Thursday, 26 June 2025
ค้นหา พบ 49041 ที่เกี่ยวข้อง

คนไทยจูงมือจด 'สมรสเท่าเทียม' เริ่มชีวิตคู่ตามกฎหมาย ส่งเสริมหลากหลายทางเพศ

เมื่อวานนี้ (23 ม.ค. 68) กฎหมายสมรสเท่าเทียมแห่งประเทศไทยมีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียม 'บางกอกไพรด์' (Bangkok Pride) ภาคประชาสังคมท้องถิ่น ร่วมมือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องจัดงานเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ ณ สยามพารากอน กรุงเทพฯ มีทั้งการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม เดินขบวนพาเหรด และสุนทรพจน์จากนักการเมืองคนสำคัญ ดึงดูดความสนใจของประชาคมโลก

เดือนไพรด์บางกอกมักจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปี และถือเป็นกิจกรรมสำคัญในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ เนื่องด้วยกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทยมีผลใช้บังคับในปีนี้ จึงได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองพิเศษขึ้นในเดือนมกราคม โดยเน้นที่ประเด็นด้านสมรสเท่าเทียม แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญของประเทศไทยในด้านค่านิยมความเสมอภาคและความหลากหลาย และเป็นหมุดหมายสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศของชาว LGBTQ+ กิจกรรมครั้งนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (Paetongtarn Shinawatra) นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสุนทรพจน์ผ่านวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้า นายเศรษฐา ทวีสิน (Srettha Thavisin) อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (Chadchart Sittipunt) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนักการเมืองท่านอื่น ได้เข้าร่วมงานดังกล่าว เพื่อแสดงถึงความสนับสนุนและความคาดหวังต่อสมรสเท่าเทียม

นายจาง จวิ้น ฝู ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย (สำนักงานฯ) ได้นำ นายต่ง ซือ ฉี รองผู้อำนวยการใหญ่ และคณะเข้าร่วมงานดังกล่าว นายจางฯ ได้จับมือกับนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมแสดงคำอวยพรจากไต้หวัน นอกจากนี้ ยังได้พบปะหารือกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศประจำประเทศไทย รวมถึงเอกอัครราชทูตประเทศอื่นประจำประเทศไทย เช่น สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สวีเดน เพื่อเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ร่วมกัน

นายจางฯ ได้กล่าวว่า เมื่อปี 2017 ไต้หวันในฐานะที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลใช้บังคับเป็นประเทศแรกในเอเชีย มีความเข้าใจถึงความสำคัญของสมรสเท่าเทียมอย่างลึกซึ้ง พร้อมกล่าวว่า “ในฐานะพันธมิตรที่มีแนวคิดเหมือนกัน ไต้หวันและไทยมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามค่านิยมสากล เช่น เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไต้หวันขอชื่นชมความก้าวหน้าและความเป็นผู้นำของไทยในการส่งเสริมสมรสเท่าเทียม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบนพื้นฐานค่านิยมร่วมกันจะกระชับความร่วมมือทวิภาคีให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้านเศรษฐกิจ การค้า และสิทธิมนุษยชน ร่วมกันนำมาซึ่งความหวังและความก้าวหน้าสู่ภูมิภาค”

ในขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้แสดงความยินดีประเทศไทยผ่านทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กเช่นกัน

เช้าวันนี้ นายต่ง ซือ ฉี รองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานฯ ได้เดินทางไปยัง สำนักงานเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นสักขีพยานเรื่องหน่วยงานทะเบียนราษฎรไทยรับจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม อันเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังได้หารือกับ นายธัญญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส. พรรคประชาชน และ ผู้ผลักดันกฎหมายการสมรสเท่าเทียมในไทย พร้อมแสดงความชื่นชมอย่างสูงต่อความก้าวหน้าด้านสมรสเท่าเทียมของประเทศไทย นอกจากนี้ เขายังได้พบกับปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส. พรรคประชาชน และ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ อดีต สส. พรรคก้าวไกล พร้อมแจ้งว่าไต้หวันสนับสนุนสมรสเท่าเทียมในไทย และเชิญชวนให้เดินทางไปไต้หวันเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการส่งเสริมกฎหมายสมรสเท่าเทียม อีกทั้ง นายต่งยังได้พบกับ แมงโก้คัปเปิล  (Mango Couple) ยูทูบเบอร์เกาหลี และได้ใช้ภาษาเกาหลีสนทนาเกี่ยวกับประเด็นสมรสเท่าเทียม สื่อให้เห็นถึงความกระตือรือร้นและการสนับสนุนในการสื่อสารเชิงพหุวัฒนธรรม

ไฮไลต์ของงานนี้ ได้แก่ พิธีจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม การแสดงเชิงพหุวัฒนธรรม และการกล่าวสุนทรพจน์โดยนักการเมืองสำคัญหลายท่าน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของประเทศไทยในการโอบอ้อมอารีค่านิยมที่หลากหลาย และยังเน้นย้ำถึงความพยายามของรัฐบาลไทยที่กระตือรือร้นในการส่งเสริมความเสมอภาค

ข่าวของสำนักงานฯ ระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายการสมรสเท่าเทียมถือว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในกระบวนการเรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมกันของไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นฐานค่านิยมร่วมกันระหว่างไต้หวันและไทย อนาคตจะมีความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ เพื่อผลักดันประโยชน์และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันที่มีความโอบอ้อมอารี

'รองนายกฯ ประเสริฐ' เผยผลสำเร็จ เข้าร่วมการประชุม WEF 2025 เดินหน้าเทคโนโลยีแห่งอนาคต ยกระดับเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัลไทย

(24 ม.ค.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) 2025 ร่วมกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในระหว่างวันที่ 20-24 มกราคม 2568 ว่า การประชุม WEF 2025 ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม 'Collaboration for the Intelligent Age' ซึ่งเน้นการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพผ่านการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศในยุคดิจิทัลที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้นำทางการเมือง นักธุรกิจชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่าง ๆ และผู้มีวิสัยทัศน์จากทั่วโลกเข้าร่วม เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และหารือแนวทางการเปลี่ยนแปลงผ่านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning), และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ในช่วงวันที่ 21 – 22 มกราคม 2568 กระทรวงดีอีได้เข้าร่วมการประชุมหารือทวิภาคีกับ H.E. Abdullah AlSwaha รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศของซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ได้แก่ บริษัท Cisco Systems, AstraZeneca, Salesforce, META, Google และ AWS รวมทั้งได้มีการหารือกับ World Bank’s Global Director for Water ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย

สำหรับประเด็นสำคัญในการหารือทวิภาคีกับบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ได้แก่ (1) ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในหลากหลายมิติ , (2) การพัฒนาเมืองอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย , (3) การยกระดับทักษะด้านดิจิทัลผ่านการฝึกอบรมในด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ , (4) ปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ , (5) การพัฒนาระบบไอทีของหน่วยงานภาครัฐผ่านนโยบาย Cloud First Policy , (6) การส่งเสริมการลงทุนในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล , (7) การส่งเสริม digital literacy ของหน่วยงานรัฐและของประชาชน , (8) การพัฒนาขีดความสามารถของ SMEs ไทย รวมถึงการสนับสนุน digital startups ให้เข้าถึงตลาดระหว่างประเทศ , (9) การส่งเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่ของไทยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งอนาคต , (10) การพัฒนาทักษะแรงงานด้านดิจิทัล , (11) การเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล , (12) แนวทางการทำงานเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ และ (13) มาตรฐานชุมชนและเครื่องมือความปลอดภัยในการใช้งานแพลตฟอร์ม

ขณะที่ในวันที่ 23 มกราคม 2568 กระทรวงดีอีได้เข้าร่วมการประชุมในหัวข้อ Meeting of the Jobs Champion ซึ่งเป็นการประชุมเสวนาผู้นำ (Leaders Dialogue Meeting) ที่มีผู้บริหารระดับสูงจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และผู้นำระดับสูงจาก'รองนายกฯ ประเสริฐ' เผยผลสำเร็จ เข้าร่วมการประชุม WEF 2025 เดินหน้าเทคโนโลยีแห่งอนาคต ยกระดับเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัลไทย

วันที่ 24 มกราคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) 2025 ร่วมกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในระหว่างวันที่ 20-24 มกราคม 2568 ว่า การประชุม WEF 2025 ในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม 'Collaboration for the Intelligent Age' ซึ่งเน้นการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพผ่านการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศในยุคดิจิทัลที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้นำทางการเมือง นักธุรกิจชั้นนำ ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่าง ๆ และผู้มีวิสัยทัศน์จากทั่วโลกเข้าร่วม เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และหารือแนวทางการเปลี่ยนแปลงผ่านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning), และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ในช่วงวันที่ 21 – 22 มกราคม 2568 กระทรวงดีอีได้เข้าร่วมการประชุมหารือทวิภาคีกับ H.E. Abdullah AlSwaha รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศของซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ได้แก่ บริษัท Cisco Systems, AstraZeneca, Salesforce, META, Google และ AWS รวมทั้งได้มีการหารือกับ World Bank’s Global Director for Water ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย

สำหรับประเด็นสำคัญในการหารือทวิภาคีกับบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ได้แก่ (1) ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในหลากหลายมิติ , (2) การพัฒนาเมืองอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย , (3) การยกระดับทักษะด้านดิจิทัลผ่านการฝึกอบรมในด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ , (4) ปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์ , (5) การพัฒนาระบบไอทีของหน่วยงานภาครัฐผ่านนโยบาย Cloud First Policy , (6) การส่งเสริมการลงทุนในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล , (7) การส่งเสริม digital literacy ของหน่วยงานรัฐและของประชาชน , (8) การพัฒนาขีดความสามารถของ SMEs ไทย รวมถึงการสนับสนุน digital startups ให้เข้าถึงตลาดระหว่างประเทศ , (9) การส่งเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่ของไทยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งอนาคต , (10) การพัฒนาทักษะแรงงานด้านดิจิทัล , (11) การเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล , (12) แนวทางการทำงานเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ และ (13) มาตรฐานชุมชนและเครื่องมือความปลอดภัยในการใช้งานแพลตฟอร์ม

ขณะที่ในวันที่ 23 มกราคม 2568 กระทรวงดีอีได้เข้าร่วมการประชุมในหัวข้อ Meeting of the Jobs Champion ซึ่งเป็นการประชุมเสวนาผู้นำ (Leaders Dialogue Meeting) ที่มีผู้บริหารระดับสูงจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และผู้นำระดับสูงจากทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคประชาชน เข้าร่วมหารือประเด็นระดับโลกที่สำคัญ โดยมีการรายงานผลการวิจัยใหม่เรื่อง 'อนาคตของงาน' ที่กล่าวถึงผลกระทบของ AI ต่องานและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจเพื่อทุกคน

นอกจากนั้น ยังมีกิจกรรมสำคัญ 'Thailand Reception' ซึ่งเป็นงานเลี้ยงต้อนรับอาหารกลางวัน ระหว่างผู้นำประเทศต่างๆ และนายกรัฐมนตรีประเทศไทย โดยมีการนำเสนออาหารไทยและการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ และการต้อนรับอันอบอุ่นของประเทศไทย ในธีม Nourishing the Future for ALL เน้นเรื่องอาหารและศักยภาพของประเทศไทย โดยนำเสนอวัฒนธรรมและความเป็นไทย ผ่านอาหารไทย เพื่อส่งเสริม Soft Power และศักยภาพของประเทศไทยในฐานะ 'ครัวของโลก'

“สำหรับในวันที่ 24 มกราคม 2568 ผมจะเข้าร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับ EFTA และการเสวนาของนายกรัฐมนตรี ในหัวข้อ 'Not Losing Sight of Soft Power' ที่จะกล่าวถึงการสร้างแรงกระเพื่อมในวัฒนธรรมสมัยนิยม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ได้รับการกระตุ้นโดยเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมทั้งเข้าร่วมการเสวนาในหัวข้อ Country Strategy Dialogue on Thailand โดยท่านนายกจะกล่าวถึงจุดแข็งของประเทศไทยโดยรวม ประเด็นความมั่นคงทางอาหาร การใช้เทคโนโลยีด้านเกษตร และการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล” นายประเสริฐ กล่าว

ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคประชาชน เข้าร่วมหารือประเด็นระดับโลกที่สำคัญ โดยมีการรายงานผลการวิจัยใหม่เรื่อง 'อนาคตของงาน' ที่กล่าวถึงผลกระทบของ AI ต่องานและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจเพื่อทุกคน

นอกจากนั้น ยังมีกิจกรรมสำคัญ 'Thailand Reception' ซึ่งเป็นงานเลี้ยงต้อนรับอาหารกลางวัน ระหว่างผู้นำประเทศต่างๆ และนายกรัฐมนตรีประเทศไทย โดยมีการนำเสนออาหารไทยและการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ และการต้อนรับอันอบอุ่นของประเทศไทย ในธีม Nourishing the Future for ALL เน้นเรื่องอาหารและศักยภาพของประเทศไทย โดยนำเสนอวัฒนธรรมและความเป็นไทย ผ่านอาหารไทย เพื่อส่งเสริม Soft Power และศักยภาพของประเทศไทยในฐานะ “ครัวของโลก” 

“สำหรับในวันที่ 24 มกราคม 2568 ผมจะเข้าร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับ EFTA และการเสวนาของนายกรัฐมนตรี ในหัวข้อ 'Not Losing Sight of Soft Power' ที่จะกล่าวถึงการสร้างแรงกระเพื่อมในวัฒนธรรมสมัยนิยม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ได้รับการกระตุ้นโดยเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมทั้งเข้าร่วมการเสวนาในหัวข้อ Country Strategy Dialogue on Thailand โดยท่านนายกจะกล่าวถึงจุดแข็งของประเทศไทยโดยรวม ประเด็นความมั่นคงทางอาหาร การใช้เทคโนโลยีด้านเกษตร และการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล” นายประเสริฐ กล่าว

‘ศ.ดร.บังอร‘ อัดฉีด​ 15.2 ล้านบาท ให้นักกีฬาที่ร่วมสู้ศึก “กีฬาปัญญาชน 50” หลัง ม.กรุงเทพธนบุรีคว้าเจ้าเหรียญทอง 6 สมัยซ้อน

เมื่อวันที่ (20 ม.ค.68) ศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.) กล่าวแสดงความยินดีกับผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน และทัพนักกีฬา พร้อมทั้งมอบเงินรางวัลอัดฉีดรวม 15,230,000 บาท แก่ทัพนักกีฬาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยมีเรืออากาศโท หญิง ภานิภัค วงศ์พัฒนกิจ (เทนนิส) แชมป์กีฬาเทควันโด เหรียญทองโอลิมปิก ปารีส 2024 หัวหน้าคณะนักกีฬา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าวรายงาน สรุปผลการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 50 ธรรมศาสตร์เกมส์” และนำทีมผู้ฝึกสอนและนักกีฬาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีเข้ารับมอบเงินรางวัลดังกล่าวในงาน 'เชียร์ให้ฉ่ำ ฉลองแชมป์สมัยที่ 6' จากการส่งทัพนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 50 'ธรรมศาสตร์เกมส์' เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้นักกีฬาทุกคนของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีที่ได้รับเหรียญรางวัลจากทุกประเภทการแข่งขันกีฬา โดยมี รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ ผู้ฝึกสอน และนักศึกษาร่วมแสดงความยินดีกับทัพนักกีฬาที่ได้รับรางวัลดังกล่าวด้วย    

ทั้งนี้ ทัพนักกีฬาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 50 สามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง โดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีสามารถขึ้นแท่นเป็นเจ้าเหรียญทอง 6 สมัยซ้อน โดยสามารถคว้า 124 เหรียญทอง 45 เหรียญเงิน และ 51 เหรียญทองแดง รวมเหรียญรางวัลทั้งหมดที่ทัพนักกีฬาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีได้รับจากการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬารายการดังกล่าว จำนวน  220 เหรียญ

จากการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 50 นักกีฬาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี สามารถคว้ารางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมหลายประเภทกีฬา ได้แก่ ว่ายน้ำ น.ส.กมนชนก ขวัญเมือง และนาย รัฐวิทย์ ธรรมนันทโชติ กรีฑา นายณัฐพงษ์ ศรีนนทา หมากกระดาน นายวิชญฤทธิ์ คฤหวาณิช นายภานุวัฒน์ เถาวัลย์ นายทัพฟ้า คำหน่อแก้ว น.ส.ทิพย์อักษร อินทะสร้อย และน.ส.กอบเงิน ฤกษ์วิรี เทควันโด น.ส.พรรณนภา หาญสุจินต์ แบดมินตัน นายพณิชพล ธีระรัตน์สกุล น.ส.นัทธมน ไล้สวน เทนนิส นายยุธนา เจริญผล น.ส.พัณณิน โควาพิทักษเทศ เปตอง นายรัชตะ คำดี น.ส.พรทิวา แก้วมูล เซปักตะกร้อ นายพงษ์ศักดา จันริสา คอร์สเวิร์ด น.ส.ณัฐชยา ศรีทะโร คาราเต้ น.ส.มณีวรรณ บุตรสุวรรณ ปันจักสีลัต นายพีระพล มิตธสาร เทเบิลเทนนิส ชัยเดช ม่วงหวาน และเอแม็ท น.ส.ธัญชนก จันทร์คล้าย

ในการนี้ อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ได้จัดงานเลี้ยงฉลองแชมป์แก่ทัพนักกีฬาของมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีที่สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการแข่งขันกีฬารายการดังกล่าว และประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีตั้งไว้ด้วย ซึ่งงานเลี้ยงฉลองแชมป์ดังกล่าวจัดขึ้น ณ อาคารปฏิบัติการ การโรงแรมและการท่องเที่ยว ชั้น 2 มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี  

จัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ในปี 2025 โดย time higher education

เปิด Top 10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ในปี 2025 จากการจัดอันดับของ time higher education พบ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดยืนหนึ่ง

ส่วน ‘คนดัง’ ระดับมันสมองของไทย คนไหนเรียนจบสถาบันใดบ้าง ไปส่องกันได้เลย

นักวิชาการชำแหละ ทรัมป์บอกลา WHO ถอนข้อตกลงปารีส เปิดช่องจีนครองบทบาทผู้นำโลก

(24 ม.ค.68) หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยสองเพียงไม่นาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกใน 2 องค์กรระดับโลกคือ การถอนตัวออกจากสมาชิกองค์การอนามัยโลก และการถอนตัวสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ซึ่งท่าทีทั้งสองดังกล่าว นักวิชาการจากสถาบันในรัฐแคลิฟอร์เนียมองว่า เป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น 

ศาสตราจารย์โรเดอริก เคียวเวียต (Roderick Kiewiet) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (Caltech) เผยต่อสำนักข่าวสปุตนิกว่า ในกรณีการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ที่มีเป้าหมายในการจำกัดอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมนั้น มีลักษณะเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น เพราะสหรัฐและประเทศอื่น ๆ แทบไม่มีทางบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ได้อยู่แล้ว

“การถอนตัวของสหรัฐเป็นเพียงการยืนยันว่าทั่วโลกยังคงใช้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในอัตราเดิมต่อไปอีกนาน” เคียวเวียตกล่าว ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับศาสตราจารย์คานิชกัน สถาสิวัม (Kanishkan Sathasivam) จากมหาวิทยาลัยเซเลมสเตต รัฐแมสซาชูเซตส์ เห็นด้วยว่าการถอนตัวครั้งนี้เป็นเพียง 'เชิงสัญลักษณ์' และคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว  

“หลายสิ่งที่สหรัฐทำในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นดำเนินการผ่านกฎหมายในประเทศ ทั้งระดับรัฐบาลกลางและรัฐ ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยลำพัง” สถาสิวัมกล่าว  

ด้าน ศาสตราจารย์ริชาร์ด เบนเซล (Richard Bensel) จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ กล่าวว่า การถอนตัวของสหรัฐจากข้อตกลงปารีสจะลดบทบาทของประเทศในเวทีโลก ขณะเดียวกัน จีนอาจใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มบทบาทความเป็นผู้นำของตัวเอง “ผลกระทบหลักจากการถอนตัวครั้งนี้คือการสูญเสียอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐ ขณะที่จีนจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ทรัมป์ทิ้งไว้” เบนเซลกล่าว  

ขณะที่กรณีทรัมป์สั่งถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) สะท้อนว่าทรัมป์ละเลยความเป็นจริงของวิกฤตภูมิอากาศและผลกระทบในระดับโลก แกเร็ธ เจนกินส์ นักวิจัยอาวุโสอิสระจากโครงการศึกษาซิลค์โร้ดและศูนย์ตุรกีแห่งสถาบันนโยบายความมั่นคงและการพัฒนาในกรุงสตอกโฮล์มกล่าวว่า 

"ทุกประเทศจำเป็นต้องดำเนินมาตรการ ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นสมาชิก เช่นเดียวกับที่เราทุกคนต้องรับผลกระทบ หากสหรัฐฯ ผลิตน้ำมันมากขึ้น ก็จะสร้างมลพิษมากขึ้น และเช่นเดียวกับที่การแพร่ระบาดของโควิดแสดงให้เห็นว่าโรคระบาดเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดน แน่นอนว่า WHO จะทำงานได้อย่างแข็งแกร่งหากสหรัฐยังเป็นสมาชิกอยู่ ดังนั้นการถอนตัวจาก WHO จะจะยิ่งทำให้องค์กรนี้อ่อนแอลง" เจนกินส์กล่าว 

อย่างไรก็ตาม เจนกินส์ เห็นพ้องกับนักวิชาการคนอื่นๆ ว่า การที่สหรัฐถอนตัวจาก WHO จะเป็นโอกาสทองที่จีนจะก้าวขึ้นมามีบทบาทในองค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลกนี้มากขึ้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top