็นรูปธรรม ก่อประโยชน์ ให้เกิดกับ ‘คนระยองบ้านเรา’

(2 ก.พ. 68) นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระยอง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ขอบคุณ ‘คนระยอง’ ที่ลงคะแนนให้ ‘อาช้าง ปิยะ ปิตุเตชะ’ กว่า 1.6 แสนคะแนน โดยได้ระบุว่า …

ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องชาวจังหวัดระยอง

ทุกท่านที่ออกมาใช้สิทธิ เลือกตั้ง นายก อบจ. และ ส.อบจ. เมื่อวานนี้ 1 ก.พ. 68 

ทุกท่านที่ลงคะแนนให้ อาช้าง ปิยะ ปิตุเตชะ กว่า 1.6 แสนคะแนน ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

ทุกท่านที่สนับสนุนช่วยเหลือบอกต่อในสิ่งที่เป็นจริง และเชื่อในในการทำงานทางการเมือง และผลงานที่เป็นรูปธรรม ที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับ คนระยองบ้านเรา มากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ด้านเดียว แต่ยังไม่เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ 

ขอบคุณพรรคประชาชน(ก้าวไกล) ที่เน้นตั้งความหวังให้ความสำคัญจังหวัดระยองเป็นพิเศษ เพราะผมเชื่อในหลักการ แข่งขันเสรี และมีมาตรฐาน สร้างประโยชน์ผู้ได้รับประโยชน์คือประชาชนคนระยอง 

ขอขอบคุณนักวิชาการ นักวิเคราะห์วิจารณ์ที่ฟันธงให้พรรคประชาชนชนะในจังหวัดระยอง รวมทั้งอีกหลายจังหวัด ทำให้ทีมงานเราทำงานแบบไม่หยุดไม่หย่อน ในการนำผลงานความจริงเข้าสู้กับการด้อยค่า ทางเดียว

และที่สำคัญ ขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทำงานอย่างหนักทั้ง ออนไลน์ ออฟไลน์ เพื่อข้อมูลที่เป็นจริงไปสู่ประชาชนคนระยอง 

‘ทักษิณ’ สิ้นมนต์ขลัง!! ‘ฝั่งน้ำเงิน’ ขึ้นผงาด ‘ผู้กองธรรมนัส’ เดินเกมพลาด!! ปรากฏการณ์!! สมานฉันท์การเมือง ‘สิงห์บุรีโมเดล’ ด้วยท่าที ‘ถ้อยทีถ้อยอาศัย’

(2 ก.พ. 68) ณ เวลานี้ ถึงแม้ว่า ผลการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ นายกฯ อบจ. 2568 ทางกกต. ยังไม่ประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ แต่จากการนับคะแนนนั้น ก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ‘ใครแชมป์ - ใครชวด’ 

การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นที่จับตามองของทางหลายๆ ฝ่าย เรียกได้ว่าเป็นการวัดพลังกัน ระหว่าง บ้านใหญ่,บ้านใหม่,กระแสพรรค,ความกว้างขวางของตัวผู้สมัคร ฯลฯ 

แน่นอนว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น แต่ก็ย่อมจะส่งผลไปยัง การเมืองในระดับชาติ เพราะพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งในฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ก็ส่งผู้สมัครกันหลายคน ทั้งแบบอิสระไม่ระบุพรรค แต่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ทั้งจังหวัดก็รู้ดีว่า ‘คนนี้ เป็นคนของใคร’ 

และอีกแบบที่ ลงในนามพรรค เปิดหน้าสนับสนุน ถึงขั้นลงทุนเดินทางไปปราศรัยด้วยตัวเอง อย่างเช่นกรณีของท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ขึ้นเดินสายขึ้นเวที ปลุกกระแสมวลชน หวังโกยคะแนน ให้เพื่อไทย แลนด์ไสด์ ในศึกครั้งนี้

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น ดูเหมือนว่า ‘ทักษิณ’ จะสิ้นมนต์ขลังเสียแล้ว

จากข้อมูลที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้รวบรวมไว้ ในจังหวัดที่ ทักษิณ ได้ไปขึ้นเวทีจับไมค์ ปรากฏว่า  

1. เชียงราย   แพ้ (แพ้ตระกูลวันไชยธนวงศ์)

2. เชียงใหม่  ชนะ (ฉิวเฉียด)

3. ลำปาง  ชนะ (เครดิต ตระกูลโล่ห์สุนทร)

4. ลำพูน แพ้ (ส้ม ชนะ ตระกูล วงศ์วรรณ)

5. นครพนม  ชนะ (ชนะตระกูล โพธิ์สุ)

6. บึงกาฬ  แพ้ (แพ้ตระกูล ทองศรี)

7. หนองคาย  ชนะ (ล้มแชมป์เก่าได้)

8. มหาสารคาม  ชนะ (เครดิต ตระกูล จรัสเสถียร ล้มแชมป์เก่า)

9. ศรีสะเกษ  แพ้ (ไล่หนู ตีงูเห่า แต่แพ้ตระกูล ไตรสรณกุล)

10. มุกดาหาร แพ้ (มีกำหนดการหาเสียงแต่ไม่ไป)

สรุป 10 จังหวัด แพ้ 5 จังหวัด ในจังหวัดที่ชนะ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องบารมีนักการเมืองในพื้นที่และบ้านใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดลำพูน ซึ่งติดกับเชียงใหม่ ฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย ซึ่ง ‘ทักษิณ’ เองก็หมายมั่นปั้นมือที่จะให้ นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ อดีตนายกฯ อบจ. ตัวแทนบ้านใหญ่ จากพรรคเพื่อไทย เข้าครองเก้าอี้นี้ อีกหนึ่งสมัย แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยินให้กับ นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ผู้สมัครนายกฯ อบจ. จากพรรคประชาชน

ส่วนที่ ‘เชียงใหม่’ แม้ชนะ  แต่ ‘ส้ม’ ไล่จี้!! หลักสามแสน ‘ชนะแค่สองหมื่น’ ไม่ถือว่าสำเร็จ!! 

ส่วนทางฝั่ง ‘สีน้ำเงิน’ นั้น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการปฏิบัติงานด้วยการสวมหมวก ‘มท.1’ นั้น ‘มท.หนู’ ย่อมต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่สามารถออกไปสนับสนุนผู้สมัครคนใดได้ เนื่องจากการปกครองส่วนท้องถิ่น ตามหลักการบริหารราชการแผ่นดินแบบกระจายอำนาจนั้น กระทรวงมหาดไทย จะต้องมีส่วนเข้าไปกำกับดูแล ‘องค์การบริหารส่วนจังหวัด’ หรือพูดกันง่ายๆ ก็คือ ‘มท.หนู’ นั้นจะต้องมีบทบาทเข้าไปเกี่ยวข้องกับ นายกฯ อบจ. ฉะนั้นการวางตัวเป็นกลางของ ‘มท.หนู’ ย่อมเหมาะสมแล้ว

แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ออกตัวสนับสนุนผู้สมัคร แต่ด้วยพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีเครือข่ายมากมาย ในคอนเน็คชั่นบ้านใหญ่หลายจังหวัด จึงทำให้ครองแชมป์ได้ในหลายพื้นที่ ทั้ง บึงกาฬ บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ สตูล เชียงราย ลพบุรี พังงา พัทลุง เป็นต้น ทั้งที่พรรคภูมิใจไทยประกาศไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรคก็ตาม

ส่วน ‘พรรคกล้าธรรม’ ของ ‘ผู้กองธรรมนัส’ ที่อุตส่าห์ ไปดึงนายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว หรือ กำนันศักดิ์ อดีตนายกฯ อบจ.สุราษฎร์ธานี สมัยที่ผ่านมา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ งานนี้ เพราะผู้กองมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีจาก ‘คดีแป้ง’ จึงทำให้ไม่กล้าเปิดหน้า ว่าส่งในนาม ‘พรรคกล้าธรรม’ ซึ่งสุดท้ายแล้ว นายพงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว ก็พ่ายแพ้ให้กับ ‘ป้าโส’ นางโสภา กาญจนะ ภรรยานายชุมพล กาญจนะ แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติภาคใต้ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ หลายสมัย ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นกว่า 205,000 คะแนน 

ซึ่งงานนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ก็ยังมีฐานเสียงที่เหนียวแน่นในภาคใต้ โดยนอกจากที่จ.สุราษฎร์ธานี จะชนะขาดแล้ว ที่จ.พัทลุง นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร ก็ยังคว้าแชมป์ ไม่เสียแรงที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นเวทีให้กำลังใจ คล้องพวงมาลัย ให้แก่นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร และลูกทีมผู้สมัครสมาชิก อบจ.พัทลุง

มาที่จังหวัดนราธิวาส กับความผิดหวังอีกครั้งของ ‘พรรคกล้าธรรม’ นายอับดุลลักษณ์ สะอิ นักธุรกิจชื่อดัง ที่ได้รับแรงหนุนจาก สองสส.นราธิวาส ‘พรรคกล้าธรรม’ คือสองพี่น้องนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ และ นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ ก็พ่ายแพ้ให้กับ นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน อดีตนายกฯ อบจ.ห้าสมัย ไปอย่างขาดลอย ทำให้พรรคกล้าธรรม ผิดหวังไปอีกจังหวัด

มาถึงจังหวัด ‘สิงห์บุรี’ ที่จังหวัดนี้ไม่เน้นบ้านใหญ่ แต่เน้นการเมืองใหม่ สส.หนึ่งเดียวของจังหวัดนี้ได้แก่ นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งมีพี่ชายเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นั่นก็คือ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ หรือ ‘พี่โอ๋’ นักการเมืองผู้มากด้วยน้ำใจ เข้าถึงได้กับคนทุกกลุ่ม ด้วยท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นที่พึ่งให้ประชาชนได้เสมอ 

นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร คือบุคคลที่นายชัยวุฒิ ให้การสนับสนุน ให้ลงเลือกตั้งนายกฯ อบจ. ในครั้งนี้ เพื่อเข้ามารับใช้พ่อแม่พี่น้องชาวจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้  นายศุภวัฒน์ ก็ได้รับโอกาสเข้ามาทำงาน ในฐานะนายกฯ อบจ. เป็นที่น่าจับตามองว่า การเมืองในจังหวัดสิงห์บุรีนั้น เป็นการเมืองในรูปแบบใหม่ เป็นการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่ใช้ความรุนแรง ไร้ซึ่งความขัดแย้ง โดย ‘โอ๋ ชัยวุฒิ’ เป็นผู้เดินหน้าสร้างความสามัคคีในการเมือง สร้างความสมานฉันท์ในพื้นที่ ทำให้การเลือกตั้งในครั้งนี้ มีผู้สมัครเพียงคนเดียว คือ นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร หมายเลข 1 หรือ ‘ตุ้ม’ อดีตนายกฯ อบจ.สิงห์บุรี สมัยที่ผ่านมา โดยไม่มีผู้สมัครรายอื่นลงสมัครร่วมชิงชัย

ซึ่งตามกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 111 นั้น ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้ง ก็ต่อเมื่อได้รับคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าคะแนนเสียงไม่เลือกผู้ใด หากผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น หรือไม่มากกว่าคะแนนเสียงไม่เลือกผู้ใด ให้ ผอ.กกต.จังหวัดดำเนินการให้มีการเลือกตั้งใหม่ 

แต่จากผลการเลือกตั้งที่ออกมานั้น นายศุภวัฒน์ เทียนถาวร ก็ได้รับความไว้วางใจอย่างท่วมท้น จากชาวสิงห์บุรี โดยจะปฏิบัติหน้าที่ได้นั้น ก็ต้องรอทางกกต. ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการเสียก่อน 

การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในครั้งนี้ ได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่การปฏิบัติหน้าที่ ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ของนายกฯ อบจ. คนใหม่ (ทั้งหน้าเก่าและหน้าเดิม) เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น 

จับตาดูกันต่อไป!! ว่าพวกเขา จะทำงานได้ดี สมกับที่ได้รับความไว้วางใจหรือไม่

‘กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม’ จัดนิทรรศการ!! แสดงผลงาน ‘เซรามิกล้านนา’ เพื่อสร้างนักออกแบบรุ่นใหม่ ในกรอบการพัฒนา อุตสาหกรรมสร้างสรรค์

(2 ก.พ. 68) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดย ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัสดุอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้เล็งเห็นศักยภาพและโอกาสในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่จังหวัด เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ได้จัดนิทรรศการแสดงผลงานเซรามิก กิจกรรม’ยกระดับอัตลักษณ์เซรามิกล้านนาด้วยทุนทางวัฒนธรรม’ ภายใต้โครงการยกระดับฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ล้านนาสู่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Creative LANNA Forward) เมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2568 ณ โรงแรม แอท นิมมาน จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ในกรอบการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) เพื่อสร้างนักออกแบบรุ่นใหม่ (Young & Smart Designer) รองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกอัตลักษณ์ล้านนาให้สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ เน้นการพัฒนาต่อยอดทางทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกอัตลักษณ์ล้านนาที่มีมูลค่าสูงด้วยความคิดสร้างสรรค์ เผยแพร่ผลงานการออกแบบและสามารถต่อยอดสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) 

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางได้มอบหมายให้ นายประสิทธิ์ ศรีพรหม อุตสาหกรรมจังหวัดลำปาง เป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน และนายภาสันต์ วิชิตอมรพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาวัสดุอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กล่าวรายงานในกิจกรรม ภายในงานผู้มีเกียรติทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ นายกษิต พิสิษฐ์กุล กรรมการบริหารและรองเลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน นายจิตรเทพ เนื่องจำนงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซีดีไอพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี  (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายปรกฤษฎิ์ สายหัสดี ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กรรมการเลขาธิการ นายสมิต ทวีเลิศนิธ รองประธาน ฝ่ายอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอื่นๆสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายวิเชียร เชิดชูตระกูลทอง รองประธานฝ่ายนวัตกรรมและไอที สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายชัดชาญ เอกชัยพัฒนกุล รองประธาน ฝ่ายเศรษฐกิจและการลงทุน สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ นายปรีชา ศรีมาลา นายกสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง นายปรัชญ์ชา ธณาธิปศิริสกุล อาจารย์ชมรมครูทัศนศิลป์จังหวัดลำปาง และนายณัฐนนท์ ภู่อริยพงศ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคลำปาง 

ในงานมีกิจการที่เข้าร่วมทั้งหมด 23 กิจการ โดยมีการประกวดนำเสนอยกระดับอัตลักษณ์เซรามิกล้านนาด้วยทุนทางวัฒนธรรม ผู้ได้รางวัลชนะเลิศในการประกวด ได้แก่ เตาหลวงสตูดิโอ เงินรางวัลมูลค่า 5,000 บาท เงินรางวัลรวมทั้งสิ้นมูลค่า 16,000 บาท และการเสวนาในหัวข้อ ‘การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซรามิกสร้างสรรค์อัตลักษณ์เซรามิกล้านนา’ ตลอดทั้งงานมีการจัดแสดงผลงานอัตลักษณ์เซรามิกล้านนาของกิจการที่เข้าร่วม ทำให้มีคนสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top