Thursday, 26 June 2025
ค้นหา พบ 49023 ที่เกี่ยวข้อง

กองทุนดีอี BDE ลงพื้นที่อุบล สร้างการรับรู้การใช้ประโยชน์ โครงการระบบบริหารจัดการท้องถิ่นชุมชน แบบมีส่วนร่วม

เมื่อวานนี้ (24 ม.ค. 68) นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบริหารเทคโนโลยีดิจิทัลและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (BDE) พร้อมด้วยนางสาววรรณศิริ พัวศิริ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม BDE ตลอดจนข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ สดช. ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์โครงการระบบบริหารจัดการท้องถิ่นชุมชนแบบมีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนด้วยระบบดิจิทัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ณ สำนักงานเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร ร่วมให้การต้อนรับ

นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา สำนักงานคณะกรรมการ ดีอี กล่าวว่า การลงพื้นที่มาเยี่ยมชม โครงการระบบบริหารจัดการท้องถิ่นชุมชนแบบมีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนด้วยระบบดิจิทัล ประจำปี 2566 ของเทศบาลพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์ โครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สืบเนื่องจาก โครงการต่าง ๆ ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนดีอี ล้วนเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนจำนวนมาก แต่ยังขาดการสร้างการรับรู้และการเข้าถึงของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนในพื้นที่อยู่ไม่น้อย โดยการลงพื้นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนดีอี ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบบริหารจัดการท้องถิ่นชุมชนแบบมีส่วนร่วมของเทศบาลพิบูลมังสาหาร อันเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช่วยบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเป็นประโยชน์ต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตได้เป็นอย่างดี

“ผมขอชื่นชมในความมุ่งมั่นและความสำเร็จของ โครงการระบบบริหารจัดการท้องถิ่นชุมชนแบบมีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนด้วยระบบดิจิทัล ประจำปี 2566 ของเทศบาลพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ ความเชี่ยวชาญ ความคิด สร้างสรรค์ของหน่วยงาน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ครั้งนี้จะทำให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนทั่วไปได้รับรู้ และสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์จากโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ได้มากยิ่งขึ้น”

สำหรับโครงการดังกล่าว ได้ดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อบูรณาการ
การบริหารจัดการท้องถิ่นผ่านแพลตฟอร์มในรูปแบบ 'Application Phibun' โดยมีฟังก์ชันการทำงาน 5 ระบบ ประกอบด้วย ระบบบริหารจัดการเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร ระบบฝึกอบรมพัฒนามืออาชีพ ระบบจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ระบบบริการสาธารณสุขชุมชน และระบบพัฒนาชุมชน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal Life) ของประชาชนในยุคสังคมดิจิทัล

ทั้งนี้ เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร ได้รับทุนงบประมาณ 36 ล้านบาท จากกองทุนดีอี ดำเนินโครงการระบบบริหารจัดการท้องถิ่น ชุมชนแบบมีส่วนร่วม สร้างความยั่งยืนด้วยระบบดิจิทัล ประจำปี 2566 เพื่อการยกระดับระบบบริหารจัดการท้องถิ่นและสร้างความยั่งยืนในชุมชน พร้อมทั้งบูรณาการการบริหารจัดการท้องถิ่นด้วยเทคโนโลยีมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความยั่งยืน โดยระบบนี้จะขับเคลื่อนผ่านแพลตฟอร์มในรูปแบบของแอปพลิเคชัน(ApplicationPhibun) ซึ่งมีฟังก์ชันการทำงานหลัก 5 ระบบ ได้แก่ 1.  ระบบบริหารจัดการเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร (E - management) 2. ระบบฝึกอบรมพัฒนาอาชีพ (E - Service)  3. ระบบจำหน่ายสินค้าออนไลน์ (E - market) 4.ระบบบริการสาธารณสุขชุมชน (E - Sata) และ 5. ระบบพัฒนาชุมชน (E - Community)

โดยผลชี้วัดของโครงการดังกล่าว ส่งผลให้เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหารบริหารจัดการระบบงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของเทศบาลแหล่งข้อมูลของท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชน และผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลนำไปใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ทันสมัย ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารและพัฒนาของผู้นำท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการช่วยประเมินระยะเวลา และประเมินผลการจัดทำงบประมาณรายจ่ายให้เกิดความคุ้มค่าในการทำโครงการใหม่ ๆ

ของหน่วยงานได้มากขึ้น ลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและยุ่งยาก ต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่และอำนวยความสะดวกต่อการให้บริการประชาชน เป็นองค์กรต้นแบบให้กับหลาย ๆ หน่วยงานในการสร้างสรรค์ และพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ สามารถนำไปใช้ในชุมชนอย่างยั่งยืน พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหารให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการเสริมสร้าง การมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน และวิถีการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปการดำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal Life) มากขึ้น

‘อ.ไชยันต์’ เผยเหตุผล ทำไมหลายประเทศในโลก ถึงไม่ยอมให้การพนันถูกกฎหมาย ชี้!! เล่นแล้วติด ควบคุมไม่ได้ ต้องขายข้าวของ เพื่อหาเงิน มาเล่นการพนัน

เมื่อวานนี้ (24 ม.ค. 68) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า …

“ทำไมหลายประเทศในโลกถึงไม่ยอมให้การพนันถูกกฎหมาย ?” การพนันเป็นกิจกรรมที่น่าตื่นเต้น เมื่อเล่นแล้ว มักจะติด

ขณะเดียวกัน การพนันก็ยังเป็นวิธีการหลีกหนีจากความเป็นจริงและความเครียดของชีวิต คนจำนวนไม่น้อยจึงชอบ

ในขณะเดียวกัน บางประเทศก็มีการพนันเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี อย่างไรก็ตาม การพนันอาจควบคุมไม่ได้

สิ่งที่เคยเป็นกิจกรรมทางสังคมได้กลายเป็นสิ่งเสพติด นำมาซึ่งนิสัยใหม่ที่เป็นอันตราย
ในประเทศที่รัฐบาลและประชาชนเข้าใจถึงด้านลบของการพนัน และตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดของผู้คนในประเทศ จึงไม่สามารถทนดูสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่หลายประเทศทั่วโลกห้ามกิจกรรมการพนัน

เพราะถ้าการพนันถูกกฎหมายแล้ว ปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นตามมา ได้แก่

ปัญหาทางสังคม: การพนันจะถึงจุดที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อคนๆ หนึ่งติดการพนัน พวกเขาจะเสี่ยงต่ออันตรายต่างๆ เช่น:
-ก่อหนี้
-ลดการใช้จ่ายสำหรับสิ่งจำเป็น เช่น อาหาร ฯลฯ
-ลดการทำงานหรือเรียนหนังสือ
-ขายข้าวของเพื่อหาเงินมาเล่นการพนัน
-ผู้ติดการพนันยังมีความเสี่ยงที่จะติดสุราและสารเสพติด ซึ่งส่งผลให้มีอาชญากรรมเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น และอาจส่งผลให้ชีวิตของประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยง

ดังนั้น เพื่อปกป้องประชาชนจากความเสียหายเหล่านี้ รัฐบาลและประชาชนที่เล็งเห็นผลเสียทางสังคมนี้ จึงได้ทำให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

ยังมีปัญหาในมิติอื่นๆ อีก ซึ่งผมจะนำมาเสนอในตอนต่อไปนะครับ

รวมทั้ง จะโต้แย้งเหตุผลข้ออ้างที่ว่า เมื่อรัฐนำเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นบนดินแล้ว จะได้เก็บภาษีไปใช้ในสวัสดิการต่างๆเพื่อประโยชน์ของประชาชนคนส่วนใหญ่

‘รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ’ ประกาศชัด!! ‘พาสปอร์ต’ ต้องระบุ!! เพศ ‘ชาย - หญิง’ เท่านั้น ห้ามขีดฆ่า

(25 ม.ค. 68) นายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบายใหม่เกี่ยวกับการระบุเพศ ใน ‘หนังสือเดินทาง’ ว่า 

มีแต่ ชาย หรือ หญิง เท่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ทั้งนี้การระบุ ‘X’ หรือแทนการขีดฆ่าไม่ระบุเพศ ในหนังสือเดินทางไม่อนุญาตให้ทำได้อีกต่อไป

‘ดร.เอ้’ โพสต์เฟซ!! เสนอแนะ วิธีปราบฝุ่นพิษ PM2.5 ย้ำ!! เคยเสนอ ‘ครั้งแล้วครั้งเล่า’ และ ‘ขอเสนออีกครั้ง’

(25 ม.ค. 68) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก …

ฝุ่น PM2.5 วิกฤตเเล้ว! ผมเคยเสนอ ‘ครั้งแล้วครั้งเล่า’ และ ขอเสนออีกครั้ง...

‘การแก้ปัญหาฝุ่นพิษ 6 ข้อ’  ให้มลพิษ PM2.5 ลดลง คือ

1.ประชาชนทุกคนต้องรับรู้ข้อมูลและอันตรายของ PM2.5 
วันนี้เราสามารถเช็กค่าฝุ่นเบื้องต้นเพื่อทราบข้อมูล จากแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ต่างๆ เพื่อตรวจเช็กค่าฝุ่นจากจุดใกล้ตัว ว่าค่าฝุ่นที่แสดงมีความอันตรายมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เรา ทราบค่าฝุ่นได้แม่นยำมากขึ้น ก็ต้องมาจาก ‘จำนวนจุดวัดคุณภาพอากาศ ที่มากเพียงพอ’ ซึ่งควรมีอย่างน้อย ‘2000 จุดทั่วกรุงเทพ’ เพื่อให้ประชาชนสามารถทราบค่าได้อย่างแม่นยำ และต้องแสดงปริมาณฝุ่นให้ประชาชนได้รับรู้ บริเวณโรงเรียน โรงพยาบาล พื้นที่ก่อสร้าง และพื้นที่เสี่ยง เพื่อการปกป้องสุขภาพ และเพื่อการควบคุมฝุ่น ในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง ประชาชนมีสิทธิในการตรวจสอบ ขอประเมินคุณภาพอากาศ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการรับรู้ ประเมิน และตรวจสอบ ร่วมกับภาครัฐและเอกชน ภาครัฐต้องเเนะนำให้ประชาชน ‘ป้องกัน’ ตัวเองด้วยหน้ากากอย่างจริงจัง  ในปัจจุบันหน้าการที่ป้องกันโควิดบางแบบสามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้บ้างถึงแม้จะไม่ดีเท่า N95 โดยเมื่อเรารู้ว่าตัวเราอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ก็ใส่หน้าเพื่อป้องกันการสูดฝุ่นละอองเข้าสู่ร่างกาย  โดยเฉพาะเด็ก และผู้สูงอายุ ประมาทไม่ได้เลย ฝุ่น PM2.5 อันตรายถึงชีวิต แต่ที่เห็น เรายังไม่สนใจที่จะป้องกันตัวเอง และคนที่เรารักเท่าที่ควร

2.กำจัดฝุ่นที่ ‘ต้นกำเนิด’ อย่างจริงจัง 
วันนี้เรายังเห็นรถเมล์เก่า รถบรรทุกควันดำ วิ่งเต็มกรุงเทพ อยู่ทุกวัน จริงไหมครับ แสดงว่า เราไม่เคยจริงจังกับเรื่องฝุ่นพิษเลย รถควันดำ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ปล่อยมลพิษ จะต้องไม่มีในกรุงเทพอีกต่อไป ไม่ใช่ปล่อย PM2.5 ตลอดเวลา แล้วเมื่อไหร่ อากาศจะดีขึ้น ไม่มีทาง ‘รถบรรทุกควันดำ’ เป็นส่วนใหญ่ วิ่งเข้าออก ‘ไซต์งานก่อสร้าง’ ทุกวัน วันละไม่รู้กี่พันกี่หมื่นเที่ยว  กทม.มีข้อบัญญัติความปลอดภัย ความสะอาด และป้องกันสิ่งแวดล้อมในมือ จัดการได้ทันที ถึงระงับใบอนุญาตก่อสร้างได้ เป็นการแก้ปัญหาถึง ‘ต้นตอ’

3.กฎหมายต้อง ‘เข้มแข็ง จัดการผู้กระทำความผิด’
แน่นอนครับการปลูกฝังจิตสำนึกเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา เเต่การใช้กฎหมาย ปรับให้เหมาะสมและต้องบังคับให้ใช้จริงเป็นสิ่งสำคัญ ตอนนี้เรากำลังจะมี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ ที่มาจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ภาควิชาการ และภาคการเมือง โดยยึดหลักมาตรฐานสากล กฎหมายอากาศสะอาด จะกำหนดเป้าหมายและมาตรฐานมลพิษทางอากาศอย่างเป็นธรรมต่อสุขภาพประชาชนและการพัฒนาประเทศ ตามหลักสุขภาพสากล กฎหมายอากาศสะอาดจะเน้นการกระจายอำนาจในการควบคุม ประเมิน ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหา อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ กฎหมายอากาศสะอาดจะใช้มาตรการ 'ภาษีฝุ่นและค่าธรรมเนียม' กับการปลอดมลพิษอย่างไร้ความรับผิดชอบของบุคคลและนิติบุคคล เพื่อนำมาใช้ในการรักษา เยียวยาปัญหาสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และจะให้ประโยชน์การลดหย่อนภาษีและโบนัสแก่บุคคลและนิติบุคคลที่ช่วยป้องกันฝุ่น ลดมลพิษ กฎหมายอากาศสะอาดจะส่งเสริมการวิจัย และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายในประเทศ รวมทั้งการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจัดการมลพิษทางอากาศ และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด
ทั้งหมดนี้ ผู้มีอำนาจจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ในต่างประเทศที่เคยประสบวิกฤตฝุ่นพิษ เช่น อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี จีน เขาใช้ กฎหมายอากาศสะอาด เป็นเครื่องมือที่ได้ผลที่สุด ในการต่อสู้กับมลพิษ เเละเขาจริงจังเเละเข้มงวด ใครทำผิดเขาจัดการทันที เเต่ประเทศไทยยังไม่เข้มงวดมากพอ

4.ใช้เทคโนโลยี ‘มีดาวเทียม รู้ทันที ใครเผา’
เทคโนโลยีดาวเทียม ‘ไม่โกหก’ เมื่อปีก่อน ไทยเราส่ง ‘ดาวเทียมธีออส 2’ ซึ่งเป็นดาวเทียมวงโคจรต่ำ เวียนมา ‘สอดส่องดู’ พื้นที่ประเทศไทย ใครเผาป่า เผ่าไร่ ตรงจุดไหน ที่แปลงใด รู้ทันที ‘ใครต้องรับผิดชอบ’ GISTDA หรือ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ผู้ดูแลดาวเทียม ระบุว่าข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมธีออส 2 มีรายละเอียดภาพหรือขนาดพิกเซล 50 เซนติเมตร ถือว่า ‘ความละเอียดสูงมาก’  ไม่มีอะไรรอดพ้นสายตา จะใช้หรือไม่ ก็เท่านั้นเอง เมื่อเทคโนโลยี ‘มีแล้ว’ เราต้องใช้แก้ปัญหา ให้คุ้มค่า

5.กำหนดเขตมลพิษต่ำ ‘Bangkok Low Emission Zone’
นี่คือ 'เป้าหมาย' และ 'วิธีแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม' ที่เราต้องทำทันที รอไม่ได้ เพราะกรุงเทพมี 'ความหนาแน่นขึ้น' ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้นตาม ปัญหาการจราจรติดขัด และ มลพิษทางอากาศก็ตามมา โดยเฉพาะปัญหา PM 2.5 ที่ส่งผลต่อสุขภาพและชีวิตของพลเมือง

การประกาศ 'เขตมลพิษต่ำ' จะทำให้สามารถจำกัดการเข้ามาของยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษสูงที่จะเข้ามาในเมือง ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุกเก่าควันดำ รถเมล์ควันโขมง หรือรถอื่น ๆ ที่ปล่อยมลพิษอันตรายน่ากลัว โดยจะมีการมีกำหนดอัตราค่าธรรมตามปริมาณมลพิษรถที่ปล่อยออกมา เมื่อผ่านเขตที่กำหนด ยิ่งรถปล่อยมลพิษสูง ค่าธรรมเนียมยิ่งแพง ส่วนรถที่ปล่อยมลพิษตามมาตรฐาน รถยนต์ไฟฟ้าพลังสะอาด จะไม่มีค่าธรรมเนียม เข้าได้ฟรี ขับได้ตามปกติ เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาดูแลรักษารถยนต์ให้มีมาตรฐาน ปล่อยมลพิษน้อยลง ใช้รถพลังงานสะอาดมากขึ้น หรือหันมาเลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทน ทำให้สามารถลดมลพิษจากท้องถนนได้

สำหรับกทม. ผมขอเสนอให้มีการกำหนดเขตมลพิษต่ำ 'Bangkok Low Emission Zone' นำร่อง 16 เขตกรุงเทพชั้นใน บริเวณเขตพระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ ดุสิต พญาไท ราชเทวี ปทุมวัน สาทร บางรัก บางคอแหลม บางพลัด บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ คลองสาน ธนบุรี และเขตยานนาวา ครอบคลุมพื้นที่กว่า 130 ตารางกิโลเมตร เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง ผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้ชาวกรุงเทพฯ ได้รับอากาศสะอาดกลับคืนมาได้ครับ

ทำไมต้อง 16 เขต กรุงเทพชั้นใน?

เพราะเขตชั้นในนี้ มีประชากรอาศัยหนาแน่น ทั้งผู้อยู่อาศัย ผู้มาทำงาน และนักเรียน ที่มีโรงเรียนและโรงพยาบาลอยู่ในพื้นที่นี้มากที่สุด จึงได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างมาก

เพราะพื้นที่นี้มีการก่อสร้างมากที่สุด มีปัญหามากที่สุดและส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อคนกรุงเทพ

และเพราะพื้นที่นี้อยู่ในแนวรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่พร้อมที่สุด ประชาชนมีทางเลือกในการเดินทางมากว่าพื้นที่อื่น

6.กำหนด ‘เป้าหมาย’ ลดฝุ่นอย่างจริงจัง ต้องชัดเจน
ผมไม่เห็นใครออกมา 'ตั้งเป้าหมาย' เลยว่า อีกกี่เดือน กี่ปี ฝุ่นพิษ PM2.5 จะลดลง ให้อากาศกรุงเทพกลับมาสะอาดพอ ให้ลูกหลานเราจะหายใจได้อย่างปลอดภัย

เมื่อบ้านเมืองไร้เป้าหมาย สุดท้ายคือ อยู่ไปวันๆ ตายผ่อนส่ง ไม่มีอนาคต จริงไหมครับ ?

เมื่อ PM2.5 คือ อันตราย ตายจริง และขอย้ำ 'ปล่อยฝุ่นว่าโหดร้าย ปล่อยไว้โหดยิ่งกว่า' หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แสดงว่าเราไม่ได้ห่วงลูกหลานคนไทยเลย

ด้วยความห่วงใยมากครับ

ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

‘ครูเดวิด’ ฉะยุคทรัมป์ เศรษฐีครองอเมริกาจะแย่ลง ‘อาจารย์อดัม’ ซัดเดือด!! ไบเดนนั่นแหละห่วย

(25 ม.ค. 68) ภายหลัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสาบานตนรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ทั่วโลกก็ต่างจับตาถึงทิศทางการทำงานของทรัมป์โดยเฉพาะในเรื่องความร่วมมือและเศรษฐกิจ

ล่าสุด ครูเดวิด วิลเลี่ยม ติ๊กต็อกเกอร์ดัง ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ไทยมานาน ได้ออกมาเผยแพร่คลิปแสดงความคิดเห็นใจความตอนหนึ่งว่า อีลอน มัสก์ ไม่ได้เป็นคนดี สนใจแต่เงิน เขาไม่สนใจประชาธิปไตย ถามว่ารู้ได้ไง ถ้าคุณดูอย่างทวิตเตอร์จะเปลี่ยนเป็น x ทำไมไม่รู้ แต่ถ้ามีใครมาวิจารณ์เขา เขาจะเอาปิดบัญชีนั้นไปเลย แสดงว่าไม่สนใจเรื่อง Free Speech แล้วคนๆ นี้ที่เป็นเศรษฐีทำไมถึงได้เข้าไปพูดในงานที่โดนัล ทรัมป์ไปพูดได้ยังไง

ขณะเดียวกันนโยบายของทรัมป์ใช้งบประมาณมหาศาลเลยนะ งบประมาณของอเมริกาจึงต้องเพิ่มไม่ใช่ลดลง แล้วก่อนหน้านี้ทรัมป์ยังประกาศช่วงหาเสียงว่า เหตุผลที่ต้องทรัมป์เพราะจะขับไล่ต่างด้าวไปให้หมด และเก็บสิ่งดีๆ สำคัญไว้ให้คนอเมริกัน

นอกจากนี้คนรอบตัวทรัมป์มีแต่เศรษฐีมากกว่านักการเมืองเสียอีก นักการเมืองที่ถูกเลือกด้วยประชาชน แต่ทรัมป์เอาเจ้าของบริษัทรวยๆ ดังๆ ได้นั่งเก้าอี้พรีเมียม นั่นหมายความว่าเขาอยากจะบอกประชาชนว่าใครคือเจ้าของประเทศ คอยดูเลยนะว่า อเมริกาจะเลอะเทอะมาก คนจนจะจนลง คนรวยจะรวยมหาศาล

ต่อมา อาจารย์อดัม แบรดชอว์ ชาวอเมริกันผู้มีประสบการณ์การสอนในประเทศไทยกว่า 18 ปี และมีรายการสอนภาษาอังกฤษในโทรทัศน์ทางหลาย ๆ ช่อง ได้แชร์คลิปดังกล่าวและระบุว่า

“ถุย!! เดวิดไม่ใช่ตัวแทนชาวเมกันหรอก มีแต่แขวะเมกาและอวยประเทศไทย ผมเองก็รักประเทศไทยมาก ๆ เหมือนกัน แต่ไม่ได้แปลว่าต้องมาบอกว่าเมกาแย่อย่างนี้อย่างนั้น ขณะเดียวกัน ผมเข้าใจเจตนาของเดวิดคืออยากเรียกยอดวิวด้วยการพูดในสิ่งที่เค้าคิดว่าคนไทยอยากจะฟัง

แต่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทราบดีว่าไบเดนนั่นแหละห่วยแตกมาก ไม่ได้ทำห่าอะไรใน 4 ปีที่ผ่านมานอกจากปิดปากทุกคนที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับนโยบายชัตดาวน์และที่มาของโควิด ถามหน่อยในช่วงของไบเดนอัตราเงินเฟ้อเป็นยังไงบ้าง ? แล้วอัตราดอกเบี้ยล่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top