Wednesday, 25 June 2025
ค้นหา พบ 49021 ที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลสั่งปลดฟ้าผ่า ทีมอัยการที่สอบเอาผิดทรัมป์ ปมพยายามพลิกผลเลือกตั้งปี 2020

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ (27 ม.ค.68) ระบุว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมหลายคนที่มีบทบาทในคดีความเกี่ยวกับโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการยกระดับการดำเนินการตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามของทรัมป์

เจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของทีมสืบสวนภายใต้การดูแลของอัยการพิเศษ แจ็ค สมิธ ซึ่งทำคดีที่เกี่ยวข้องกับการพยายามพลิกผลการเลือกตั้งปี 2563 และเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 รวมถึงคดีจัดการเอกสารลับของทรัมป์  

“วันนี้ เจมส์ แมคเฮนรี รักษาการอัยการสูงสุด ได้เลิกจ้างเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินคดีกับประธานาธิบดีทรัมป์” แหล่งข่าวจากกระทรวงยุติธรรมกล่าวกับสำนักข่าวเอ็นบีซี  

เขาเสริมว่า “การกระทำของพวกเขาทำให้รักษาการอัยการสูงสุดไม่เชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะสามารถสนับสนุนการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีได้อย่างซื่อสัตย์ การตัดสินใจครั้งนี้เป็นไปตามพันธกิจที่ต้องการยุติการใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมือง”  

สำนักข่าวเอบีซีรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ในทีมสืบสวนที่ถูกปลดออกนั้นมีจำนวนมากกว่าสิบคน  

ในขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวหาว่ากระทรวงยุติธรรมภายใต้รัฐบาลโจ ไบเดน ใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือในการโจมตีทางการเมืองต่อเขา ทรัมป์ยังประกาศว่าจะตอบโต้และแก้แค้นในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง  

อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหลายคนได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำครั้งนี้ โดยระบุว่าการปลดเจ้าหน้าที่ออกเนื่องจากบทบาทในคดีที่พวกเขาได้รับมอบหมายถือเป็นการละเมิดหลักนิติธรรม และอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระทรวงในอนาคต  

“การไล่เจ้าหน้าที่ออกเพราะพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่ได้รับมอบหมายไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้” จอยซ์ แวนซ์ อดีตอัยการสหรัฐฯ กล่าว  

ทรัมป์เองได้ออกคำสั่งพิเศษหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเน้นย้ำว่าการดำเนินการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “ยุติการใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมือง” อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า เจ้าหน้าที่ที่ถูกปลดยังคงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ตามกระบวนการทางกฎหมายที่กำหนดไว้  

เรื่องนี้ยังคงได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อการบริหารงานของกระทรวงยุติธรรมและความยุติธรรมในระบบกฎหมายของสหรัฐฯ

‘ชัยวุฒิ’ แนะ รบ.ลองขึ้นรถไฟฟรีดูว่าทำให้ฝุ่นหายไปหรือไม่ ชี้ ควรคุมเข้มมาตรการลดการเผาอ้อย - ข้าวโพด

เมื่อวันที่ (27 ม.ค. 68) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงแนวทางที่รัฐบาลให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้า และรถโดยสารได้ฟรี ลดการใช้รถยนต์ เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ในระยะเวลา 7 วัน ใช้งบ 140 ล้าน ว่า ให้ลองขึ้นรถไฟฟรีดูว่าทำให้ฝุ่นหายไปหรือไม่ หรือทำให้ตนเองหายคัดจมูกหรือไม่

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า คนที่ใช้รถส่วนตัวอยู่แล้วก็คงใช้เหมือนเดิม เพราะคนที่เดินทางโดยรถไฟฟ้าได้ ก็เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าขึ้นลงได้สะดวก ส่วนคนที่ต้องใช้รถยนต์ก็เพราะเขามาขึ้นรถไฟฟ้าไม่สะดวก ตนเองมองว่า ให้ขึ้นรถไฟฟ้าฟรีก็คงไม่มีผลกับการลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนได้เท่าไหร่ เหมือนกับแก้ปัญหาไม่ถูกจุดและไม่ใช่ประเด็น

“พรรค พปชร. จะมีมาตราการในเรื่องการควบคุมการเผาอ้อย เผาข้าวโพด ซึ่งปัจจุบันมีเยอะมาก ซึ่งมาตราการที่เราอยากผลักดันมากที่สุดก็คือทางภาษี จำกัดการนำเข้าและเรื่องภาษีในการเผา ถ้ามีการเผาก็จะมีบทลงโทษในเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นมาตราการลดการเผา” นายชัยวุฒิ กล่าว

ขอนแก่น - คักอีหลี งานเกษตร มข. 2 วันแรก ยอดผู้เข้าชมกว่า142,698 คน

งานวันเกษตรภาคอีสาน [Isan Agricultural Fair 2025] จำนวนผู้เข้าร่วมวันอาทิตย์ ที่ 26 มกราคม 2568 จำนวน142,698 คน เวลา 08.00 - 22.00 น.โดย คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 รวม 10 วัน ภายใต้แนวคิด “เกษตรอีสานสร้างสรรค์ ผลักดัน Soft Power ยกระดับเกษตรทันสมัย สู่การพัฒนาไทยให้ยั่งยืน“

เมื่อวันที่ (27 ม.ค.68) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่นได้รายงานถึงบรรยากาศ ของงานวันเกษตรภาคอีสาน [Isan Agricultural Fair 2025] จำนวนผู้เข้าร่วมวันอาทิตย์ ที่ 26 มกราคม 2568 จำนวน142,698 คน เวลา 08.00 - 22.00 น.โดย คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 รวม 10 วัน ภายใต้แนวคิด “เกษตรอีสานสร้างสรรค์ ผลักดัน Soft Power ยกระดับเกษตรทันสมัย สู่การพัฒนาไทยให้ยั่งยืน”

ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า “งานวันเกษตรภาคอีสานได้พัฒนามาจากงานวันขายผลิตผลการเกษตรของนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ ที่มุ่งเน้นการจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตรที่ได้จากการฝึกงานของนักศึกษา และต่อมาได้ขยายขอบข่ายของการจัดงานเพื่อให้เกิดความยิ่งใหญ่และร่วมเฉลิมฉลองวันสถาปนามหาวิทยาลัยขอนแก่น ในวันที่ 25 มกราคมของทุกปี โดยในปีที่ผ่านมามีผู้เข้าชมงานกว่า 660,000 คน สร้างเงินหมุนเวียนมากกว่า 600 ล้านบาท”

งานวันเกษตรภาคอีสานประจำปี 2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 รวม 10 วัน ภายใต้แนวคิด “เกษตรอีสานสร้างสรรค์ ผลักดัน Soft Power ยกระดับเกษตรทันสมัย สู่การพัฒนาไทยให้ยั่งยืน” โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแลกเปลี่ยนผลงานวิชาการและการวิจัยทางการเกษตร เผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้ทางการเกษตรและเทคโนโลยีสู่ชุมชน การฝึกอบรมอาชีพการเกษตร รวมถึงการส่งเสริมการขยายตัวของธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขนาดกลางและขนาดย่อม
รศ.นพ.ชาญชัย ได้เปิดเผยถึงไฮไลท์สำคัญของงานวันเกษตรภาคอีสานครั้งที่ 33 ว่า การจัดนิทรรศการในปีนี้มีความพิเศษที่แตกต่างจากทุกปี ด้วยการนำเสนอภายใต้แนวคิด 'Local สู่เลอค่า' ที่สอดรับกับธีมหลัก “เกษตรอีสานสร้างสรรค์ ผลักดัน Soft Power ยกระดับเกษตรทันสมัย สู่การพัฒนาไทยให้ยั่งยืน”

สำหรับภายในงานผู้เข้าชมจะได้พบกับกิจกรรมมากมาย ทั้งนิทรรศการถ่ายทอดองค์ความรู้จาก 8 สาขาวิชาคณะเกษตรศาสตร์ การเสวนาและฝึกอบรมวิชาชีพทางการเกษตร การประกวดและแข่งขันภูมิปัญญาชาวบ้านและทักษะทางการเกษตร การประชุมวิชาการเกษตร ครั้งที่ 26 การจัดแสดงปลาและจัดแสดงพันธุ์สัตว์ชนิดต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การให้บริการนำเที่ยวเชิงเกษตรบริเวณโดยรอบงานวันเกษตรภาคอีสาน โดยนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ และการออกร้านจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตรของนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ 

นอกจากนี้ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่างๆ อาทิ กรมวิชาการเกษตรจัดนิทรรศการแบบมีชีวิตภายใต้แนวคิด “วิชาการเกษตรสร้างสรรค์ ผลักดันคุณภาพผลผลิต ด้วยเกษตรทันสมัยนำอีสานเข้าสู่ศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์พืชเขตร้อน” กรมส่งเสริมการเกษตรนำเสนอ “1 ท้องถิ่น 1 สุดยอดสินค้าเกษตรมูลค่าสูง” พร้อมสินค้า “สุดยอดของดี 20 จังหวัด” และผลิตภัณฑ์จาก Young Smart Farmer กรมปศุสัตว์จัดเวทีแลกเปลี่ยนด้านแพะและกิจกรรม Roadshow กระตุ้นการบริโภคแพะในประเทศ พร้อมการประกวดแพะและกระบือชิงถ้วยพระราชทาน กรมการข้าวนำเสนอภายใต้สโลแกน “กรมการข้าวสร้างสรรค์ ผลักดันชาวนาอีสานทันสมัย สู่การพัฒนาข้าวไทยให้ยั่งยืน” และกรมพัฒนาที่ดินจัดนิทรรศการ “การสร้างความรู้ ความเข้าใจ สถานภาพทรัพยากรดินภาคอีสาน” พร้อมบริการตรวจวิเคราะห์ดินฟรีวันละ 50 ราย

สงขลา-ทัพเรือภาคที่ 2 โดยเรือ ต.995 จับกุมเรือประมงเวียดนามคราดปลิงทะเล 1 ลำ ลูกเรือ 5 คน ลุกล้ำน่านน้ำเข้ามาทำการประมงในน่านน้ำไทย บริเวณพื้นที่ชายฝั่งอำเภอระโนด 

เมื่อวานนี้ ( 26 ม.ค. 68 )ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 2 ได้รับการประสานจาก ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 2 รวมทั้งข่าวสารจากพี่น้องชาวประมงในพื้นที่ ว่ามีเรือประมงต่างชาติเข้ามาลักลอบทำการประมงในบริเวณทิศตะวันออกของชายฝั่งอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ระยะทางประมาณ 69 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในน่านน้ำไทย

พลเรือโท นเรศ วงศ์ตระกูลผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 /ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 2 จึงได้สั่งการให้ เรือ ต.995 ร่วมกับเครื่องบินลาดตระเวน (ดอร์เนียร์ 228) ซึ่งลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบทำการค้นหาและพิสูจน์ทราบ

จนกระทั่งเมื่อเวลา 16.28 น. ของวันเดียวกัน กำลังดังกล่าวได้ตรวจพบเรือประมงสัญชาติเวียดนาม จำนวน 1 ลำ ผู้ควบคุมพร้อมลูกเรือ จำนวน 5 คนกำลังทำการประมงอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จึงได้เข้าทำการจับกุม และควบคุมเรือของกลางพร้อมลูกเรือทั้งหมด กลับมายังท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม และส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป การจับกุมเรือประมงต่างชาติที่ลักลอบเข้ามาทำการประมงในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 1 เดือน โดยก่อนหน้านี้ ทัพเรือภาคที่ 2 และ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 2 ได้มีการจับกุมเรือประมงเวียดนามที่ลักลอบเข้ามาทำการประมงไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 และวันที่13 มกราคม 2568 สามารถยึดของกลางเป็นเรือประมง จำนวน 3 ลำ ผู้ต้องหารวม 15 คน เมื่อรวมในครั้งนี้ ทำให้มีเรือที่ถูกจับกุมแล้ว รวม 3 ลำ ผู้ต้องหารวม 15 คน

และตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567 จนถึงปัจจุบัน มีเรือประมงต่างชาติที่ถูกจับกุมแล้วรวม 16 ลำ ผู้ต้องหา รวม 80 คน ทั้งนี้ เรือประมงที่ถูกจับกุมแต่ละลำ มีมูลค่าเรือกว่า 1 ล้านบาท ทัพเรือภาคที่ 2 และ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 2จะยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทางทะเลซึ่งรวมถึงการลักลอบเข้ามาทำประมงผิดกฎหมายของเรือประมงต่างชาติ อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด เพื่อให้ผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของประเทศไทยคงอยู่กับพี่น้องคนไทยอย่างแท้จริงและยั่งยืนสืบไป

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ไทยเป็นทางผ่าน หลอกคนอินเดียทำงานสแกมเมอร์ในลาว

สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำกรุงเวียงจันทน์ของลาว เปิดเผยเมื่อ (27 ม.ค. 68) ว่าได้ให้การช่วยเหลือคนอินเดีย 67 คนที่ถูกหลอกให้ทำงานในศูนย์คอลเซ็นเตอร์ผิดกฎหมายในลาวได้สำเร็จ พร้อมออกคำเตือนถึงหนุ่มสาวชาวอินเดียให้ระมัดระวังการถูกหลอก โดยเฉพาะหากได้รับข้อเสนองานในประเทศไทย  

สถานทูตอินเดียในลาวระบุว่า เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่ถูกกลุ่มอาชญากรในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ (GTSEZ) แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว หลอกลวงให้มาทำงาน ก่อนจะถูกข่มขู่และทำร้ายร่างกาย

เมื่อสถานทูตได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ส่งทีมลงพื้นที่และประสานงานกับตำรวจลาวเพื่อช่วยเหลือเหยื่อ โดยหลังจากจัดการเอกสารเรียบร้อยแล้ว ผู้เสียหายทั้งหมดถูกพาตัวจากแขวงบ่อแก้วมายังกรุงเวียงจันทน์ และได้รับการดูแลด้านที่พัก อาหาร และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ อย่างครบถ้วน  

เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศลาว ได้เข้าพบผู้เสียหายเพื่อให้กำลังใจ รับฟังเรื่องราว และให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินคดีต่อกลุ่มนายหน้าค้ามนุษย์ โดยยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการส่งผู้เสียหายกลับบ้านอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด  

สถานทูตอินเดียขอบคุณเจ้าหน้าที่ลาวที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเรียกร้องให้ดำเนินการกับแก๊งอาชญากรในเขตสามเหลี่ยมทองคำอย่างจริงจัง โดยเรื่องนี้ได้ถูกนำเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงของทางการลาวแล้ว โดยที่ผ่านมา สถานทูตอินเดียประจำกรุงเวียงจันทน์ได้ให้ความช่วยเหลือคนอินเดียรวม 924 คนในช่วงที่ผ่านมา โดย 857 คนได้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย  

สถานทูตฯ ยังได้เตือนว่า หากชาวอินเดียได้รับข้อเสนองานในประเทศไทย แต่เมื่อเดินทางถึงไทยแล้วกลับถูกพาไปเชียงรายที่ติดชายแดนไทย-ลาว นั่นอาจเป็นสัญญาณของการถูกหลอกลวงและนำตัวไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำในลาว ซึ่งเมื่อไปถึง เหยื่อมักจะถูกยึดหนังสือเดินทางและบังคับให้เซ็นสัญญาที่เขียนเป็นภาษาต่างประเทศ ทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย  

สถานทูตฯ แนะนำให้ผู้ที่สนใจทำงานต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์สถานทูตหรือสอบถามข้อมูลโดยตรงก่อนรับข้อเสนอใด ๆ และหากสงสัยว่าอาจตกเป็นเหยื่อ ให้รีบติดต่อสถานทูตทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอกและตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top