Saturday, 17 May 2025
ค้นหา พบ 48168 ที่เกี่ยวข้อง

'สุริยะ' ยันมีหลักฐาน เขากระโดง 5 พันไร่เป็นที่รถไฟ ลั่น ปัญหาทุกอย่างจบได้ถ้าทุกฝ่ายยึดกฎหมาย

‘สุริยะ’ ลั่น เขากระโดงจบได้ถ้าทุกฝ่ายยึดกฎหมาย เข้าใจ ‘ทรงศักดิ์’ ห่วงคนในพื้นที่ บอกห่วงประชาชนเหมือนกัน ชี้ หากรฟท. ได้ที่กลับจะแก้ปัญหาถาวรให้เช่าถูก ยันมีหลักฐาน 5 พันไร่เป็นที่รถไฟ

(24 ธ.ค. 67) เมื่อเวลา 09.20 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ หลังจากนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นำคณะลงพื้นที่ และมีการพูดถึงว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก้าวล่วงสิทธิ์ประชาชนในพื้นที่ ว่า เรื่องนี้อยากจะทำความชัดเจน ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลฎีกา ตัดสินว่าที่บริเวณเขากระโดงนั้นเป็นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนตัวเข้าใจนายทรงศักดิ์ที่ห่วงใยประชาชนซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่เมื่อมีคำพิพากษาทางการรถไฟฯจะต้องทำตาม ถ้าไม่ทำตามเจ้าหน้าที่รถไฟอาจจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ 

ส่วนหลังจากนำที่กลับมาให้การรถไฟฯแล้ว จะดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น นายสุริยะ กล่าวว่า เราสามารถเยียวยาประชาชนในพื้นที่ได้ โดยอาจจะคิดค่าเช่าในราคาที่ค่อนข้างถูก ซึ่งก็จะมีการแก้ปัญหาที่ถาวรต่อไป ส่วนข้อห่วงใยที่เป็นที่ตั้งของหน่วยราชการต่างๆ 12 แห่ง เช่น ศาลากลางจังหวัด อบจ.จังหวัดนั้น เรื่องเหล่านี้ เราสามารถตรวจสอบก่อน ถ้าเป็นที่ของการรถไฟฯก็สามารถตกลงให้เช่าได้ เช่น กรณีที่ดินรัชดาที่มีศาลอาญาและกรมอัยการก็มาขอเช่า ทางการรถไฟฯก็ให้เช่า ซึ่งเป็นเรื่องที่เราก็ห่วงใยประชาชนเหมือนนายทรงศักดิ์

เมื่อถามว่า 2 กระทรวงต้องมาคุยกันหรือไม่เพราะพูดกันคนละภาษา นายสุริยะกล่าวว่า ตนได้ชี้แจงไปแล้วว่าที่ทั้งหมดเป็นของการรถไฟฯ ส่วนที่นายทรงศักดิ์ห่วงใยประชาชนตนบอกว่าต้องทำตามกระบวนการ

เมื่อถามว่า ในพื้นที่บอกว่าการรถไฟฯไม่มีหลักฐานยืนยัน 5,000 ไร่ถ้ามีให้ไปฟ้องรายแปลง นายสุริยะ กล่าวว่า ทางศาลฎีกาสูงสุดตัดสินเรียบร้อยแล้ว ว่าที่ 5,000 กว่าไร่เป็นที่ของการรถไฟฯ โดยทางกรมที่ดินก็พยายามที่จะพูดถึงเรื่องของกฤษฎีกา การรถไฟฯชี้แจงชัดเจนว่าตั้งแต่กรมรถไฟ 2462 มีการชี้แจงในพื้นที่ตั้งแต่อุบลราชธานีจนถึงนครราชสีมาซึ่งมีส่วนของ เขากระโดงว่าเป็นที่ของการรถไฟฯ

เมื่อถามว่า สามารถ ยืนยันได้ว่าศาลฎีกาวินิจฉัย 5,000 ไร่ใช่หรือไม่เพราะ เพราะชาวบ้านยืนยันว่า ผูกพันเฉพาะกรณี 35 ราย นายสุริยะ กล่าวว่า ตนไม่ได้เชี่ยวชาญกฎหมายจึงได้ปรึกษากับที่ปรึกษากฎหมายและยืนยันชัดเจนว่า สามารถบังคับได้ ยืนยันว่ามีเอกสารสิทธิ์ตรงนี้ 

ส่วนเรื่องนี้จะจบหรือไม่เพราะเป็นมหากาพย์ยาวนาน นายสุริยะ กล่าวว่า ถ้าทุกฝ่ายทำตามกฎหมายมันจบได้

ชลบุรี-รวมผู้กระทำผิดกว่า 600 ราย จาก ผบก.ชลบุรี ผนึกกำลังเปิดปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต EP.2 ขจัดพิษร้ายซอยจอมเทียน" 

(24 ธ.ค. 67) สืบเนื่อง จากปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต" ที่ได้เปิดปฏิบัติการภายใต้นโยบายของ พลตำรวจโท ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย เปรียบเสมือน "ปรสิต" ที่คอยกัดกินความสุข ความเป็นอยู่ที่ดี และยังคอยทำร้ายพี่น้องประชาชน นับว่าเป็นปฏิบัติการที่สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดและมีผลการจับกุมได้จำนวนมาก

ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีนำโดย พลตำรวจตรีธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ได้ดำเนินการต่อยอดโดยเปิดปฏิบัติการ "ล้างบางปรสิต EP.2 ขจัดพิษร้ายซอยจอมเทียน" มุ่งเน้นกวาดล้างยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมายอาคารพาณิชย์ ภายในซอยจอมเทียนซอย 2,3 และ 4 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่เป้าหมายที่มีการแพร่กระจายของยาเสพติดเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้จำหน่ายและผู้เสพ จนปรากฎเป็นภาพข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ อีกทั้งระดมกวาดล้างชาวต่างชาติที่แฝงตัวเข้ามาและทำงานผิดกฎหมาย โดยได้เปิดปฏิบัติการในช่วงเช้า เวลา 06.00 น. ของวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้กระทำความผิด ได้ดังนี้

1. ปฏิบัติการจอมเทียน 3 ซอยโมเดล
- จับกุมยาเสพติดในข้อหาจำหน่าย 5 ราย ,คดีครอบครองยาเสพติด 15 รายและข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ 82 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 93 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางยาบ้าจำนวน 981 เม็ดและยาไอซ์รวม 53 กรัม
- จับกุมคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด Overstay  5 ราย, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 6 ราย, ความผิดตาม ม.38 เป็นเจ้าบ้านฯ รับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชม. 16 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาใน พรบ.คนเข้าเมือง 27 ราย

2. ปฏิบัติการบุกทลายแก๊งชาวต่างชาติทำผิดกฎหมาย
- ตรวจค้นบ้านพักย่าน ถ.เทพประสิทธิ์ ตามหมายค้นศาลแขวงพัทยา 2 หลัง จับกุมชาวต่างชาติรวมกลุ่มกันในลักษณะแก๊งคอลเซนเตอร์ และหลอกขายสินค้าโดยใช้ประเทศไทย เป็นฐานที่มั่น ได้ 13 ราย (จีน 10 ราย เกาหลี 3 ราย) พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกว่า 60 รายการ
- จับกุมชาวต่างชาติ (จีน) 2 ราย ในข้อหาลักทรัพย์ เครื่องรับ-ส่งสัญญาณติดเสาสัญญาณโทรศัพท์ บริษัทเครื่อข่ายโทรศัพท์มือถือค่ายใหญ่ ตรวจยึดของกลางเป็นเครื่องขยายสัญญาณโทรศัพท์ 94 เครื่อง รวมมูลค่า 8 ล้านบาท ได้ที่บริเวณพื้นที่ สภ.หนองขาม
- จับกุมชาวต่างชาติ (ฮ่องกง) ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าขาย โดยตั้งฐานการผลิตในโรงแรมหรูกลางเมืองพัทยา พร้อมตรวจยึดหัวบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 1,300 ชิ้น (จากการล่อซื้อ), ตัวบุหรี่ไฟฟ้า, ก้นบุหรี่ไฟฟ้า, น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า, ผงส่วนผสมน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าอีกจำนวนมาก และอาวุธปืนแบบกึ่งอัตโนมัติไม่มีทะเบียน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน

3.ปฏิบัติการกวาดล้างความผิดตาม พรบ.คนเข้าเมืองของ สตม. ตั้งแต่เปิดปฏิบัติการ "กวาดล้างปรสิต" จนถึงปัจจุบัน
-จับกุมคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด Overstay 10 ราย, เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 253 ราย, ความผิดตาม ม.38 เป็นเจ้าบ้านฯ รับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชม. 116 ราย, ความผิดตาม พรก.การทำงานของคนต่างด้าว 28 ราย และหมายจับ 26 ราย 

โดยปฏิบัติการดังกล่าว เป็นเพียงหนึ่งในนโยบายในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดที่เป็นปัญหาเรื้อรังระดับชาติ และคดีอื่นๆ รวมแล้วกว่า 600 ราย

อีกทั้ง หากไม่กำจัดให้สิ้นซาก จะเป็นภัยแก่สังคมและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ต้องเติบโตและใช้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยยาเสพติด โดยตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จะดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัย จนเกิดความอุ่นใจ นำไปสู่ความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาชาวโลก ดังวิสัยทัศน์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน”
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

กรมโรงงานฯ ตรวจสุดซอยตามนโยบาย ‘เอกนัฏ’ ลั่น พบโรงงาน - ผู้เกี่ยวข้อง ร่วมทำความผิด เจอคดีทันที

(24 ธ.ค.67) นายพรยศ กลั่นกรอง รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมโรงงานฯ มีพันธกิจในการบริหารจัดการ กำกับดูแลธุรกิจอุตสาหกรรมให้มีการประกอบการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความปลอดภัย ตามกรอบกฎหมาย และข้อตกลงระหว่างประเทศ ภายใต้นโยบายที่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบไว้ “ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่” ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย 3 ด้าน 'สู้ เซฟ สร้าง' 'สู้' กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมายทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษ 'เซฟ' พี่น้องอุตสาหกรรมไทย สร้างความเท่าเทียม สร้างรายได้ สร้างโอกาส ในการแข่งขันทางธุรกิจ และ 'สร้าง' อุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก 

อธิบดีพรยศฯ กล่าวต่อว่า การจะ 'สู้' กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมนั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ 'การปฏิบัติการตรวจสุดซอย' จึงเป็นปฏิบัติการเชิงรุก ในการตรวจสอบกำกับโรงงานเชิงลึกในทุกมิติ ทั้งด้านการติดตั้งเครื่องจักร ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรม ต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ หลักอาชีวอนามัย เป็นไปตามกฎหมายโรงงาน กฎหมายวัตถุอันตราย  และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มข้น พร้อมกับบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั่วประเทศ

และจากประเด็นที่ รัฐมนตรีเอกนัฏฯ ส่งชุดตรวจสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รวอ.พร้อมด้วย นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าตรวจโรงงานในอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี พบการละเมิดคำสั่งของกรมโรงงานอุตสาหกรรมถึง 3 ครั้ง ที่มีคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการ และปิดโรงงาน โดยโรงงานมีการฝ่าฝืนประกอบกิจการโรงงาน รวมถึง เคลื่อนย้ายของกลาง ติดตั้งเครื่องจักร ติดตั้งเตาหลอมโลหะโดยไม่มีวิศวกรรับรอง และลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในบริเวณบ่อน้ำขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับโรงงานเพิ่มขึ้น และยังพบ 'เอกสารลับ' ชี้มีการเบิกจ่ายเงินนอกระบบให้กับบุคคลหลายตำแหน่ง จากหลายหน่วยงาน ทำให้เกิดเป็นข่าวในสื่อหลายสำนัก

อธิบดีพรยศฯ เพิ่มเติมว่า จากประเด็นดังกล่าว ทางกรมโรงงานฯ มิได้เพิกเฉยแต่อย่างใด การที่โรงงานจงใจฝ่าฝืนคำสั่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมหลายครั้ง ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย หากตรวจสอบพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมโรงงานฯ มีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินการอย่างเฉียบขาด

“ผมมีนโยบายที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชา กำกับดูแล ตรวจสอบโรงงานให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ผู้มารับบริการตามขั้นตอน ไม่มีเรียกรับสินบน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดเพื่อคุ้มครองหรือดูแลผู้ประกอบกิจการโรงงาน ให้เกิดความเท่าเทียม สร้างรายได้ สร้างโอกาส ในการแข่งขันทางธุรกิจ พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ 'ไม่ปลอดภัย ไม่อนุญาต' การตั้งและประกอบกิจการโรงงานต้องสะอาด สะดวก โปร่งใส ไม่เกรงใจอิทธิพล เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างสมดุล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยอยู่ร่วมกับสังคมและชุมชนได้อย่างยั่งยืน ตามนโยบายรัฐมนตรีเอกนัฏฯ" นายพรยศฯ กล่าวทิ้งท้าย

อีลอน มัสก์จวกธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำงานล่าช้า-พนักงานเกินจำเป็น

(24 ธ.ค.67) บลูมเบิร์กรายงานว่า อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ เทสลา (Tesla) และ สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ว่าที่ประธานร่วมของ สำนักงานควบคุมประสิทธิภาพของรัฐบาล (Department of Government Efficiency หรือ DOGE) โดยมัสก์ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าเป็นหน่วยงานที่มีพนักงานมากเกินความจำเป็น  

มัสก์แสดงความคิดเห็นผ่าน แพลตฟอร์ม X โดยระบุว่าเฟดเป็นหน่วยงานที่มีจำนวนพนักงานที่มากเกินไป ซึ่งความคิดเห็นนี้เกิดขึ้นในกระทู้ที่พูดถึงการตัดสินใจด้านนโยบายล่าสุดของเฟด อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมุมมองดังกล่าว  

ขณะเดียวกัน มัสก์ยังถือเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาคนสำคัญของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังจัดตั้งหน่วยงานใหม่ในชื่อ DOGE เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลและตั้งเป้าลดการใช้จ่ายให้ได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์  

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐในกรุงวอชิงตันและธนาคารระดับภูมิภาคอีก 12 แห่งทั่วประเทศ มีพนักงานรวมประมาณ 24,000 คน เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งน้อยกว่าธนาคารกลางในยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ที่มีจำนวนพนักงานรวมกันมากกว่าของสหรัฐ  

ต่างจากหน่วยงานอื่นของรัฐบาล ธนาคารกลางสหรัฐไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณของรัฐสภา แต่มีรายได้จากการดำเนินงานของธนาคาร เช่น ดอกเบี้ยจากหลักทรัพย์รัฐบาลที่เฟดถือครอง โดยรายได้ส่วนเกินจะถูกส่งกลับไปยัง กระทรวงการคลัง ซึ่งในช่วงเวลาปกติ เฟดถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล  

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2565 ทำให้รายได้สุทธิของเฟดลดลง แต่ยังคงสามารถส่งรายได้ส่วนเกินประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ให้กับกระทรวงการคลังได้  

ในอดีต เฟดเคยตกเป็นเป้าหมายของทรัมป์ โดยในระหว่างการหาเสียง ทรัมป์เคยกล่าวว่าตนควรมีสิทธิ์ในการกำหนดนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ทรัมป์ยังล้อเลียนบทบาทของ เจอโรม พาวเวลล ประธานเฟด ว่าเป็น 'งานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรัฐบาล' 

แม้พาวเวลไม่ได้ตอบโต้โดยตรง แต่ คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาท้าทายทรัมป์ในก่อนหน้านั้น โดยเธอเชิญเขาไปดูการทำงานของทีม ECB ที่แฟรงก์เฟิร์ต พร้อมย้ำว่า  

“ฉันมีพนักงานที่ทำงานหนักหลายพันคน ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมาย และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ พวกเขาทำงานหนักทุกวัน ไม่ใช่แค่เดือนละครั้ง เราปกป้องยูโร เช่นเดียวกับที่เฟดปกป้องดอลลาร์ ฉันมั่นใจว่าพาวเวลก็เห็นงานของเขาในมุมเดียวกัน”

'สรรพสามิต' ลดภาษี 'ผับ บาร์ ไนต์คลับ ค็อกเทลเลาจน์' จาก 10% เหลือ 5% อีก 1 ปี ดันท่องเที่ยวไทยตลอดปี 68

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสถานบริการ จาก 10% เป็น 5% ของรายรับ ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ

ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล รวมถึงการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวไทย 'Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025'  ที่จะสร้างการกระจายรายได้ไปยังท้องถิ่น และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เที่ยวไทยมากขึ้นนั้น กิจการบันเทิงหรือหย่อนใจเกี่ยวข้องโดยตรงกับการท่องเที่ยว คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบปรับลดภาษีสรรพสามิตสถานบริการหรือหย่อนใจ อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับบาร์ ค็อกเทลเลาจน์ ฯลฯ จาก 10% เหลือ 5% ของรายรับของสถานบริการ ซึ่งจะหมดอายุ 31 ธันวาคม 2567 ออกไปอีก 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2568 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการ นอกจากนี้ จะช่วยส่งเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และมีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ผู้ประกอบการ และประชาชนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น ช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ

ซึ่งภายหลังการปรับลดภาษีจาก 10% เหลือ 5% ในปี 67 และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดึงผู้ประกอบการเข้าระบบภาษีเพิ่ม ทำให้ฐานภาษีกว้างขึ้น ทำให้มีผู้ประกอบสถานบริการหรือหย่อนใจจดทะเบียนเสียภาษีเพิ่ม 1,511 ราย เพิ่มขึ้นถึง 60.92% จำนวนผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการประกอบการเพิ่มขึ้น 52.06%  และกรมสรรพสามิตมีรายได้ภาษีสรรพสามิตสถานบริการหรือหย่อนใจเพิ่มขึ้น 31.24%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top